คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่4 เรื่องในอดีต
แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างบานน้อยเข้าไปสู่ห้องกว้าง แม่เลี้ยงคาลิน่ากำลังอยู่ในห้วงนิทรา อันเป็นช่วงเวลาที่ควรจะมีความสุข แต่คาลิน่าไม่ได้มีความสุขสักเท่าไหร่หรอก
ม่านสีขาวพลิ้วไหวเบาๆตามลมอ่อนๆที่พัดผ่านเข้ามา สายลมที่พัดพาเรื่องของอดีตเข้ามาสู่ความทรงจำ กลั่นอายของความเศร้าและน้ำตากระจายอยู่โดยรอบ ความหนาวเหน็บของรัตติกาลเริ่มแทรกซึมชวนให้หนาวใจ แม้จะเป็นเรื่องของอดีตที่ยากจะลืม แต่ก็อดจะจดจำมันไม่ได้
...ยิ่งอยากลืม ยิ่งจดจำ...
ยี่สิบปีก่อน...
“คาลิน่า”
ไม่มีเสียงตอบรับ...
“คาลิน่า!”
“ค่ะๆ”
“ทำไมเธอมาช้าซะจริงเชียว ทำไมฉันเรียกเธอหลายรอบแล้วไม่ยอมมาสักที”
“ขอโทษค่ะพี่ พอดีฉันตากผ้าอยู่”
“ทีหลังก็หัดตากให้มันเร็วๆซะบ้างล่ะ”
“ค่ะพี่...ว่าแต่มีอะไรคะ”
“ไปทำน้ำส้มมาให้ฉันสักแก้วสิ”
“แต่ว่าฉันยังตากผ้าตามคำสั่งแม่ยังไม่เสร็จ”
“นั่นมันเรื่องของเธอ ฉันรู้แค่ว่าฉันต้องการตอนนี้”
“พี่เดต้า มันจะมากเกินไปแล้วนะ”
“ไม่มากไปสักหน่อย”เดต้า(เดท)ตอบ
“แต่ฉันว่ามันมากไป งั้นฉันตากผ้าเสร็จแล้วพี่ค่อยกินล่ะกัน น้ำส้มน่ะ”
ว่าแล้วคาลิน่าก็เดินจากมาแบบไม่สนอะไร แต่ก่อนที่จะได้เดินพ้นไปนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น
“คุณแม่ขา! คาลิน่าไม่ยอมไปทำน้ำส้มมาให้ฉันค่ะ”
...อีกแล้วสินะ ยัยพี่สาวตัวดี...
“คาลิน่า มานี่สิ!”
“คะ? แม่”
“ทำไมเธอไม่ไปทำน้ำส้มให้พี่เขา”
“ก็ฉันยังตากผ้าไม่เสร็จ”
“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ ไปทำน้ำส้มมาให้พี่เขาซะ”
“อะไรๆก็ไม่ดี แม่เห็นฉันเป็นลูกบ้างมั้ย”
“ก็เพราะเธอเป็นลูกฉัน ฉันเป็นเจ้าของชีวิตเธอ ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้”
“ถ้าแม่คิดแบบนั้น เราก็ตัดแม่ตัดลูกกันไปเลยดีมั้ย”
“ไม่ได้หรอก ฉันไม่ยอมให้เธอไปไหนทั้งนั้นน่ะ คาลิน่า”
“แม่คิดจะทำร้ายฉันไปถึงไหน”
“ก็เธอมันเป็นตัวกาลกิณี ตั้งแต่เธอเกิดมา พ่อก็ล้มป่วย ธุรกิจก็สั่นคลอน ตอนนี้ก็เหลือแค่บ้านนี่แล้วล่ะ”
“แล้วมันเกี่ยวกับฉันตรงไหน”
“เพราะว่าเธอเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวนี้ตกต่ำลงไง” ยูเรเซีย(ยูริซิส)ผู้เป็นแม่ว่า “ฉันยอมเลี้ยงเธอมาจนอายุสิบห้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“มะ...แม่กล้าพูดอย่างนี้กับฉันงั้นหรอ”
“ใช่...ฉันจะพูดอย่างนี้ เธอจะทำไม”
“ก็ได้! ถ้าแม่ไม่เห็นฉันเป็นลูกล่ะก็...ฉันไปก็ได้ ไม่อยากเลี้ยงนักฉันก็จะไม่อยู่ให้แม่เลี้ยงแล้ว”
ว่าจบ ผู้เป็นลูกก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เธอตรงไปที่ห้องพัก ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง ข้าวของสำคัญพร้อมเงินจำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบเสื้อโค้ทตัวโปรดสวมทับ แล้วเดินลากกระเป๋าปึงๆออกจากบ้าน พร้อมกับพูดประโยคสั่งลา
“ถ้ามันทำให้แม่ลำบากนักล่ะก็...ฉันก็จะไม่กลับมาให้แม่เห็นหน้าอีก...ยังไงก็ขอบคุณนะ ที่เลี้ยงฉันมาตลอดน่ะ”
พูดจบ...เธอก็เดินจากบ้านหลังนั้นไป
“ไปซะได้ก็ดี”
...เป็นคำกล่าวทั้งท้ายของผู้เป็นแม่...
หนึ่งปีต่อมา
คาลิน่าย้ายจากบ้านเกิดที่คาโนวาล มาอยู่ที่เวนอล เพียงเพราะแค่อยากหนีไปให้ไกลจากผู้เป็นแม่และพี่สาว แน่นอน เธอไม่คิดที่จะกลับไปที่นั่นอีกหรอก
ที่เวนอลนั้น เธอได้พบกับชายผู้หนึ่ง ทั้งคู่ได้คบหาดูใจกันอยู่สักพัก และตัดสินใจแต่งงานกัน คาลิน่าได้ให้กำเนิดลูกสาวสองคน นามว่าการ์เซียร่ากับซีบิล่า ทั้งสี่คนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในครอบครัวเล็กๆนั้น
เวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน ผู้เป็นสามีก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย เป็นผลให้ความแข็งแรงในครอบครัวเริ่มสั่นคลอน ทำให้ผู้เป็นภรรยาต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว หาเลี้ยงลูกสาวสองคนและตัวเองแทน
สถานการณ์นี้เป็นไปอยู่อีกสักพัก เธอก็ได้รู้จักกับเศรษฐีผู้หนึ่งในงานเลี้ยงอาหารค่ำของเพื่อนบ้าน ทั้งคู่ได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ คาลิน่าได้รู้ว่าภรรยาของเขาเพิ่งเสียไป เหลือเพียงลูกชายและลูกสาวสองคนอยู่ด้วย
ทังคู่สนิทกันมากขึ้น และไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และในที่สุด เขาขอเธอแต่งงาน แม้ว่าเธอจะมีลูกแล้วก็ตาม ชีวิตคู่ของทั้งสองเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับลูกชายของเศรษฐีสักเท่าไหร่ ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะไม่ค่อยยินดีที่เธอจะมาเป็นแม่คนใหม่ของเขา แม้ผู้เป็นน้องสาวจะให้ความเคารพกับเธอบ้างก็เถอะ
แต่ต่อจากนั้นไม่นาน จู่ๆเศรษฐีก็เสียชีวิตตามภรรยาคนแรกของตัวเองไป ทิ้งลูกสองคนให้อยู่กับคาลิน่า เธอรู้สึกขุ่นข้องในใจเป็นอย่างมาก
...ทำไมต้องเพิ่มภาระให้กันด้วยก็ไม่รู้...
เมื่อเธอคิดแบบนั้น เธอจึงคิดด้วยว่า ตอนนี้เธอเป็นผู้ปกครองบ้านหลังนี้ เธอมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ ดังนั้นเธอจึงเริ่มจากจัดการลูกที่เศรษฐีทิ้งไว้ให้ โดยการเริ่มใช้งานพวกเขาทีจะนิด และสุดท้ายก็ให้พวกเขาไปเป็นคนรับใช้
ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้ม อารมณ์ที่เคยสดใส แปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง รอยยิ้มที่เคยมีหายไป ใบหน้านิ่งสงบ จากแสงตะวันที่ส่องสว่าง ถูกเมฆหมอกบดบังจนมิด
ชีวิตที่เต็มไปด้วยเงินทอง ความสุขสบาย มันได้ได้ทำให้มีความสุขขึ้นมาเลย เมื่ออดีตที่เลวร้ายยังตามหลอกลอนอยู่ในห้วงความทรงจำ ความผิดมากมายที่กระทำไปก็อยากจะสารภาพ แต่ด้วยความที่กลัวความผิดและทระนงในศักดิ์ศรี จึงได้แต่ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ต่อไป
...จนกระทั่ง...
‘นี่เธอ! จะเถียงฉันมากไปแล้วนะ’
‘มันไม่มากไปหรอก ถ้าเทียบกับความเลวร้ายที่คุณมอบให้ผม’
...ใช่...มันคือความเลวร้าย...
...ก็แค่อยากจะให้เธอได้ลิ้มรสชาติของความเลวร้ายนั้นบ้างมันจะเป็นไร...
แน่นอน เธอรู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นความผิด แต่ก็อดที่จะทำไม่ได้ แค่น้อยใจเศรษฐีที่ขอเธอแต่งงานแท้ๆ แต่ไม่เอาใจใส่เธอบ้าง อยากจะคุยกันให้มันรู้เรื่องซะ แต่คนที่ตายไปแล้วก็ไม่มีวันฟื้นคืนมาอยู่ดี ได้แต่เก็บงำความรู้สึกนั้นไว้เพียงผู้เดียว
...จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน...
...อยากหลุดพ้น...
เธอตัดสินใจที่จะบอกกับตัวเองว่า มันยังไม่ถึงเวลานั้น เวลาที่จะให้อภัย เวลาที่จะสารภาพผิด เวลาที่ความอบอุ่นจะย้อนกลับคืนมา
...และจะเก็บความทรงจำนั้นไว้ในส่วนลึกของหัวใจชั่วนิรันดร์...
วันต่อมา
ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า แสงแดดอ่อนๆสาดทอลงบนผืนดิน พืชพรรณนานาในสวนไหวตัวเบาๆรับกับสายลมยามเช้า หมอกอ่อนๆโรยตัวลงช้าๆ เช้าวันใหม่มาถึงแล้ว
แต่ละคนในครอบครัวเริ่มทำกิจวัตรประจำวัน และจิบชาร้อนๆระหว่างรออาหารเช้า เรื่องที่ผ่านมาดูเหมือนจะเป็นเพียงความฝัน เป็นเพียงฝันร้ายชั่วขณะเท่านั้น
เหมือนฟ้าหลังฝนที่เป็นแสงสว่างหลังจากผ่านความมืดมิดมา คืนรอยยิ้มแก่ทุกคน สร้างความสุขเล็กๆให้เกิดขึ้น
...แม้จะเป็นเพียงความสุขชั่วขณะ ฉันก็ยอม...
********************************
ง่ะ...ในที่สุดอีกบทก็ผ่านพ้นไป
รู้สึกมันดราม่าเล็กๆพิกล
ช่างมันเถอะ...ยังไงก็ขอบคุณที่ทุกที่เข้ามาอ่านละกันนะคะ
ความคิดเห็น