ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 sekai 100% (complete)
ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ได้เกิดสงครามระหว่างเทพเจ้าและปิศาจซึ่งมีเหตุผลมาจากความขัดแย้งในการปกครองมนุษย์ มหาสงครามครั้งนี้ได้ใช้พื้นที่บนโลกมนุษย์เป็นสนามรบ ใช้เวลาทำสงครามยาวนานกว่า 100 ปี ผลของการกระทำก็คือ... สูญเปล่า
ทั้งฝ่ายเทพเจ้าและปีศาจเองก็สูญเสียกำลังพลไปมากมายเกินกว่าจะทำใจได้ หัวหน้าของทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาสงบศึกชั่วคราวซึ่งเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี... ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ว่าสงครามไม่เคยสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาเลย มีเพียงความโศกเศร้าและสูญเสียแม้แต่มนุษย์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเองก็ยังเสียหายไปมากมายด้วย
และแล้วมนุษย์ก็ถูกยุยงจากเหล่าปิศาจให้เคียดแค้นต่อเทพเจ้าและหันมาทำสัญญากับปิศาจเพื่อเพิ่มอำนาจของตนเอง จนในที่สุดเหล่าปิศาจก็มีทั้งพลังและอำนาจมากกว่าเทพเจ้าไปในที่สุด แต่ด้วยสนธิสัญญาสงบศึกที่ผู้นำของเหล่าเทพเจ้าและปิศาจรุ่นแรกได้ตกลงกันไว้ทำให้ไม่สามารถโจมตีกันได้
เมื่อเวลาผ่านไป มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะเป็นอิสระจากปิศาจจึงเริ่มทำสัญญากับเทพเจ้าเพื่อที่จะสามารถใช้พลังศักสิทธ์ต่อกรกับเหล่าปิศาจที่ข่มเหงมนุษย์อย่างโหดเหี้ยม ทั้งเผาทำลาย เข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์มากมายจนน่าเอือมระอา
แน่นอนว่าทางเหล่าปิศาจเองก็ต้องรู้สึกตัวกับการต่อต้านของมวลมนุษย์ จึงได้มีการเตรียมกองทัพปิศาจมาประจำการที่เมืองต่าง ๆ บนโลก ซึ่งเป็นเหตุให้การต่อต้านทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
" ราเฟียส! ตื่นนอนแล้วไปฝึกได้แล้วลูก "
เสียงของหญิงสาวอายุค่อนข้างมากดังขึ้นมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ข้างบ้านปลุกผมให้ตื่นจากฝัน
" ครับ จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ "
ผมตอบกลับคุณแม่ไปแบบส่ง ๆ เพราะยังไงเสียวันนี้ก็ไม่ได้มีธุระอะไรต้องรีบมากมายนักนี่นา
ชื่อของผมคือ ราเฟียส แอสธาน เป็นอัศวินฝึกหัดของกองทัพเอนไคล์ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกองกำลังต่อต้านปิศาจ อันที่จริงทางฝั่งเมืองหลวงเองก็เพิ่งเปลี่ยนราชวงศ์ทำให้กองทัพมีความปั่นป่วนพอสมควร ดังนั้นกองทัพที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานจึงมีจำนวนคนเพียงหยิบมือเท่านั้นเอง หน่วยของผมมีเพียง 4 คนด้วยซ้ำไป
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าที่คุณแม่ทำเอาไว้ให้แล้ว ผมก็รีบจัดแจงเตรียมตัวออกไปฝึกกับพวกเพื่อน ๆ สำหรับรอบเช้าทันที
" ผมไปแล้วนะครับ วันนี้อาจจะกลับช้าสักหน่อยนะ "
ผมรีบตอบกลับไปแบบส่ง ๆ ก่อนที่จะวิ่งออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้แม่มารีที่เคารพรักได้พูดอะไรต่อได้
วันนี้อากาศแจ่มใส เหมาะที่จะเดินเที่ยวภายในตลาดการค้าหรือไม่ก็สวนดอกไม้ที่อยู่ตรงฝั่งทิศตะวันออกของเมืองซึ่งติดกับทะเลสาบ แต่ในวันนี้พวกผมกลับต้องไปซ่อมดาบกันตั้งแต่เช้าตรู่ มันเป็นอะไรที่บ้ามาก ๆ แต่ถึงยังไงผมก็คงไม่ไปขัดคำสั่งของผู้บัญชาการหรอกนะ
" ราเฟียสสสส! กำลังจะไปไหนเหรอ!? "
จู่ ๆ ระหว่างที่ผมกำลังรีบวิ่งตรงไปยังโรงฝึกด้วยความเร็วสูงสุดที่กำลังขาในตอนนี้จะทำได้ก็มีเสียงใส ๆ ตะโกนเรียกผมอย่างกระทันหัน ทำเอาผมเกือบลื่นพื้นหญ้าตรงหน้าล้มลงไปทั้ง ๆ แบบนี้ไปซ่ะเลย
พอหันกลับไปผมก็เจอะเจอกับใบหน้าของหญิงสาวที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ยืนโบกมือด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็นพิเศษ ใบหน้าที่เนียนขาวบวกกับผมยาวสีน้ำเงิน ดวงตาเรียวงามอันดูมีสเน่ห์เพียงได้จ้องมองก็อาจจะหลงชอบไปเลยก็ได้ ผมรีบดึงสติกลับมาแล้วทักทายอย่างสนิทสนม
" สวัสดียามเช้านะ มาเนีย... ทีหลังก่อนเรียกกันดี ๆ ก็ได้นะ ฉันตกใจจนเกือบจะล้มลงไปนอนกับพื้นแล้วเนี่ย "
" อ่าาาา... ขอโทษนะ ถ้าเกิดเรียกเบา ๆ เธอก็คงวิ่งผ่านไปก่อนน่ะสิ "
มาเนียทำท่ายกมือขอโทษเป็นพัลวัน ไม่ว่าจะเป็นท่าทางที่ดูซุ่มซ่ามก็ยังดูน่ารักไปหมด
" ว่าแต่ราเฟียสไม่ได้ลืมนัดที่เราจะไปเดินเล่นกันบ่ายนี้ใช่ไหมเนี่ย? "
เธอพูดด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจ ผมก็เลยพูดตอกหน้ากลับไปเล็กน้อย
" แต่นัดคราวที่แล้ว เธอเป็นคนลืมจนมาช้า 2 ชั่วโมงนี่! "
" อะ เอ่อ... คือว่า... "
ดูเหมือนว่าผมจะพูดแทงใจดำเธอไปเต็ม ๆ เลย ทำเอามาเนียพูอึกอัก ทำตัวเลิ่กลั่กอย่างบอกไม่ถูก จะยังไงก็ดูน่ารักไม่เปลี่ยนอยู่ดีนั่นแหละ
" ช่างเถอะน่า ฉันไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเธออยู่แล้วนี่ "
" อะ อืม... งั้นรีบไปโรงฝึกเถอะ เดี๋ยวหัวหน้าพอลจะดุเอานะ "
หวาาาา!! ลืมไปเลยว่าวันนี้หัวหน้าพอลที่แสนจะโหดและเข้มงวดของพวกเรามาเป็นครูฝึกด้วยตนเอง ถ้าไปสายมีหวังโดนเทศน์ยาวนานจนหูชาแน่นอน
" โอเค! งั้นฉันไปแล้วนะ เดี๋ยวตอนบ่ายจะมารับ "
ผมรีบโบกมือลามาเนียก่อนที่จะวิ่งด้วยความเร็วที่เหนือยิ่งกว่าเมื่อครู่อีก สายลมพุดผ่านใบหน้าจนเกือบจะชาไปทั่ว ใช้เวลาเพียง 15 นาทีผมก็มาหยุดยืนอยู่ภายในโรงฝึกหลักของค่ายทหารแคมเบลล์เสียที
ค่ายทหารแคมเบลล์เป็นค่ายหลักของเมืองซิลเวียซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของฝั่งมหาทวีป ซึ่งฝั่งมหาทวีปได้ทำการจัดตั้งกองกำลังเพื่อใช้ต่อกรกับฝั่งจักวรรดิที่ใช้อำนาจของปิศาจคอยกดขี่ข่มเหงพวกชาวบ้านที่ไร้ทางสู้ ซึ่งมหาทวีปเองก็ถูกจัดตั้งขึ้นจากที่ไม่มีอะไรเลย แต่ด้วยความสามารถของพวกผู้นำและศาสนจักรที่ครอบครองพลังแห่งการฟื้นฟูทำให้มหาทวีปได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มมีพันธมิตรมากมายอย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วยซ้ำ
ในช่วงที่ผมยังไร้เดียงสาอยู่ ผมเคยคิดว่าการก่อตั้งของมหาทวีปเป็นอะไรที่มันไร้สาระมากๆ เลยล่ะ แต่พอได้รู้ถึงการกระทำอันแสนโหดร้ายเกินกว่าที่มนุษย์ปกติจะทำได้ของพวกจักรวรรดิแล้วมันทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไปในทันที
" เฮ้ย!!! มัวยืนเหม่ออะไรอยู่น่ะ!? ราเฟียส! "
" หวาาาา... "
ผมอุทานขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาก ๆ ขนาดที่ทำให้ผมสั่นไหวไปทั้งตัว เสียงที่ดัง หนักแน่นและเฉียบขาดแบบนี้ ในโลกใบนี้ผมรู้จักเพียงคนเดียวแหละ
" มาแล้วคร้าบ... จะเรียกกันก็เรียกเบา ๆ หน่อยสิครับ หัวหน้าพอล "
หัวหน้าพอล ผู้มีใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกดดัน ร่างกายแสนกำยำที่สวมชุดเกราะหนักแบบไนท์ แถมยังสะพายโล่กับดาบสองมือที่น่าจะหนักเอาเรื่องเอาไว้ด้านหลังอีก
" อย่าพูดมาก! นายมาสายตั้ง 20 นาที! ฉันไม่ย้ายนายออกไปอยู่หน่อยลาดตระเวนก็ดีแค่ไหนแล้ว! หา!? "
" คร้าบ... เอาเป็นว่าคราวหน้าจะรีบมาให้เร็วกว่านี้ก็แล้วกันนะครับ "
ผมตอบด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมากจนทำให้หัวหน้าพอลทำหน้าตาโกรธจัดเหมือนจะฆ่ากันยังไงก็ไม่รู้
" เออ!! รู้แล้วก็รีบไปฝึกกับพวกเพื่อน ๆ ของเธอด้านในเลยไป "
หัวหน้าสุดโหดออกคำสั่งเสียดังลั่น ผมเลยได้แค่พยักหน้าตอบรับแล้วรีบไปเปลี่ยนเป็นชุดฝึกเพื่อจะเข้าไปลองฝีมือดาบกับเพื่อน ๆ ในหน่วย ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่เก่งเรื่องการใช้ดาบ แต่ถ้าเรื่องเทคนิคในการต่อสู้ผมชนะแบบขาดลอยเลยเชียวล่ะ
" อ้าว!? ในที่สุดพ่อคนชอบมาสายก็มาถึงเสียทีนะ "
" ฉันไม่ได้มาสายขนาดนั้นเสียหน่อย อย่ามาตั้งฉายาให้เองดื้อ ๆ แบบนี้สิ "
เหล่าเพื่อน ๆ ที่แสนจะสนิทกันเริ่มเข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเองสุด ๆ จนมาถึงเธอคนนี้
" สะ สวัสดีจ๊ะ... ราเฟียส "
" อรุญสวัสดิ์นะ วันนี้เธอมาก่อนผมอีกแล้วเหรอเนี่ย? พิน่า "
ผมหันไปทักทายเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวภายในหน่วยนี้ ใบหน้าที่กำลังเข้าที่เข้าทางกับผมสั้น ๆ สีแดง ดวงตาใส ๆ ที่ดูสง่าและกิริยาท่าทางที่ดูเกรงขามทำให้ผมนับถือเธอ แถมฝีมือในการใช้ดาบของเธอก็ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ
ชื่อของเธอคือ มาเรีย เอียฮาร์ท เป็นลูกสาวคนโตของนายพลมาแชลซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกองทัพหลวงที่ 1 ซึ่งถือเป็นกำลังรบหลักของมหาทวีป ถ้าให้พูดตามตรงจุดมุ่งหมายของผมคือการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกองทัพหลวงนั่นเอง
" วะ ว่าแต่วันนี้จะฝึกดาบกับใครล่ะ... วันนี้เราต้องฝึกดาบตรงมือเดียวกันนะ "
มาเรียถามผมด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ กับท่าทางที่ดูไม่เป็นตัวของตัวเองแปลก ๆ
" นั่นสินะ... "
ผมจ้องมองมาเรียพลางคิดอะไรไปเรื่อยจนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะหันกลับไปพูดกับเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
" งั้นวันนี้ฉันขอฝึกกับเธอก็แล้วกันนะ เธอจะว่าอะไรไหมล่ะ? "
" หาาาาาาาาาา!!?? "
จู่ ๆ เธอก็อุทานออกมาแล้วก็หน้าแดงก่ำอย่างผิดปกติ ผมเลยรีบเดินเข้าไปดูหน้าเธอใกล้ ๆ เพื่อดูว่าเธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า แต่นั่นกลับทำให้เธอหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมก่อนที่จะทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ผมเลยต้องรีบคว้าเธอมาประคองเอาไว้
" อะ เฮ้! เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย!? "
" ฉะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก... ขะ ขอนั่งพักสักครู่ก็แล้วกัน "
ผมพยักหน้าตอบรับแล้วพาเธอไปนั่งใต้ต้นไม้ที่อยู่ตรงมุมของลานฝึกกลางแจ้ง ก่อนที่จะนั่งลงข้าง ๆ อย่างสบายอารมณ์
ความเงียบสงบเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบด้วยลมเย็น ๆ ของหน้าหนาวซึ่งกำลังจมาภายในอีกไม่กี่วันเท่านั้น มาเรียที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กันก็พูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบเหงาลง
" ว่าแต่ว่า... ราเฟียสจะเข้ากองทัพหลวงงั้นเหรอ? "
น่าแปลกที่จู่ ๆ มาเรียก็เข้ามาถามผมด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเรื่องที่ผมต้องการจะเข้ากองทัพหลวงนั้นเป็นเรื่องที่เป็นหัวข้อสนทนาของคนในหมู่บ้านของผมอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าทำไมเธอถึงเข้ามาถามผมด้วยตนเอง
" ก็นะ... มันเป็นความตั้งใจของฉันแล้วก็คุณพ่อด้วยนะ ยังไงเสียฉันก็จะไม่เลิกลาแน่ ๆ เชื่อใจฉันได้เลยน่า "
ผมตอบออกไปตามตรงแบบไม่ต้องไปคิดอะไรมาก คุณพ่อของผม... ยูธาร์ แอสธาน เป็นหนึ่งในหัวหน้ากองของกองทัพหลวงที่ 1 ซึ่งพ่อของมาเรียเป็นผู้บัญชาการ เป็นที่แน่นอนกันอยู่แล้วว่าพ่อปราถนาให้ผมเข้าไปร่วมกับกองทัพด้วย ภายในใจของผมก็อยากจะเข้าไปอยู่ในกองทัพอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีอาเรียกับพวกเพื่อน ๆ ด้วย
ระหว่างที่พวกเรากำลังคุยกันอย่างสงบ จู่ ๆ มาเรียก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยเสียงเบา ๆ
" นี่ ราเฟียส... นายคิดกับฉันยังไงเหรอ? "
" หือ? ก็เป็น... เพื่อนคนสำคัญของฉันล่ะมั้งนะ ว่าแต่ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ? "
" ก็... แบบว่า... จะว่ายังไงดีล่ะ เอ่อ... "
เธอชะงักไปเล็กน้อย ผมเองก็ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ อย่างไร้ความหมาย พยายามจะเอื้อมมือไปจับมือของเธอเพื่อให้เธอคลายออกจากอาการเกร็ง แต่ก็ต้องชะงักมือกลับมากำไว้อย่างหลวม ๆ
...ไม่ควรจะทำแบบนั้น
ภายในใจของผมคิดแบบนั้น แต่ว่ามาเรียก็ทำลายความคิดฟุ้งซ่านของผมไป
" ฉะ ฉันคิดว่า... ฉันชอบนาย... ชอบนายมาตั้งนานแล้วด้วย! "
" หาาาาา!!?? "
ผมอุทานออกมาเสียงได้เสียจนคิดว่าคนข้างนอกหรือพวกเพื่อน ๆ ที่ยังฝึกกันอยู่คงได้ยินกันเลยล่ะ
ในระหว่างที่ผมกำลังอึ้ง ๆ กับคำสารภาพที่ไม่คาดคิดจากเพื่อนสาวคนสำคัญที่สุด ก็มีเสียงดังมาก ๆ ขึ้นมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่ไม่เคยเจอมาก่อน
...ไม่สิ ฉันเคยเจอมาแล้ว
จู่ ๆ ในหัวก็มีเสียงแวบเข้ามาก่อนที่หัวใจจะเต้นรุนแรงมากขึ้นทวีคูณ ร่างกายที่มีอาการด้านชาจนถึงเมื่อครู่ก็กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง สายตามองไปมาซ้ายขวา สติถูกกระตุ้นให้ถึงจุดสูงสุด จากนั้นสัญชาตญาณก็บอกให้ผมก้มลงฟังเสียงที่สะท้อนจากออกมาจากพื้น
เสียงที่สะท้อนออกมานั้นเป็นเสียงฝีเท้าจำนวนมาก เสียงเกราะกระทบกัน และเสียงโลหะต่างชนิดกันของดาบต่างชนิดกำลังกระทบกันอย่างดุเดือด
" เฮ้! พวกเธอมัวยืนทำอะไรกันอยู่! พวกเราต้องไปทำหน้าที่แล้ว "
หัวหน้าพอลวิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่นแบบถึงขีดสุด ผมถามกลับไปด้วยเสียงหนักแน่น
" มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ! ทำไมผมถึงได้ยินเสียงของโลหะกระทบกันเยอะแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! บอกมาเดี๋ยวนี้นะครับ!! "
พอถูกตอกหน้ากลับไป หัวหน้าพอลก็เดินมาหยุดตรงหน้าของผม มองไปมาทั่วตัวของผมก่อนที่จะพูดต่อ
" เธอได้ยินอย่างงั้นหรือ? "
" ใช่ครับ... "
" งั้นก็ดีแล้ว นายจะต้องพาพวกนี้หนีไปพร้อมกับขบวนของชาวบ้านที่เตรียมอพยพกันที่ฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน ตอนนี้ทุกคนกำลังต่อสู้เพื่อถ่วงเวลากันอยู่ "
ทุกคนกำลังอพยพกันอยู่งั้นเหรอ งั้นแสดงว่าพวกมาเนียกับคุณแม่ก็ปลอดภัยแล้วสินะ ผมเป็นห่วงแค่นี้นั้นแหละ
" แต่ว่า ดูจากกำลังพลที่ประจำการอยู่ไม่น่าจะสู้ไหวหรอกครับ ให้ผมไปสู้ด้วยเถอะ!! "
" ไม่ได้!! พวกเธอยังอ่อนด้อยประสบการณ์ ถึงออกไปสู้ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกน่า "
" ฮึ่ม!!! "
ผมอุทานเสียงดังและทุบเสาหินที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างรุนแรง ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าทุกคนกำลังจ้องมองผมด้วยสีหน้ากังวล
" เอาเป็นว่าผมเข้าใจแล้ว... งั้นพวกเราก็ไปสมทบกับกลุ่มอพยพและรีบออกไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด "
หัวหน้าของผมพยักหน้าให้ก่อนจะวิ่งออกไปอีกครั้ง ตอนนี้ท้องฟ้าทางฝั่งตะวันตกกำลังกลายเป็นสีแดง มีเมฆสีดำครึ้มลอยมาในทางเดียวกัน คาดว่าอีกไม่นานคงจะมีฝนตกหนัก เป็นแบบนี้คงไม่รีบเห็นทีว่าจะไม่ได้
" พวกเราเองก็รีบไปกันเถอะ อีกไม่นาฝนคงจะตก ถ้าฝนตกแล้วพวกเราก็จะเดินทางได้ลำบากมากขึ้นนะ "
" ตะ แต่ว่า... "
" เชื่อฉันเถอะน่า! ยังไงพวกหัวหน้าพอลก็ต้องรอด ตอนนี้พวกเราจะต้องพยายามหนีรอดออกไปจากที่นี่ แล้วเดี๋ยวพวกหัวหน้าก็มาสมทบกับพวกเราเองนั่นแหละ ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกนะ "
มาเรียทำหน้าเลิ่กลั่กไปมาแล้วก็มีน้ำตาซึมออกมาจากดวงตานั่นด้วย ผมเลยเอามือทั้งสองปาดน้ำตาของเธอก่อนจะเอื้อมไปจับบ่าเบา ๆ ทำให้เธอยิ้มขึ้นเล็กน้อย
" อืม... งั้นเรารีบไปกันเถอะ "
หลังจากพวกเราวิ่งออกมารวมกับพวกชาวบ้าน ผมพยายามมองหาคุณแม่กับมาเนียที่น่าจะมากันก่อน แต่ยิ่งหาก็ยิ่งไม่เจอ ผมเลยรีบวิ่งไปถามลุงเยพาเซอร์ที่เป็นช่างตีดาบซึ่งอาศัยอยู่ตรงข้ามกับบ้านของผมในทันที
" ลุงเยพาเซอร์ครับ ลุงเห็นคุณแม่ของผมกับเมเนียบ้างไหมครับ!? "
" เอ๋!? ลุงไม่เห็นนะ พวกเธอไม่ได้มาด้วยกันงั้นหรือ? "
ทันใดนั้น ร่างกายของผมก็เย็นวาบไปทั่ว แขนขาสั่นเทาจนไม่อาจต้านทานได้ ก่อนที่ความคิดอันไม่ควรจะคิดออกมาก็ผุดขึ้นมาในหัว
" แย่แล้ววววว!!! "
ก่อนที่ผมจะถีบพื้นอย่างแรงเพื่อเป็นแรงส่งในการวิ่งก็มีมือเรียวเล็กเข้ามาจับบ่าของผมเอาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อย
" คิดจะไปไหนน่ะ? ตอนนี้หน้าที่พวกเราคือช่วยคุ้มกันพวกชาวบ้านนะ ราเฟียส "
มาเรียเข้ามาพูดเกลี่ยกล่อมผมอย่างเข้มแข็ง แต่ถึงยังไงผมก็เป็นห่วงสองคนนั้นอยู่ดี
" อย่ามาห้ามผเลย มาเรีย! ตอนนี้มาเนียอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย แล้วก็ยังคุณแม่อีก... ยังไงก็ช่วยหลีกทางออกไปให้หน่อยเถอะนะ "
" ตะ แต่ว่า... มันอันตรายนะ... "
" ก็บอกให้หลีกไปยังไงเล่า!! "
ผมตะคอกใส่มาเรียที่กำลังห้ามผมจนแข็งทื่อไปทันที แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาที่จะไม่ขอโทษอะไรกันตอนนี้ ผมต้องรีบออกไปตามหาพวกนั้น
ระยะทางจากจุดรวมพลกับบ้านของผมและมาเนียนั้นห่างกันไม่ไกลนัก ถ้าวิ่งไปวิ่งกลับก็คงจะทันอยู่ ผมไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจเสียงที่ดังตามหลังมาแต่อย่างใด
" ไปอยู่ที่ไหนกันนะ... ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ "
ผมบ่นพึมพำพร้อมหายใจอย่างถี่ ๆ มองไปมาระหว่างสองข้างทางที่ไร้วี่แววผู้คน แม้แต่แถบบ้านคนก็ยังไม่มีแม้แต่เด็กสักคนเดียว ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าพวกเธอจะปลอดภัยกัน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กลับคิดไปถึงเหตุการณ์ที่น่ากลัว
วิ่งผ่านบ้านไปหลายหลัง แต่ละหลังไม่มีวี่แววผู้คนแล้ว แต่พอมองตรงไปด้านหน้าบริเวณบ้านของผมกับมาเนียก็เห็นเปลวเพลิงร้อนระอุที่พวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งทำให้ร่างกายของผมแทบจะแข็งทื่ออยูแบบนั้น
มันต้อง...ไม่ใช่แบบนี้!!!
" คุณแม่ครับ!! มาเนีย!! อยู่ที่ไหนกันนะ ทั้งสองคน!! "
ตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งพลางแวกว่ายเข้าไปในกองเพลิงที่ยังคงไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่ยิ่งเวลาผ่านไปก็มีแต่จะถูกกองไฟโหมกระหน่ำใส่อย่างไม่ปราณีแบบนี้เรื่อย
ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาแต่คุ้นเคยดังออกมาจากซากบ้านที่ยังคงถูกไฟไหม้ไปเกินกว่าครึ่งแล้ว
" ระ ราเฟียส? นั่นลูกใช่ไหม... "
" แม่!? คุณแม่งั้นเหรอครับ? คุณแม่อยู่ด้านในเหรอครับ? "
ผมร้องถามกลับเข้าไปยังที่ซึ่งน่าจะเป็นต้นเสียง
" ราเฟียส รีบหนีไปเถอะนะ... อีกไม่นานกองทัพของจักรวรรดิก็คงจะฝ่าพวกพ้องของเราที่อยู่หน้าประตูเมืองแล้ว พวกเราคงจะไม่รอดแล้วล่ะนะ "
" มาเนียก็อยู่ในนั้นสินะ ยังไงผมก็จะต้องช่วยแม่กับมาเนียให้ได้ครับ ช่วยรออีกสักเดี๋ยว... "
" อย่าเข้ามานะ!!! "
จู่ ๆ เสียงสดใสของมาเนียก็ดังขึ้นมาจนผมผงะถอยหลังไปหลายก้าว
" ยะ อย่าพูดแบบนั้นสิ ยังไงฉันก็ต้อง... "
" อย่าเลย ฉันของร้องเถอะนะราเฟียส... ถ้าเธอเข้ามาช่วยพวกเราก็คงจะหนีไปไม่รอดแน่ ๆ แต่ถ้าเธอหนีไปคนเดียวก็คงจะหนีพ้นได้อยู่ "
ระหว่างที่มาเนียกำลังพูดอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงกระทบของโลหะจำนวนมากในระยะไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ฟังแล้วคงจะเป็นพวกกองทัพของจักรวรรดิเพราะเสียงโลหะมันแตกต่างจากที่พวกเราใช้กันอย่างสิ้นเชิง
" ตะ แต่ว่า... "
" ขอร้องล่ะนะ... ขอแค่เธอรอดไปได้ ฉันกับคุณแม่ของเธอก็ดีใจแล้วล่ะ "
ผมกัดฟันแน่น กำมือเกร็ง ๆ อย่างสุดแรง พยายามที่จะระงับความคิดชั่ววูบที่จะดูถูกความไร้พลังของตัวเองแบบนี้ ก่อนที่จะเงยหน้ามาพูดกับทั้งสองคนด้วยเสียงสะอื้น โดยที่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาสีดำขลับที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยความรู้สึกที่แท้จริงได้ หรือแท้จริงแล้วผมนั่นเองที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ด้วยซ้ำ
" งั้นก็... ฉันจะรีบหนี... ตามที่เธอบอกก็แล้วกัน... "
พูดได้แค่นั้นผมก็รีบหันหลังกลับก่อนที่จะออกวิ่งไปโดยที่ได้ฟังเสียงสุดท้ายของมาเนีย
" ขอบคุณมากนะ... "
แล้วบ้านที่ผมได้อยู่อาศัยมานานหลายปีก็ถล่มลงมาอย่างไร้ความปราณี ผมไม่คิดจะหันไปดูเลยสักนิด กลัวว่าความทรงจำมันจะทำร้ายจิตใจของผมไปมากกว่านี้ แค่นี้ผมก็แทบไม่อาจทนไหวได้แล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นคำขอร้องของคนที่ผมให้ความสำคัญที่สุด แต่ว่าผมก็ได้หันหลังให้พวกเธอ ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรได้เลยแม้แต่น้อย ความผิดนั่นถึงจะไม่มีใครพูดมันก็คงจะทิ่มแทงจิตใจของผมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนั่นแหละ... ผมคิดแบบนั้น
ตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก... ความจริงมันก็แบบนี้แหละ
ผมส่ายหัวไปมาเพื่อขจัดความคิดที่ไร้สาระไปเสีย ตอนนี้ต้องพยายามมีชีวิตรอดกลับไปกับทุกคนที่ยังคงเหลือรอดอยู่ เพื่อที่จะไม่ให้การเสียสละของพวกผู้คนที่เราทิ้งไว้ด้านหลังสูญเปล่าไปหมด ได้แต่ทำแบบนั้น ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากนี้ไม่ได้
ทันใดนั้น...
" อั่ก!!! "
จู่ ๆ ก็เกิดแรงกระแทกพวยพุ่งออกมาจากบริเวณที่พวกชาวบ้านที่เหลือกำลังจะอพยบกันอย่างรุนแรงจนไม่อาจคิดว่าเป็นลมพายุได้อีก
" เกิดอะไรขึ้นอีก... ฮึ่ม!! "
" ราเฟียส!! "
เสียงนี่มัน เสียงของมาเรียนี่นา
" มาเรีย! เกิดอะไรขึ้นน่ะ!? "
ผมตะโกนถามไปอย่างสุดเสียงแต่ก็แหบพร่าไปพอสมควร เสียงที่ถูกส่งออกไปเลยเบาเอามาก ๆ จนไม่น่าเชื่อ แต่หลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้ยินเสียงกลับมาพร้อมร่างของมาเรียที่วิ่งมาอย่างสะบักสะบอม มีแต่รอยแผลเต็มไปหมด
" พวกเรา... ถูกลอบโจมตี... ตอนนี้พวกกินน์กำลังถ่วงเวลาไว้ให้... พวกเรากำลังรอนายอยู่นะ รีบกลับมาด้วยกันเถอะ!! "
มาเรียพูดอย่างรีบร้อนแล้วก็ทรุดลงตรงหน้าของผม ผมเลยพยุงร่างของเธอก่อนที่จะอุ้มเธอด้วยแขนทั้งสองข้างซึ่งไม่ได้มีเรี่ยวแรงอะไรนัก ก่อนที่จะพูดอย่างห้าวหาญ
" งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ! ถ้าเป็นพวกเราล่ะก็ ไม่ว่าศตรูหน้าไหนก็สู้ไหวน่า "
" อื้อ! "
เธอพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าเห็นด้วย ผมพยักหน้ากลับไปพร้อมยิ้มแหย่ ๆ ใจจริงผมเองก็ไม่มีแม้กระทั่งกำลังใจแล้วด้วยซ้ำ สภาพแบบนี้จะไปต่อสู้อะไรได้บ้าง
วิ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ขาคู่นี้จะวิ่งไปได้ ไม่มีข้อแม้ด้านกำลังกาย ในตอนนี้เลือดถูกสูบฉีดอย่างรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่นานนักพวกเราก็มาถึงจุดรวมพลอย่างเร็วไว แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่สิ่งที่อธิบายออกมาได้เป็นคำพูดแบบภาษามนุษย์ออกมาจากปากของผมได้อีกแล้ว
" กรี๊ดดดดดดดดดด!!! "
มาเรียที่อยู่ในอ้อมแขนของผมกรีดร้องออกมาก่อนจะดิ้นหลุดลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น ส่วนตัวผมเองก็ตัวแข็งทื่อจนไม่สามารถขยับแขนขาได้ เหงื่อไหลลงมาอาบไปทั่วทั้งตัว หัวใจที่สูบฉีดเลือดอยู่อย่างรุนแรงจนกระทั่งเมื่อสักครู่นี้ก็เต้นแผ่วเบาลงไปในทันที เข่าก็อ่อนจนทรุดลงไปกับพื้นแบบไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว
ภาพที่พวกเราเห็น... มันก็นรกบนดินนี่เอง
ร่างของมนุษย์ที่ถูกขย้ำจนเละเทะไม่เป็นท่ากองกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นหญ้า ส่วนใหญ่ก็ตายไปแล้วทั้งนั้นแหละ พวกคนที่ยังหายใจอยู่ก็คิดว่าคงจะรอดได้อีกไม่นานนักหรอกนะ ด้านบนของซากศพมีสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นแกะ ร่างกายกำยำมีกล้ามเนื้อที่เป็นมัด ๆ ถือขวานรูปแบบแบทเทิ่ลแอ็กซ์ด้วยแขนสองข้างที่ทรงพลัง ดูแล้วก็รู้ตัวทันทีว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสู้ไดด้วยกำลังของตัวเอง
" ...โอ้พระเยซูแห่งนาซาแรธที่ต้องตรึงบนไม้กางเขน โปรดช่วยปกป้องลูกให้พ้นจากความชั่วร้าย การผจญล่อลวงของเหล่าปิศาจด้วยเถิด... "
เสียงแหบพร่าต่อย ๆ เล็ดลอดออกมาจากปากอันซีดเผือดของมาเรียที่กำลังนั่งสวดภาวนาขอพรจากพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง ผมเองก็ไม่ได้ต่างอะไรมากมายจากเธอเลย
พอสติกลับมาผมก็รีบตะโกนบอกมาเรียให้หนีไปโดยเร็ว
" ทำอะไรอยู่! รีบวิ่งหนีไปเร็วสิ!! "
มาเรียไม่ได้ขยับตัวไปไหน ยังได้แต่นั่งตัวสั่นโดยที่ทำอะไรไม่ได้ จะว่าไปผมเองก็ขยับตัวไม่ได้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะถูกแรงกดดันจากเจ้าปิศาจนั่นควบคุมเอาจนได้
" โฮกกกกกกก!!! "
เจ้าปิศาจแกะขยับตัวยืดสูงขึ้นมาแล้วคำรามออกมาเสียงดังลั่นจนอากาศสั่นไหว
ทันทีทันใด ร่างกายแสนกำยำก็กระโดดด้วยกำลังขาที่น่าทึ่งจนขึ้นไปสูงถึง 3 เมตรเลยทีเดียว มันลงมากระแทกพื้นจนสายลมโดยรอบเข้ามาปะทะหน้าจนชาชิน ถ้าเป็นปกติผมคงจะวิ่งหนีไปพร้อมกับมาเรียไม่ก็สู้ตายอยู่ตรงนี้ ทว่าร่างกายของผมไม่ยอมฟังคำสั่งใด ๆ จากตัวผมเลยสักนิด
ลองเพ่งมองดี ๆ ในระยะประชิด ที่แขนข้างขวาของปีศาจแกะมีรอยสักสีดำเป็นตัวอักษรแบบง่าย ๆ ว่า H E R C A R I T O R U O S... ' เฮอร์คาลิโทเรียส '
จู่ ๆ สติที่ด้านชาก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้ผมร้องตะโกนออกมาพลางถอยหนีไปหลายก้าว
" เหวออออออ!? "
แต่มันก็เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี เฮอร์คาลิโทเรียสใช้แขนซ้ายที่ไม่ได้ถือแบทเทิ่ลแอ็กซ์จับตัวผมไว้แน่นมากจนขยับออกห่างมาไม่ได้ มันค่อย ๆ ยกแบทเทิ่ลแอ็กซ์ง้างขึ้นเหนือหัว ผมได้แต่หลับตาอย่างอัตโนมัติ
นี่ฉัน... จะต้องมาตายที่นี่... โดยไม่ได้ทำอะไรเลยงั้นรึ...
ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งหนีหรือต่อสู้ ไม่มีอะไรที่ทำได้เลย ขนาดจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับสองคนนั้น ที่ว่าจะรอดออกไปจากที่นี่ก็ยังทำไม่ได้เลยงั้นเหรอเนี่ย
ทันใดนั้น มีแสงสว่างค่อย ๆ เอ่อล้นออกมาจากอกของผมอย่างอ่อนโยน มีความอบอุ่นไหลซึมผ่านออกมา น้ำตาค่อย ๆ เอ่อล้นออกจากดวงตาทั้งสองข้างจนพร่ามัวไปหมด แล้วก็มีเสียงที่ชวนคิดถึงล่องลอยอยู่ภายในหัว
' เธอต้อง... มีชีวิตอยู่ต่อไปนะ '
" อึก ฮึก... "
เสียงสะอื้นที่กลั้นต่อไปไม่อยู่ดังขึ้นมา แสงสว่างอันแสนจะอบอุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพแล้วโผล่ออกมาจากอกของผม
" นะ นี่มัน... ดาบงั้นเหรอ? "
แสงสว่างค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับการปรากฎตัวของอาวุธรูปร่างเป็นดาบตรงที่มีแสงเปร่งประกายออกมาระเรื่อ ผมขยับมือทั้งสองข้างไปจับด้ามจับของดาบแล้วดึงเข้าหาตัวเองเบา ๆ
...อบอุ่นจังเลย
เป็นความอบอุ่นที่แทรกซึมผ่านตัวดาบที่เปล่งประกายอย่างอ่อนโยนอย่างที่สุด ปีศาจแกะที่สัมผัสโดนตัวดาบก็ร้องคำรามก่อนที่จะปล่อยผมลงกับพื้นและถอยกลับไปเล็กน้อย
ผมตั้งท่าถือดาบอย่างมั่นคงก่อนที่จะเล็งเข้าใส่เฮอร์คาลิโทเรียสด้วยกำลังแขนที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดเท่าที่จะใช้ดาบได้
" ต้องรอด... ไปให้ได้เท่านั้น "
เสียงบ่นอุบอิบดังเล็ดลอดออกมาจากปาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
ผมพุ่งตัวเข้าใส่เฮอร์คาลิโทเรียสพร้อมกวัดแกว่งดาบในมือด้วยพลังกายที่ยังคงเหลืออยู่เฮือกสุดท้ายแล้วเท่านั้น
" ย้ากกกกกกกกกก!! "
" ฮูมมมมมมมมมมม!! "
เสียงตะโกนสองเสียงดังขึ้นมาท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมายังพื้นดินที่ชะโลมไปด้วยสายเลือดของพวกพ้องและเพื่อน ๆ ของผม มีคนดูเพียงคนเดียวที่ยังนั่งดูผมอยู่ในที่ซึ่งไม่ได้ห่างไกลนัก ประสาทรับรู้ของผมค่อย ๆ ลอยห่างออกไปอย่างเลื่อนลอยแต่ก็ยังพูดพึมพำอยู่เรื่อย ๆ
" มาเรีย..... "
..:. จบบทที่ 1 sekai .:..
โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม
ทั้งฝ่ายเทพเจ้าและปีศาจเองก็สูญเสียกำลังพลไปมากมายเกินกว่าจะทำใจได้ หัวหน้าของทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาสงบศึกชั่วคราวซึ่งเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี... ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ว่าสงครามไม่เคยสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาเลย มีเพียงความโศกเศร้าและสูญเสียแม้แต่มนุษย์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเองก็ยังเสียหายไปมากมายด้วย
และแล้วมนุษย์ก็ถูกยุยงจากเหล่าปิศาจให้เคียดแค้นต่อเทพเจ้าและหันมาทำสัญญากับปิศาจเพื่อเพิ่มอำนาจของตนเอง จนในที่สุดเหล่าปิศาจก็มีทั้งพลังและอำนาจมากกว่าเทพเจ้าไปในที่สุด แต่ด้วยสนธิสัญญาสงบศึกที่ผู้นำของเหล่าเทพเจ้าและปิศาจรุ่นแรกได้ตกลงกันไว้ทำให้ไม่สามารถโจมตีกันได้
เมื่อเวลาผ่านไป มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะเป็นอิสระจากปิศาจจึงเริ่มทำสัญญากับเทพเจ้าเพื่อที่จะสามารถใช้พลังศักสิทธ์ต่อกรกับเหล่าปิศาจที่ข่มเหงมนุษย์อย่างโหดเหี้ยม ทั้งเผาทำลาย เข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์มากมายจนน่าเอือมระอา
แน่นอนว่าทางเหล่าปิศาจเองก็ต้องรู้สึกตัวกับการต่อต้านของมวลมนุษย์ จึงได้มีการเตรียมกองทัพปิศาจมาประจำการที่เมืองต่าง ๆ บนโลก ซึ่งเป็นเหตุให้การต่อต้านทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
" ราเฟียส! ตื่นนอนแล้วไปฝึกได้แล้วลูก "
เสียงของหญิงสาวอายุค่อนข้างมากดังขึ้นมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ข้างบ้านปลุกผมให้ตื่นจากฝัน
" ครับ จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ "
ผมตอบกลับคุณแม่ไปแบบส่ง ๆ เพราะยังไงเสียวันนี้ก็ไม่ได้มีธุระอะไรต้องรีบมากมายนักนี่นา
ชื่อของผมคือ ราเฟียส แอสธาน เป็นอัศวินฝึกหัดของกองทัพเอนไคล์ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกองกำลังต่อต้านปิศาจ อันที่จริงทางฝั่งเมืองหลวงเองก็เพิ่งเปลี่ยนราชวงศ์ทำให้กองทัพมีความปั่นป่วนพอสมควร ดังนั้นกองทัพที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานจึงมีจำนวนคนเพียงหยิบมือเท่านั้นเอง หน่วยของผมมีเพียง 4 คนด้วยซ้ำไป
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าที่คุณแม่ทำเอาไว้ให้แล้ว ผมก็รีบจัดแจงเตรียมตัวออกไปฝึกกับพวกเพื่อน ๆ สำหรับรอบเช้าทันที
" ผมไปแล้วนะครับ วันนี้อาจจะกลับช้าสักหน่อยนะ "
ผมรีบตอบกลับไปแบบส่ง ๆ ก่อนที่จะวิ่งออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้แม่มารีที่เคารพรักได้พูดอะไรต่อได้
วันนี้อากาศแจ่มใส เหมาะที่จะเดินเที่ยวภายในตลาดการค้าหรือไม่ก็สวนดอกไม้ที่อยู่ตรงฝั่งทิศตะวันออกของเมืองซึ่งติดกับทะเลสาบ แต่ในวันนี้พวกผมกลับต้องไปซ่อมดาบกันตั้งแต่เช้าตรู่ มันเป็นอะไรที่บ้ามาก ๆ แต่ถึงยังไงผมก็คงไม่ไปขัดคำสั่งของผู้บัญชาการหรอกนะ
" ราเฟียสสสส! กำลังจะไปไหนเหรอ!? "
จู่ ๆ ระหว่างที่ผมกำลังรีบวิ่งตรงไปยังโรงฝึกด้วยความเร็วสูงสุดที่กำลังขาในตอนนี้จะทำได้ก็มีเสียงใส ๆ ตะโกนเรียกผมอย่างกระทันหัน ทำเอาผมเกือบลื่นพื้นหญ้าตรงหน้าล้มลงไปทั้ง ๆ แบบนี้ไปซ่ะเลย
พอหันกลับไปผมก็เจอะเจอกับใบหน้าของหญิงสาวที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ยืนโบกมือด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็นพิเศษ ใบหน้าที่เนียนขาวบวกกับผมยาวสีน้ำเงิน ดวงตาเรียวงามอันดูมีสเน่ห์เพียงได้จ้องมองก็อาจจะหลงชอบไปเลยก็ได้ ผมรีบดึงสติกลับมาแล้วทักทายอย่างสนิทสนม
" สวัสดียามเช้านะ มาเนีย... ทีหลังก่อนเรียกกันดี ๆ ก็ได้นะ ฉันตกใจจนเกือบจะล้มลงไปนอนกับพื้นแล้วเนี่ย "
" อ่าาาา... ขอโทษนะ ถ้าเกิดเรียกเบา ๆ เธอก็คงวิ่งผ่านไปก่อนน่ะสิ "
มาเนียทำท่ายกมือขอโทษเป็นพัลวัน ไม่ว่าจะเป็นท่าทางที่ดูซุ่มซ่ามก็ยังดูน่ารักไปหมด
" ว่าแต่ราเฟียสไม่ได้ลืมนัดที่เราจะไปเดินเล่นกันบ่ายนี้ใช่ไหมเนี่ย? "
เธอพูดด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจ ผมก็เลยพูดตอกหน้ากลับไปเล็กน้อย
" แต่นัดคราวที่แล้ว เธอเป็นคนลืมจนมาช้า 2 ชั่วโมงนี่! "
" อะ เอ่อ... คือว่า... "
ดูเหมือนว่าผมจะพูดแทงใจดำเธอไปเต็ม ๆ เลย ทำเอามาเนียพูอึกอัก ทำตัวเลิ่กลั่กอย่างบอกไม่ถูก จะยังไงก็ดูน่ารักไม่เปลี่ยนอยู่ดีนั่นแหละ
" ช่างเถอะน่า ฉันไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเธออยู่แล้วนี่ "
" อะ อืม... งั้นรีบไปโรงฝึกเถอะ เดี๋ยวหัวหน้าพอลจะดุเอานะ "
หวาาาา!! ลืมไปเลยว่าวันนี้หัวหน้าพอลที่แสนจะโหดและเข้มงวดของพวกเรามาเป็นครูฝึกด้วยตนเอง ถ้าไปสายมีหวังโดนเทศน์ยาวนานจนหูชาแน่นอน
" โอเค! งั้นฉันไปแล้วนะ เดี๋ยวตอนบ่ายจะมารับ "
ผมรีบโบกมือลามาเนียก่อนที่จะวิ่งด้วยความเร็วที่เหนือยิ่งกว่าเมื่อครู่อีก สายลมพุดผ่านใบหน้าจนเกือบจะชาไปทั่ว ใช้เวลาเพียง 15 นาทีผมก็มาหยุดยืนอยู่ภายในโรงฝึกหลักของค่ายทหารแคมเบลล์เสียที
ค่ายทหารแคมเบลล์เป็นค่ายหลักของเมืองซิลเวียซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของฝั่งมหาทวีป ซึ่งฝั่งมหาทวีปได้ทำการจัดตั้งกองกำลังเพื่อใช้ต่อกรกับฝั่งจักวรรดิที่ใช้อำนาจของปิศาจคอยกดขี่ข่มเหงพวกชาวบ้านที่ไร้ทางสู้ ซึ่งมหาทวีปเองก็ถูกจัดตั้งขึ้นจากที่ไม่มีอะไรเลย แต่ด้วยความสามารถของพวกผู้นำและศาสนจักรที่ครอบครองพลังแห่งการฟื้นฟูทำให้มหาทวีปได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มมีพันธมิตรมากมายอย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วยซ้ำ
ในช่วงที่ผมยังไร้เดียงสาอยู่ ผมเคยคิดว่าการก่อตั้งของมหาทวีปเป็นอะไรที่มันไร้สาระมากๆ เลยล่ะ แต่พอได้รู้ถึงการกระทำอันแสนโหดร้ายเกินกว่าที่มนุษย์ปกติจะทำได้ของพวกจักรวรรดิแล้วมันทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไปในทันที
" เฮ้ย!!! มัวยืนเหม่ออะไรอยู่น่ะ!? ราเฟียส! "
" หวาาาา... "
ผมอุทานขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาก ๆ ขนาดที่ทำให้ผมสั่นไหวไปทั้งตัว เสียงที่ดัง หนักแน่นและเฉียบขาดแบบนี้ ในโลกใบนี้ผมรู้จักเพียงคนเดียวแหละ
" มาแล้วคร้าบ... จะเรียกกันก็เรียกเบา ๆ หน่อยสิครับ หัวหน้าพอล "
หัวหน้าพอล ผู้มีใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกดดัน ร่างกายแสนกำยำที่สวมชุดเกราะหนักแบบไนท์ แถมยังสะพายโล่กับดาบสองมือที่น่าจะหนักเอาเรื่องเอาไว้ด้านหลังอีก
" อย่าพูดมาก! นายมาสายตั้ง 20 นาที! ฉันไม่ย้ายนายออกไปอยู่หน่อยลาดตระเวนก็ดีแค่ไหนแล้ว! หา!? "
" คร้าบ... เอาเป็นว่าคราวหน้าจะรีบมาให้เร็วกว่านี้ก็แล้วกันนะครับ "
ผมตอบด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมากจนทำให้หัวหน้าพอลทำหน้าตาโกรธจัดเหมือนจะฆ่ากันยังไงก็ไม่รู้
" เออ!! รู้แล้วก็รีบไปฝึกกับพวกเพื่อน ๆ ของเธอด้านในเลยไป "
หัวหน้าสุดโหดออกคำสั่งเสียดังลั่น ผมเลยได้แค่พยักหน้าตอบรับแล้วรีบไปเปลี่ยนเป็นชุดฝึกเพื่อจะเข้าไปลองฝีมือดาบกับเพื่อน ๆ ในหน่วย ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่เก่งเรื่องการใช้ดาบ แต่ถ้าเรื่องเทคนิคในการต่อสู้ผมชนะแบบขาดลอยเลยเชียวล่ะ
" อ้าว!? ในที่สุดพ่อคนชอบมาสายก็มาถึงเสียทีนะ "
" ฉันไม่ได้มาสายขนาดนั้นเสียหน่อย อย่ามาตั้งฉายาให้เองดื้อ ๆ แบบนี้สิ "
เหล่าเพื่อน ๆ ที่แสนจะสนิทกันเริ่มเข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเองสุด ๆ จนมาถึงเธอคนนี้
" สะ สวัสดีจ๊ะ... ราเฟียส "
" อรุญสวัสดิ์นะ วันนี้เธอมาก่อนผมอีกแล้วเหรอเนี่ย? พิน่า "
ผมหันไปทักทายเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวภายในหน่วยนี้ ใบหน้าที่กำลังเข้าที่เข้าทางกับผมสั้น ๆ สีแดง ดวงตาใส ๆ ที่ดูสง่าและกิริยาท่าทางที่ดูเกรงขามทำให้ผมนับถือเธอ แถมฝีมือในการใช้ดาบของเธอก็ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ
ชื่อของเธอคือ มาเรีย เอียฮาร์ท เป็นลูกสาวคนโตของนายพลมาแชลซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกองทัพหลวงที่ 1 ซึ่งถือเป็นกำลังรบหลักของมหาทวีป ถ้าให้พูดตามตรงจุดมุ่งหมายของผมคือการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกองทัพหลวงนั่นเอง
" วะ ว่าแต่วันนี้จะฝึกดาบกับใครล่ะ... วันนี้เราต้องฝึกดาบตรงมือเดียวกันนะ "
มาเรียถามผมด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ กับท่าทางที่ดูไม่เป็นตัวของตัวเองแปลก ๆ
" นั่นสินะ... "
ผมจ้องมองมาเรียพลางคิดอะไรไปเรื่อยจนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะหันกลับไปพูดกับเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
" งั้นวันนี้ฉันขอฝึกกับเธอก็แล้วกันนะ เธอจะว่าอะไรไหมล่ะ? "
" หาาาาาาาาาา!!?? "
จู่ ๆ เธอก็อุทานออกมาแล้วก็หน้าแดงก่ำอย่างผิดปกติ ผมเลยรีบเดินเข้าไปดูหน้าเธอใกล้ ๆ เพื่อดูว่าเธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า แต่นั่นกลับทำให้เธอหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมก่อนที่จะทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ผมเลยต้องรีบคว้าเธอมาประคองเอาไว้
" อะ เฮ้! เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย!? "
" ฉะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก... ขะ ขอนั่งพักสักครู่ก็แล้วกัน "
ผมพยักหน้าตอบรับแล้วพาเธอไปนั่งใต้ต้นไม้ที่อยู่ตรงมุมของลานฝึกกลางแจ้ง ก่อนที่จะนั่งลงข้าง ๆ อย่างสบายอารมณ์
ความเงียบสงบเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบด้วยลมเย็น ๆ ของหน้าหนาวซึ่งกำลังจมาภายในอีกไม่กี่วันเท่านั้น มาเรียที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กันก็พูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบเหงาลง
" ว่าแต่ว่า... ราเฟียสจะเข้ากองทัพหลวงงั้นเหรอ? "
น่าแปลกที่จู่ ๆ มาเรียก็เข้ามาถามผมด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเรื่องที่ผมต้องการจะเข้ากองทัพหลวงนั้นเป็นเรื่องที่เป็นหัวข้อสนทนาของคนในหมู่บ้านของผมอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าทำไมเธอถึงเข้ามาถามผมด้วยตนเอง
" ก็นะ... มันเป็นความตั้งใจของฉันแล้วก็คุณพ่อด้วยนะ ยังไงเสียฉันก็จะไม่เลิกลาแน่ ๆ เชื่อใจฉันได้เลยน่า "
ผมตอบออกไปตามตรงแบบไม่ต้องไปคิดอะไรมาก คุณพ่อของผม... ยูธาร์ แอสธาน เป็นหนึ่งในหัวหน้ากองของกองทัพหลวงที่ 1 ซึ่งพ่อของมาเรียเป็นผู้บัญชาการ เป็นที่แน่นอนกันอยู่แล้วว่าพ่อปราถนาให้ผมเข้าไปร่วมกับกองทัพด้วย ภายในใจของผมก็อยากจะเข้าไปอยู่ในกองทัพอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีอาเรียกับพวกเพื่อน ๆ ด้วย
ระหว่างที่พวกเรากำลังคุยกันอย่างสงบ จู่ ๆ มาเรียก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยเสียงเบา ๆ
" นี่ ราเฟียส... นายคิดกับฉันยังไงเหรอ? "
" หือ? ก็เป็น... เพื่อนคนสำคัญของฉันล่ะมั้งนะ ว่าแต่ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ? "
" ก็... แบบว่า... จะว่ายังไงดีล่ะ เอ่อ... "
เธอชะงักไปเล็กน้อย ผมเองก็ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ อย่างไร้ความหมาย พยายามจะเอื้อมมือไปจับมือของเธอเพื่อให้เธอคลายออกจากอาการเกร็ง แต่ก็ต้องชะงักมือกลับมากำไว้อย่างหลวม ๆ
...ไม่ควรจะทำแบบนั้น
ภายในใจของผมคิดแบบนั้น แต่ว่ามาเรียก็ทำลายความคิดฟุ้งซ่านของผมไป
" ฉะ ฉันคิดว่า... ฉันชอบนาย... ชอบนายมาตั้งนานแล้วด้วย! "
" หาาาาา!!?? "
ผมอุทานออกมาเสียงได้เสียจนคิดว่าคนข้างนอกหรือพวกเพื่อน ๆ ที่ยังฝึกกันอยู่คงได้ยินกันเลยล่ะ
ในระหว่างที่ผมกำลังอึ้ง ๆ กับคำสารภาพที่ไม่คาดคิดจากเพื่อนสาวคนสำคัญที่สุด ก็มีเสียงดังมาก ๆ ขึ้นมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่ไม่เคยเจอมาก่อน
...ไม่สิ ฉันเคยเจอมาแล้ว
จู่ ๆ ในหัวก็มีเสียงแวบเข้ามาก่อนที่หัวใจจะเต้นรุนแรงมากขึ้นทวีคูณ ร่างกายที่มีอาการด้านชาจนถึงเมื่อครู่ก็กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง สายตามองไปมาซ้ายขวา สติถูกกระตุ้นให้ถึงจุดสูงสุด จากนั้นสัญชาตญาณก็บอกให้ผมก้มลงฟังเสียงที่สะท้อนจากออกมาจากพื้น
เสียงที่สะท้อนออกมานั้นเป็นเสียงฝีเท้าจำนวนมาก เสียงเกราะกระทบกัน และเสียงโลหะต่างชนิดกันของดาบต่างชนิดกำลังกระทบกันอย่างดุเดือด
" เฮ้! พวกเธอมัวยืนทำอะไรกันอยู่! พวกเราต้องไปทำหน้าที่แล้ว "
หัวหน้าพอลวิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่นแบบถึงขีดสุด ผมถามกลับไปด้วยเสียงหนักแน่น
" มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ! ทำไมผมถึงได้ยินเสียงของโลหะกระทบกันเยอะแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! บอกมาเดี๋ยวนี้นะครับ!! "
พอถูกตอกหน้ากลับไป หัวหน้าพอลก็เดินมาหยุดตรงหน้าของผม มองไปมาทั่วตัวของผมก่อนที่จะพูดต่อ
" เธอได้ยินอย่างงั้นหรือ? "
" ใช่ครับ... "
" งั้นก็ดีแล้ว นายจะต้องพาพวกนี้หนีไปพร้อมกับขบวนของชาวบ้านที่เตรียมอพยพกันที่ฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน ตอนนี้ทุกคนกำลังต่อสู้เพื่อถ่วงเวลากันอยู่ "
ทุกคนกำลังอพยพกันอยู่งั้นเหรอ งั้นแสดงว่าพวกมาเนียกับคุณแม่ก็ปลอดภัยแล้วสินะ ผมเป็นห่วงแค่นี้นั้นแหละ
" แต่ว่า ดูจากกำลังพลที่ประจำการอยู่ไม่น่าจะสู้ไหวหรอกครับ ให้ผมไปสู้ด้วยเถอะ!! "
" ไม่ได้!! พวกเธอยังอ่อนด้อยประสบการณ์ ถึงออกไปสู้ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกน่า "
" ฮึ่ม!!! "
ผมอุทานเสียงดังและทุบเสาหินที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างรุนแรง ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าทุกคนกำลังจ้องมองผมด้วยสีหน้ากังวล
" เอาเป็นว่าผมเข้าใจแล้ว... งั้นพวกเราก็ไปสมทบกับกลุ่มอพยพและรีบออกไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด "
หัวหน้าของผมพยักหน้าให้ก่อนจะวิ่งออกไปอีกครั้ง ตอนนี้ท้องฟ้าทางฝั่งตะวันตกกำลังกลายเป็นสีแดง มีเมฆสีดำครึ้มลอยมาในทางเดียวกัน คาดว่าอีกไม่นานคงจะมีฝนตกหนัก เป็นแบบนี้คงไม่รีบเห็นทีว่าจะไม่ได้
" พวกเราเองก็รีบไปกันเถอะ อีกไม่นาฝนคงจะตก ถ้าฝนตกแล้วพวกเราก็จะเดินทางได้ลำบากมากขึ้นนะ "
" ตะ แต่ว่า... "
" เชื่อฉันเถอะน่า! ยังไงพวกหัวหน้าพอลก็ต้องรอด ตอนนี้พวกเราจะต้องพยายามหนีรอดออกไปจากที่นี่ แล้วเดี๋ยวพวกหัวหน้าก็มาสมทบกับพวกเราเองนั่นแหละ ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกนะ "
มาเรียทำหน้าเลิ่กลั่กไปมาแล้วก็มีน้ำตาซึมออกมาจากดวงตานั่นด้วย ผมเลยเอามือทั้งสองปาดน้ำตาของเธอก่อนจะเอื้อมไปจับบ่าเบา ๆ ทำให้เธอยิ้มขึ้นเล็กน้อย
" อืม... งั้นเรารีบไปกันเถอะ "
หลังจากพวกเราวิ่งออกมารวมกับพวกชาวบ้าน ผมพยายามมองหาคุณแม่กับมาเนียที่น่าจะมากันก่อน แต่ยิ่งหาก็ยิ่งไม่เจอ ผมเลยรีบวิ่งไปถามลุงเยพาเซอร์ที่เป็นช่างตีดาบซึ่งอาศัยอยู่ตรงข้ามกับบ้านของผมในทันที
" ลุงเยพาเซอร์ครับ ลุงเห็นคุณแม่ของผมกับเมเนียบ้างไหมครับ!? "
" เอ๋!? ลุงไม่เห็นนะ พวกเธอไม่ได้มาด้วยกันงั้นหรือ? "
ทันใดนั้น ร่างกายของผมก็เย็นวาบไปทั่ว แขนขาสั่นเทาจนไม่อาจต้านทานได้ ก่อนที่ความคิดอันไม่ควรจะคิดออกมาก็ผุดขึ้นมาในหัว
" แย่แล้ววววว!!! "
ก่อนที่ผมจะถีบพื้นอย่างแรงเพื่อเป็นแรงส่งในการวิ่งก็มีมือเรียวเล็กเข้ามาจับบ่าของผมเอาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อย
" คิดจะไปไหนน่ะ? ตอนนี้หน้าที่พวกเราคือช่วยคุ้มกันพวกชาวบ้านนะ ราเฟียส "
มาเรียเข้ามาพูดเกลี่ยกล่อมผมอย่างเข้มแข็ง แต่ถึงยังไงผมก็เป็นห่วงสองคนนั้นอยู่ดี
" อย่ามาห้ามผเลย มาเรีย! ตอนนี้มาเนียอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย แล้วก็ยังคุณแม่อีก... ยังไงก็ช่วยหลีกทางออกไปให้หน่อยเถอะนะ "
" ตะ แต่ว่า... มันอันตรายนะ... "
" ก็บอกให้หลีกไปยังไงเล่า!! "
ผมตะคอกใส่มาเรียที่กำลังห้ามผมจนแข็งทื่อไปทันที แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาที่จะไม่ขอโทษอะไรกันตอนนี้ ผมต้องรีบออกไปตามหาพวกนั้น
ระยะทางจากจุดรวมพลกับบ้านของผมและมาเนียนั้นห่างกันไม่ไกลนัก ถ้าวิ่งไปวิ่งกลับก็คงจะทันอยู่ ผมไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจเสียงที่ดังตามหลังมาแต่อย่างใด
" ไปอยู่ที่ไหนกันนะ... ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ "
ผมบ่นพึมพำพร้อมหายใจอย่างถี่ ๆ มองไปมาระหว่างสองข้างทางที่ไร้วี่แววผู้คน แม้แต่แถบบ้านคนก็ยังไม่มีแม้แต่เด็กสักคนเดียว ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าพวกเธอจะปลอดภัยกัน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กลับคิดไปถึงเหตุการณ์ที่น่ากลัว
วิ่งผ่านบ้านไปหลายหลัง แต่ละหลังไม่มีวี่แววผู้คนแล้ว แต่พอมองตรงไปด้านหน้าบริเวณบ้านของผมกับมาเนียก็เห็นเปลวเพลิงร้อนระอุที่พวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งทำให้ร่างกายของผมแทบจะแข็งทื่ออยูแบบนั้น
มันต้อง...ไม่ใช่แบบนี้!!!
" คุณแม่ครับ!! มาเนีย!! อยู่ที่ไหนกันนะ ทั้งสองคน!! "
ตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งพลางแวกว่ายเข้าไปในกองเพลิงที่ยังคงไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่ยิ่งเวลาผ่านไปก็มีแต่จะถูกกองไฟโหมกระหน่ำใส่อย่างไม่ปราณีแบบนี้เรื่อย
ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาแต่คุ้นเคยดังออกมาจากซากบ้านที่ยังคงถูกไฟไหม้ไปเกินกว่าครึ่งแล้ว
" ระ ราเฟียส? นั่นลูกใช่ไหม... "
" แม่!? คุณแม่งั้นเหรอครับ? คุณแม่อยู่ด้านในเหรอครับ? "
ผมร้องถามกลับเข้าไปยังที่ซึ่งน่าจะเป็นต้นเสียง
" ราเฟียส รีบหนีไปเถอะนะ... อีกไม่นานกองทัพของจักรวรรดิก็คงจะฝ่าพวกพ้องของเราที่อยู่หน้าประตูเมืองแล้ว พวกเราคงจะไม่รอดแล้วล่ะนะ "
" มาเนียก็อยู่ในนั้นสินะ ยังไงผมก็จะต้องช่วยแม่กับมาเนียให้ได้ครับ ช่วยรออีกสักเดี๋ยว... "
" อย่าเข้ามานะ!!! "
จู่ ๆ เสียงสดใสของมาเนียก็ดังขึ้นมาจนผมผงะถอยหลังไปหลายก้าว
" ยะ อย่าพูดแบบนั้นสิ ยังไงฉันก็ต้อง... "
" อย่าเลย ฉันของร้องเถอะนะราเฟียส... ถ้าเธอเข้ามาช่วยพวกเราก็คงจะหนีไปไม่รอดแน่ ๆ แต่ถ้าเธอหนีไปคนเดียวก็คงจะหนีพ้นได้อยู่ "
ระหว่างที่มาเนียกำลังพูดอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงกระทบของโลหะจำนวนมากในระยะไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ฟังแล้วคงจะเป็นพวกกองทัพของจักรวรรดิเพราะเสียงโลหะมันแตกต่างจากที่พวกเราใช้กันอย่างสิ้นเชิง
" ตะ แต่ว่า... "
" ขอร้องล่ะนะ... ขอแค่เธอรอดไปได้ ฉันกับคุณแม่ของเธอก็ดีใจแล้วล่ะ "
ผมกัดฟันแน่น กำมือเกร็ง ๆ อย่างสุดแรง พยายามที่จะระงับความคิดชั่ววูบที่จะดูถูกความไร้พลังของตัวเองแบบนี้ ก่อนที่จะเงยหน้ามาพูดกับทั้งสองคนด้วยเสียงสะอื้น โดยที่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาสีดำขลับที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยความรู้สึกที่แท้จริงได้ หรือแท้จริงแล้วผมนั่นเองที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ด้วยซ้ำ
" งั้นก็... ฉันจะรีบหนี... ตามที่เธอบอกก็แล้วกัน... "
พูดได้แค่นั้นผมก็รีบหันหลังกลับก่อนที่จะออกวิ่งไปโดยที่ได้ฟังเสียงสุดท้ายของมาเนีย
" ขอบคุณมากนะ... "
แล้วบ้านที่ผมได้อยู่อาศัยมานานหลายปีก็ถล่มลงมาอย่างไร้ความปราณี ผมไม่คิดจะหันไปดูเลยสักนิด กลัวว่าความทรงจำมันจะทำร้ายจิตใจของผมไปมากกว่านี้ แค่นี้ผมก็แทบไม่อาจทนไหวได้แล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นคำขอร้องของคนที่ผมให้ความสำคัญที่สุด แต่ว่าผมก็ได้หันหลังให้พวกเธอ ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรได้เลยแม้แต่น้อย ความผิดนั่นถึงจะไม่มีใครพูดมันก็คงจะทิ่มแทงจิตใจของผมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนั่นแหละ... ผมคิดแบบนั้น
ตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก... ความจริงมันก็แบบนี้แหละ
ผมส่ายหัวไปมาเพื่อขจัดความคิดที่ไร้สาระไปเสีย ตอนนี้ต้องพยายามมีชีวิตรอดกลับไปกับทุกคนที่ยังคงเหลือรอดอยู่ เพื่อที่จะไม่ให้การเสียสละของพวกผู้คนที่เราทิ้งไว้ด้านหลังสูญเปล่าไปหมด ได้แต่ทำแบบนั้น ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากนี้ไม่ได้
ทันใดนั้น...
" อั่ก!!! "
จู่ ๆ ก็เกิดแรงกระแทกพวยพุ่งออกมาจากบริเวณที่พวกชาวบ้านที่เหลือกำลังจะอพยบกันอย่างรุนแรงจนไม่อาจคิดว่าเป็นลมพายุได้อีก
" เกิดอะไรขึ้นอีก... ฮึ่ม!! "
" ราเฟียส!! "
เสียงนี่มัน เสียงของมาเรียนี่นา
" มาเรีย! เกิดอะไรขึ้นน่ะ!? "
ผมตะโกนถามไปอย่างสุดเสียงแต่ก็แหบพร่าไปพอสมควร เสียงที่ถูกส่งออกไปเลยเบาเอามาก ๆ จนไม่น่าเชื่อ แต่หลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้ยินเสียงกลับมาพร้อมร่างของมาเรียที่วิ่งมาอย่างสะบักสะบอม มีแต่รอยแผลเต็มไปหมด
" พวกเรา... ถูกลอบโจมตี... ตอนนี้พวกกินน์กำลังถ่วงเวลาไว้ให้... พวกเรากำลังรอนายอยู่นะ รีบกลับมาด้วยกันเถอะ!! "
มาเรียพูดอย่างรีบร้อนแล้วก็ทรุดลงตรงหน้าของผม ผมเลยพยุงร่างของเธอก่อนที่จะอุ้มเธอด้วยแขนทั้งสองข้างซึ่งไม่ได้มีเรี่ยวแรงอะไรนัก ก่อนที่จะพูดอย่างห้าวหาญ
" งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ! ถ้าเป็นพวกเราล่ะก็ ไม่ว่าศตรูหน้าไหนก็สู้ไหวน่า "
" อื้อ! "
เธอพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าเห็นด้วย ผมพยักหน้ากลับไปพร้อมยิ้มแหย่ ๆ ใจจริงผมเองก็ไม่มีแม้กระทั่งกำลังใจแล้วด้วยซ้ำ สภาพแบบนี้จะไปต่อสู้อะไรได้บ้าง
วิ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ขาคู่นี้จะวิ่งไปได้ ไม่มีข้อแม้ด้านกำลังกาย ในตอนนี้เลือดถูกสูบฉีดอย่างรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่นานนักพวกเราก็มาถึงจุดรวมพลอย่างเร็วไว แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่สิ่งที่อธิบายออกมาได้เป็นคำพูดแบบภาษามนุษย์ออกมาจากปากของผมได้อีกแล้ว
" กรี๊ดดดดดดดดดด!!! "
มาเรียที่อยู่ในอ้อมแขนของผมกรีดร้องออกมาก่อนจะดิ้นหลุดลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น ส่วนตัวผมเองก็ตัวแข็งทื่อจนไม่สามารถขยับแขนขาได้ เหงื่อไหลลงมาอาบไปทั่วทั้งตัว หัวใจที่สูบฉีดเลือดอยู่อย่างรุนแรงจนกระทั่งเมื่อสักครู่นี้ก็เต้นแผ่วเบาลงไปในทันที เข่าก็อ่อนจนทรุดลงไปกับพื้นแบบไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว
ภาพที่พวกเราเห็น... มันก็นรกบนดินนี่เอง
ร่างของมนุษย์ที่ถูกขย้ำจนเละเทะไม่เป็นท่ากองกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นหญ้า ส่วนใหญ่ก็ตายไปแล้วทั้งนั้นแหละ พวกคนที่ยังหายใจอยู่ก็คิดว่าคงจะรอดได้อีกไม่นานนักหรอกนะ ด้านบนของซากศพมีสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นแกะ ร่างกายกำยำมีกล้ามเนื้อที่เป็นมัด ๆ ถือขวานรูปแบบแบทเทิ่ลแอ็กซ์ด้วยแขนสองข้างที่ทรงพลัง ดูแล้วก็รู้ตัวทันทีว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสู้ไดด้วยกำลังของตัวเอง
" ...โอ้พระเยซูแห่งนาซาแรธที่ต้องตรึงบนไม้กางเขน โปรดช่วยปกป้องลูกให้พ้นจากความชั่วร้าย การผจญล่อลวงของเหล่าปิศาจด้วยเถิด... "
เสียงแหบพร่าต่อย ๆ เล็ดลอดออกมาจากปากอันซีดเผือดของมาเรียที่กำลังนั่งสวดภาวนาขอพรจากพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง ผมเองก็ไม่ได้ต่างอะไรมากมายจากเธอเลย
พอสติกลับมาผมก็รีบตะโกนบอกมาเรียให้หนีไปโดยเร็ว
" ทำอะไรอยู่! รีบวิ่งหนีไปเร็วสิ!! "
มาเรียไม่ได้ขยับตัวไปไหน ยังได้แต่นั่งตัวสั่นโดยที่ทำอะไรไม่ได้ จะว่าไปผมเองก็ขยับตัวไม่ได้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะถูกแรงกดดันจากเจ้าปิศาจนั่นควบคุมเอาจนได้
" โฮกกกกกกก!!! "
เจ้าปิศาจแกะขยับตัวยืดสูงขึ้นมาแล้วคำรามออกมาเสียงดังลั่นจนอากาศสั่นไหว
ทันทีทันใด ร่างกายแสนกำยำก็กระโดดด้วยกำลังขาที่น่าทึ่งจนขึ้นไปสูงถึง 3 เมตรเลยทีเดียว มันลงมากระแทกพื้นจนสายลมโดยรอบเข้ามาปะทะหน้าจนชาชิน ถ้าเป็นปกติผมคงจะวิ่งหนีไปพร้อมกับมาเรียไม่ก็สู้ตายอยู่ตรงนี้ ทว่าร่างกายของผมไม่ยอมฟังคำสั่งใด ๆ จากตัวผมเลยสักนิด
ลองเพ่งมองดี ๆ ในระยะประชิด ที่แขนข้างขวาของปีศาจแกะมีรอยสักสีดำเป็นตัวอักษรแบบง่าย ๆ ว่า H E R C A R I T O R U O S... ' เฮอร์คาลิโทเรียส '
จู่ ๆ สติที่ด้านชาก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้ผมร้องตะโกนออกมาพลางถอยหนีไปหลายก้าว
" เหวออออออ!? "
แต่มันก็เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี เฮอร์คาลิโทเรียสใช้แขนซ้ายที่ไม่ได้ถือแบทเทิ่ลแอ็กซ์จับตัวผมไว้แน่นมากจนขยับออกห่างมาไม่ได้ มันค่อย ๆ ยกแบทเทิ่ลแอ็กซ์ง้างขึ้นเหนือหัว ผมได้แต่หลับตาอย่างอัตโนมัติ
นี่ฉัน... จะต้องมาตายที่นี่... โดยไม่ได้ทำอะไรเลยงั้นรึ...
ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งหนีหรือต่อสู้ ไม่มีอะไรที่ทำได้เลย ขนาดจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับสองคนนั้น ที่ว่าจะรอดออกไปจากที่นี่ก็ยังทำไม่ได้เลยงั้นเหรอเนี่ย
ทันใดนั้น มีแสงสว่างค่อย ๆ เอ่อล้นออกมาจากอกของผมอย่างอ่อนโยน มีความอบอุ่นไหลซึมผ่านออกมา น้ำตาค่อย ๆ เอ่อล้นออกจากดวงตาทั้งสองข้างจนพร่ามัวไปหมด แล้วก็มีเสียงที่ชวนคิดถึงล่องลอยอยู่ภายในหัว
' เธอต้อง... มีชีวิตอยู่ต่อไปนะ '
" อึก ฮึก... "
เสียงสะอื้นที่กลั้นต่อไปไม่อยู่ดังขึ้นมา แสงสว่างอันแสนจะอบอุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพแล้วโผล่ออกมาจากอกของผม
" นะ นี่มัน... ดาบงั้นเหรอ? "
แสงสว่างค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับการปรากฎตัวของอาวุธรูปร่างเป็นดาบตรงที่มีแสงเปร่งประกายออกมาระเรื่อ ผมขยับมือทั้งสองข้างไปจับด้ามจับของดาบแล้วดึงเข้าหาตัวเองเบา ๆ
...อบอุ่นจังเลย
เป็นความอบอุ่นที่แทรกซึมผ่านตัวดาบที่เปล่งประกายอย่างอ่อนโยนอย่างที่สุด ปีศาจแกะที่สัมผัสโดนตัวดาบก็ร้องคำรามก่อนที่จะปล่อยผมลงกับพื้นและถอยกลับไปเล็กน้อย
ผมตั้งท่าถือดาบอย่างมั่นคงก่อนที่จะเล็งเข้าใส่เฮอร์คาลิโทเรียสด้วยกำลังแขนที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดเท่าที่จะใช้ดาบได้
" ต้องรอด... ไปให้ได้เท่านั้น "
เสียงบ่นอุบอิบดังเล็ดลอดออกมาจากปาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
ผมพุ่งตัวเข้าใส่เฮอร์คาลิโทเรียสพร้อมกวัดแกว่งดาบในมือด้วยพลังกายที่ยังคงเหลืออยู่เฮือกสุดท้ายแล้วเท่านั้น
" ย้ากกกกกกกกกก!! "
" ฮูมมมมมมมมมมม!! "
เสียงตะโกนสองเสียงดังขึ้นมาท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมายังพื้นดินที่ชะโลมไปด้วยสายเลือดของพวกพ้องและเพื่อน ๆ ของผม มีคนดูเพียงคนเดียวที่ยังนั่งดูผมอยู่ในที่ซึ่งไม่ได้ห่างไกลนัก ประสาทรับรู้ของผมค่อย ๆ ลอยห่างออกไปอย่างเลื่อนลอยแต่ก็ยังพูดพึมพำอยู่เรื่อย ๆ
" มาเรีย..... "
..:. จบบทที่ 1 sekai .:..
โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น