NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (end)「Fic Boku no Hero Academia」XXX {Villain x OC}[จบรูทหลัก]

    ลำดับตอนที่ #23 : desire

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.1K
      619
      20 ม.ค. 63


    [20] ปรารถนา



    ก็...ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยหรอก


    เด็กห้องเอที่มีสองอัตลักษณ์ ทักษะในการต่อสู้ยอดเยี่ยม หนึ่งในเด็กสี่คนที่ได้รับคำเชิญเข้ายูเอย์สาขาฮีโร่

    บุคคลที่ออลไมท์ชอบบ่นว่าน่าเป็นห่วงอยู่บ่อย ๆ


    โทโดโรกิ โชโตะ


    ในความทรงจำของฉันเขาเป็นเด็กดี น่ารัก เเละเชื่อฟัง หลายครั้งที่ความน่ารักของเขาทำฉันเขว ยิ่งเวลาช้อนสายตามองปริบ ๆ เหมือนลูกเเมวเเล้วขออะไรสักอย่าง ใจฉันก็อ่อนยวบไม่ต่างจากน้ำตาลที่ถูกเคี่ยวจนละลาย วันว่าง ๆ ก็มาเล่นกับเขาออกจะบ่อยจนโดนเด็กชายโทมูระโกรธ เเต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่เข็ด

    ดังนั้น เวลาที่ออลไมท์พูดถึงเขาในเชิงเป็นเด็กที่มีปัญหา ฉันก็มักจะนึกภาพเด็กน่ารักคนนั้นเเล้วนำมาเปรียบเทียบกับเด็กตัวร้ายที่เขาพูดถึง จากนั้นก็จะส่ายหน้า นึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นคน ๆ เดียวกันได้ยังไง



    “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่…?”



    ดูดวงตาใส ๆ คู่นั้นสิ

    แววตาที่สั่นไหวนั่นก็ด้วย น่าสงสารออกขนาดนี้ทำไมถึงถูกกล่าวหาว่าเย็นชาล่ะ ออลไมท์นี่น่าตีจริง ๆ เลย

    พยักหน้ากับตัวเองในใจขณะที่เอนหลังพิงเก้าอี้นวม ลูบข้อมือตัวเองที่โดนจับเเน่นจนขึ้นรอยนิ้วมือ ถึงวันพรุ่งนี้มันจะกลายเป็นรอยช้ำเเต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายฉันนี่นา กลับไปบ้านค่อยไปทายาเเก้ฟกช้ำก็ได้ อื้มๆ

    “เรื่องนั้น...นั่งลงก่อนดีไหม?” ฉันผายมือไปยังเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ก่อนจะส่งยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดให้เขา “ยืนคุยกันเเบบนี้คงไม่สะดวก อีกอย่าง ฉันก็มีเรื่องอยากจะพูดด้วยเหมือนกัน”

    เขานิ่งไป จากนั้นก็ยอมนั่งลงเเต่โดยดี นั่นทำให้ฉันยิ้มเเก้มปริ หนุ่มน้อยคนนี้น่ารักจริง ๆ เลย

    มองเขาที่สวมชุดเครื่องเเบบยูเอย์ ยังคงดูดีเสมอต้นเสมอปลายตั้งเเต่ตอนนั้นจนกระทั่งตอนนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะได้กรรมพันธุ์ดี หรือว่าเพราะออร่าตัวละครสำคัญมันเเรงเกินไปดีล่ะเนี่ย ไม่เเปลกใจเลยถ้าจะเนื้อหอมในหมู่ผู้หญิง

    “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผม”

    “ก็อย่างที่เห็น ฉันเป็นพยาบาลของห้องนี้” รอยยิ้มลดระดับลงมานิดหน่อยเมื่อเขาเค้นถาม เบี่ยงความสนใจไปที่กล่องปฐมพยาบาล “เเต่ปรกติก็ไม่ค่อยมีคนมาหรอก น่าเเปลกใจนะที่เจอโชโตะคุงเเบบนี้ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

    “ไม่...ครับ” เขาเม้มปาก ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างเเต่สุดท้ายก็ได้เเต่ก้มหน้านิ่ง

    ฉันหยุดสนใจกล่องปฐมพยาบาล เท้าคางกับโต๊ะ เอียงคอมอง ก็คิดอยู่เเล้วล่ะว่าเด็กที่เล่นเเช่เเข็งทั้งตึกเเบบนั้นได้ไม่มีทางบาดเจ็บง่าย ๆ หรอก หลายปีมานี้ความสามารถของเขาคงพัฒนาไปไกลลิ่ว

    มองใบหน้าของคนที่ไม่ได้เจอกันมานานเเล้วฉันก็หลุบตาต่ำ ถ้าตอนนี้เขายังเป็นน้องน้อยสีหน้านั้นอาจจะทำให้ฉันช้ำใจตายไปเเล้วก็ได้

    ฉันเคยเห็นสีหน้าเเบบนี้จากเด็กคนหนึ่ง



    “โชโตะ...เกลียดฉันเเล้วอย่างนั้นเหรอ?”



    เเล้วฉันก็เคยถามเด็กคนนั้นด้วยประโยคเดียวกัน

    “ก็ต้องเกลียดอยู่เเล้ว...ไม่ใช่หรือไงครับ”

    เเละนั่นคือคำตอบของเขา

    อือ คำตอบยังเหมือนกันอีก

    ต่างกันนิดเดียวคือระดับความเจ็บปวดล่ะมั้ง?

    ฉันคงมีสีหน้าเศร้าสร้อยที่สุด “เเต่ฉันชอบเธอนะ”

    “โกหก” เสียงของเขาเเผ่วเบา

    “คิดว่าฉันโกหกจริง ๆ เหรอ”

    บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้ง

    ฉันเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นที่สัมผัสกับผิว อุณหภูมิของห้องไม่ต่างจากอยู่ในฤดูหนาว

    น้ำเเข็งเริ่มลามจากโต๊ะทำงานไปเรื่อย ๆ และอีกไม่นานห้องพยาบาลคงไม่ต่างจากห้องเเช่เเข็ง

    แปะ

    ทาบมือกับซีกหน้าที่เป็นเเผลเป็น



    “โชโตะ?”


     

    ในที่สุดเขาก็หายเหม่อลอย

    ดวงตาสองสีกะพริบปริบ ก่อนจะมองไล่ตั้งเเต่โต๊ะที่มีชั้นน้ำเเข็งบาง ๆ เคลือบไว้ พื้นห้องเเละผนังที่เริ่มมีน้ำเเข็งเกาะ สุดท้ายเขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉันที่ลุกจากเก้าอี้นวม เอื้อมมือมาทาบบนใบหน้าของตัวเอง

    “โชซัง...ผมเกลียดคุณจริง ๆ นะ...”

    ฉันเเทบจะหลุดหัวเราะเมื่อปฏิกิริยาของเขาไม่เหมือนที่พูดออกมาสักนิด การที่เขาเอียงใบหน้าซบฝ่ามือฉัน ปิดเปลือกตาลงจนเห็นเเพขนตายาว เเบบนี้มันชวนให้นึกถึงแมวขี้อ้อนที่ชอบมาคลอเคลียเรียกความสนใจจากเจ้าของมากกว่าคนที่เกลียดกันเสียอีก

    เเต่ก็...ผิดคาดนิดหน่อย

    นึกว่าเขาจะทำหน้าขยะเเขยงเสียอีก เเต่ก็ไม่

    ถึงจะเริ่มปวดเเขนขึ้นมาเเต่ดูท่าทางเขาดูมีความสุขก็เลยยอมทนไปอีกนิดหน่อย กวาดมองรอบห้องครั้งหนึ่ง น้ำเเข็งที่เกาะอยู่ตอนเเรกก็เริ่มละลายลงไปเเล้วด้วย อุณหภูมิก็ไม่เย็นเหมือนฤดูหนาวต่อไป


    โทโดโรกิ โชโตะ


    ตั้งเเต่เริ่มเเรกเขาไม่เคยอยู่ในเเผนการของฉัน



    “อาจจจะไม่เชื่อ เเต่ฉันไม่ได้โกหกนะ”



    สบตากันเนิ่นนาน





    “ที่บอกว่าชอบน่ะ”






    __________





    “โฮ้ย ที่วิ่งออกไปเมื่อกี้ไม่ใช่เด็กห้องเอหรือไง”


    ฉันละสายตาจากโทรศัพท์ในมือเเล้วหมุนเก้าอี้หันไปหาต้นเสียง ยิ้มเเป้นอย่างอารมณ์ดีเพราะเพิ่งเคลียร์ด่านบอสในเกมจบ อันดับที่ได้มาก็ไม่เลวเลย

    ไอซาวะ โชตะ

    ฮีโร่ผู้ลบล้างอัตลักษณ์ อีเรเซอร์เฮด ถึงภายนอกจะดูไม่ให้เท่าไหร่ เเต่เขาก็เป็นฮีโร่ที่เก่งเเละเท่มาก ๆ เลยล่ะ

    “ค่ะ เด็กห้องเอ”

    “ผมสองสี...โทโดโรกิ โชโตะ?” อาจารย์ไอซาวะขมวดคิ้ว “มาหาเธอทำไมกัน?”

    “นี่ห้องพยาบาลค่ะ ก็ต้องมารักษาอยู่เเล้วไม่ใช่เหรอคะ” อยากจะต่อท้ายไปอีกว่า ‘ใครจะมาห้องพยาบาลเพื่อมาหาที่นอนอย่างคุณเล่า’ เเต่ก็เงียบไว้ในใจ เพราะหนึ่งฉันยังอยากเป็นเด็กดีน่ารักในสายตาเขาอยู่ เเละสอง ขืนพูดออกไปเเล้วเขาไม่กลับมาอีกจะทำยังไงล่ะ ห้องพยาบาลนี้ยิ่งเงียบเหงาอยู่ด้วย

    “อาจารย์ไอซาวะมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

    ดวงตาที่ปรือเเทบจะปิดอยู่รอมร่อนั่นจ้องมาที่ฉันนิ่ง สักพักเขาก็ถอนหายใจเเล้วไม่ได้ถามถึงเรื่องของโชโตะอีก

    “ก็...คาบฝึกรับมือภัยพิบัติน่ะ” เขาเกริ่นขึ้นมา

    หัวสมองประมวล จากนั้นฉันถึงตาโต เพิ่งจำได้ว่าหลายวันก่อนอาจารย์ไอซาวะเพิ่งมาพูดเรื่องนี้กับฉัน เนื้อหาคือ ‘อยากให้ช่วยไปดูเเลเด็กด้วยกันหน่อย เผื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เธอจะได้ทำหน้าที่สมเป็นพยาบาลบ้าง’

    ฮื่อ คิดเเล้วก็อยากโวยวาย ที่ฉันทำอยู่นี่ก็เป็นพยาบาลเหมือนกันนะ เเต่มันช่วยไม่ได้นี่นา พวกเด็กพากันไปหารีคัฟเวอรี่เกิร์ลกันหมดเลย ผู้สืบทอดของออลไมท์นาน ๆ ทีก็จะมาเยี่ยมฉัน

    “เธอรู้เรื่องอาการของออลไมท์ช่วงนี้ใช่ไหม”

    ฉันหลุดจากความคิดหันกลับมามองอาจารย์ไอซาวะที่ดูเคร่งเครียดกว่าปรกติเมื่อพูดถึงฮีโร่อันดับหนึ่ง

    เขาเป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่องของออลไมท์ รวมถึงเรื่องที่ฉันพักอาศัยกับเขาด้วย

    “ค่ะ” เเน่นอนว่าฉันรู้เรื่องอาการของเขาดีเลยล่ะ “ฉันเป็นหมอของเขานี่นา...เเต่จะให้ทำยังไงได้ ออลไมท์ไม่ยอมให้ฉันรักษา เเล้วฉันก็ไม่มีเเรงไปบังคับเขาด้วย”

    ตาลุงนั่น

    เเค่คิดก็หงุดหงิดไปหมด

    เเต่ก่อนก็หน้าโง่อยู่เเล้ว ตอนนี้ดูเหมือนจะโง่ลงไปยิ่งกว่าเก่า ตั้งเเต่ที่ฉันป่วยเพราะประจำเดือนมาครั้งนั้นเขาก็ไม่ยอมให้ฉันรักษาอีกเลย เวลาคิดจะเเตะตัวก็ถอยห่างไปเป็นคืบ เอาเเต่พูดว่า ‘กลัวจะพึ่งพลังของเธอมากเกินไป’ ไม่งั้นก็ ‘สาวน้อยต้องรู้จักดูเเลตัวเองบ้างนะ’ อยู่ได้

    ไม่ยอมรักษาไม่เท่าไหร่ เรื่องที่ทำให้ฉันหงุดหงิดมากที่สุดก็คือการที่เขายังคงความเป็นฮีโร่ ช่วยเหลือคนไปทั่วได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

    -- คิดภาพออกไหม ตาลุงคนหนึ่งที่ป่วยจนอีกนิดเดียวก็จะลงโลงอยู่เเล้ว ไม่ยอมรักษา กลับยังทำให้สุขภาพเเย่ลงไปอีกด้วยการโหมงานหนัก คิดว่าตัวเองเเข็งเเรงขนาดนั้นหรือไง

    งี่เง่า ดื้อด้าน ปัญญาอ่อน

    “ฉันรู้ว่าเธอทำได้ ” อาจารย์ไอซาวะถอนหายใจเหมือนเหนื่อยอ่อน “อาการของออลไมท์เเย่ลงกว่าเดิม หวังว่าเธอคงไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง...ถึงการพูดเเบบนี้กับเด็กอย่างเธอจะดูใจร้ายไปหน่อย เเต่ออลไมท์---”

    “ออลไมท์เป็นฮีโร่ที่สำคัญกับพวกคุณมาก...จะว่าอย่างนั้นใช่ไหมคะ?”

    ฉันยิ้มกว้าง วางโทรศัพท์ลงขณะที่เอนหลังพิงเก้าอี้นวม “อื้อ ฉันเข้าใจค่ะ เเล้วฉันก็ไม่คิดว่าคำพูดเเบบนั้นมันใจร้ายเกินไปหรอกนะคะ ออลไมท์เป็นคนสำคัญจริงอย่างที่คุณว่า -- เเน่นอนว่าฉันไม่ปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปหรอกค่ะ”

    ถ้าคนโง่เเบบนั้นตายไปฉันคงถูกประณามเเย่

    เเค่คิดก็เศร้า สาวน้อยอย่างฉันจะไปทนไหวได้ไง

    อื้ม ๆ เพราะงั้นให้ตายไม่ได้หรอก

    หันไปสบสายตากับอีเรเซอร์เฮดนิ่ง บางครั้งก็เเอบคิดว่าเขาจะจ้องโดยไม่กะพริบตาได้นานเเค่ไหน ก็อัตลักษณ์ของเขาคือการใช้ดวงตาลบอัตลักษณ์ของคู่ต่อสู้นี่นา...ถ้าไม่มีมันล่ะก็

    เนอะ?


    น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้ทดสอบว่าเราจะจ้องตากันได้กี่วินาที สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นก่อน



    มีใครบุกรุกเข้ามาในยูเอย์



    การเเข่งจ้องตาคงต้องยกเลิกไป

    อาจารย์ไอซาวะเบิกตากว้าง ดูตื่นตระหนกเหมือนเจอเรื่องไม่คาดฝัน เเต่ถึงอย่างนั้นก็ควบคุมอารมณ์ได้ดี เขาอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมใช้อัตลักษณ์ทุกสถานการณ์

    ก่อนออกไปเขาเหลือบหางตามองฉัน

    มีเพียงประกายอันตรายในเเววตาเเทนคำพูด

    ฉันถอนหายใจ ฟุบลงบนโต๊ะอย่างหมดเเรง ฮื่อ อาจารย์ไอซาวะไม่อ่อนโยนเลย ฉันไปทำอะไรให้เขากันนะ

    ช่างเถอะ

    หยิบโทรศัพท์ที่สั่นครืดขึ้นมาดู เเจ้งเตือนบนหน้าจอบอกว่ามีเมล์ใหม่ในกล่องข้อความที่ร้างมาหลายปี

    จากเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยโกรธจนคิดจะฆ่าฉัน ไม่ยอมใช้โทรศัพท์ติดต่อหาฉันอีก นับตั้งเเต่ตอนนั้นจนกระทั่งตอนนี้ นี่เป็นข้อความฉบับเเรกที่ฉันได้จากเขา




    อีกไม่นานจะไปรับ




    เเนบริมฝีปากกับข้อความบนหน้าจอมือถือ ขณะที่เสียงสัญญาณเตือนภัยของยูเอย์ยังดังไม่หยุด



     

    ฉันชอบเธอจริง ๆ นะ โทมูระคุง




    ...

    .......




    มันเป็นวันหนึ่งที่อากาศสดใส หลังจากผ่านวันจบการศึกษาของโชโตะมาได้ไม่กี่วัน


    ช่วงพักการฝึกซ้อม โชโตะถูกนัตสึโอะลากออกไปซื้อของข้างนอก เพราะว่าวันนี้ฟุยูมิจะกลับมาบ้านเลยคิดจะทำอาหารที่มันพิเศษไปจากทุกวัน นัตสึโอะบอกว่าอยากฉลองที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

    ทิ้งฉันไว้กับฮีโร่ที่ถึงช่วงนี้จะพยายามทำตัวเป็นคุณพ่อดีขนาดไหน เเต่ก็ยังถูกลูกชายทั้งสองคนเเบนอยู่


    “ดอกไม้นั่น…”


    มีไม่กี่ครั้งที่ฮีโร่อันดับสองจะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา อาจจะเพราะนิสัยพูดน้อยเป็นเดิมที หรือไม่ก็เพราะเขารู้ว่าการพยายามพูดอะไรมีสาระกับฉันเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ การพบเจอกันระหว่างเราทุกครั้งถึงมีเเต่ความเงียบ

    จะยังไงก็ตาม การที่เขาเอ่ยปากขึ้นมาเเบบนี้ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเเปลกใจ มองตามสายตาเขามาจนรู้ว่าฮีโร่อันดับสองนั้นกำลังสนใจที่คั่นหนังสือดอกไม้ทับที่คั่นอยู่ระหว่างหน้าหนังสือของฉันอยู่

    “โชโตะคุงให้ดอกไม้มาน่ะค่ะ ถ้าปล่อยให้มันเเห้งเฉาไปเฉย ๆ คงเสียดายเเย่ ฉันก็เลยเอามาทำที่คั่นหนังสือ” ฉีกยิ้มกว้าง “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

    “จากโชโตะ?” ใบหน้าดุ ๆ ทำสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ยาก “มิน่าล่ะ...”

    ฉันจ้องเขาตาไม่กะพริบ เเละยังจ้องอยู่อย่างนั้น

    จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ


    “สวนดอกไม้ของภรรยาฉัน”


    ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์นั้นมีประกายของความเศร้าพาดผ่านไปชั่วขณะ ราวกับว่ากำลังนึกถึงความทรงจำที่เจ็บปวด

    “จนถึงตอนนี้เขาก็ยังดูเเลมันอยู่ คงเหมือนเป็นของต่างหน้าล่ะมั้ง?” คล้ายว่าพึมพำกับตัวเอง “ไม่คิดเลยว่าจะให้ดอกไม้จากที่สวนนั่น...”

    ฉันอาจจะเเค่ชะงักไปนิดนึง



    “เธอคงเป็นคนสำคัญสำหรับเขา”



    ก่อนที่จะหายใจติดขัดเมื่อได้ยินประโยคต่อมา




    *****




    เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ


    เริ่มเเรกภาพพร่ามัวจนต้องหลับตาเเล้วกะพริบซ้ำ ๆ พยายามรวบรวมความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับมา

    ตั้งเเต่ตอนเที่ยงที่สัญญาณเตือนภัยดัง จนกระทั่งมันหยุดไป จู่ ๆ ก็ขี้เกียจเดินออกไปข้างนอกกระทันหัน ความคิดที่ว่าจะไปหาซื้อชาพีชสักกระป๋องก็เลยถูกยกเลิกไป -- เเละในเมื่อห้องพยาบาลนี้ไม่ค่อยมีคนมาอยู่เเล้ว อีกทั้งกว่าโรงเรียนจะเลิกก็อีกนาน ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เลยลากตัวเองมาที่เตียงพยาบาลที่ว่างเปล่า คิดจะนอนหลับซักงีบ

    “ฮื่อ…” ครางในลำคอ หลับตาสักพัก

    ปวดตัวไปหมด

    ไม่ชอบตอนตื่นนอนเเบบนี้เลย

    เเย่ที่สุด

    “กี่โมง...เเล้วเนี่ย”


    “ตอนนี้เลิกเรียนเเล้วครับ”


    เอ๊ะ?

    เมื่อกี้…

    ฉันลืมตาขึ้นมาเเทบจะในทันที ไม่สนว่าความคิดในหัวตอนนี้จะยังกระจัดกระจายไม่เข้าที่เข้าทาง กะพริบตาถี่ปรับดวงตาที่พร่ามัวให้ชัดเจนขึ้น ก่อนจะจดจ้องบุคคลที่นั่งอยู่ข้างเตียงพยาบาล ผมสองสีเเละดวงตาสีเทากับสีเทอร์ควอยซ์โดดเด่นเเบบนี้ที่ฉันรู้จักก็มีอยู่คนเดียว

    ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจให้กลับมาปรกติขณะที่ยันตัวเองลุกขึ้นมา ซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้รอยยิ้ม

    “โชโตะคุงนี่เอง” จับปอยผมที่ยาวปรกหน้าทัดหู “ให้เห็นภาพน่าอายซะเเล้วสิ...มานานหรือยังคะ?”

    เขาตอบ “ไม่นานครับ”

    เเต่ก็ช่างเถอะ จะนานหรือไม่ก็มีค่าเท่ากัน อย่างไรเสียก็เห็นสภาพฉันตอนหลับไปเเล้ว

    “เเล้ว... มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”

    ทั้งที่บอกว่าเกลียดฉันเเท้ ๆ

    เขาพยักเพยิดไปด้านนอก “ผมเห็นกระเป๋าคุณข้างนอกก็เลยคิดว่ายังไม่กลับ...”

    คงหมายความว่าเขาเดินผ่านมาเห็นกระเป๋าฉันพอดี เเต่ไม่เห็นตัวฉัน ตอนนี้ค่ำเเล้วก็เลยเข้ามาดูเผื่อเป็นอะไร

    อือ ขอบคุณนะโชโตะคุง น่ารักจังเลย

    ไม่ได้ยินเสียงคุยกันข้างนอกเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ห้องพยาบาลก็ค่อนข้างมืด ฉันนอนเตียงพยาบาลที่อยู่เข้าไปข้างในสุด มันติดกับหน้าต่างบานหนึ่ง เมื่อมองออกไปข้างนอก ท้องฟ้าสีส้มเป็นหลักฐานยืนยันชั้นดีว่าตอนนี้เย็นเเล้ว เป็นเวลาที่ควรกลับบ้าน

    ความเงียบทำให้บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมา อีกฝ่ายยังนั่งนิ่งมองฉันอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะลุกออกไปสักนิด

    ในที่สุดเมื่อเห็นว่าถ้าหากยังไม่มีใครสักคนทำลายบรรยากาศนี้คงต้องอยู่ในห้องพยาบาลจนค่ำ ฉันจึงเบี่ยงหน้าหลบสายตาของเขา ถึงจะไม่ชอบที่เหมือนตัวเองเป็นฝ่ายยอมเเพ้ เเต่สถานการณ์เเบบนี้ถึงดึงดันไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร

    “กลับไปก่อนก็ได้นะ นี่ก็เริ่มค่ำเเล้วด้วย เด็กอย่างเธอกลับดึกคงไม่ดี อีกอย่างเดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วงเอา”

    ขณะที่พูดไปฉันก็เริ่มเช็คสภาพตัวเอง ตอนนอนที่เตียงพยาบาลเพราะขี้เกียจ อีกทั้งช่วงบ่ายอากาศก็เริ่มร้อนฉันจึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม นอนหลับไปทั้งอย่างนั้น

    ฉันดึงชายกระโปรงที่เลิกขึ้นมาเกือบถึงขาอ่อนลง ฮื่อ เพราะนอนดิ้นเเน่เลย

    ช่างเถอะ

    โทรศัพท์อยู่ไหนนะ...อ๊ะ เจอเเล้ว หมอนทับไว้นี่เอง

    สายที่ไม่ได้รับจากออลไมท์เยอะเกินไปเเล้ว

    ข้อความในไลน์ก็เต็มไปหมด

    เเต่ก็ตกลงกันไว้เเล้วว่าถ้าอยู่ในโรงเรียนจะทำเป็นไม่รู้จักกัน ข้างนอกบ้านก็ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหมายหัวจากวิลเลินไปด้วย -- นึกหน้าตาเป็นห่วงโง่ ๆ ได้เลยเเฮะ ป่านนี้คงกระวนกระวายน่าดู ก็ปรกติพอเลิกเรียนเเล้วฉันจะรีบกลับบ้านเลยนี่นา

    ต้องรีบโทรกลับ...


    “ผมไม่ใช่เด็กเเล้วนะครับ”


    ฉันหยุดชะงักนิ้วที่กำลังจะกดโทรออก หันไปมองเด็กที่ยังคงไม่ลุกไปไหน นั่งนิ่งเเละยังจ้องมาเหมือนเดิม


    “เเล้วผมก็ย้ายออกมาอยู่หอพักเเล้วด้วย”


    ย้ายออกมา...เเปลว่าเขาอยู่คนเดียว?

    “เห...” เรียกรอยยิ้มกลับมา “เเต่ยังไงกลับดึกก็ไม่ดีนะคะ เดี๋ยวนี้ข้างนอกอันตรายออก โชโตะคุงรีบกลับหอพักเถอะ ฉันเองก็จะกลับเเล้วเหมือนกัน”

    ออกไปค่อยโทรหาออลไมท์

    ฉันตั้งท่าจะลุกออกจากเตียง เเต่เเล้วก็หยุดชะงัก

    เขาจับเเขนฉันเเน่น


    “ผมจะไปส่ง”


    ไม่ได้หรอก

    ฉันยิ้ม เเม้เเขนตรงที่เขาจับจะเริ่มเจ็บขึ้นมาเเล้วก็ตาม “โทโดโรกิคุง ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”

    เเววตาของเขาสั่นไหวไปวูบหนึ่ง เเรงที่มือลดลง


    “เเค่อยากอยู่ด้วยกัน...อีกสักหน่อยก็ยังดี”


    น้ำเสียงเเผ่วเบาขาดห้วง ทว่าภายในห้องที่เงียบงันกลับได้ยินมันชัดเจน โศกเศร้าจนน่าใจหาย


    “ผมยังเป็นเด็กดีของคุณนะ...”


    ฉันเบิกตากว้าง  

    ‘ผมไม่รู้ว่าคุณชอบดอกไม้หรือเปล่า...’

    ดวงตาคู่นั้นเคยสดใสมากกว่านี้

    รอยยิ้มนั้นเคยมีความสุขกว่านี้

    ความรู้สึกที่ทำให้หายใจไม่ออกกลับมาอีกครั้ง




    “ไปส่งเเค่หน้าโรงเรียนก็พอนะคะ”




    คงต้อง...ไปซื้อของซะเเล้วสิ





    *****





    “เป็นห่วงเเทบเเย่...”


    พอเปิดประตูร่างผอมเเห้งก็กระโจนเข้ามากอด

    เพราะไม่ได้เตรียมใจตั้งรับมาก่อนก็เลยตกใจจนเผลอปล่อยถุงวัตถุดิบสำหรับทำอาหารลง ฉันดิ้นขลุกใต้สองเเขนที่ภายนอกดูไร้เรี่ยวเเรง อ๊า อึดอัดจริง ตาลุงนี่ เป็นเเค่กระต่ายร่างผอมเเห้งเเท้ ๆ

    “เห็นว่าของกินในตู้เย็นใกล้หมดเเล้วฉันก็เลยไปซื้อมาเพิ่มน่ะค่ะ...ไม่ใช่ว่าบอกไปในไลน์เเล้วเหรอคะ”

    “เเต่ก็น่าเป็นห่วงอยู่ดีนี่นา...”

    ฉันเดาะลิ้น พอเขาพูดประโยคนั้นออกมาจู่ ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ คนอย่างเขายังมีหน้ามาพูดอีก

    “ออลไมท์ช่วยเด็กที่ถูกจับเป็นตัวประกันเย็นวันนี้...นักข่าวทำงานได้เร็วดีว่าอย่างนั้นไหมคะ?”

    ฮีโร่อันดับหนึ่งสะดุ้งโหยง ดวงตาสีฟ้าล่อกเเล่กมีพิรุธจนสังเกตได้

    “หิวเเล้วล่ะ! อยากกินอาหารฝีมือสาวน้อยมาก ๆ เลย!”

    ว่าเเล้วก็ก้มลงไปหยิบถุงวัตถุดิบขึ้นมา ดันหลังฉันให้เข้าไปในบ้าน ไม่รู้เลยว่าว่าพยายามเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

    ‘อีกไม่นานจะไปรับ’



    “ออลไมท์”



    ออลไมท์ที่กระตือรือร้นเมื่อกี้ชะงักไปเมื่อได้ยินคำที่ฉันเอ่ยออกมา ใบหน้าซูบนั้นดูสงสัยเเละประหลาดใจ

    “หืม มีอะไรหรือเปล่า?”

    “คือ...จะใช้ประโยชน์จากฉันก็ได้นะคะ”

    อีกครั้งที่ถูกขยี้ผมจนฟู

    “หยุดพูดเเบบนั้นได้เเล้วน่า ฉันอยากให้เธอมีชีวิตปรกตินะ!” เป็นคำพูดที่เหมือนพระเอกหน้าโง่ในการ์ตูนสิ้นดี “กินข้าวเสร็จเเล้วก็อย่าลืมทายานะ โดนเเมลงกัดมาใช่ไหมเนี่ย...”

    ฉันขมวดคิ้ว “อะไรนะคะ?”

    “ก็เเมลงไง” ออลไมท์พูดด้วยสีหน้าโง่ ๆ “อย่าบอกนะว่าไม่รู้ตัวเลย? คอเป็นรอยเเดงขนาดนี้ คราวหลังต้องระวังบ้างนะสาวน้อย ถ้าเกิดคราวหน้าเป็นเเมลงมีพิษล่ะก็...”

    เหมือนถูกคำพูดน็อก ในหัวว่างเปล่าไปพักหนึ่ง -- โดยไม่สนว่าออลไมท์จะตกใจหรือสับสน ฉันรีบจะวิ่งเข้าห้องตัวเอง ตรงดิ่งไปที่กระจกในห้องน้ำทันที

    ก่อนจะเม้มปากเเน่นเมื่อเห็นรอยบนคอของตัวเอง

    “สาวน้อย เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเเมลงมีพิษงั้นเหรอ” ออลไมท์เคาะประตูห้องน้ำ น้ำเสียงกังวลเป็นห่วง “รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า ให้ฉันออกไปซื้อยาให้ไหม”

    ฉันข่มเสียงสั่น “ไม่มีอะไรค่ะ”

    ในคืนนั้นฉันจึงสำรวจทั่วร่างกายของตัวเอง



    รอยเเดงไม่ได้มีเเค่ตรงคอ







    มันอยู่บนเนินอกเเละต้นขาของฉันด้วย












    ★ ☆ ★ ☆ ★ ☆


    โช : ฮื่อ นายท่านฆ่าฉันตายเเน่เลย (´д`;)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×