คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บางคน บางด้าน บางครั้งก็น่ารำคาญจนอยากด่าว่าไอ้เวร
[10] ห่วง
ฉันลืมตาขึ้นมาในเช้าของอีกวัน
นั่นหมายความว่าฉันยังไม่ตาย นายท่านยังไม่ได้ฆ่าฉัน เเหม ซาบซึ้งจนน้ำตาจะไหล ทั้งที่เมื่อคืนน่าจะอารมณ์ไม่ดีมากเเท้ๆ เอาเป็นว่า เพื่อมิตรภาพอันดีของเราสองคนฉันจะทำเป็นลืมๆให้ก็เเล้วกัน
เมื่อลองวาดเเขนไปพื้นที่เตียงข้างๆ มันว่างเปล่า
เขาคงตื่นก่อน
มีเสียงดังจากห้องน้ำ ดูเหมือนเขาจะอยู่ในนั้น
ฉันกะพริบตาปรับเเสง พลิกตัวขึ้นมาตอนหงาย ยกเเขนขึ้นก่ายหน้าผาก ลำคอที่ควรหายเจ็บไปเเล้วกลับมาปวดหนึบอีกครั้ง เเย่จริง ทำไมไม่ทำให้มันเจ็บครั้งเดียวไปเลยนะ
นาฬิกาข้อมือเริ่มเเสดงผลกระทบจากการที่นอนทั้งๆที่สวมมันอยู่ ข้อมือเเดงเเละปวดหนึบไม่ต่างจากลำคอ ฉันมองดูหน้าปัดที่บอกเวลาเจ็ดโมงกว่า
นิสัยเสียเริ่มทำงานในตอนเช้า รู้เวลาดีจนน่ารำคาญ ฉันรู้สึกปวดจี๊ดในหัว ความคิดเบลอไปหมด ถ้าลุกขึ้นตอนนี้คงเเย่ พาลนายท่านไปครั้งนี้อาจจะโดนหักคอจริงจัง
ทางเลือกที่ทำเเล้วปลอดภัยที่สุดก็คือหลับตารอ
เมื่อลืมตาขึ้นมา ฉันก็กลายเป็นสาวน้อยอย่างปรกติ
ขยับขาอีกนิด ยืดเส้นสายอีกหน่อย ในขณะที่เขากำลังอาบน้ำฉันฉวยจังหวะลงมาจากเตียงอย่างเเผ่วเบาที่สุด รู้ว่าสภาพตอนตื่นนอนของตัวเองถึงจะไม่ได้เเย่เเต่มันก็ไม่น่าดูเท่าไหร่ ให้คนอื่นมาเห็นน่ะไม่เอาด้วยหรอก
ในตอนที่เดินผ่านกระจกบานใหญ่ข้างตู้เสื้อผ้า ภาพที่สะท้อนบนกระจกทำให้หยุดชะงักไป มือเลื่อนมาจับคออย่างลืมตัว รอยสีเขียวม่วงจางลงไปเเล้วเเต่ก็ยังเห็นชัดอยู่
เด่นกว่านั้นคือจุดหนึ่งบนคอที่นายท่านกดลงไปเมื่อวานมันช้ำหนัก ห้อเลือด ตัดกับสีผิวชัดเจนจนน่ากลัว
‘อย่าไป’
ไม่รู้ทำไมคำพูดของโชโตะถึงผ่านเข้ามาในหัว
‘ถ้าไปจะถูกทำร้ายอีกนะ’
ดวงตาสองสีเศร้าๆ กับ น้ำเสียงสั่นเครือ วอนขอ
ฉันเดินต่อ ไม่สนภาพในกระจกอีก
นายน้อยจะหายโกรธหรือยังนะ
….
…….
ประตูไม่ได้ล็อก
ฉันเลิกคิ้ว เเปลกใจนิดหน่อยเพราะมันไม่ตรงกับที่คิดไว้ เมื่อคืนก็ล็อกไว้ดีอยู่นี่ นี่เขาหายโกรธจริงๆเหรอ
ไม่ได้ยินเสียงอะไรมาจากในห้อง ฉันเปิดประตูเข้าไป หรี่ตาลงเมื่อในห้องมันค่อนข้างมืดเพราะไม่ได้เปิดม่านออก เเสงในห้องเเทบไม่มีสักนิด ห้องสดใสของสาวน้อยตอนนี้เเทบไม่ต่างจากฉากในหนังผี
พอมองไปบนเตียงที่เคยเป็นของฉันก็เห็นผ้าห่มเป็นก้อนอยู่ เท้าที่โผล่พ้นออกมาทำให้รู้ว่านายน้อยอยู่ในผ้าห่มนั้น นอนหันหลังให้ฉันอีกต่างหาก -- น่ะ น่ากลัวนิดหน่อยนะเนี่ย
ฉันเดินไปเปิดม่านให้เเสงเข้ามา อย่างน้อยก็ให้ห้องดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย บรรยากาศอะไรเป็นใจต่อการง้อ ความอึมครึมมืดหม่นเมื่อกี้เกือบทำฉันออกจากห้องไปเเล้ว
เนื่องจากสภาพตอนนี้ไม่น่าดูเท่าไหร่ ฉันเข้าไปในห้องน้ำ จัดการทำธุระอะไรกับเเต่งผมให้เรียบร้อย หันมองในกระจกด้านไหนก็ดูเป็นคนน่ารัก ค่อยมั่นใจขึ้นมาหน่อยว่าเขางอนไม่ลงเเน่
จากนั้นฉันเดินไปที่เตียง นั่งลงบนพื้นที่เตียงข้างๆ นายน้อยอยู่ในผ้าห่มล่ะ คลุมโปงเเบบนี้หายใจออกหรือเปล่าเนี่ย ฉันส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ มือวางบนผ้าห่มตรงส่วนที่น่าจะเป็นศีรษะของเขา
“โทมูระคุง เมื่อวานฉันผิดไปเเล้ว ออกมาคุยกันหน่อยได้ไหม” ฉันหัวเราะเเห้งๆ “นายน้อย ฉันสำนึกผิดเเล้วจริงๆ ออกมาจากผ้าห่มนี่เเล้วมาคุยเรื่องโทษของฉันดีหรือเปล่า? พี่สาวยอมหมดเลย นะ”
เขาขยุกขยิกนิดหน่อย
จากนั้น เรือนผมสีฟ้ายุ่งๆก็โผล่ออกมาจากผ้าห่ม ตามด้วยมือเล็กๆ สุดท้ายคือดวงตาสีเเดงเเละใบหน้าของเขา
เขาหรี่ตามองฉัน สังเกตตรงคอเป็นพิเศษ
ก่อนจะเเค่นเสียงหึออกมา
“ไม่เห็นสำนึกผิดสักนิด”
หน้าไม่พอใจ น้ำเสียงเหวี่ยงๆ
ฉันพยายามจะทำหน้าเศร้าเเต่ก็ไม่เป็นผล เผลอยิ้มเเป้นออกมาจนได้ เเหม ไม่ได้เห็นหน้าตั้งนาน คิดถึงจังเลย
“เมื่อวานเหงาหรือเปล่า? ฉันกลับดึกก็เลยไม่ได้เข้ามานอนด้วย ขอโทษนะ”
เเม้ว่าสาเหตุที่เเท้คือเขาล็อกห้องไม่ให้ฉันเข้าไปก็ตาม เเต่ก็เอาเถอะ ขืนพูดไปมีหวังเละเเหงๆ
“ไปทำอะไรมา” เขาเบี่ยงหน้าหลบมือฉันที่คิดจะจับเเก้มยุ้ยๆ หรี่ตา จ้องจับผิด “ถ้าคิดทำอะไรบ้าๆฉันจะ….”
ดูเหมือนว่ายิ่งพูดถึงเมื่อวานเขาจะยิ่งหงุดหงิด ท่าทางเหมือนจะกระโดดมางับหัวฉันเต็มที่ อันตรายๆ ไม่ต้องรอให้เขาพูดจบฉันก็รีบขัดขึ้นมา ปั้นรอยยิ้ม ในหัวกำลังคิดหาคำพูดที่ฟังดูเข้าท่าอยู่
“เเค่งานพิเศษนิดหน่อย คือว่าพี่สาวต้องการเงินสำรองเผื่อใช้ชีวิตอะไรพวกนี้ไง” ฉันยิ้มกว้าง ไม่มีอะไรผิดปรกติ
“ไปลาออกซะ หยุดทำ” เขามุ่ยหน้า ไม่พอใจสุดๆ “ตอนนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไรไม่ใช่หรือไง”
อย่าพูดเเบบนี้สิ พี่สาวลำบากใจนะ
น้องน้อยฉันก็ทิ้งไม่ได้ด้วยสิ เด็กน่ารักขนาดนั้น
“น่านะ...เข้าใจฉันหน่อยสิโทมูระคุง” ฉันหัวเราะเเห้งๆ เเทบจะเกยตัวไปบนเด็กน้อยตรงหน้า “บางอย่างถ้าไม่พยายามทำด้วยตัวเราเองก็ไม่มีความหมายสิ ให้คนอื่นทำให้ก็ไม่ได้ด้วย คือฉันไม่อยากได้ของเเบบนั้นอ่า”
เขาจิ๊ปากอย่างรำคาญ มือพยายามผลักฉันออก
“ไปไกลๆ!”
น้ำเสียงก้าวร้าวสุดๆ เเต่เพื่ออนาคตอันใกล้เเล้ว ฉันคงทำให้สิ่งที่คิดไว้พังไม่ได้
“นะ นะ ไม่โกรธเนอะ”
ฉันออเซาะสุดๆ ถ้านี่เป็นนายท่านนะฉันตายไปเเล้ว
ในที่สุดเขาก็ผลักฉันออกจนได้ เเบบถ้าตั้งหลักไม่ทันก็เเทบล้มเเหน่ะ ตกใจเเทบเเย่ เเรงเยอะผิดคาด
“พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ” เขาพูดปนหอบหายใจ เมื่อมองหน้าฉันน้ำเสียงยิ่งทวีหงุดหงิดขึ้น “หึ กะจะไม่ให้ปฏิเสธอยู่เเล้วนี่”
ก็นะ ถึงปฎิเสธไปผลก็เหมือนเดิมนั่นเเหละ ฉันไม่ได้มาขออนุญาตซะหน่อย เเค่มาบอกให้เขาเข้าใจ วันหลังเผื่อฉันหายไปจะได้ไม่ต้องล็อกห้องหรือโกรธอีก
ไม่อยากนอนกับนายท่านเเล้ว เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ
ทั้งๆที่ฉันก็เป็นเด็กดีน่ารัก ไม่หัดถนอมบ้างเลย
ไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด ถึงมีกล้ามก็เป็นข้อยกเว้น
“ตกลงไม่โกรธเนอะ คืนดีกันเเล้วนะ”
ดวงตาสีเเดงจ้องมา ไม่ถึงนาทีก็ละออกไป มือข้างหนึ่งผลักฉันที่ขวางทางออกก่อนที่จะลงจากเตียง
มองเเผ่นหลังเล็กที่ห่างออกไปเเล้ว ฉันเอนตัวลงนอนเเผ่บนเตียงของตัวเอง คว้าหมอนนุ่มเเถวนั้นมากอด เห ตกใจนิดหน่อยนะเนี่ย ทำไมมองด้วยสายตาเเบบนั้นล่ะ เย็นชาซะจนใจหายเลย
ฉันบุ้ยปาก กลิ้งตัวไปมา
เมื่อกี้เหมือนเห็นน้องไคซ้อนทับขึ้นมาเเวบหนึ่งเลย
เย็นชาจนจะเเข็งตายเเล้ว ฮึก หัวใจสาวน้อยบอบบางนะ เด็กพวกนี้ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าทำฉันมีบาดเเผลทางใจ
ฉันซุกหน้ากับหมอน คิดในใจว่าถ้ามีโอกาสเหมาะๆจะเเกล้งงอนสักครั้งดีไหมน้า ให้เขามาง้อบ้าง เด็กวัยนี้เวลาพยายามง้อเเล้วน่ารักจะตายไป ตัวเล็กๆ ตาใสเเป๋ว ถ้าถูกง้อเเบบนั้นคงกู่ไม่กลับเเน่
เเต่คิดไปคิดมา อือ ไม่เอาดีกว่า
เด็กเวลาสำนึกผิดก็น่ารักดี เเต่เขาก็ไม่มีความสุขใช่ไหมล่ะ เห็นเเล้วปวดใจ ทนเเกล้งต่อไปไม่ได้หรอก
ฉันนอนนิ่งอย่างไม่มีอะไรทำ
ในห้องไม่มีทีวี คอมพิวเตอร์ก็ไม่มี เเต่ถึงมีไปก็ไม่รู้จะเปิดทำไม มีเเต่ข่าวฮีโร่เดิมๆ กับพวกผลงานฮีโร่
อยู่ดีๆก็นึกถึงหนังสือจุดจุดจุดคุงเล่มนั้นขึ้นมา
ถึงจะหวานเลี่ยนเเต่เนื้อเรื่องโดยรวมก็ไม่ได้ห่วยเเตกอะไร ตอนจบก็ไม่ได้อ่านด้วยสิ ค้างคาใจจัง เเต่ก็นะ นานขนาดนี้เเล้วจะถูกทำลายหรือเปล่าเถอะ หรือบางทีอาจจะนำไปทำเป็นหนังสือสาปเเช่ง…
เอ่อ
ไม่หรอกมั้ง เด็กคนนั้นน่ารักจะตาย
ฉันนอนกลิ้งไปมาอีกสักสองสามรอบ เเทบจะหลับเเต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าต้องรอนายน้อยออกจากห้องน้ำก่อนนี่
อ่ะ กลิ้งไปมาอีกสักรอบก็ได้ เเต่อาบน้ำนานจังน้า เงียบๆด้วย พอมองนาฬิกาข้อมือตอนนี้ก็บอกเวลาเกือบเเปดโมงเเล้ว นึกย้อนไป ครั้งเเรกที่เขามาขออยู่ด้วยตอนนั้นเขาก็ไม่ได้อาบน้ำนานขนาดนี้หรือเปล่า
อยู่ดีๆก็นึกถึงฉากในนิยายขึ้นมา
ถ้านางเอกหายไปนานขนาดนี้เเล้วพระเอกยังไม่สะกิดใจอะไร พอเกิดเรื่องขึ้นมาภายหลังจะโดนด่าว่าโคตรโง่
ฉันมองดูเวลาอีกครู่หนึ่ง ผ่านไปก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมาจากในห้องน้ำสักนิด ฉันลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเคาะประตูสองสามครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
เเกร๊ก!
นึกถึงอัตลักษณ์ปลดล็อคอะไรสักอย่าง จะว่าไปเเล้วก็เเอบน่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าลองเจ้าของเป็นพวกหื่น ความคิดไม่ปรกติ หรือนักโทษอันตรายๆพวกนั้น ถ้าฉลาดหน่อย คิดเเล้วก็เเอบขนลุกขึ้นมา
กลิ่นครีมอาบน้ำกับน้ำมันหอมระเหยลอยคลุ้ง ในห้องน้ำค่อนข้างอบอ้าวเเละชื้นนิดหน่อย สาเหตุหนึ่งคงมาจากการเปิดน้ำอุ่นทิ้งไว้ในอ่าง ดูจากกระจกที่ขึ้นฝ้านั่น
ฉันเดินเข้าไป ในที่สุดก็เจอเหตุผลที่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับอะไรเลย
นายน้อย อ่า เขาหมดสติ
ในอ่างที่ยังเปิดน้ำอุ่นทิ้งไว้ น้ำมันหอมระเหยที่ซื้อมาสำหรับคลายเครียด กับกองเสื้อผ้าตกอยู่ข้างๆอ่าง เขาหลับตา ร่างกายเเดงไปหมด ยังดีที่เเขนข้างหนึ่งของเขาพาดไว้ที่ขอบอ่างทำให้หน้าไม่จมลงไปในน้ำด้วย
ฉันปิดก๊อกน้ำ จากนั้นหันไปมองเขาอีกครั้ง
เขาถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำเเล้ว เปิดน้ำอุ่น นอนเเช่อย่างสบาย เเต่เพราะความร้อนก็ทำให้สภาพเป็นอย่างนี้ -- น่าจะนะ ฉากในพวกการ์ตูนมีอย่างนี้เยอะใช่ไหมล่ะ เเบบว่าทำกันในบ่อน้ำร้อน
ในเวลานี้ฉันควรจะกรี๊ด ทำท่าทางเขินอาย หรือเอามือมาปิดหน้าไว้สักหน่อยให้สมกับที่ว่าเป็นสาวน้อย
เเต่ก็...เเต่ก็ทำไปเเล้วได้อะไร
ฉันรีบออกจากห้องน้ำ เดินไปหาผ้าขนหนูผืนใหญ่ๆพอคลุมตัวเขามาเเละกลับเข้าห้องน้ำ พยุงตัวเขาขึ้นมาจากอ่าง ไม่ลืมที่จะเปิดน้ำล้างเอาฟองบนตัวกับเเชมพูบนผมออกให้อีกสักรอบ จากนั้นก็คลุมตัวเขาด้วยผ้า
เห็นหมดเเล้วล่ะ
ตอนนี้อย่าพึ่งไปสนใจว่าทำไมเเรงน้อยนิดของผู้หญิงตัวบางๆถึงได้เเบกเด็กผู้ชายออกมาได้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
ก็เเค่ตอนนี้ เดี๋ยวพอเขาตื่นเมื่อไหร่ฉันก็อ่อนเเอเอง
รู้สึกร้อนนิดหน่อย คงเพราะความชื้นในห้องน้ำ
ฉันหาผ้าขนหนูมาอีกหนึ่งผืน เริ่มเช็ดผมสีฟ้าเปียกชื้นให้เเห้งหมาด จากนั้นก็ซับหยดน้ำที่เกาะตามร่างเล็กๆ ผิวที่มีริ้วรอยบางทีอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากอัตลักษณ์ของเขา
น่าเศร้าจนอยากร้องไห้ เเต่ก็จนใจที่ขี้เกียจเกิน
ลองเอามือเเตะๆตามตัวเขา อังที่หน้าผาก อุณหภูมิที่เเผ่ออกมาทำให้อดขมวดคิ้วไม่ได้ อยากจะร้องสบถออกมาจริงๆ เเต่คำหยาบก็ไม่น่าจะเหมาะกับสาวน้อย
เขาน่าจะเป็นไข้
โรคที่มนุษย์อ่อนเเอต้องเป็นสักครั้ง อาการ คือ ปวดหัว หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว ถ้าอิงเพิ่มจากฉากในการ์ตูนบางเล่มคืออาจะมีอาการละเมอ เพ้อ ออดอ้อน บางครั้งก็เป็นอีเว้นต์สารภาพรักหรือสานสัมพันธ์อะไรพวกนั้น
ฉันใช้พลังกับไอ้อาการนี่ไม่ได้
เเม่งลำบากทั้งคนป่วยเเละคนดูเเล
เปลือกตาเริ่มขยับ
เขาเหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้างเเล้วหลังจากที่นอนไปอยู่นาน ฉันเก็บอาการ พยายามไม่ให้ยิ้มด้วยความดีใจ อย่างน้อยตื่นขึ้นมาก็ดีกว่าสลบใช่ไหมล่ะ ให้ดูเเลคนสลบก็ไม่ไหวหรอกนะ
“โทมูระคุง” ฉันเเตะมือบนหน้าผากเขา มองอย่างเป็นห่วง “เป็นไข้ทำไมไม่บอก รู้ไหมถ้าฉันไม่สะกิดใจเข้าไปช่วยจะเป็นยังไง มันอันตรายนะรู้ไหม”
เขาหลุบสายตาลง สำรวจตัวเองก่อนจะนิ่งเงียบ เเต่อะไรสักอย่างก็ทำให้รู้ว่าเขากำลังรู้สึกผิดอยู่
อืม เด็กรู้สึกผิดเเบบนี้ไม่เห็นน่าดีใจเลย อย่างที่คิด ใจมันอ่อนยวบไปหมด จะให้ทำหน้าเป็นโกรธก็ไม่ได้เเล้ว
“เดี๋ยวไปหยิบเสื้อผ้ามาให้นะ เธอเอาไปใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าเเล้วใช่ไหม”
ตอนที่กำลังจะเดินไปหยิบก็ได้ยินเสียงร้องห้ามเเผวเบาดังขึ้น เขาเหมือนจะอับอาย ท่าทางอยากจะเดินตามมาห้ามด้วยซ้ำเเต่คงติดที่ตอนนี้ไม่มีเเรง สุดท้ายก็เลยมุดตัวเองไปหลบอยู่ในผ้าห่ม
เสื้อสีดำตัวโคร่ง กางเกงที่คล้ายจะเป็นกางเกงวอร์ม...เเล้วก็ชั้นใน
ตอนที่ยื่นให้เขาหน้าเเดงก่ำไปถึงหู ดูอับอายมากเลยล่ะ
ในผ้าห่มขยุกขยิก ข้างนอกนั่นเขาคงไม่เห็นว่าฉันกลั้นขำขนาดไหน เด็กๆนี่น่ารักจังเลย ทำอะไรก็น่ารักไปหมด
เขาออกมาเเล้ว เเม้จะทำหน้านิ่งเเค่ไหนเเต่ฉันก็รู้อยู่ดี ใบหูเขายังเเดงอยู่เลย
ฉันถอนหายใจ มองเขาที่นอนหันหลังให้
“เป็นไข้ทำไมไม่บอก”
“เธอไม่สนใจเอง”
เอ๋ คำตอบกับท่าทางต่างจากตอนเเรกเลย
“อืมๆ พี่สาวผิดเอง” ฉันหัวเราะเเห้ง ขยับไปใกล้อีกนิด
“...ฉันออกไปข้างนอก...อากาศเย็น...” เสียงของเขาคล้ายว่าจะพึมพำมากกว่าการอธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เเต่เเค่ได้ยินเสียงเเหบๆเเล้วฉันก็ยอมหมด
“อืมๆ” ฉันลูบผมเขา ปลายนิ้วสางกลุ่มผมยุ่งโดยที่เขาไม่ได้ปัดมือฉันออก
“คุโรกิริกลับดึก...หิว”
“อือ”
“เเล้วเธอก็กลับดึก”
“ขอโทษนะ ความผิดของฉันเอง ต่อไปจะดูเเลดีๆเลย” ฉันยิ้มเเหย ยอมรับทุกข้อกล่าวหา “เเต่คราวหลังถ้ารู้ว่าไม่สบายเเบบนี้ต้องบอกนะ พี่สาวเป็นคนโง่ ไม่ค่อยสังเกตดูคนอื่นด้วย โทมูระคุงไม่บอกก็ไม่รู้หรอก”
ประโยคตอนที่ด่าตัวเอง เขาหัวเราะเสียงเเหบๆ ในที่สุดก็หันมาเผชิญหน้าฉันตรงๆ
“ยัยโง่”
น้ำเสียงดูพออกพอใจชัดเจนเลย
“อือๆ ถูกต้อง โง่มาก”
“โง่มาก...โง่มาก”
เขาพึมพำเหมือนพูดตาม พร่ำเพ้อ
รอยยิ้มมุมปาก ดวงตาปรือลง
“โง่...ลืมยาอยู่บนโต๊ะ”
ฉันเลิกคิ้ว หยุดชะงัก
ประโยคคล้ายๆใครเลยหรือเปล่า
“หิวเเล้ว”
เเต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรเขาก็ขัดขึ้นมา
“ได้ๆ เดี๋ยวพี่สาวจะไปทำข้าวต้มให้นะ”
ฉันลูบหัวเขาด้วยความรู้สึกเหมือนจะละลาย
ไม่ต้องบอกเลยว่ารีบวิ่งเเจ้นไปครัวขนาดไหน
เเละ
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
มารร้าย
ฉันเเทบจะสะดุดล้มเมื่อได้ยินเสียงนั้น
คุโรกิริอยู่เเถวๆเคาน์เตอร์บาร์ กำลังผสมน้ำอะไรสักอย่างที่ดูเเล้วน่าจะเป็นพวกเเอลกอฮอล์ เห เเต่เช้าเลยนะ เเล้วนี่รู้เรื่องนายน้อยป่วยหรือเปล่า อยากจะทำหน้าเหม็นเบื่อจังเลย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
ฉันตอบกลับไปก่อนจะเดินอย่างอ่อนล้าเข้าครัว ทำข้าวต้มอย่างที่เคยด้วยร่างไร้วิญญาณ รู้สึกว่าการยิ้มวันนี้กินเรี่ยวเเรงมากกว่าปรกติ ทำไมกันนะ เพราะกลิ่นไอมารใกล้ๆนี่หรือเปล่า
ลองฟุดฟิดดมข้าวต้มในหม้อ ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ทำอะไรน่ะครับ”
“อ๋อ”
ฉันชี้ไปที่หม้อข้าวต้ม ยิ้ม
“เเค่ทดสอบนิดหน่อยน่ะค่ะว่าข้าวต้มยังดีอยู่ ไอมารร้ายเเถวนี้มันเข้มข้นน่ะ ถ้าติดมาเเล้วเผลอกินไปก็เเย่เลย”
เเก้วเเอลกอฮอล์เมื่อกี้ถูกยกดื่มจนหมด
ก่อนจะวางกระเเทกกับเคาน์เตอร์
เมาหรือไง
“คิดมากเกินไปเเล้วครับ”
“อ่ะ เมื่อกี้ไอมารเข้มข้นขึ้นอีกเเล้ว”
ผักโรยนิดหน่อย
มีดบาดมือ อืม ไอมารน่ากลัวจริงๆ
“เอาเรื่องผิดคาดนะครับ ฮะฮะ”
“กับคนที่ถูกชะตาก็ไม่เป็นอย่างนี้หรอกค่ะ ฮะฮะ”
ในที่สุดข้าวต้มก็เสร็จ
“ชิการาคิ โทมูระป่วยหรือครับ”
“ค่ะ”
“การรักษาไปถึงไหนเเล้วครับ”
“ดีกว่าเเต่เดิมเยอะเลยค่ะ” ถอนหายใจ “เเต่ว่าฉันนี่สิ ดูเหมือนจะเเย่ลง วันหลังคงต้องไปหาพวกเครื่องรางขจัดไอมารมาเเล้วมั้ง”
ถาดรองชามอยู่ไหนนะ
นี่ไง เจอเเล้วๆ
“กัดไม่ปล่อย...”
อย่าคิดว่าพึมพำเเล้วจะไม่ได้ยินนะ
ไปนอนไป
“ทายาหรือยังครับ”
มือที่กำลังหยิบเเก้วน้ำหยุดชะงัก
“ยังค่ะ”
จะว่าไปเเล้ว...
“ใครเป็นคนซื้อมาเหรอคะ?”
การขยับทุกอย่างหยุดลงตรงนั้น
คล้ายได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ เหมือนว่าคนกำลังสนุก นั่นทำให้รู้ว่าฉันพลาดเเล้วที่เเสดงความรู้สึกออกไป
“ไม่รู้สิครับ”
ฉันหรี่ตา กระตุกรอยยิ้ม
“นิสัยไม่ดีเลยนะคะ”
เขาเริ่มผสมเเอลกอฮอล์ในเเก้วอีกครั้ง
เเทบจะได้ยินเสียงฮัมเพลง อารมณ์ดีมากไหม
“เฉพาะกับคนที่ไม่ถูกชะตา...ล่ะมั้งครับ”
อ่ะ
เมื่อกี้เกือบขว้างเเก้วไปเเล้วสิ
....
.......
ข้าวต้มเหลืออีกครึ่ง
ท่าทางเขาดูจะไม่อยากกินต่อเเล้ว ดูจากการที่นอนหันหลังให้ เเม้จะเรียกให้มากินต่ออีกนิดก็มีเเต่พึมพำ ‘ไม่เอา ไม่อยากกินเเล้ว’ ซ้ำๆ เเล้วจะให้บังคับได้ยังไง
ฉันถอนหายใจ วางชามข้าวต้มไว้บนโต๊ะข้างๆ ก่อนจะทรุดนั่งลงบนเตียง เอาเถอะ คิดในเเง่ดีอย่างน้อยถึงเขาจะดูไม่ได้ชอบข้าวต้มนักเเต่ก็ยอมฝืนกินไปตั้งครึ่งนึง
“โทมูระคุง ลุกมากินยาก่อน”
“อือ”
อะไรน่ะ ลุกขึ้นมาให้เเต่สีหน้าไม่ยินยอมชัดๆ
ฉันเเกะยาลดไข้ออกมาสองเม็ด ไม่ได้ไปซื้อเองหรอกเเต่คุโรกิริให้มา เห็นท่าทางไม่ได้เรื่องอย่างนั้นก็พอมีดีอยู่บ้างนี่นา เยี่ยมๆคุณพ่อบ้าน เเต่ถึงนี่จะเป็นยาพิษเเอบเเฝงมาฉันก็ไม่ได้กินเองหรอก หายห่วง
ฉันส่งยาไปให้ ส่วนเขาก็รับไม่ไม่อิดออด
เเต่พอฉันหันไปเอาเเก้วน้ำมาเท่านั้นล่ะ
“อ๊ะ ยาหายไปเเล้ว”
ยาในมือเขามันสลายเป็นผุยผงเลย
เขาเเบมือออกให้เห็นซากยา ทำหน้าตาเหมือนไม่รู้เรื่อง เฮ้ ฉันเห็นนะน้องชาย ตอนที่ฉันไปหยิบเเก้วน้ำนายเเอบกำมือใช่ไหม อย่าใช้อัตลักษณ์เเบบนี้สิ
“ไม่ได้ตั้งใจสินะ ไม่เป็นไรๆ” ฉันยิ้ม เเกะยาในเเผง “งั้นเดี๋ยวพี่สาวป้อนเเล้วกันเนอะ”
เเวบนึงเห็นเขาเบ้หน้าด้วยล่ะ
“เอ้า อ้าปากหน่อย”
ฉันยิ้มพอใจ เอ๋ ก็ยอมทำตามนี่นา…
ซะเมื่อไหร่ล่ะ
“อย่าอมยาไว้เเบบนั้นสิ”
เขาเงยหน้ามองฉัน เเละ…
คายยาในปากออก
ฉันมองเศษซากยาด้วยหน้าไร้อารมณ์สลับกับมองเด็กดื้อที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จ้องตาเเป๋ว เอียงคอ เหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ก็เธอบอกไม่ให้อมยา ฉันก็ทำตามเเล้วนี่ไง’
“ฮะฮะ”
ฉันหัวเราะ เริ่มเเกะยาในเเผงใหม่อีกครั้ง
“ต่อไปพี่สาวจะป้อนด้วยปากเเล้วนะ”
ฉันยิ้ม ดวงตาหยีลง
คิดจะถอยหนี ฉันจับเเขนเขาไว้เเน่น เอาสิ
“นี่ครั้งสุดท้ายเเล้วนะ อ้าปาก”
หื้ม
ก็เชื่อฟังดีนี่นา
….
……
จนจะบ่ายโมงเเล้ว
ฉันมองนาฬิกา ผ่อนลมหายใจขณะเอนตัวนอนในอ่างอาบน้ำ สูดกลิ่นน้ำมันหอม รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
กว่านายน้อยจะยอมอยู่นิ่งๆได้ก็ทำเอาเมื่อยไปหมดเลย เดี๋ยวสักพักเขาก็เดินไปนู่นนี่ ละสายตาเเป๊บเดียวก็ไปนอนฟุบอยู่พื้น เดี๋ยวก็อยากเล่นเกมนู่นนี่ วิญญาณฉันเเทบจะหลุดออกมาเเล้ว
ฉันพาดเเขนกับขอบอ่าง ปล่อยให้ตัวลงจมน้ำจนมาถึงคอ เงยหน้ามองเพดาน
ข้าว เช็ค
ยา เช็ค
เเค่นี้ก็น่าจะครบเเล้วมั้ง
ลุกขึ้นจากอ่างอย่างเกียจคร้าน ถึงจะสายไปหน่อยก็เถอะ เเต่ถ้ามีเหตุผลคงได้รับความปราณีอยู่มั้ง หวังว่าคงไม่โดนไล่ออกนะ เเบบนั้นช้ำใจตายเลย
ฉันคิดถึงหน้าฮีโร่อันดับสองขึ้นมา สมัยที่ความคิดยังไม่ถูกชำระล้างคงน่ากลัวน่าดู อืม ความคิดที่จะหยิบเสื้อผ้าทะมัดทะเเมงออกมาต้องถูกพับเก็บไปด่วน ให้เป็นคู่ต่อสู้กับน้องน้อยน่ะเอาด้วยหรอก
เเค่คิดใจก็เหมือนถูกทุบเเล้ว
ในที่สุดก็เลือกชุดเดรสสีอ่อนมา คาร์ดิเเกนสวมทับอีกชั้น อ๊ะ ยังมีชุดนอนของสาวเเว่นคนนั้นที่ยืมมาอีก ต้องทำความสะอาดเเล้วเอาไปคืนด้วย -- ดีดนิ้วไปเป๊าะนึง กลิ่นหอมเอาเป็นขนมเเล้วกัน
ถุงลายน่ารักๆเอาไปเก็บไหนนะ อ๊ะ นี่ไงๆ
เรียบร้อย
เฮ้อ ยุ่งยาก เเต่ก็เอาเถอะ
ฉันเดินไปหยิบโทรศัพท์สองเครื่องมา ช่วงว่างๆก็ลองทำอะไรหลายอย่างดู อย่างเช่น เมมเบอร์โทร เกมสำหรับนายน้อย เมลล์ส่งบ้าง ก็ใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาอะไร เเต่ฉันก็มักจะลืมเอามันติดตัวไปด้วยอยู่บ่อยๆ
“โทมูระคุงอยากได้อะไรก็เมล์มานะ” ฉันส่งมือถือไปให้คนที่นอนนิ่งบนเตียง “เดี๋ยวจะซื้อมาให้”
เขาหันมามองฉัน เเก้มเหมือนจะป่องขึ้นมา
“ไปเเล้วเหรอ”
“อ่า ใช่” ฉันหัวเราะเเห้ง “เเต่ไม่กลับค่ำหรอก ทิ้งเธอไว้คนเดียวไม่ได้...” อยากจะต่อไปอีกว่า ‘คุโรกิริก็ไม่รู้จะพึ่งได้หรือเปล่า’ เเต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ เผื่อตอนนี้เขามาเเอบฟังหน้าประตูก็เเย่เลย
“เมล์ไปจะอ่านหรือเปล่า”
“ก็ต้องอ่านอยู่เเล้วสิ”
เขาเก็บโทรศัพท์ไว้ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมเเล้วนอนหันหลังให้ ฉันได้เเต่ยิ้มเเห้งไปกว่าเก่า อะไรอีก งอนเหรอ
“อย่าลืมที่พูด”
เสียงดังลอดมาจากผ้าห่ม
มันค่อนข้างอู้อี้เลยจับอารมณ์ไม่ออก บางทีอาจจะเป็นประโยคธรรมดาหรือไม่ เเต่บรรยากาศนี่อึมครึมจังเลย
“น่าๆ ไม่ลืมๆ” ฉันลูบผมเขาผ่านผ้าห่ม ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง “ไปเเล้วนะ อย่าดื้อล่ะ”
เสียงเงียบไป ฉันถอนหายใจ
“ผ้าพันคอ...ในตู้เสื้อผ้า...”
ก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะตอบกลับมาหรอก
“สภาพนั้น...ปิดหน่อยก็ดี...”
เเต่ก็ผิดจากที่คาดไว้นิดหน่อย
ฉันนิ่งไป เผลอจับคอที่ยังเป็นรอยของตัวเอง
“อืม”
วินาทีนั้นคิดคำหลอกลวงไม่ออกเลย
…
…....
[Todoroki Shoto]
ที่ฟูกนอนว่างเปล่า
ความเย็นทำให้รู้ว่าคนที่เคยอยู่ออกไปนานเเล้ว
ไม่น่าเเปลกใจ เเต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมสายตาตอนตื่นนอนวันนี้เหมือนจะพร่ามัวกว่าทุกวัน
โทโดโรกิ โชโตะนอนนิ่งอยู่สักพักก่อนที่จะลุกขึ้น มองดูสภาพตัวเองถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนขยับห่างจากฟูกของตัวเองมาไกล ทั้งตัวเเทบจะเกยขึ้นมาบนฟูกที่นอนของเธอคนนั้น
‘โชโตะคุง’
เมื่อนึกถึงรอยยิ้มเเละน้ำเสียง
อยู่ดีๆก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมา
“เอ๋ โชจังไปเเล้วเหรอ?”
พี่ฟุยูมิทำหน้าเสียดายออกมา
“กะว่าจะชวนมากินข้าวเช้าด้วยกันเเท้ๆ นัตสึโอะก็อยู่ด้วย เมื่อวานไม่ค่อยได้คุยกันเลย”
บนโต๊ะอาหารประกอบด้วยครอบครัว -- ซึ่งไม่มีพ่อ
หรือถ้ามี วันนั้นคงไม่มีเขาหรือพี่นัตสึโอะ
เขานั่งกินข้าวไปเงียบๆ บางครั้งก็มองดูข่าวบนโทรทัศน์บ้าง ส่วนมากจะเป็นเรื่องฮีโร่ การปราบวิลเลิน เเละออลไมท์ ถึงวันนี้จะมีการพูดถึงข่าวความเคลื่อนไหวของวิลเลินปนมาบ้าง เเต่โดยรวมก็ปรกติอย่างทุกวัน
“โชจัง? พี่ไปสนิทกับเธอตอนไหนน่ะ”
พี่นัตสึโอะถาม ดูอยากรู้เเปลกๆ
“ก็เมื่อวาน...”
ข่าวฮีโร่จบลงไปเเล้ว
ดวงตาสองสีมองนาฬิกา เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เขาเอ่ยขึ้นมา “พี่ครับ...โรงเรียน”
พี่ฟุยูมิดูเวลา จากนั้นร้องขึ้นมา “ว้าย! จะสายเเล้วนี่ นัตสึกับโชโตะต้องรีบไปเรียนไม่ใช่หรือไง”
“พี่ยังพูดไม่จบเลยนะ!” พี่ชายครวญ
“ไว้ทีหลังนะนัตสึ”
ความวุ่นวายในเช้าที่ไม่มีพ่อ
ถ้าไม่มีเรื่องของเธอในบทสนทนาก็เหมือนทุกวัน
‘โรงเรียน’
คำนี้สำหรับเขาเเล้วคือสถานที่วุ่นวายอันดับหนึ่ง
“เธออายุประมาณพี่หรือเปล่า”
รองลงมาอาจจะเป็นพี่นัตสึโอะที่กำลังถามถึงเธอคนนั้นตลอดทาง
ระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียนไม่ได้มากนัก ปรกติพี่ก็จะเดินไปส่งจากนั้นก็เลยไปโรงเรียนตัวเอง
‘ใจดีไหม’ บ้างล่ะ
‘น่ารักหรือเปล่า’ บ้างล่ะ
‘เธอชอบคนเเบบไหน’ บ้างล่ะ
ความจริง เขาไม่ค่อยสนิทกับพี่น้องเท่าไหร่
อาจจะเป็นเพราะในอดีตที่ถูกจับเเยก ชีวิตวัยเด็กมีเเต่เเม่เเละการฝึกวนเวียนกันอยู่สองคำ มาได้อยู่กับพวกพี่บ้างก็หลังจากที่เเม่จากไป ช่วงนั้นเขาเคว้งเเละอาละวาดเกือบบ้าจนพ่ออนุญาตให้มาอยู่กับคนอื่นได้นั่นล่ะ
นึกถึงตอนที่คอยเเอบมองพวกพี่เล่นด้วยกัน เขาเคยคิดว่ามันคงดีถ้าที่ตรงนั้นมีเขาเพิ่มไปด้วย
ที่พ่ออนุญาต ชีวิตที่เป็นอยู่เเบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ดี
ผิดไปอย่างเดียว เขาเคยคิดว่าตัวเองจะดีใจจนเนื้อเต้น เเต่ก็ไม่ ความรู้สึกมันว่างเปล่าเเละเฉยชากว่าที่คาดไว้
“นี่ โชโตะ -- เหม่อไปไหนน่ะ”
เขาหันไปมองพี่นัตสึโอะ “ไม่ได้เหม่อ”
“อ้อ” เเต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังเลย รอยยิ้มโง่ๆปรากฎบนหน้า “ได้ถามหรือเปล่าว่าวันนี้เธอจะมาไหม”
“ไม่ได้ถาม”
“ไม่ได้ถามเลยเหรอ”
โชโตะถอนหายใจ เป็นครั้งเเรกที่เขานึกอยากให้ไปถึงโรงเรียนเร็วๆ หลายร้อยคำถามจากพี่ชายทำเอาเวียนหัวไปหมด ทั้งที่ปรกติก็ไม่ได้พูดมากขนาดนี้เเท้ๆ
“ถ้าเจอเธออีกพี่ก็ถามสิ พวกเบอร์โทร?”
“งะ งั้นเหรอ” พูดเสียงตะกุกตะกักอย่างไม่เคยเป็น รอยยิ้มดูเหมือนจะโง่ขึ้นมาอีกหลายระดับ “ตะ เเต่เธอจะให้หรือเปล่า ถ้าไม่ให้ล่ะ...”
“วันนี้พี่พูดถึงเธอบ่อยมากเลย รู้หรือเปล่า” เด็กชายเริ่มรู้สึกหงุดหงิด “เหมือน...ผู้หญิงในห้องที่ชอบมาถามผม”
“อืมๆ น้องชายพี่เนื้อหอมมาก” พี่นัตสึเเกล้งทำเสียงหมั่นไส้ มือขยี้ผมเขาจนยุ่ง “เฮ้อ เด็กอย่างโชโตะไม่เข้าใจหรอก ตอนที่สบตากับเธอพี่ก็รู้เเล้วว่ามันคือรักเเรกพบ...”
ดีได้ไม่ถึงนาทีจริงๆ กลับมาเพ้ออีกเเล้ว
จับใจความบางส่วนได้ว่า ‘ตอนเธอเเนะนำตัว ซากุระอะไรสักอย่าง สวยมากๆเลย’ นอกจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องเเล้ว เหมือนกำลังพูดคนละภาษากัน ตอนเช้าได้กินอะไรเเปลกๆไปหรือเปล่า
“รักอะไร เหมือนรักพี่ฟุยูมิกับเเม่ไหม”
“ไม่ใช่รักเเบบนั้นสิ!” เขาโดนขยี้หัวอีกครั้ง “มันเป็นรักเเบบ...เเบบ...เเล้วทำไมพี่ต้องมาพูดเรื่องนี้ให้เด็กอย่างนายฟังด้วยเล่า! โตไปก็รู้เองนั่นเเหละ”
พูดจาไม่รู้เรื่อง เเล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เขาเป็นเด็ก
“เเล้วพี่รู้ได้ไงว่ามันเป็นรักเเบบนั้น”
พี่หน้าเเดงอีกครั้ง ยิ้มโง่ๆ มือตั้งท่าจะเตรียมขยี้หัวเขาอีกเเต่เขาก็หลบได้ทัน ไม่รู้เป็นอะไรกับผมนักหนา หรือบางทีเขาควรขยับออกไปห่างๆจากพี่ดี
“ก็...ก็ ใจเต้นเเรง...ขะ เขิน...มีความสุข --”
พี่เเทบจะบิดตัวเป็นเกลียว เอามือปิดหน้า พูดจาฟังไม่รู้เรื่องเหมือนคนบ้า ไม่รู้หรือไงว่าคนอื่นกำลังมองอยู่
ตอนที่เห็นประตูโรงเรียน เขารู้สึกดีใจมากกว่าปรกติ เเทบจะวิ่งเข้าไปเลยด้วยซ้ำ
ห้องเรียนของเขามีคนเด่นๆอยู่สองคน
ทั้งในด้านดี เเละด้านที่ไม่ดี
‘บาคุโกว คัตสึกิ’ กับ ‘อาซากิ อิซึกุ’
บาคุโกวมีผมสีบลอนด์หม่น ตาสีเเดงเเข็งกร้าว อัตลักษณ์ระเบิดที่เขามีเมื่อรวมกับความสามารถเเละพรสวรรค์เเล้ว เขาถูกคาดหวังจากคนอื่นมาก ครูเเละเพื่อนหลายคนบอกว่าเขาเหมาะสมกับอาชีพฮีโร่
ส่วนอิซึกุมีผมเเละดวงตาสีเขียวหม่น ใบหน้าตกกระเป็นเอกลักษณ์ เงียบ ไม่ค่อยพูด บรรยากาศมืดหม่นอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าครั้งหนึ่งทะเลาะกันรุนเเรงกับบาคุโกวจนนิสัยเปลี่ยน เเต่เพราะเป็นคนไม่มีอัตลักษณ์ก็เลยไม่ถูกให้ความสนใจมาก
ตอนที่บอกว่าอยากเป็นฮีโร่คนทั้งห้องก็ทำเหมือนเป็นตัวตลก
เขาก็ไม่ได้สนิทกับทั้งสองคนนั้น มันดูวุ่นวาย โดยเฉพาะกับคัตสึกิที่เย่อหยิ่งเเละภูมิใจในพลังตัวเอง
เขาเคยถูกท้าครั้งหนึ่ง เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องอะไรจึงปัดไป วันต่อมาก็ถูกอีกฝ่ายจัดกลุ่มรวมไปกับอิซึกุโดยปริยาย เห็นหน้าก็เขม่นทั้งที่ไม่เคยคุยกัน เเต่ก็ดีเเล้วที่ไม่ได้คุย เพราะน่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
“มองหน้าทำไมวะ!”
อย่างเช่นตอนนี้
“เปล่า” เขาตอบปัด ยืนยันความคิดตนเองในใจว่าไม่ควรไปยุ่งด้วยจริงๆ พูดดีๆไม่เป็นหรือไง
เเต่ก็น่าตลก ที่นั่งข้างหน้าต่างพวกเขาสามคนติดกัน โดยที่โต๊ะเขากั้นระหว่างเด็กมีปัญหาสองคน ถึงไม่อยากจะเจอก็ได้เจอ เเละเวลาที่คัตสึกิใช้อัตลักษณ์จนสะเก็ดไฟลามไปโต๊ะเขาก็ต้องได้ใช้น้ำเเข็งดับ
ไม่อยากยุ่งก็ต้องได้ยุ่ง
น่าปวดหัว
เขามองนาฬิกา อีกกี่ชั่วโมงจะได้กลับบ้านสักที
12.00 น.
“ทะ โทโดโรกิคุง...ฉะ ฉันทำข้าวกล่องมาเกินน่ะ”
รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาพักเที่ยง สัญญาณโรงเรียนดังบอกเวลาพัก
เขาเงยหน้าที่ฟุบนอนขึ้นมา มองหน้าผู้หญิงที่คุ้นๆหน้า น่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องหรือใครสักคน ในมือถือข้าวกล่องสีหวานสดใส อีกฝ่ายเปิดฝากล่องให้ดู ข้างในคืออาหารที่ถูกทำอย่างประณีต
เขาเงยหน้ามองเธอสลับกับข้าวกล่อง
อยู่ดีก็นึกถึงโซบะอร่อยๆที่เธอทำให้เมื่อวานขึ้นมา วันนี้จะมาอีกไหมนะ เเต่สัญญากันเเล้วนี่ คงไม่หนีหรอก...
ดวงตาสองสีหม่นลงไม่รู้ตัว
“ฉันจะไปกินโรงอาหาร” หันซ้ายหันขวา เขาชี้นิ้วไปยังบาคุโกวที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะ “ให้บาคุโกวก็ได้นะ”
เห็นบ่นว่าไม่ได้กินข้าวอะไรมาสักอย่าง ถึงไม่ได้ใส่ใจเเต่เสียงก็ยังดังเข้าหูอยู่ดี กินให้อิ่มๆตอนบ่ายจะได้ไม่โหวกเหวกโวยวายอีก วันนี้เขาฟังคนพูดมามากพอเเล้ว
“เฮ้ย เเก!”
บาคุโกวลุกขึ้นมาโวยวายทันที มีปฏิกิริยาตอบสนองกับชื่อตนเองรวดเร็ว มือทั้งสองเตรียมใช้อัตลักษณ์
“ขะ ขอโทษที่มากวนนะจ๊ะ...”
ส่วนผู้หญิงที่ยื่นข้าวกล่องมาให้อยู่ดีๆก็พูดเสียงสั่นๆ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จากนั้นก็ขอตัวออกไป
เขางงว่าเธอเป็นอะไร
ปึง!
บาคุโกวตบโต๊ะ ดวงตาเกรี้ยวกราดจ้องเขม็ง
“ข้าวกล่องเเกมันเกี่ยวอะไรกับฉันวะ!” ตะโกนโวยวาย “อยากกินก็กินไปเด้!”
“ไม่ใช่ข้าวกล่องฉัน เห็นเธอบอกว่าทำมาเกิน เเล้วตอนเช้านายก็บ่นหิว”
เขาขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
จะว่าไปเเล้วช่วงนี้ผู้หญิงห้องเขาทำไมชอบทำข้าวกล่องมาเกินนักนะ
“เเกนี่มัน…!”
คัตสึกิเหมือนจะทวีความโมโหมากขึ้น อีกฝ่ายเตะโต๊ะก่อนจะเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว ทิ้งเขาไว้กับสะเก็ดไฟที่เริ่มไหม้โต๊ะคนอื่น ไม่รู้เป็นอะไร ท่าทางเหมือนหมาบ้า
เขาถอนหายใจ ใช้อัตลักษณ์ของตัวเองดับไฟ
“คัตจัง...”
เสียงดังมาจากโต๊ะด้านหลัง
“ถ้าผมมีอัตลักษณ์ล่ะก็...”
เป็นเสียงของอิซึกุ
นี่ก็อีกคนที่ไม่รู้เป็นอะไร เวลาโดนคัตสึกิด่าก็ไม่ตอบโต้ ท่าทางโกรธเเต่ก็ไม่คิดจะทำอะไร เเล้วช่วงที่คัตสึกิไปก็จะชอบมาพึมพำเเบบนี้ทุกที เป็นเสียงที่ฟังดูสิ้นหวังเเปลกๆ
โชโตะตัดสินใจไม่ไปโรงอาหารเพราะหมดอารมณ์จะกินอะไร เขานอนฟุบหน้ากับโต๊ะขณะมองออกไปข้างนอก
ห้องที่วุ่นวาย
ก็ปรกติดี
…
……
ในที่สุดก็เลิกเรียน
เขาเก็บของเเละลุกขึ้นจากโต๊ะหลังครูบอกเลิกคาบ
เพราะเริ่มเข้าฤดูหนาวเเล้วอากาศก็เลยเย็นกว่าปรกติ คาดว่าอีกไม่กี่สัปดาห์หลายคนคงเริ่มใส่เสื้อกันหนาวเเล้ว
หลังเลิกเรียนคนค่อนข้างเยอะ หลายคนที่ผู้ปกครองมารับเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย ในโลกใบนี้วิลเลินที่มีอัตลักษณ์น่ากลัวก็มีอยู่มาก ไม่รู้ว่าวันไหนอุบัติเหตุจะเกิดขึ้น
เด็กชายเดินไปหน้าโรงเรียน มันคือที่ประจำที่พี่นัตสึโอะจะมารับเขาเเล้วพากลับบ้าน
ไม่นานเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น มันปะปนไปกับเสียงของเหล่าเด็กเเละผู้ปกครองหลายคน
“โชโตะ!!”
เขาหันไป เห็นพี่ชายโบกมือไหวๆ ท่าทางดูตื่นเต้นผิดปรกติจนได้หรี่ตามอง เกิดอะไรอีก
เเละเขาก็เห็น สาเหตุของอาการ
เธอ
“โชโตะคุง”
ผู้หญิงที่หนีกลับไปเมื่อคืนโดยไม่ได้บอกอะไร เธออยู่ในชุดเดรสสีอ่อน เสื้อคาร์ดิเเกน ใบหน้าประดับรอยยิ้มเช่นเคย เเต่อะไรไม่รู้กลับทำให้เขารู้สึกเเปลกๆ เลือดสูบฉีดมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะที่ใบหน้า
“เจอกันได้ยังไง”
เขาถามพี่ที่หน้าเเดงเป็นพิเศษ
“ก็...ก็บังเอิญเจอกัน เลยเดินมาด้วยกัน”
พี่ย่อตัวมากระซิบ พูดเสียงเบา
“พี่ไม่ได้ทำท่าทางอะไรเเปลกๆใช่ไหม”
ก็เเปลกตั้งเเต่ตอนเช้าเเล้ว
โชโตะมองผ่านพี่เขาไปด้านหลัง เธอ -- โชซังกำลังจัดผ้าพันคอสีฟ้าหม่นๆให้เข้าที่ สีของผ้าพันคอไม่เข้ากับการเเต่งตัวเลย เหมือนได้มันมาเเล้วค่อยใส่ทีหลังอะไรเเบบนั้น
ดวงตาของเธอเป็นประกายตอนที่จับผ้าพันคอนั่น เหมือนกับพอใจมันมาก ดูมีความสุขที่เขาไม่เข้าใจ
ความรู้สึกเเปลกๆทำให้เบือนหน้ามองไปทางอื่น
“โชโตะคุงอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” เธอยิ้ม “จะได้ไปซื้อของถูก”
“ใช่ๆ จะได้ไปซื้อของถูก พี่ฟุยูมิเพิ่งโทรมาว่าของที่บ้านหมดพอดี”
เขามองหน้าเธอสลับกับพี่ที่ยิ้มเหมือนคนบ้า ไม่รู้ไปสนิทกันตอนไหน
“โซบะ?” เธอเหมือนเอ่ยพึมพำเบาๆ
โชโตะนึกถึงอาหารที่เธอทำเมื่อวาน พยักหน้า ดวงตาเป็นประกายโดยไม่รู้ตัว
“ผมกินโซบะ”
“เห โชโตะชอบโซบะเหรอเนี่ย”
ที่ไม่รู้คงไม่เเปลก เขาโดนเเยกจากพี่น้องตั้งนาน
เขาพยักหน้า “อืม”
โดยเฉพาะอาหารที่เธอทำ
….
……
โชโตะคิดว่าพี่ของตัวเองเป็นบ้าอย่างกู่ไม่กลับ
ตลอดทางเดี๋ยวก็เงียบ เดี๋ยวก็ชวนเธอคุย เเล้วพูดก็ไม่ได้พูดเเบบคนปรกติธรรมดา เเต่พูดจาตะกุกตะกัก บางครั้งก็ฟังไม่ได้ความ น้ำเสียงก็ต่างจากที่พูดกับพี่น้อง ดูตื่นเต้นระริกระรี้
ยิ่งเธอเออออไปด้วยยิ่งเเล้วไปใหญ่
จากตอนเเรกที่เขายืนคั่นกลางระหว่างสองคนตอนนี้กลับต้องมายืนขอบให้สองคนนั้นคุยกัน ไร้ตัวตนในสายตาพี่น้องโดยสิ้นเชิง อยู่ดีๆก็เหมือนถูกทิ้ง
เดินเลือกของกันสองคน นี่ถ้าเขาไม่จับมืออีกข้างของเธอไว้เเล้วล่ะก็คงหายไปในฝูงชนเเล้ว
ตอนที่พี่ขอตัวเเยกออกไปดูของ เขาก็เลยมีเวลาบ้าง
“โชโตะคุงมีอะไรหรือเปล่า” เธอถามยิ้มๆเหมือนปรกติ เป็นรอยยิ้มที่มองกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจความหมายเลย
“ผม...เมื่อวานทำไมถึงกลับไปก่อนล่ะ”
เขาถามได้เสียงเรียบเฉยกว่าที่คิด ทว่าเมื่อนึกถึงตอนนั้นข้างในก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ไม่ชอบเลย
เธอท่าทางกระอักกระอ่วนที่ต้องตอบคำถาม มือเผลอจับผ้าพันคอ เธออาจจะไม่รู้ตัวเเต่เขาสังเกตเห็นหลายครั้งเเล้ว ทุกครั้งเหมือนกำลังนึกถึงใครบางคนอยู่
“เด็กคนนั้นน่าเป็นห่วงน่ะ” เธอหัวเราะเเห้ง “วันนี้ก็ป่วยด้วย”
“คุณก็เลยกลับไปหาเขาเหรอ”
“อืม”
อะไรสักอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเห็นดวงตาของเธอฉายเเววเป็นห่วงเมื่อนึกถึงเด็กคนนั้น
“วันนี้นอนค้างอีกได้ไหม”
เธอส่ายหน้า เเทบไม่เสียเวลาคิด “ไม่ได้หรอก”
“ผมจ้างคุณ”
“ไม่เอาน่า พี่สาวปล่อยเขาไว้ไม่ได้”
คำตอบไม่เหมือนตอนเเรก น้ำเสียงนั่นด้วย
เขากัดปากอย่างลืมตัว เมื่อกี้เกือบจะหลุดพูดประโยคโหดร้ายอย่าง ‘ให้เขาดูเเลตัวเองไปสิ’ ไปซะเเล้ว
“อยู่กับผมไม่ได้เหรอ นะ?”
ดวงตาของเธอสั่นไหว เป็นดวงตาเเบบเดียวกับตอนที่จะตอบตกลงมาดูเเลเขา ตอนที่ตอบตกลงจะค้างด้วย
อยู่ดีๆหัวใจก็เต้นจนกลัวว่าจะหลุดออกมาจากอก ดวงตาเป็นประกาย เขากำลังคาดหวัง
♫ ♬ ♪
เสียงบางอย่างดังขึ้นมาขัดจังหวะ
เธอเปิดกระเป๋าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาดู มันอาจจะเป็นเมล์หรือข้อความอะไรสักอย่าง ที่เเน่ๆคือหลังจากที่อ่านจบเเล้วเเววตาของเธอมันเปลี่ยนไป ดูมีความสุข รอยยิ้มพอใจระบายบนใบหน้า
เธอลูบผมเขา
“ไว้คราวหน้านะโชโตะคุง”
ก่อนจะบอกคำตอบที่ทำให้ความคาดหวังมอดลง
“พี่สาวชอบผ้าพันคออันนี้มาก ถ้าไม่ไปเดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนใจยึดคืนน่ะสิ”
ผ้าพันคอ...ของเด็กนั่น
เขารู้สึกอึดอัดในอก เป็นบางอย่างที่ไม่เข้าใจ
ไม่นานหลังจากนั้นพี่ก็มา
บทสนทนาจบลงตรงนั้น
: วันหนึ่งที่ไม่เหมือนทุกวัน [จบ]
★ ☆ ★ ☆ ★ ☆
โชโตะ : ...
โชโตะ : ...ไม่ชอบเลย
note : บอกเเล้วไงคะว่าไม่มีเด็กชื่อมิโดริยะ :)
นักอ่าน : นี่มันไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา!
※ ถามถึงเเนวเด็กที่ชอบเเต่งเหรอคะ?
ฮะฮะ *หลบสายตา* ก็นั่นเเหละค่ะ
ปล. ถ้ายัยโชไม่พูดเวิ่นเว้อ ตอนเดียวก็ประมาณสี่หน้าจบได้ค่ะ หนึ่งในสี่ของที่อัพลง5555555
องค์ประกอบการพูด :
น้ำ90 สาระ10
ประมาณนี้ล่ะค่ะ *หัวเราะ*
ความคิดเห็น