คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #42 : devotion ครบ
ช่วงแรกของการเป็นฮีโร่ไม่ได้ราบรื่นนัก
มันเป็นปรกติที่บางครั้งคนเราก็ไม่ได้ทุกสิ่งที่ต้องการมาไว้ในมือ เมื่อจบออกมาจากรั้วโรงเรียนยูเอย์แน่นอนว่าโทโดโรกิได้พบคนอีกมากมาย ได้เรียนรู้ว่าบนโลกใบนี้มีอีกหลายคนที่เก่งกว่าเขา มีประสบการณ์มากกว่าเขา และสามารถสั่งสอนให้คำแนะนำเขาได้โดยไม่เกรงใจฐานะลูกชายของฮีโร่อันดับท็อป
จะเก่งกว่าหรือมีประสบการณ์มากกว่าไม่ใช่ปัญหา โทโดโรกิพอใจด้วยซ้ำเมื่อได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และนำกลับไปพัฒนาตนเอง
ที่เป็นปัญหาคือคนบางกลุ่ม มีไม่น้อยที่หวังชื่อเสียงและเกียรติยศจากอาชีพฮีโร่แต่ไม่ลงมือทำอะไรเองเลย คอยแต่ขัดขาฮีโร่น้องใหม่และขโมยผลงานไปเป็นของตัวเอง
ตัวอย่างก็เช่นข่าวลูกชายนักธุรกิจมีชื่อถูกช่วยชีวิตไว้โดยกลุ่มฮีโร่
คนที่ถูกสัมภาษณ์เป็นคนที่โทโดโรกิคุ้นหน้าคุ้นตาดี อีกฝ่ายเป็นหนึ่งในคนที่เคยฮุบผลงานเขาไปตอนยังเป็นฮีโร่ใหม่ ๆ
โทโดโรกิไม่ได้เอาเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าจะลืม คนพวกนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่ถ้าหากกำลังจะตายต่อหน้า เขาก็คงคิดแล้วคิดอีกที่จะให้ความช่วยเหลือ
มีคนกล่าวว่า ‘ฮีโร่คือสัญลักษณ์แห่งความถูกต้องและความดีงาม’ โทโดโรกิเคยเชื่อมั่นในประโยคนั้นมาโดยตลอด ทว่าเมื่อโตขึ้นและได้พบกับความเป็นจริงของโลกใบนี้ ความเชื่อมั่นนั้นก็พังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี
เพื่อนในห้องมักบอกว่าเขาแข็งแกร่งและไม่ต้องการความช่วยเหลือ โทโดโรกิโทษว่าครึ่งนึงของที่มาความคิดนี้เป็นความผิดของเขาที่มักปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ พอมารู้ทีหลังว่าตัวเองถูกมองเช่นนั้นก็ได้แต่คงภาพลักษณ์ของความแข็งแกร่งนั้นต่อไปแม้ว่าจะเหนื่อยล้าก็ตาม
หลายครั้งที่โทโดโรกินึกย้อนไปถึงความสุขในวัยเด็ก บางทีอาจจะเพราะช่วงเวลานั้นเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าและให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมือนเป็นกำลังใจให้ใช้ชีวิตต่อไปในวันที่ ‘คนที่อยากให้อยู่’ กลับไม่หลงเหลือเคียงข้างสักคน
‘ฉันรู้นะว่าโชโตะอยากเป็นฮีโร่ รู้ด้วยว่าต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะได้มาถึงจุดนี้ เพราะงั้นการที่จะให้ทำลายความฝันของเธอน่ะ...ฉันทำไม่ลงหรอก’
ในวันที่จะจากลากัน น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นยังคงเด่นชัด ความอบอุ่นจากฝ่ามือที่สัมผัสบนใบหน้า
‘แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วย...แต่ฉันจะคอยดูนะ จากที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ จะคอยเอาใจช่วยเธอเสมอ’
ไม่อาจรู้เลยว่าความเศร้าในดวงตาของเธอนั้นเป็นเพียงการแสดงอย่างที่ผ่านมา หรือเป็นความรู้สึกจากใจจริง
‘นี่เป็น...คำอวยพรจากฉัน’
แลกกับการอยู่ในโลกที่ไม่มีคุณอีกต่อไป
คุณน่ะ...ใจร้ายที่สุด
(1)
สุดท้ายแล้วโทโดโรกิก็ยอมรับข้อเสนอนั้น
หนึ่งในข้อตกลงเขียนว่าเขาจะกลายเป็น ‘ผู้ปกครองชั่วคราว’ ของเธอ
เขาไม่มีปัญหาจนกระทั่งอ่านถึงบรรทัดที่ว่าเธอต้องย้ายไปอยู่กับเขาเพื่อความปลอดภัย โทโดโรกิใช้เวลาคิดอยู่นานว่าจะให้เธอไปพักที่ไหนดีระหว่างคอนโดในเมือง กับบ้านญี่ปุ่นที่เขาซื้อเอาไว้เพราะไม่อยากกลับไปอยู่บ้านใหญ่
ยังจำได้ว่าพ่องี่เง่านั่นเคยเปรยเรื่องการดูตัวขึ้นมา บอกว่าตอนนี้เขาก็น่าจะถึงวัยที่แต่งงานได้แล้ว แน่นอนว่าโทโดโรกิปฏิเสธหัวชนฝา เถียงกลับไปว่าอีกไม่กี่เดือนพี่ฟุยูมิก็จะคลอดหลานแล้ว จะมาสนใจเรื่องของเขาไปทำไมกัน
วันก่อนที่เจอหน้ากันก็เหมือนจะรู้เรื่องที่เขายอมรับข้อเสนอในการดูแลเธอ และคงจะรู้เรื่องพลังที่เธอมีมาจากใครสักคนถึงมาพูดกับเขาเรื่องการแต่งงานอีกครั้ง
แค่เอ่ยประโยคแรกขึ้นมาก็รู้ว่าคงคิดจะจับคู่เขากับเธอ ดังนั้นพอเริ่มประโยคที่สองโทโดโรกิจึงเดินหนีออกมา คิดในใจว่าจะเลี่ยงการเจอหน้าตาแก่นั่นจนกว่าจะยอมทิ้งความคิดพวกนั้นไปซะ
ตอนสายโทโดโรกิขับรถมารับเธอที่บ้าน ที่อยู่อาศัยของเธอเป็นบ้านเดี่ยวขนาดกลางค่อนมาทางใหญ่ พื้นที่บ้านส่วนมากถูกทำเป็นแปลงดอกไม้ที่ตอนนี้เหี่ยวเฉาเหมือนไม่ได้รับการดูแล ในโรงรถมีรถจอดอยู่หนึ่งคันแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ใช้เพราะฝุ่นเกาะมากจนเห็นได้ชัด
เธอเปิดประตูออกมาต้อนรับด้วยสภาพที่ไม่เรียบร้อยนัก ผมยุ่งเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน เขาต้องเบนหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อเสื้อที่เธอสวมอยู่ตัวใหญ่จนคอเสื้อแทบจะหลุดลงจากไหล่อยู่รอมร่อ กางเกงขาสั้นก็เผยให้เห็นเรียวขาขาว และ—โทโดโรกิพยายามสะกดจิตตัวเองว่าไม่เห็นอะไรมากไปกว่านั้น
ทว่าอีกฝ่ายเหมือนจะไม่รับรู้ถึงความอันตรายเลยแม้แต่น้อย เธอเอ่ยเชิญเขาเข้ามาในบ้านด้วยน้ำเสียงติดง่วงซึม ก่อนจะสังเกตเห็นรถของเขาที่จอดอยู่ข้างนอกจึงบอกว่าเอามาจอดในโรงรถก่อน โทโดโรกิพยักหน้าและรีบพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์อันตรายทันที
ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรแต่ข้างในกลับรวนอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาเกือบขับรถชนรั้วบ้านกับเสาโรงรถไปหลายรอบเมื่อนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อกี้นี้ ต้องเรียกสติบนรถอีกนานกว่าจะรู้สึกว่าตัวเองกลับมาปรกติ
ในบ้านสภาพดีต่างจากที่เห็นข้างนอก รอไม่นานเธอก็ลงมาจากชั้นสองพร้อมกระเป๋าใส่ของ โทโดโรกิอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้เมื่อเธอไม่ได้อยู่ในชุดอันตรายนั่นอีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาใส่ชุดเดรสอ่อนหวานเข้าคู่กับรองเท้าส้นเตี้ยสีครีมแทน เรือนผมยาวปล่อยสยาย ส่วนใบหน้าแม้จะยังติดง่วงแต่ก็ดูมีชีวิตชีวากว่าตอนแรก
บนคอไม่ได้สวมสร้อยผีเสื้อแล้ว
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“ขอโทษสำหรับการเสียมารยาทเมื่อครู่ด้วยนะคะ” เธอค้อมตัวลง “แล้วก็ขอโทษเรื่องที่ต้องให้มาดูแลแบบนี้ด้วย ทั้งหมดเป็นการเอาแต่ใจของฉันเอง ดังนั้นตลอดระยะที่อยู่ด้วยกันฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณลำบากใจค่ะ”
เขารู้ว่าไม่ใช่ความผิดที่เธอความจำเสื่อมและจำเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ถึงแม้จะรู้อย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เห็นท่าทางห่างเหินของเธอ เจ็บจนอยากจะเดินไปเขย่าร่าง ถามเธอซ้ำ ๆ ว่าทำไมถึงกลับมาตอนนี้ ทำไมถึงกลับมาตอนที่เขากำลังจะลืมเธอได้อยู่แล้ว ทำไม ทำไม ทำไม
แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดเพ้อฝัน เพราะในความเป็นจริงเขาทำได้เพียงนิ่งเงียบ รู้แก่ใจดีว่าทำร้ายเธอไม่ลง
“เมื่อมีงานเข้ามานิดหน่อยน่ะค่ะ กว่าจะกลับก็ดึก เอ่อ คือว่า...ใบหน้าฉันมีอะไรแปลกหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ปรกติที่สุด รู้ตัวในตอนนั้นว่าเผลอจ้องหน้าเธอมากเกินไป
โทโดโรกิตีสีหน้าเรียบนิ่งขณะเดินไปถือกระเป๋าให้ เดินนำไปที่รถ เหมือนเธอจะอยากค้านเรื่องที่เขามาถือกระเป๋าให้แบบนี้ แต่สุดท้ายก็เม้มปาก เอ่ยขอบคุณแผ่วเบา
“ทำไมถึงเลือกผมล่ะ?”
โทโดโรกิเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบในรถ เธอที่นั่งตัวเกร็งตั้งแต่เมื่อกี้หันมามองเขา ดูงุนงงเหมือนไม่เข้าใจในประโยคนั้น เขาจึงพูดต่อ
“ผมเป็นอัลฟ่า แล้วก็ได้ยินว่าก่อนหน้านี้คุณมีผู้ดูแลอยู่แล้ว แล้วทำไมตอนนี้ถึง…?”
พูดถึงแค่นั้นก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจ เธอส่ายหน้า คลี่ยิ้มไร้ความหมาย “จะอัลฟ่าหรืออะไรฉันก็ไม่สนหรอกค่ะ”
“ส่วนเรื่องผู้ดูแล เพราะนิสัยฉันมันเลวร้ายจนเขาหมดความอดทน? เพราะฉันมองข้ามเรื่องสำคัญไป? หรืออาจจะเป็นเพราะอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้? ไม่รู้สิคะ ทุกอย่างจบเร็วจนฉันตามไม่ทัน รู้แค่ว่าฝืนไปต่อไม่ไหวก็เลยหยุดแค่นี้น่ะ”
อาจจะเพราะน้ำเสียงนั้นราบเรียบเกินไป หรืออาจจะเพราะใบหน้านั้นยังคงเฉยชาราวกับว่ากำลังพูดเรื่องปรกติ โทโดโรกิจึงนึกไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ สงสัยว่าถ้าเธอเกิดจำเรื่องในอดีตได้ขึ้นมาจะรู้สึกยังไง
ถ้าเป็นผม...คุณจะรู้สึกเศร้าแบบนี้รึเปล่า?
กุมมือที่จิกเล็บจนเป็นแผลนั้นไว้
“อย่าโทษตัวเอง...เลยนะครับ”
น้ำเสียงขาดห้วงจนรู้สึกได้
โทโดโรกิรู้ว่าตัวเองปลอบได้แย่มาก
‘มันไม่ใช่ความผิดของโชโตะนะ’
อ่อนแอเสียเองจนน่าตลก
“ฉันเคยคิดนะคะว่าจะเป็นใครก็ได้
แต่บางที แบบนี้ดีแล้วล่ะ...”
ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเลยแม้แต่น้อย
เธอคลี่ยิ้ม ดวงตาเป็นประกายนั้นสะท้อนภาพเขา
“ดีแล้วล่ะที่เป็นคุณ”
เสียงหัวใจ
เด่นชัดจนกลัวอีกฝ่ายได้ยิน
(2)
โทโดโรกิมีความทรงจำที่ไม่ดีนักกับฤดูร้อน
เริ่มตั้งแต่แม่ของเขาตายในฤดูร้อน รักแรกก็ไปเที่ยวเทศกาลฤดูร้อนกับพี่ พอโตขึ้นมาหน่อย พี่ฟุยุมิกับพี่นัตสึโอะก็ย้ายเข้าไปนอนหอพักของมหาวิทยาลัยช่วงหน้าร้อน ทิ้งเขาไว้กับพ่อที่บ้าน(ซึ่งแน่นอนว่าอยู่ได้ไม่นานเขาก็ย้ายออกมา)
เขาไม่ชอบแสงแดดที่ร้อนระอุราวกับจะแผดเผาไปทั่วทั้งร่าง เขาไม่ชอบเสียงจั๊กจั่นที่ดังจนน่ารำคาญ ไม่ชอบที่เมื่อมองออกนอกรั้วบ้านแล้วเห็นเด็กรุ่นเดียวกันกับเขาอยู่กับกลุ่มเพื่อน คุยกันถึงกิจกรรมที่จะทำช่วงหน้าร้อน ก่อนจะชวนกันไปจับแมลงที่ภูเขา มีเด็กคนนึงโพล่งขึ้นมาว่า ‘ใครไปถึงก่อนชนะ!’ และจากนั้นทั้งหมดก็แข่งกันวิ่งโดยใช้อัตลักษณ์ช่วย
เขาในตอนนั้นนึกสงสัยว่าถ้าหากก้าวผ่านรั้วบ้านนี้ไป วิ่งไปหาพวกนั้นแล้วขอเป็นเพื่อนด้วย เขาจะมีความสุขกว่านี้ และจะสามารถหัวเราะโดยไร้กังวลแบบนั้นได้หรือเปล่า
เสียงในใจตอบกลับมาว่า ‘ไม่มีทางหรอก แกมันอ่อนแอและขี้ขลาดจะตาย เอาแต่คิดแบบนี้มากี่ครั้งแล้วล่ะ เคยลงมือทำจริง ๆ บ้างไหม’ เขาเกลียดมันและอยากจะเถียงกลับ แต่ก็พูดไม่ออก เหมือนถูกต้อนด้วยความจริงจนจนมุม
เสียงพ่อดังมาแต่ไกล เงาของผู้ใหญ่บดบังตัวเขาจนมิด โทโดโรกิถูกลากกลับไปซ้อมต่อ
ชั่วขณะเพราะอยากจะตอกกลับเสียงในใจเมื่อกี้เขาจึงขัดขืน สะบัดมือออกอย่างแข็งกร้าว ยกยิ้มเมื่อทำสำเร็จ แต่ชัยชนะก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลังจากนั้นเขาก็ถูกอัตลักษณ์ของอีกฝ่ายทำร้าย สัญชาตญาณสั่งให้ยอมจำนนเพราะคู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่า
คืนนั้นเขาร้องไห้ให้กับความอ่อนแอและขี้ขลาดของตัวเอง หลับไปโดยที่ใบหน้าและหมอนเปื้อนไปด้วยน้ำตา
โทโดโรกิเกลียดฤดูร้อน
พอซ้อมไปมาก ๆ เข้าอัตลักษณ์ก็เหมือนจะพัฒนาไปอีกขั้น แต่เพราะเขายังเป็นเด็ก พอต้องมารับพลังที่เกินตัวอย่างกะทันหันก็ส่งผลให้ร่างกายปรับตัวไม่ได้...และป่วย
แต่เดิมแค่ป่วยอย่างเดียวก็แย่อยู่แล้ว พอมารวมกับสภาพอากาศที่ทั้งร้อนและชื้นจนเหนอะหนะไปทั้งตัวก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ลมหายใจและร่างกายของเขาร้อนผ่าว และบางครั้งก็เวียนหัว ปวดเมื่อยไปทั้งตัวจนไม่อยากขยับ
วันนั้นไม่มีใครอยู่ที่บ้านสักคน พี่นัตสึโอะติดแข่งกีฬา กว่าจะกลับก็ตอนเย็น พี่ฟุยูมิก็ติดงานที่มหาวิทยาลัย ส่วนเธอ...เมื่อวานเขาได้ยินว่าจะไปดูพี่นัตสึโอะแข่ง
อันที่จริงถ้าวันนี้โทโดโรกิไม่ป่วยจนต้องนอนซมแบบนี้เขาก็จะตามไปดูด้วยเหมือนกัน อย่างน้อย...เธอก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองกับพี่ ทำอะไรด้วยกันโดยที่เขาไม่รู้
พอนึกถึงช่องว่างระหว่างสองคนที่เขาไม่อาจเข้าไปแทรกได้ก็รู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจขึ้นมา ยิ่งคิดมันยิ่งเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในสภาพที่ได้แต่นอนเป็นผักแบบนี้เขาจะไปทำอะไรได้ แค่ลุกขึ้นเดินก็ยังเซเลย
โทโดโรกิเม้มปาก ดวงตาคลอน้ำ มือกำผ้าห่มจนยับยู่ และพอความรู้สึกมันพุ่งสูงจนถึงจุดหนึ่งมันก็ระเบิดออกมา เขาปิดหน้าตัวเองและเริ่มร้องไห้เหมือนเด็กที่ถูกแย่งของที่รักมากไป สะอึกสะอื้นจนเจ็บคอ พอเหนื่อยจึงเผลอหลับไป
พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวไม่ได้ร้อนเหมือนตอนแรกอีกต่อไปแล้ว อาการเวียนหัวเหมือนจะหน้ามืดล้มลงไปได้ทุกเมื่อก็หายไป บนหน้าผากเขามีแผ่นเจลลดไข้แปะอยู่ เสียงกระดิ่งลมใสกังวานชวนให้รู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
และเมื่อมองไปข้างฟูก คนที่ตอนนี้ควรจะอยู่กับพี่นัตสึโอะกลับกำลังใช้พัดอุจิวะพัดดับร้อนให้เขาอยู่
เธอทำสีหน้าโล่งอกเมื่อลองเอามือแตะวัดอุณหภูมิร่างกายเขา แก้มของเธอเป็นสีเรื่อเพราะสภาพอากาศ ผมยุ่งเหมือนก่อนหน้านี้รีบร้อนมา เหงื่อผุดซึมตามไรผม
‘นัตสึโอะบอกว่าเธอป่วยน่ะ’ เธอทำหน้าสำนึกผิด ‘ขอโทษที่มาช้านะโชโตะ เก่งมากเลยล่ะที่อดทนได้ถึงขนาดนี้’
เขามองดูนาฬิกาที่แขวนบนผนัง ก่อนจะมองออกไปยังสีของท้องฟ้าด้านนอก พี่นัตสึโอะกว่าจะแข่งเสร็จก็ช่วงบ่ายเกือบเย็น แต่ตอนนี้แค่เที่ยงกว่า ‘คุณไม่ไปกับพี่เหรอ?’ เขาถามอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้เธอบอกเองแท้ ๆ ว่าจะไปดู
คำตอบคือรอยยิ้มเหมือนช่วยไม่ได้ เธอลูบผมเขาอย่างแผ่วเบาและคลี่ยิ้ม ‘อื้อ จะให้ทิ้งโชโตะได้ยังไงกันล่ะ’
ในวันนั้นเธออยู่กับเขาจนถึงตอนที่ดอกไม้ไฟข้างนอกแตกกระจาย สีสันงดงามแต่งแต้มบนท้องฟ้า เธอนั่งอยู่ที่เฉลียงบ้าน มองมันด้วยดวงตาเป็นประกาย ข้าง ๆ คือเขาที่เอนตัวพิงเธออย่างคนป่วยที่อ่อนแรง รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมพี่นัตสึโอะถึงชวนเธอไปดูการแข่งวันนี้ด้วยสีหน้าคาดหวัง
ถ้าหากเขาไม่ป่วยวันนี้ ตอนนี้เธอคงจะอยู่ที่งานเทศกาล นั่งดูดอกไม้ไฟกับพี่นัตสึโอะไม่ใช่เขา
‘...อย่าทิ้งผมนะครับ’
ทั้งที่รู้ความจริงแต่ก็ยังมีความสุข ชั่วขณะโทโดโรกิรู้สึกเกลียดตัวเองที่กลายเป็นคนเลวร้ายแบบนี้ เขาบีบมือของเธอแน่น รู้สึกหนักอึ้งจนอยากจะลืมทุกอย่างไปให้หมด
‘...อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวนะ...’
(3)
เขาปล่อยให้เธออยู่คนเดียวที่บ้านญี่ปุ่น
โทโดโรกิหลบหน้าเธอด้วยเหตุผลงี่เง่าอย่างสับสนเพราะไม่รู้จะเรียกเธอว่ายังไง
อีกฝ่ายคือผู้ดูแลที่อยู่กับเขามาตั้งแต่เด็ก ถึงเขาจะไม่รู้อายุที่แท้จริงของเธอแต่ก็คิดว่าน่าจะมากกว่าอยู่โข ทว่าตอนนี้เธอความจำเสื่อม และภายนอกก็ดูเหมือนเด็กสาววัยมัธยมมากกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ ที่สำคัญ...เธอคิดว่าเขาอายุมากกว่า
คล้ายขัดแย้งกับตัวเอง
เขาไม่ชอบให้เธอเรียกว่าคุณเพราะมันฟังดูห่างเหิน แต่เขาก็ไม่อยากใกล้ชิดเธอไปมากกว่านี้ ไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์หรือทำให้ความรู้สึกมันจมลึกมากไปกว่าที่เป็นอยู่ และเพราะตัดสินใจไม่ได้สักที เขาก็เลยหนีออกมาเสียดื้อ ๆ
แต่การที่ปล่อยเธอไว้คนเดียวก็ยิ่งทำให้รู้สึกผิด ในหัวเริ่มเต็มไปด้วยภาพของคนคนเดียว โทโดโรกิจึงโหมงานหนัก หวังทำให้ตนเองยุ่งจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น สุดท้ายเพื่อนห้องเอเป็นห่วงจึงจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้น ลากเขาออกมาจากกองงานด้วยนานาเหตุผลจนโทโดโรกิต้องยอมแพ้
ในงานโทโดโรกิดื่มไปนิดหน่อย รู้สึกมึนในหัวและตาพร่าเป็นบางครั้ง แต่คนอื่นหนักกว่าเขามาก คามินาริและคิริชิมะต่างดื่มจนเมาแอ๋ สาเหตุมาจากคามินาริที่เพิ่งอกหักมาคะยั้นคะยอให้เพื่อนสนิทดื่มเป็นเพื่อน พอคิริชิมะเมาก็ไปเกี่ยวบาคุโก แต่โชคไม่ดีที่รายนั้นยังไม่หายหงุดหงิดจากการเจอหน้าอาซากิ คิริชิมะจึงถูกฟาดจนสลบเหมือด
เริ่มงานไปได้สักพักอีดะกับอุรารากะก็บอกข่าวดีว่าพวกเขาจะแต่งงานกันในปลายปีนี้ ทุกคนตกใจก่อนจะกล่าวแสดงความยินดี เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ถัดกับเรื่องที่อาซากิเลิกกับแฟนคนปัจจุบัน และเรื่องที่โทโดโรกิเลี้ยงเด็ก
“ว่าแต่โทโดโรกิก็เป็นหนุ่มหล่อออกขนาดนี้ยังไม่มีคนในใจบ้างเหร๊อ~~” คามินาริเอ่ยขึ้น ก่อนจะโดนจิโร่กับยาโอโยโรซุปิดปากและบอกว่าเสียมารยาท “ก็มันอยากรู้นี่! อายุเราก็ใช่จะน้อย ๆ แล้วอาชีพฮีโร่ก็อันตรายจนไม่รู้จะตาย---”
คามินาริโดนจิโร่ซัดจนสลบไปแล้ว ยาโอโยโรซุหันมาขอโทษแทน บอกเขาว่าไม่ต้องไปใส่ใจที่คามินาริพูด
เขาอยู่ในงานไปอีกสักพัก จนกระทั่งบาคุโกกับอาซากิเริ่มมีปากเสียงกัน
ทุกคนต่างเข้าไปห้ามสองฮีโร่อันดับท็อปไม่ให้ตีกันในร้าน โทโดโรกิมองภาพวุ่นวายก่อนจะขอตัวออกมา พอเริ่มลุกขึ้นถึงรู้ว่าวันนี้ดื่มมากไป เขาเซจนเกือบล้ม แต่สุดท้ายก็บังคับตัวเองให้กลับมาเดินอย่างไม่มีอะไรผิดปรกติจนได้
ถ้าจุดประสงค์ที่เพื่อนลากเขาออกมาเพราะอยากให้ลืมเรื่องงาน ก็ถือว่าทำสำเร็จแล้วเพราะตอนนี้ในหัวเขาลืมเรื่องงานไปหมดสิ้น และแทนที่ขับรถไปนอนที่สำนักงานอย่างทุกที เขากลับขับมาที่บ้านญี่ปุ่นของตัวเอง
ทั้งที่ตอนแรกคิดไว้แค่ว่าจะมาดูอยู่ห่าง ๆ ให้หายห่วง แต่รู้ตัวอีกทีโทโดโรกิก็ก้าวเข้าไปในเขตบ้านเสียแล้ว
ได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมาจากห้องครัว แผ่นหลังบอบบางของคนที่รอมาตลอดอยู่ใกล้แค่เอื้อม โทโดโรกิเอื้อมมือออกไป อยากจะสัมผัสให้รู้ว่าตรงหน้าไม่ใช่ภาพมายาที่พอวันรุ่งขึ้นก็จะเลือนหายไป
แต่พอใกล้จะสัมผัส โลกทั้งใบก็เอียงวูบ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เขาล้มลงไปกองกับพื้น โสตประสาทคล้ายได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจ เธอหยุดทำอาหารก่อนจะก้มลงมาช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น พาไปนอนที่ฟูก
เขาพยายามมองผ่านภาพพร่ามัว มองเห็นเธอที่ขมวดคิ้วก่อนจะลุกออกไป กลับมาพร้อมผ้าและอ่างใส่น้ำ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดใบหน้าเขาอย่างเบามือ ความเย็นทำให้สติฟื้นขึ้นมาบางส่วน รู้สึกสบายกว่าตอนแรก
“ฮีโร่งานหนักถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ?” เธอถาม เลื่อนผ้าไปเช็ดที่ลำคอ ปลายนิ้วไล้ขอบตาที่คล้ำเหมือนไม่ได้นอน
ความจริงที่เป็นแบบนี้เพราะเขาต้องการลืมเธอ แต่โทโดโรกิก็ไม่ได้พูดมันออกไป ทำเพียงพยักหน้าและนอนนิ่ง ๆ
เธอถอนหายใจ พึมพำ “...จะให้ฉันช่วยก็ได้แท้ ๆ” นำผ้าไปชุบน้ำและบิดหมาดอีกรอบ เช็ดที่แขนของเขา ใบหน้าน่ารักมุ่ยลงเมื่อเห็นบาดแผลจากการต่อสู้กับโนมุ เช็ดอย่างเบามือเหมือนกลัวเขาจะเจ็บทั้งที่มันเป็นแค่รอยแผลเป็น
อาจจะเพราะกลิ่นหวาน ๆ หรืออาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่คุ้นเคย โทโดโรกิจึงเห็นภาพของเธอซ้อนทับกับภาพในอดีตที่เคยทิ้งเขาไปอย่างไร้เยื่อใย
โดยไม่รู้ตัวก็เอ่ยออกไป
“ผมอ่อนแอแบบนี้ก็ยังอยากจะอยู่ด้วยอีกเหรอ?”
ในอดีตเขาพยายามทุกอย่างเพื่อไม่ให้เธอจากไป ทั้งการทำตัวเป็นเด็กดี และการทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วความพยายามนั้นก็ไร้ค่า ไม่ว่าจะเก่งหรือเป็นเด็กดีขนาดไหนก็ไม่ได้ช่วยถ่วงรั้งไม่ให้เธอจากไปเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น…
มือที่กำลังเช็ดตัวให้เขาหยุดชะงัก เธอหันมามองเขาด้วยดวงตาสั่นระริกและติดจะโกรธ ริมฝีปากเม้มแน่น
“ฉันไม่ได้ตัดสินว่าอยากอยู่กับคนคนนั้นหรือเปล่าด้วยความเข้มแข็งหรืออ่อนแอหรอกนะคะ”
คล้ายกับว่าความรู้สึกนั้นได้กลับมาอีกครั้ง
“ที่อยู่กับคุณก็เพราะฉันสบายใจและรู้สึกปลอดภัยค่ะ” เธอเบือนหน้าหนี แก้มและใบหูแดงเพราะความโกรธ
“ฉันเคยถูกบอกว่า ‘ไม่ใช่มนุษย์’ และไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น...แต่รู้ไหมคะ ไม่ว่าความจริงฉันจะเป็นมนุษย์หรือไม่ คำพูดนั้นก็ยังทำให้รู้สึกเสียใจอยู่ดี...ฉันไม่รู้ว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง แต่แค่คำพูดฉันยังเจ็บถึงขนาดนี้…
การที่บางครั้งจะอ่อนแอบ้าง...มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่คะ?”
หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บขึ้นมา
ความรู้สึกเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ
เขาเม้มปากแน่น รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ลามไปทั้งใบหน้า ลุกขึ้นมาจากฟูกจนเธอสะดุ้งด้วยความตกใจ เผลอปล่อยผ้าที่ใช้เช็ดตัว ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างเมื่อถูกจับเข้าที่ข้อมือ ใกล้จนโทโดโรกิเห็นภาพตัวเองสะท้อนในดวงตา
ไม่สนอีกต่อไปแล้วว่าเธอจะรู้ถึงเสียงหัวใจนี้หรือเปล่า
“โช”
ไม่ว่าจะเป็นคุณที่ใจร้าย หรือจะเป็นคุณที่ใจดี จะเป็นคุณที่อ่อนโยน หรือจะเป็นคุณที่ทำร้ายผม
ไม่ว่าจะเป็นคุณในอดีต หรือจะเป็นคุณในปัจจุบัน
“ผมรักคุณ”
ผมก็ยังรัก
รักมากเหลือเกิน
(4)
ตื่นมาพร้อมความทรงจำเมื่อคืนที่ครบถ้วน
‘ผมรักคุณ’
อาย...
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอายได้ถึงขนาดนี้
อุตส่าห์เก็บไว้ได้ตั้งสิบกว่าปีแท้ ๆ
โชโตะนอนนิ่ง มองเพดานบ้านอย่างเหม่อลอย ยิ่งคิดถึงความทรงจำเมื่อคืนแก้มก็ยิ่งขึ้นสี ความร้อนเห่อลามไปทั้งใบหน้า และเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนกำลังเดินตรงมาที่ห้องนอน...เขาก็คว้าผ้าห่มมาคลุมโปง
เธอสะกิดเรียก “โทโดโรกิซัง---”
“โชโตะ”
“เอ๊ะ?”
“แค่โชโตะ”
ใต้ผ้าห่มเขาร้อนจนรู้สึกเหมือนจะระเบิด
“โชโตะ ออกมาคุยกันหน่อยดีไหมคะ?”
ระเบิดแล้วจริง ๆ
เขาให้ความเงียบแทนคำตอบ ยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเหมือนเด็ก ๆ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก ใบหน้าเห่อร้อนแทบไหม้
พอได้ยินเธอเรียกเขาว่าโชโตะเหมือนแต่ก่อนความรู้สึกก็ยิ่งเด่นชัด เขาดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ แต่ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนความอายก็ทำให้รอยยิ้มบิดเบี้ยว ไม่รู้ว่าควรทำสีหน้าแบบไหน เพราะงั้นออกไปตอนนี้ไม่ได้-----
เธอกระชากผ้าห่มที่เขาใช้ซ่อนตัวเองออกโดยไม่ให้ตั้งตัว โชโตะเบิกตากว้าง ใบหน้าของเขายังแดงก่ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับดูเฉยชา ใบหน้าเรียบนิ่งจนน่าใจหาย
“ฉันน่ะถึงจะยังจำเรื่องในอดีตไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็พอปะติดปะต่อได้ ทั้งสีหน้าตอนที่เจอกันครั้งแรก แล้วก็ท่าทางที่คุณมีต่อฉัน ฉันในอดีตคงเคยไปทำอะไรให้คุณเยอะแยะ และอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณมีความรู้สึกแบบนี้”
เธอเม้มปาก ดวงตาหลุบลง
“ฉันกับเธอถึงจะเป็นคนเดียวกันแต่ตอนนี้ก็เหมือนกับเป็นคนละคน เรื่องราวในอดีตระหว่างเราฉันจดจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มีเพียงใบหน้ากับร่างกายเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิม...เพราะงั้นจะรู้สึกสับสนก็ไม่แปลก ฉันเข้าใจค่ะ
แต่ฉันไม่ใช่เธอ เพราะงั้นคำว่ารัก...”
กำลัง...จะหนีไปอีกครั้ง
“ผมรักคุณ”
เขาดึงชายเสื้อของเธอไว้ตอนที่กำลังจะลุก มือสั่นจนรู้สึกได้ ความกลัวก่อตัวขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวด
“เพราะใบหน้านี้เหรอคะ?” เธอถอนหายใจ “ถ้าหากไม่มีใบหน้านี้แล้วคุณก็จะยังยืนยันว่ารักเหมือนเดิมงั้นเหรอ? นี่ ถามหน่อยสิคะ หากมีคนใบหน้าแบบนี้นับพัน คนที่คุณรักจะยังเป็นฉันอยู่ไหม?”
“ตอนนี้คุณอาจจะยังพูดว่ารัก แต่คนบนโลกนี้ยังมีอีกมากมาย คิดให้ดีนะคะ สักวันคุณอาจจะเจอคนที่ดีกว่าฉัน คนที่สามารถตอบแทนความรักของคุณได้”
“ผมไม่รู้...แต่หากตอนนั้นมีความหวังแม้เพียงสักนิดว่าได้พบคุณอีก ผมก็คงจะดิ้นรนหาต่อไป แม้จะไม่รู้เลยว่าในผู้คนนับพันนั้นมีคุณอยู่ด้วยหรือเปล่า”
คล้ายกับได้กลายเป็นเด็กอ่อนแออีกครั้ง โชโตะห่อไหล่ ปล่อยมือที่รั้งชายเสื้ออีกฝ่ายไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง ขอบตาที่ร้อนผ่าวทำให้รู้ว่าอีกไม่นานก็คงจะร้องไห้ออกมา
“การวิ่งตามมันเหนื่อยนะครับ ยิ่งคนคนนั้นไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย มันเหนื่อยจนอยากจะร้องไห้”
โชโตะกอดตัวเอง ใบหน้าซุกที่เข่า ไหล่สั่นเพราะกลั้นสะอื้น เสียงที่พูดออกมาเริ่มอู้อี้และฟังไม่รู้เรื่อง ไม่สนแล้วว่าตอนนี้ตัวเองจะยังเป็นฮีโร่โชโตะที่แข็งแกร่งอยู่อีกหรือเปล่า
ครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้ก็หลายปีก่อนที่ถูกเธอปฏิเสธและให้กลับมาอยู่ฝั่งฮีโร่ ตอนนั้นหลังจากกลับมาบ้านเขาเคว้งไปพักใหญ่ เพราะสายตาตอนที่เธอใช้บอกลากำลังบอกว่าจะนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันอีก
“คุณบอกว่าสักวันผมจะเจอคนที่ดีกว่า คนที่เหมาะกว่าคุณ...รู้ไหมครับ หลายครั้งผมก็มีความคิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมไม่ชอบที่ตัวเองพยายามจนเหมือนคนบ้าเพื่อคนคนเดียวแบบนี้ ไม่ชอบที่เหมือนวิ่งเต้นอยู่ในกำมือ ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แค่คำพูดเดียว...คุณน่ะใจร้ายที่สุด”
ตอนยังเด็กเขาไม่เคยเข้าใจ ทำไมทั้งที่ดูรักมากกลับยังทิ้งได้ลงนะ? ทว่าพอโตขึ้น ได้รู้ว่าเธอรักษาออลไมท์ ได้เห็นเธอเป็นพยาบาลของฝ่ายฮีโร่ ได้ยินเธอพูดว่าตัวเองเป็นวิลเลิน ตอนนั้นก็เหมือนเฉลยคำตอบทุกอย่าง
เธอไม่เคยจริงจังกับอะไร มองทุกอย่างเป็นเหมือนเกมที่จะทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าเกิดทนไม่ไหวหรือเบื่อขึ้นมา
หลักฐานเด่นชัดที่สุดคือเมื่อค่ายฤดูร้อนตอนปีหนึ่งที่เขายอมโดนฝ่ายวิลเลินจับ ตอนที่โปรฮีโร่ร่วมมือกันบุกจับสหพันธ์วิลเลิน เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแววตาเจ็บปวดของเธอ...ความเจ็บปวดเมื่อมองไปยังออลไมท์
หลังจากนั้นเธอก็ทิ้งทุกอย่าง
“ผมถูกทิ้งจนไม่อยากคาดหวังอะไรอีกแล้ว ผมพยายามจะลืมคุณ พยายามจะลบคุณออกไปจากชีวิต บอกกับตัวเองว่าคุณใจร้ายขนาดไหน แต่สุดท้าย…
ผมเกลียดคุณ
เพราะผมไม่สามารถเกลียดคุณได้จริงๆ”
เขาร้องไห้
ก่อนจะถูกปลอบโดยคนใจร้าย
“รักเธอ...มากจริง ๆ นะคะ”
“ทั้งหมดที่พูดมาไม่ได้บอกว่ารักฉันเลยนี่นา...เฮ้อ” เธอก้มลงมา ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน มืออันอบอุ่นนั้นเช็ดน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน “แต่คุณงดงามมากจนฉันทำร้ายไม่ลง...ถ้ายังคงยืนยันเหมือนเดิม ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าฉันไม่ใช่เขา อืม อาจจะใจร้ายกว่าด้วยซ้ำ...”
“ฉันชอบคุณนะ อย่างน้อยก็มากกว่ามนุษย์ทุกคนที่เจอตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เพราะงั้นก่อนที่จะเกลียดหรือถูกเกลียด ก็ขอจากลากันโดยที่อีกฝ่ายยังคงงดงามในความทรงจำดีกว่า
...ถ้าวันหนึ่งเกิดรับนิสัยฉันไม่ไหวขึ้นมา ให้พูดว่า ‘ลาก่อน’ แล้วฉันจะเป็นฝ่ายไปเอง ตกลงตามนี้นะคะ?”
ในที่สุด...ก็หันมาแล้ว
เท่านี้ก็เพียงพอ
“อืม!”
“ยะ---อย่าร้องไห้สิคะ”
(5)
อุปสรรคเข้ามาไม่หยุด
สายจากคนที่ทำหน้าที่จับตาดูเธอโทรเข้ามาในสำนักงานของเขา ‘สหพันธ์วิลเลินรู้แล้วว่าเธออยู่ฝั่งฮีโร่ และคงจะรู้ด้วยว่าเธอหลงลืมเรื่องในอดีต พวกนั้นพยายามจะชิงตัวเธอกลับไป...’
วินาทีนั้นโชโตะรู้สึกเหมือนตัวเองจะระเบิด เขาพยายามสงบตัวเอง ฟังอีกฝ่ายพูดให้จบ แต่เสียงก็เหมือนไม่เข้าหูอีกต่อไปเมื่อนึกถึงโลกที่ไม่มีเธออยู่ เขาพลั้งมือเผลอแช่แข็งห้องทำงานของตัวเอง รีบออกจากสำนักงาน ก่อนจะบึ่งรถไปที่บ้านทันที
ถ้าหาก...ถ้าหากหายไปจริง ๆ
...ไม่
ไม่
“สีหน้าดูไม่ดีเลย มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ในห้องนั่งเล่น เธอเอนกายบนโซฟา
อยู่ตรงนั้น...ไม่ได้หายไปไหน
เหงื่อหยดเข้าตาจนแสบไปหมด เขาคลายมือที่กำแน่น หัวใจที่เต้นแรงจนจะหลุดจากอกเมื่อกี้ค่อย ๆ กลับมาเป็นปรกติ ความคิดที่ยุ่งเหยิงกระจัดกระจายเริ่มเข้าที่
แม้จะอยากพยายามรักษาสีหน้ากับท่าทางให้ไม่มีอะไรผิดสังเกตแต่ก็ทำไม่ได้ เขาทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรงต่อหน้าเธอ แขนวางไว้บนเข่าที่ชันขึ้นข้างหนึ่ง ซุกใบหน้าเข้ากับแขน ใช้มันปิดบังความรู้สึกข้างใน
“...โล่งอกไปที”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบา ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้า ต่อมาถึงได้รู้ว่าเธอที่นั่งอยู่บนโซฟาเมื่อกี้ลุกขึ้นมากอดเขา กลิ่นหวานอันคุ้นเคยทำให้หัวใจบีบรัดแน่น โชโตะเงยหน้าขึ้นไป ตาพร่ามัวกับรอยยิ้มสดใสนั้น
“ไม่ได้หนีไปไหนสักหน่อย”
ซากุระข้างนอกผลิดอกสวย กลีบสีชมพูร่วงโรยดูงดงาม ทว่าสายตาเขากลับถูกตรึงอยู่กับคนตรงหน้า
สังเกตเห็นความขัดแย้งบางอย่าง ทั้งที่รอยยิ้มนั้นเจิดจ้าดั่งดวงตะวัน หากแต่ทำไมดวงตากลับยังเศร้าสร้อย
หยดน้ำเกาะบนกระป๋องชาพีชบนโต๊ะ ยังเป็นยี่ห้อเดิมกับที่เขาเคยซื้อให้เธอตอนพักเที่ยงเมื่อหลายปีก่อน
เสียงจากทีวีที่เปิดค้างไว้
‘อาชญากรที่ถูกจับกุมเมื่อกลางปีที่แล้ว ‘โอเวอร์ฮอล’ หัวหน้ากลุ่มฮัสไซไค ได้เสียชีวิตลงขณะที่ถูกจองจำในคุก---’
เธอซบใบหน้าลงบนไหล่เขา ร่างบอบบางสั่นเทิ้มราวกับสัตว์เล็กที่กำลังบาดเจ็บ สองมือเกาะเสื้อเป็นที่ยึด เล็บจิกลึกเข้าไปเหมือนกำลังสะกดกลั้น ลมหายใจขาดห้วงเพราะกลั้นสะอื้น เสื้อของเขาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงร้องไห้ราวจะขาดใจ
“...ไม่อยากหนีอีกแล้ว...”
และเขาทำได้เพียงกอดเธอไว้โดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
(6)
ผลจากอารมณ์ที่สั่นไหวรุนแรงเร่งให้เธอฮีทเร็วขึ้น
ยาระงับฮีทมีผลอยู่แค่ระยะสั้น ๆ ตอนที่ไปเอายาเขาได้รับคำแนะนำมาว่าให้กัดเธอไปเลยจะดีกว่า เพราะอย่างไรเสียเธอก็เป็นโอเมก้าชนิดพิเศษ ถึงจะกัดไปเท่าไหร่สุดท้ายรอยนั้นก็จะหายไปอยู่ดี ไม่เหมือนกับโอเมก้าคนอื่น
เป็นทางเลือกที่ดูสมเหตุสมผล---แต่เขาจะไปทำได้ยังไง การกัดคอโดยที่เธอไม่ได้อนุญาตก็ไม่ต่างจากการข่มขืน เขาคงทนไม่ได้ถ้าจะถูกคนที่รักมองด้วยสีหน้ารังเกียจ
เพราะจะกัดก็ไม่ได้ ยาระงับก็ใช้ไม่ได้ และเขาก็กังวลถ้าหากจะปล่อยให้เธออยู่ที่บ้านคนเดียวในสภาพอ่อนแอขัดขืนอะไรไม่ได้ ดังนั้นสุดท้ายจึงตัดสินใจใช้สิทธิพิเศษที่ได้ลางานมาเฝ้าหน้าห้องตลอดระยะช่วงที่เธอฮีท
“ลำบากหน่อยนะคะ”
เสียงหัวเราะคิกคักดังลอดมาจากอีกฝั่งของประตู ทั้งเสียงและกลิ่นหวานชัดจนหลายครั้งเกือบหน้ามืด โชโตะสูดหายใจลึก ข่มสัญชาตญาณของอัลฟ่าไว้ข้างใน แม้จะฉีดยาระงับอาการรัทแล้วแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
“เรื่องผู้ดูแลคนก่อน...มาคิดดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน” เธอพิงหลังกับประตู ริมฝีปากเหยียดยิ้ม “รู้ทั้งรู้ว่าทั้งหมดคือการแสดงเพื่อทำให้ฉันไว้ใจจะได้คอยจับตาดูง่าย ๆ แต่ทำไมฉันถึงยังเชื่อกันนะ? พอเชื่อแล้วสุดท้ายก็เจ็บเองแบบนี้ไม่ไหวเลยจริง ๆ เฮ้อ….บางเรื่องฉันก็ไม่โชคดีเท่าไหร่”
“ได้ทุกอย่างมาเพราะมีพลัง เห็นชีวิตผู้คนเป็นของเล่น ไม่ใช่มนุษย์...นั่นน่ะ พูดออกมาได้ยังไงกัน?”
แผ่นหลังกั้นไว้แค่บานประตู
“ถึงจะรู้ว่าตัวเองเลวร้ายจนไม่มีสิทธิ์คิด แต่ฉันก็ยังคาดหวัง...อยากจะมีคนสำคัญและเป็นคนสำคัญของใครสักคน ใครคนนั้นที่ถึงจะไม่รักแต่ก็ยังใจดีกับฉัน...ไม่ทำร้าย...ไม่ตีฉัน...ฮึก ขอเพียงแค่นั้น ถึงจะถูกใช้ประโยชน์ก็ไม่เป็นไร”
เขาได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นเล็ดลอดออกมา
“ฉันเอง...ก็มีความรู้สึกเหมือนกันนะ”
ผมอยากให้คุณเจ็บแบบนี้มาโดยตลอด
อยากให้คนใจร้ายแบบคุณเข้าใจความรู้สึกผม
“อย่าร้องไห้เลยนะครับ”
แต่ผมก็ทนเห็นคุณเสียใจไม่ได้จริง ๆ
“เพราะคุณสมควรถูกรัก”
เพราะผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ
เธอเงียบไป
...เนิ่นนานกว่าจะเคาะประตู
“โชโตะ ยังอยู่หรือเปล่า”
“ครับ” เขาเคาะประตูกลับไป “ผมอยู่นี่”
“เหนื่อยไหมที่มาเฝ้าฉันแบบนี้”
“อือ แต่ผมทิ้งคุณไม่ได้หรอก”
“น่ารักจังนะ เดี๋ยวพี่สาวก็ตกหลุมรักเข้าพอดี”
“งั้นก็รักสิครับ” เขาหัวเราะ “...รักผมบ้างสิ”
“ฉันคงรักเธอไม่ได้เท่าที่เธอรักฉันหรอก”
“แค่คุณรัก...มันก็เพียงพอแล้วครับ”
“...”
“ผมรักคุณ”
“...”
“ผมรักคุณจริง ๆ นะ”
“...”
“ต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อผมล่ะ”
“อือ”
“ตอบแค่นั้นผมไม่เข้าใจหรอกนะ”
“ข้างในร้อนจัง”
เขาถอนหายใจอย่างปลงตก
ถูกเปลี่ยนเรื่องคุยอีกแล้ว
“...ร้อน”
“ทนอีกสักนิดนะครับ”
“ฮื่อ”
“ผมจะพยายามหาทางช่วยนะ”
“หมอบอกว่าต้องให้สักคนกัดฉัน”
“ถ้าคุณกลัวผมจะไม่-----”
“ถ้าโชโตะล่ะก็...ไม่เป็นไรหรอก”
เขานิ่งค้าง หูอื้อ ในหัวรู้สึกกลวงเปล่า
เมื่อกี้เธอพูดว่า-----
ประตูที่ปิดล็อกอยู่เปิดออก กลิ่นหวานคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เด่นชัดกว่าเมื่อกี้หลายเท่า ความรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดกลับมาอีกครั้ง เขารู้สึกอึดอัดและร้อนผ่าวข้างใน
“นี่ เข้ามาสิ”
****ฉับฉับฉับ******
(7)
อือ…
ปวดไปทั้งตัว
ปวดจนไม่อยากขยับ
ฉันนอนนิ่ง จ้องเพดาน คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก็กะพริบตาปริบ ทั้งที่ถูกกัดจนอาการทรมานนั้นหายไปแล้วแต่แก้มกลับร้อนผ่าวขึ้นมาซะได้ แย่แล้วสิ แบบนี้แย่แล้ว
ยันตัวเองขึ้นมา คิดจะลุกไปสงบสติตัวเองในห้องน้ำ...แต่แล้วก็ได้ชะงักเมื่อสายตาสะดุดกับคนที่นั่งทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ข้างฟูก
“โชโตะ?” และพอฉันเรียกก็สะดุ้งโหยง หันกลับมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไม่เหมือนกับผู้ชายเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย
“มีอะไรหรือเปล่า?”
ฉันถามไป ความคิดที่จะไปสงบสติถูกพับเก็บไว้ชั่วคราวเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนผิดปรกติของอีกฝ่าย
จ้องอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายโชโตะก็สูดหายใจลึกด้วยท่าทางน่าเอ็นดูแบบที่ถึงแม้ตอนนี้จะโตจนเรียกน้องน้อยไม่ได้แต่ก็ทำเอาหัวใจละลายเป็นของเหลวได้ง่าย ๆ ยื่นของที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมาทั้งที่แก้มแดง ท่าทางประหม่า
“คุณอาจจะเบื่อแล้วก็ได้ที่ต้องมาฟังคำนี้...ผมรักคุณ”
ของที่ว่า...มันคือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ
เพชรต้องกับแสงส่องประกายระยิบระยับ
“อดีตผมรักคุณ ตอนนี้ผมก็ยังรักคุณ...และตลอดชีวิต คนเดียวที่ผมรักก็คือคุณ”
“ไม่ใช่น้องชายหรือเด็กที่เคยดูแล แต่เป็นในฐานะของผู้ชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่ง ผมอยากจะมองข้ามความผิดพลาดทั้งหมดระหว่างเรา อยากจะรู้จักคุณให้มากกว่านี้ อยากจะเป็นที่พักพิงให้คุณในวันที่อ่อนแอ อยากจะอยู่ด้วยกันกับคุณไปตลอดชีวิต”
จากวันวานจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่หยุดไล่ตาม
เป็นคนที่ดื้อด้านที่สุด
“แต่งงานกับผมได้ไหมครับ?”
หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก
‘ฉันจะตามใจเธอ โช’
ฉันยิ้ม หยดน้ำตาร่วงลงมาอย่างห้ามไม่ได้
“อือ”
★ ☆ ★ ☆ ★ ☆
devotion : ความรักที่มากชนิดอุทิศตัว
นักเขียน : *โฮะโฮะโฮะ* เชื่อใจเราได้!
ปล. ถึงกลุ่มฮีโร่ที่ใช้เธอไปลุยหิมะตอนนั้น สถานะ----(ไม่รับรู้)แล้วล่ะ พอดีคุณโทโดโรกิเขาจะทิ้งขยะเลยเหมารวมไปด้วยเลยน่ะ!
เฮ้อออออออออออ
เฉลยเกือบทุกอย่างแล้วล่ะ!
บอกแล้วไงคะว่าน้องไคน่ะอยู่ใกล้ตัวนี่เอง!
-----------------
นี่คือรูทโชโตะที่แฮปปี้ที่สุดแล้วค่ะ
(เราเองก็ทำใจทำร้ายไม่ลงแล้ว)
*กรณีที่โทมูระคุงตัดใจน่ะนะ(ถ้าเราเขียนโทมูระคุงเพิ่มในรูทนี้ เหอๆ น่าจะอีกยาวกว่าจะจบค่ะ ต้องฆ่ากันไปข้างแน่ๆ)
โชโตะน่าจะเป็นคนเดียวด้วยแหละที่ได้แต่งงานกับเธอ
นักอ่าน : ทำไมยัยโชตกลงง่ายจัง!
เพราะตอนนี้จิตใจกำลังอ่อนแอไงล่ะ!ヾ(*´∀`*)ノ
(สงสารนิดๆด้วยแหละ) เถอะน่า อย่าคิดมากเลย
สุดท้ายก็แฮปปี้ล่ะนะ!
---------------
มีตอนพิเศษรูทโชโตะด้วยล่ะค่ะ
(อธิบายว่าทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้ แถมยังอยู่ในกล่อง)
เรื่องคัทเดี๋ยวจะรีบส่งให้นะคะ โฮฮฮฮฮ ต้องปรับแก้อีกยาวเลย
ความคิดเห็น