คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : summer ครบ
[30]
โทโดโรกิรู้ว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหา
มันเริ่มตั้งแต่พอแม่จากไป สิ่งที่เขาสนใจและมักมองอยู่เสมอก็เปลี่ยนมาเป็นคน ถ้าให้เจาะจงก็คือคนรอบข้างที่มีครอบครัวอบอุ่น มีพ่อแม่มารอรับกลับบ้าน ระหว่างทางก็เล่าเรื่องน่าสนุกที่เจอในโรงเรียนให้ฟัง พอมีความสนุกก็ยิ้มแย้ม เจอเรื่องตลกก็หัวเราะ พอร้องไห้ก็มีพ่อเเม่คอยปลอบ
เมื่อเห็นภาพนั้น ทุกครั้งโทโดโรกิก็มักจะนึกไปถึงแม่ที่อ่อนโยนของตัวเอง นึกถึงเวลาที่เคยร้องไห้แล้วถูกปลอบ แต่ทว่าช่วงเวลานั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นแทนที่เขาจะรู้สึกมีความสุขไปกับภาพครอบครัวที่เห็น มันจึงกลายเป็นความรู้สึกอื่น
ครอบครัวของเขาถ้านับในเรื่องฐานะและความมั่งคั่งถือว่าสมบูรณ์พร้อม ทั้งที่เป็นอย่างนั้นบางสิ่งกลับขาดหายไป เป็นสิ่งที่แม้แต่พี่น้อง หรือคำชื่นชมจากคนอื่นก็ถมช่องว่างนั้นไม่ได้ เหมือนแก้วรั่ว ๆ ที่พยายามเติมน้ำเข้าไป แต่แม้จะพยายามเท่าไหร่มันก็ไม่เคยเต็มสักที
จนกระทั่งในวันหนึ่ง
‘อ๊ะ เรามีแผลเหมือนกันเลยนะ’
แก้วใบนั้นก็ได้ถูกเปลี่ยนใหม่
…..
ตอนที่เเม่ยังอยู่ โทโดโรกิเคยร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่สุดท้ายก็มักจะถูกปลอบจนกลับมายิ้มได้อยู่เสมอ พอไม่มีแม่แล้ว เมื่ออยากร้องไห้ขึ้นมาเขาก็ต้องห้ามตัวเองให้หยุดตั้งแต่ต้น เพราะพ่อเฮงซวยคนนั้นไม่มีทางมาปลอบอย่างเด็ดขาด ซ้ำจะพูดว่าเขาถูกแม่ดูแลจนเคยตัว
เพื่อตัดเหตุการณ์นั้น เขาจึงพยายามที่จะไม่ร้องไห้ จนนาน ๆ เข้าก็กลายเป็นความเคยชิน และสุดท้ายก็เป็นความเฉยชาไปในที่สุด จนเคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองอาจจะลืมวิธีแสดงอารมณ์บนใบหน้าไปแล้วจริง ๆ ก็ได้ นั่นคงจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กคนอื่นไม่ค่อยเข้ามายุ่งด้วยนัก
เพราะอยู่คนเดียวมาโดยตลอด เขาจึงรู้สึกแปลก ๆ ที่วันหนึ่งได้เป็นเพื่อนกับใครสักคนนอกจากพี่น้องของตัวเอง
เธอคนนั้นแรกเริ่มทำเหมือนสนใจเขา เข้าหาด้วยประโยคแบบที่คนปรกติไม่น่าจะใช้ แต่ทว่าในตอนนั้นโทโดโรกิกำลังหนีออกจากบ้าน ด้วยความเร่งรีบจึงเผลอตอบตกลงไป คิดว่าถ้าหากเกิดอันตรายขึ้นมาจริง ๆ ทักษะทั้งหมดที่ถูกฝึกมาคงไม่เสียเปล่า
เธอคนนั้นยิ้มแย้มอยู่เสมอ แม้จะถูกอัตลักษณ์ของเขาทำร้ายก็ทำเพียงคลี่ยิ้ม และจัดการมันออกอย่างใจเย็น ก่อนจะหันมาคุยกับเขาต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สนกระทั่งสายตาของใครต่อใครที่มองมายังรอยช้ำรอบคอของเธอ
เธอบอกว่าที่ได้รอยช้ำมาเพราะไปทำให้เจ้านายโกรธ เขามองจากความเข้มของมันที่ตัดกับสีผิวของเธออย่างชัดเจนแล้วก็รู้สึกสงสารขึ้นมา ถ้าคิดในอีกแง่นี่ไม่ต่างจากการพยายามฆ่าเลยสักนิด แม้ว่าเธอจะยังหายใจอยู่ก็ตาม
ในขณะที่โทโดโรกิทานโซบะก็สังเกตมองเธอไปด้วย เขาเห็นเธอมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ก่อนจู่ ๆ จะลุกขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ บอกกับเขาว่าเมื่อกี้เจอเด็กที่เจ้านายฝากให้ดูแล
คำถามอย่าง ‘โชโตะคุงจำทางกลับบ้านได้หรือเปล่า’ เดาได้ไม่ยากว่าเธอคงจะให้เขากลับเอง
แน่นอนว่าโทโดโรกิต้องจำได้อยู่แล้ว
แต่เมื่อมองดูรอยช้ำ และคิดว่าอาจจะไม่ได้เจอกันอีก...เขาจึงตอบเป็นอย่างอื่น ก่อนจะชวนให้กลับไปด้วยกัน
เขาชอบรอยยิ้มของเธอ
‘ที่พูดไปทั้งหมดมาจากใจจริงของฉันนะ’
แม้ว่าในตอนนั้น
เธอจะกำลังโกหกอยู่ก็ตามที
(1)
จำได้ว่ามีวันหนึ่งที่คาบสุดท้ายให้เรียนด้วยตนเอง
เด็กผู้ชายจับกลุ่มโดยมีบาคุโกเป็นศูนย์กลาง ส่วนอาซากิที่ไม่มีอัตลักษณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหาเรื่องก็เลยหลบไปที่ห้องสมุด ส่วนเขาก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เหม่อมองออกไปข้างนอก รอเวลาที่ออดเลิกเรียนจะดัง
โทโดโรกิไม่ได้หลับอย่างทุกที สาเหตุหนึ่งก็เพราะความตื่นเต้นและประหม่า หลังจากที่เมื่อวานพูดจนเธอใจอ่อน ในที่สุดผู้ดูแลของเขาก็บอกว่าวันนี้จะมาค้างด้วย จะไม่หนีกลับไปหาเด็กอีกคนเหมือนทุกครั้ง มื้อเย็นก็ตกลงกับพี่ฟุยูมิไว้แล้วว่าจะทำหม้อไฟ
เพราะไม่ได้หลับเขาถึงได้ยินคนในห้องพูด แม้จะไม่ได้ตะโกน แต่การที่จับกลุ่มใกล้ ๆ แล้วเผลอเสียงดังเพราะความตื่นเต้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาได้ยินชัดเจน
กลุ่มผู้หญิงในห้องกำลังพูดเรื่องหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้ นิยายที่โด่งดังในเว็บ โทโดโรกิคงจะเบือนหน้าหนีแล้วไม่สนใจไปแล้วถ้าหากว่าเนื้อหาที่พวกเธอกำลังพูดไม่เกี่ยวข้องกับความรักระหว่างชายหญิง
การที่ได้ใกล้ชิดกับเจ้าชายผู้มีอดีตฝังใจ ทำให้เขาเปิดใจ และในตอนสุดท้ายก็ได้เคียงคู่กันอย่างมีความสุข
ชวนให้นึกไปถึงนิทานหลายเรื่องที่แม่เคยเล่าให้เขาฟัง เนื้อหาไม่ต่างจากที่พวกเธอเล่าเท่าไหร่ เพียงเเต่ว่าฝ่ายที่ถูกทำร้ายและถูกรังแกคือฝ่ายหญิง จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีคนมาช่วยให้เธอหลุดพ้นจากวังวนนั้น
เขาคนนั้นได้กลายเป็นเจ้าชายของเธอ และสุดท้ายพวกเขาทั้งสองก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ในตอนนั้นโทโดโรกินึกไปถึงเธอ ถ้าเปรียบเขาเหมือนคนที่ถูกช่วยเอาไว้ในนิยาย เธอเองก็คงเป็นเจ้าหญิงของเขา เจ้าหญิงที่ดึงเขาออกจากโลกอันแสนน่าเบื่อ เมื่อเธอยิ้มโลกใบนี้ก็เหมือนถูกแต่งแต้มด้วยสีสัน...
ออดเลิกเรียนดังขึ้นมา คนอื่นทยอยเก็บของ อีกไม่นานพี่นัตสึโอะก็จะมารอรับกลับอย่างทุกที
ถึงจะรู้ว่าไม่ควรให้อีกฝ่ายรอนาน แต่ตอนนั้นเขากลับขยับไม่ออกเลยสักนิด ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเหมือนเป็นไข้ หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ กว่าจะกลับมาเป็นปรกติ มองดูนาฬิกาอีกทีก็สายมากแล้ว
โทโดโรกิรีบเก็บของแล้วลงไปข้างล่าง ระหว่างทางก็คิดว่าตอนนี้เธอจะอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ บางทีอาจจะกำลังช่วยพี่ฟุยูมิในครัว จัดจาน หรือไม่ก็ออกมาซื้อของเพิ่ม
แต่เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน
สิ่งที่คิดก็กลายเป็นควันและจางหายไป
เมื่อเธอในจินตนาการกำลังคุยอยู่กับพี่นัตสึโอะ ใบหน้าเเต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เหมือนจะคุยเรื่องน่าสนุกกันอยู่เธอถึงได้หัวเราะขนาดนั้น
เขามองอยู่นาน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่สะดุ้งเพราะมีสัมผัสเย็นจัดมาแตะตรงแก้ม
โทโดโรกิกะพริบตา มองไปที่ต้นเหตุของความเย็นสลับ ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองใบหน้าเป็นห่วงของเธอ
‘เป็นอะไรหรือเปล่า? รู้สึกไม่ดีตรงไหนไหม?’
พอเขาส่ายหน้าปฏิเสธ เธอก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อเท่าไหร่นัก ก่อนจะยื่นขวดแก้วที่ถูกแช่จนเย็นมาให้ สีของเครื่องดื่มในขวดมองเห็นได้ชัด มันคือโซดารสผลไม้ที่เห็นโฆษณาบ่อย ๆ ในโทรทัศน์
‘ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าร้อนแล้วด้วย...’
เธอบ่นอย่างเป็นห่วง ทั้งที่กรอบหน้าก็ชื้นด้วยเหงื่อจนต้องยกมือขึ้นเช็ดบ่อย ๆ ผิวถูกแดดจนมันแดงขึ้น เธอดูจะไม่ถูกกับหน้าร้อนมากกว่าเขาที่มีอัตลักษณ์น้ำแข็งกับไฟเสียอีก
เขาหันไปหาพี่ ถามไปว่าทำไมถึงมาด้วยกันได้
พี่นัตสึโอะอึกอักอย่างเคย พูดตะกุกตะกักที่แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ปรกติ ‘พอดีเจอโชซังที่มาซื้อของระหว่างทางพอดี...ก็เลยชวนมาด้วยกัน’
พอหันไปหาเธอบ้าง ที่เห็นได้ชัดคือใบหน้าแดงจัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิหรืออย่างอื่น...พอคิดอย่างนั้นโทโดโรกิก็รู้สึกว่าฤดูร้อนเลวร้ายไปเสียดื้อ ๆ แม้แต่โซดาที่ดื่มเข้าไปก็หารสหวานไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นถึงได้รู้ความจริง
แม้เธอจะเป็นเจ้าหญิงของเขา
แต่เขาไม่ใช่เจ้าชายของเธอ
……..
“หายไปแล้ว?”
ดาบิซังขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าสับสน
“เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงอยู่แท้ ๆ”
เขาพึมพำกับตัวเอง วายร้ายคนอื่นก็ดูสนใจเหมือนกัน พวกเขาต่างเข้ามาสำรวจในห้องที่เคยถูกแช่แข็งไว้ ค้นนู่นนี่ในห้องไม่หยุด ไม่ใช่เล่นซ่อนแอบสักหน่อย อ๊ะ โชโตะไม่ได้อยู่ในกล่องหรอกนะโทกะจัง
ฉันลูบข้อมือที่ถูกบีบ ยังรู้สึกปวดไม่หาย นอกจากนั้นปากก็รู้สึกเจ็บแปลบ วันพรุ่งนี้มันอาจจะเป็นแผลก็ได้
...ทั้งที่ไม่เคยใช้กำลังกับฉันเลยแท้ ๆ
คิดพลางทำหน้าเหมือนช่วยไม่ได้ อธิบายไปว่า “เขาทำฉันเจ็บก็เลยเผลอไปน่ะค่ะ ขอโทษนะคะ ป่านนี้เด็กคนนั้นคงไปตกอยู่ที่ไหนสักที่แล้วเเหละ”
ดาบิมองหน้าฉันนิ่งเหมือนกำลังจับผิด ฉันเอียงคอก่อนจะสบสายตากลับไป ยิ้มเหมือนที่พูดไปคือเรื่องจริง
และในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ พ่นลมหายใจอย่างหัวเสีย รอยแผลยิ่งเสริมให้การไม่สบอารมณ์ของเขาคือการที่พร้อมจะฆ่าใครสักคน ฉันเหงื่อไหลพราก คงไม่ได้คิดจะเผาฉันหรอกนะ
“อยากได้เขามาเป็นพวกงั้นเหรอคะ?” ฉันยิ้ม “ถึงฉันไม่ส่งเขาออกไป ยังไงซะเด็กคนนั้นก็ไม่เหมาะที่จะมากำลังให้โทมูระคุงเหมือนเดิมนั่นล่ะค่ะ”
“เหตุผล?”
“อุดมการณ์ของเขาไม่เหมือนพวกเราค่ะ” ฉันหลุบสายตาลง นึกไปถึงตอนที่เขาพูดประโยคนั้นออกมา คิดยังไงถึงให้ฉันไปตัดสินอนาคตของเขา อารมณ์ชั่ววูบทำให้ทุกอย่างพังได้เลยนะ
ดาบิซังไม่คิดจะถามต่อ เขาเดินออกจากห้องไปพร้อมวายร้ายคนอื่น อ่ะ รอดแล้วสิ ดีจังเลย
โทกะจังเข้ามาตบหลังฉันอย่างแรงจนฉันสะดุ้ง เธอหัวเราะก่อนจะบอกว่าอัตลักษณ์ของฉันเหมือนคุโรกิริ ก่อนจะรัวคำถามใส่ไม่ยั้ง ทั้งเรื่องอัตลักษณ์แล้วก็เรื่องที่ไปรู้จักกับโทมูระคุงได้ยังไง
คำถามเยอะจนฉันเวียนหัว พอกำลังจะตอบเท่าที่จำคำถามได้ไหล่ก็ถูกจับยึดไว้จากด้านหลัง
“พอได้แล้ว”
หยุดคำถามได้ชะงัด
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับยัยนี่หน่อย เธอออกไปก่อน”
โทกะมองฉันสลับกับโทมูระคุงก่อนจะทำหน้ายู่ ยอมออกไปแต่โดยดี
ฉันได้ยินเสียงบ่นของเธอ “โทมูระขี้หวง!”
ฉันรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี จู่ ๆ ก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมา รู้แบบนี้รีบเดินออกไปตั้งแต่แรกดีกว่า อยู่สองคนแบบนี้ไม่ปลอดภัยเลย
เขาจับไหล่ฉันให้หันมาเผชิญหน้า ฉันมองหน้าเขาที่ดูไม่สบอารมณ์ ดวงตาสีแดงแข็งกร้าวกว่าตอนเจอกันครั้งแรก ท่าทางเหมือนจะเข้ามากัดฉันได้ทุกเมื่อแล้วก็กลืนน้ำลาย ฮือ ฉันทำอะไรผิดไปอีก
“ไม่พอใจเรื่องที่ฉันทำตามใจเหรอคะ?” โฮ ฉันผิดไปแล้ว อย่าตีฉันเลย “ขอโทษนะโทมูระคุง ไว้คราวหน้าพี่สาวจะหาคนมาให้ก็แล้วกัน เอาที่เก่งกว่านี้เลยดีไหม?”
เขาจ้องหน้าฉัน ยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม
“ตอนที่อยู่ในห้องเธอทำอะไรกับเด็กนั่น”
ฉันกะพริบตา “ก็...คุยกันล่ะมั้งคะ?”
จริง ๆ นะ คุยจริง ๆ ไม่ได้โกหกเลยแม้แต่นิด
‘แต่ฉันชอบโชโตะตอนเป็นฮีโร่มากกว่านี่นา’
‘ผม...’
‘เธอไม่คิดเหมือนกันเหรอ?’
“สงสัยอะไรงั้นเหรอคะ?”
“...คุยแค่นั้นจริง ๆ?”
ฉันพยักหน้า “ค่ะ”
พอตอบไปแบบนั้นโทมูระคุงที่นิ่งมาตลอดก็เหมือนไม่พอใจ อารมณ์แปรปรวนจนฉันตามไม่ทัน จะขยับหนีก็ดันช้าไปหน่อย ในที่สุดก็โดนเขายึดคางเอาไว้ไม่ให้หันหน้าหนี จะขยับก็ไม่ได้เพราะเขาออกแรงกับคางฉันแทบบี้ให้เป็นผง
“ก่อนหน้านี้เธอไม่มีแผล”
ปลายนิ้วเขากดลงบนริมฝีปากอย่างแรง ฉันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ยิ่งเมื่อเล็บเขาจิกลงตรงแผลก็แทบน้ำตาร่วง
“จะอธิบายว่ายังไง?”
เขาผ่อนแรงลง ฉันถึงใช้จังหวะนั้นสะบัดหน้าหนีจากมือของเขา ลูบคางป้อย ๆ เมื่อกี้น้ำตาจะไหลจริง ๆ นะ!
“ข้อผิดพลาดเล็กน้อยค่ะ” ฉันมองหน้าเขา ทว่าในขณะที่พูดก็ถอยหลังหาประตู “อย่าสนใจเลยนะคะ เอาล่ะ! มาฉลองที่ปลอดภัยกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยเรื่องอาหารเอง~!”
ประโยคหลังหันไปบอกเหล่าวายร้ายคนอื่น พูดจบก็วิ่งออกห่างโทมูระคุงทันที --- ซึ่ง แน่นอนว่าพวกเขางงงวยกับประโยคที่ฉันพูดไป เพราะในโกดังนี้ไม่มีอย่างไหนที่ดูเป็นห้องครัวได้เลยสักนิด
จนกระทั่งฉันดีดนิ้ว เสกมันออกมาเหมือนมายากล
ไม่ใช่เครื่องครัวหรือวัตถุดิบหรอกนะ นั่นยุ่งยากออกจะตายไป ถึงแม้ถ้าคิดจะทำก็ทำได้ก็เถอะ
ฉันจิบชาพีชที่จำได้ว่าคุโรกิริเป็นคนทำ ของเหลวสีชมพูอยู่ในแก้วค็อกเทลสวยงาม เฮ้อ ถ้าคุโรกิริยังอยู่เวลาโทมูระคุงโมโหฉันก็น่าจะไปหลบหลังเขาได้แท้ ๆ
“มีใครอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?”
โทมูระคุงต้องไม่พอใจแน่ ๆ ที่เปลี่ยนเรื่องแบบนี้
แต่ก็นะ?
จะพูดออกไปได้ยังไงล่ะ
ว่า ‘โชโตะโกรธมากจนกัดฉัน’ น่ะ
★ ☆ ★ ☆ ★ ☆
: โทโดโรกิกับฤดูร้อนของเขา
อาจจะงงๆหน่อย ช่วงหลังก็คือยัยคุยกับโชโตะเสร็จแล้ว จากนั้นพี่บิก็เปิดประตูเข้ามาว่าจะดูว่าเป็นไงนั่นล่ะค่ะ
ตอนนี้ยกเว้นการหัวเราะไปก่อนค่ะ
ノ(・ω・)ノ
ความคิดเห็น