คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ONE NIGHT
[09.5] ยามค่ำคืน
“อัตลักษณ์ของโชจังสุดยอดไปเลยนะ!”
น้องเเว่นว่าขึ้นตาเป็นประกาย ท่าทางดูตื่นเต้นสุดๆ ตลอดการนำทางไปห้องอาหารครอบครัวก็พูดเรื่องนี้ไม่หยุด อัตลักษณ์ของคุณอย่างนู้นอย่างนี้ ค่อนข้างลำบากใจเลยนะเเม้ว่าภายนอกฉันจะยังยิ้มอยู่ก็ตาม
ที่เรียก ‘โชจัง’ ได้ เรื่องก็คือเธอสงสัยเเล้วถามเกี่ยวกับอายุฉัน เเบบว่า เป็นคำถามที่ไม่มีอะไรเเต่สำหรับฉันมันโคตรยากเลยนะ เพราะฉันไม่รู้อะไรเลยไงล่ะ หน้ากับตัวเป็นเเบบนี้มาตั้งเเต่ต้น
เเต่ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันไปอีกนานใช่ไหมล่ะ ดังนั้นก็เลยเเถๆไป
‘ร่างกายฉันมันหยุดพัฒนาไปเเล้วน่ะค่ะ ฉันก็หยุดนับอายุมานานเเล้วด้วย เพราะงั้นเรียกโชก็ได้นะคะ’
ตบท้ายด้วยประโยคอะไรสักอย่างประมาณว่า ‘อยากมีพี่สาวอ่อนโยนเเบบนี้จังเลยน้า’ พร้อมน้ำเสียงกับหน้าตาเศร้าๆ ท้ายสุดฉันก็ถูกเรียกว่าโชจังแบบน่ารักน่าเอ็นดูสุดๆ
ฉันยิ้มเเห้ง อยากจะสะบัดความเย็นกับความร้อนเมื่อกี้ที่เกาะอยู่บนมือออก เเต่ก็จนใจที่มือถูกจับไว้โดยเด็กชายโชโตะ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงไม่ยอมปล่อยมือฉันสักที เเถมยังนิ่งเงียบด้วย
“ฮะฮะ เเต่ก็ค่อนข้างลำบากเลยล่ะค่ะ” ทั้งน้ำเเข็งทั้งไฟ ใช้ไปนานๆเข้ามือคงเเห้งไม่ก็คงถูกน้ำเเข็งกัดเป็นเเผลเเหงๆ ไม่เอาๆ ฉันไม่ชอบให้ตัวเองเจ็บเท่าไหร่ “ทำเเบบนั้นไปดีเเล้วหรือเปล่านะ...”
“คงสำเร็จเเล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นพ่อไม่บอกให้เข้าบ้านหรอก” เธอยิ้มเเจ่มใสได้ไม่นานความเศร้าก็กลับมาอีกครั้ง “เเต่ว่าหลังจากนี้คงลำบากโชจังน่าดู ครอบครัวฉัน...มีปัญหานิดหน่อยน่ะ ตั้งเเต่ที่เเม่พวกเราเสียไปเรื่องก็เเย่ลง อ๊ะ ขอโทษด้วยนะที่ให้ได้ยินเรื่องไม่น่าฟัง”
เธอขอโทษขอโพย ก่อนจะหันไปพูดกับโชโตะ
“ดีใจด้วยนะโชโตะ ต่อไปนี้ก็ไม่เหงาเเล้วเนอะ”
“อืม!”
อะไรน่ะเสียงตอบกลับเเบบยินดีสุดๆนั่น
เเล้วเธอ...น้องสาวเเว่น จะน้ำตาคลอทำไม
ฉันพ่นลมหายใจสีขาวออกมา มองดูนาฬิกาที่บอกเวลาค่ำสัมพันธ์กับสีหม่นของท้องฟ้า อีกไม่ถึงสัปดาห์ก็จะเข้าหน้าหนาวเเล้วหรือเปล่านะ เเบบนี้ต้องไปหาซื้อเสื้อเนื้อหนาๆมาเผื่อเอาไว้เเล้วสิ เสื้อกันหนาวด้วย อืม ต้องซื้อเผื่อเด็กเอาเเต่ใจด้วย
‘คุณอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก’
เเค่คิดถึงหน้านายน้อยเเล้ว
อืม ฉันโดนโกรธเเหงๆเลย
…..
……
ห้องอาหารมีขนาดใหญ่
จะว่าไงดี ดูเรียบเเละเหมือนครอบครัวปรกติกว่าที่คิด ก็ปูด้วยเสื่อทาทามิ มีโต๊ะอาหารเตี้ยๆ หมอนอิงที่ใช้รองนั่งบนเสื่อทาทามิ กับโทรทัศน์จอใหญ่ -- ชวนให้นึกถึงฉากครอบครัวอบอุ่นที่นั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันจริงๆ เเต่น่าเสียดายที่ความจริงเเล้วต่างกันลิบลับ
ข้างๆห้องอาหารถูกกั้นด้วยประตูเลื่อน เเต่ก็เห็นเเวบๆว่าเป็นห้องครัว ฉันเริ่มคิดอีกเเล้ว นายน้อยจะหิวหรือยัง ตอนนี้ก็ค่ำเเล้วด้วย หวังว่าคุโรกิริคงกลับนะ
ฉันมองไปรอบๆเเล้วก็ไม่เห็นคนอื่นตามมา ในห้องอาหารนี้มีเพียงฉัน น้องเเว่น กับโชโตะคุง สามคนเท่านั้น
อาจจะสงสัยว่านัตสึโอะหายไปไหน ก็นั่นสิ ไม่รู้เหมือนกัน หลังฉันใช้พลังจนมือชา ฮีโร่อันดับสองก็บอกให้เข้าบ้านไปทานอาหารเย็น นัตสึโอะนิ่งไป จากนั้นพอหันไปดูอีกทีก็คือหายวับไปเลย เร็วมาก
อะไรเนี่ย เงียบเหงาชะมัดเลย
“อ้าว นัตสึโอะคุงไม่มาเหรอคะ”
พอถามเเบบนั้นไป คำตอบที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะเเห้งๆเหมือนว่ามันไม่น่าฟังเท่าไหร่
“เวลาที่ทะเลาะกับพ่อนัตสึจะชอบเก็บตัวน่ะ ตอนนี้คงกำลังสงบอารมณ์อยู่นั่นเเหละ”
ครอบครัวอบอุ่นจริงๆ
“เเล้วก็พ่อ...ปรกติจะทานอาหารที่ห้องตัวเอง เพราะงั้นวันนี้ทั้งโต๊ะอาหารคงเหลือเเค่พวกเราเเล้วล่ะ เเหะๆ”
ฉันลืมไป เเม่เขาไม่อยู่เเล้ว -- จำได้ว่าน้องเเว่นบอกว่าช่วงนี้ยุ่งๆนี่ อายุเธอช่วงนี้ก็น่าจะเตรียมสอบเข้ามหาลัยด้วย คงต้องอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง บางวันคงไม่มีเวลาออกมาทานข้าว...
น้องน้อยอยู่คนเดียวเเบบนี้มาตลอดเลยงั้นเหรอ
น่าสงสาร พี่สาวรู้สึกรวดร้าวในอกขึ้นมาเลยล่ะ
“โชจังกับโชโตะอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” เธอถาม ท่าทางกำลังจะเตรียมเข้าครัว
ความจริงความอยากอาหารอะไรนั่นไม่มีสักนิด อยากกลับบ้านเเล้วอ่า ฉันคิดถึงห้องนอนกับเตียงนุ่มๆของตัวเองมากๆเลย เเต่ความคิดด้านดีก็ขัดอีกว่าเธอทิ้งโชโตะน้อยไว้ไม่ได้นะ เห็นไหมว่าเขาหงอยเหงาขนาดนี้เเล้วน่ะ
“พี่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบไม่ใช่เหรอครับ?”
ฟุยุมิตอบเสียงตะกุกตะกัก “กะ ก็ใช่...”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” โชโตะมองพี่สาวตาเเป๋ว
ก่อนจะดึงเสื้อฉันเเล้วผลักให้ไปด้านหน้า ท่าทางนำเสนอสุดๆ คือว่านะ อย่าดึงเสื้อเเบบนี้เซ่
“เรื่องอาหารให้เธอจัดการก็ได้”
มือเล็กๆใช้จังหวะที่พี่สาวมองไม่เห็นสะกิดด้านหลังฉัน ส่งสายตาประมาณว่าช่วยตอบอะไรหน่อยสิ ตามน้ำหน่อย อย่าขัดผมนะ คือว่านะน้องชาย เเบบนี้มันไม่ดีเลย
“ฉันพอทำอาหารได้บ้างนิดหน่อยน่ะค่ะ งั้นเดี๋ยวทางนี้จะช่วยดูเเลโชโตะคุงให้เองนะคะ” ฉันยิ้มสดใสที่สุด ให้ตายเถอะ “คุณฟุยูมิไม่ต้องห่วงนะคะ ไว้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเองค่ะ จะถึงช่วงสอบเเล้วนี่นะ...สู้ๆนะคะ!”
ฟุยูมิเบิกตากว้าง เเต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นประกายวาววับในดวงตาเธอ ท่าทางปลื้มปริ่มสุดๆ เป็นอะไรสักอย่างที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ เราพึ่งเจอกันเองนะ ไว้ใจง่ายเกินไปหน่อยมั้ง หรือว่านี่ก็เป็นนิสัยอย่างหนึ่งของพวกตัวเอก
เธอมองออกไปบนท้องฟ้าข้างนอก เก็บดวงตาเป็นประกายเเล้วเเทนที่ด้วยความเป็นห่วง
“เเต่ค่ำเเล้วนี่นา” เธอขมวดคิ้ว “โชจังพักอยู่ที่ไหนหรือ ไกลหรือเปล่า”
สองคำตอบ สองผลลัพธ์ ไกลหรือไม่ไกล ถ้าตอบว่าไม่ไกลฉันอาจจะได้กลับไปหานายน้อย --- อ่า นี่ อย่ากำเสื้อฉันเเน่นสิโชโตะคุง เสื้อพี่สาวจะขาดเเล้วนะ เเล้วมองฉันด้วยสายตาเเบบนั้นหมายความว่าอะไร
“อย่าไป”
อย่าพูดประโยคคำสั่งเเล้วทำน้ำเสียงขอร้องเเบบนี้สิ เหมือนเห็นหางลู่หูตกออกมาเลยเเฮะ ภาพลวงตาหรือเปล่านะ เเต่ใจฉันสั่นมากเลย จิตใจด้านดีต่อนายน้อยกำลังถดถอย
“ถ้ากลับไปจะถูกทำร้ายอีกนะ”
ดวงตาสองสีกำลังสั่นระริก กัดปากเเดงเรื่อ
ส่วนหัวใจฉันน่ะเหรอ อ่อนยวบยาบอีกเเล้ว เเทบจะละลายลงไปกองกับพื้นเมื่อโดนออร่าเทวดาน้อยกระเเทกเข้าตาจังๆ ฮือ เป็นห่วงพี่สาวเหรอ ขอบใจนะ
เเต่ความจริงคือฉันโกหกเธอน่ะ ทั้งหมดเลย
พอจบประโยคน้องชาย สาวเเว่นหันมามองรอยที่คอฉัน น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ยังดีที่เธอปาดมันออกไปก่อน ขอบคุณจริงๆ เพราะถ้าเกิดร้องไห้ขึ้นมาฉันก็ไม่รู้จะรับมือยังไงดี
“โชจัง มืดๆเเบบนี้มันอันตราย เพราะงั้นวันนี้ก็ค้างที่นี่ก่อนเถอะ”
เอาเเล้วไง อีเว้นต์ถูกชวนมาค้างบ้านเเบบนี้
ฉันนึกถึงหน้านายน้อยเอาเเต่ใจขึ้นมา ตามด้วยภาพของท่านวายร้ายที่เตือนว่า ‘อย่าให้มีครั้งที่สอง’ รอยมือบนคอยังอยู่เป็นของต่างหน้าอยู่เลย เเบบว่า คิดให้ดีๆก่อนจะทำอะไรถ้าไม่อยากโดนหักคอ
เเค่คิดลำคออันบอบบางก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นมา
“จะดีเหรอคะ” มือเลื่อนมาปิดรอยไว้ ถามเสียงไม่มั่นใจ “ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกโชจัง ฉันมีเสื้อผ้าใหม่ที่ยังไม่ได้ใส่อีกหลายชุดเลย เอาไปใส่ก่อนก็ได้” ดวงตาฟุยูมิเป็นประกาย รีบตอบ “คืนนี้ค้างที่นี่ไปก่อนนะ”
อ่า
ฉันยิ้มอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณนะคะ”
ครั้งที่สองให้มันเจ็บครั้งเดียวเลยนะนายท่าน
…..
…….
‘สถานการณ์ตอนนี้ -- วิลเลินที่ก่อความวุ่นวายในงานฉลองถูกจับกุมตัวเเล้วค่ะ! หวา วิลเลินเริ่มเคลื่อนไหวเเล้วเเบบนี้ความสงบสุขต่อไปจะเป็นยังไงนะ...’
ฉันจ้องโทรทัศน์ตาไม่กะพริบ
นักข่าวลงพื้นที่ถ่ายทอดสถานการณ์ที่งานฉลองอะไรสักอย่าง เห็นว่าเป็นการฉลองการครบรอบหนึ่งปีหลังจากเหตุวินาศภัยครั้งใหญ่ระหว่างวิลเลินเเละฮีโร่ เเล้วฮีโร่เป็นฝ่ายชนะ วิลเลินไม่เคลื่อนไหวเพราะสูญเสียหนัก
เเต่ทว่า ในงานฉลองที่ควรจะเป็นไปอย่างราบรื่นเเละสร้างกำลังใจให้ประชาชนเชื่อว่าตอนนี้ปลอดภัยเเล้ว วิลเลินไม่มีกำลังใจสู้เเล้ว สถานการณ์บ้านเมืองสงบสุขดี -- กลับมีวิลเลินก่อความวุ่นวายขึ้นกลางงาน เหมือนกับว่าต้องการจะทำลายความคิดเหิมเกริมของพวกฮีโร่ อะไรประมาณนั้น
ในงานที่มีเเต่ฮีโร่ยั้วเยี้ย ไม่นานวิลเลินก็ถูกจับกุมตัว เเทบไม่มีใครได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำ เเต่ก็อย่างว่าเเหละ งานฉลองล่มไปเเล้วเพราะวิลเลินตัวนี้มีอัตลักษณ์ทำลายพื้นที่วงกว้างสุดๆเลย รางวัลฮีโร่ตกพื้นเต็มไปหมด
เฮ้อ
คุ้นไหม ไอ้เหตุวินาศภัยครั้งใหญ่ที่ว่านี่คุ้นๆไหม
ท่านวายร้ายกับออลไมท์ยังไงล่ะ!
เอาเเล้วไง ต่อไปนี้วุ่นวายเเหงๆ
ฉันน้ำตาจะไหล ไม่รู้เลยว่าผ่านไปจนเกือบปีเเล้ว เเต่การที่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ความผิดฉันนี่ ดูสิ ตลอดเวลารักษาฉันออกไปไหนบ้าง กินกับนอนอย่างเดียว การติดต่อสื่อสารอะไรก็โดนจับตาดูไว้หมดเหมือนนักโทษ
ฉันฟุบหน้าลงกับโต๊ะเตี้ยอย่างเหนื่อยอ่อน มองดูฮีโร่อะไรสักอย่างในจอที่กำลังพูดถึงการก่อการร้ายเมื่อกี้ เนื้อหาก็ประมาณ ‘มีพวกเราอยู่ไม่ต้องห่วงหรอก ระวังไว้ โดยเฉพาะวิลเลินที่เอาเเต่หลบอยู่ด้านหลังนั่น!’
อืม ตลกดีจัง วิลเลินที่ว่านั่นหมายถึงใครเหรอ
นายท่านที่ดูอยู่จะหัวเราะหรือเปล่านะ ท่าทางอวดเบ่งของฮีโร่เมื่อกี้ทำเอาฉันเเอบหลุดขำพรืดออกมาเลย อัตลักษณ์ก็ไม่ได้เทพขนาดนั้นซักหน่อย ตัวเอกหรือก็ไม่ใช่
เเต่อุตส่าห์เป็นฮีโร่ปากกล้าของประชาชนทั้งที ขอให้อย่าตายก่อนได้สู้กับท่านวายร้ายก็เเล้วกัน เมื่อถึงตอนนั้นเเล้วซัดเขาให้หมอบเลยนะ ตบตีเขาเลย บีบคอเขาเเทนฉันด้วย สู้ๆนะคุณฮีโร่
ตาฉันเริ่มปรือลง นอนตรงนี้เลยได้หรือเปล่า ทำไมอากาศบ้านตระกูลนี้เย็นสบายดีจัง
“คุณไม่หิวเหรอ”
เเต่ก็เพราะมีมือมาสะกิดนั่นเเหละฉันก็เลยสะดุ้ง ดีดตัวขึ้นจากโต๊ะเเล้วหันไปมองเจ้าของมือทันที
“คุณตกใจอะไร” เขามีท่าทางงุนงง ก่อนจะมองมือตัวเอง ดวงตาเศร้าหมองลงท่าทางซึมกะทือรู้สึกผิด “เรื่องเมื่อตอนกลางวัน...ที่ผมใช้อัตลักษณ์กับคุณ ขอโทษนะครับ”
“ไม่ใช่ๆ” ฉันรีบส่ายหัวปฏิเสธ เห็นหน้าเเบบนั้นเเล้วอยากตีตัวเองชะมัด เธอทำเด็กน่ารักเศร้าได้ไง! “จริงๆนะ ฉันเเค่ตกใจนิดหน่อย อัตลักษณ์เธอทำอะไรฉันไม่ได้หรอกน่า”
ถอนหายใจครั้งหนึ่ง
“ฉันปลอบไม่เก่งหรอกนะ”
คิดถึงนายน้อยกับเตียงนอนชะมัด
“ถ้ากลัวขนาดนั้นฉันจะกลับนะ อยู่คนเดียวจะได้ไม่ต้องกังวลว่าอัตลักษณ์จะไปทำร้ายใครเข้าไง เเบบนี้ดีหรือเปล่า หืม?”
เขาเม้มปาก ส่ายหัว มือเล็กดึงเเขนเสื้อฉันไว้เเน่น
ฉันยื่นมือไปลูบผมสองสีนุ่มๆนั่น ขยี้เเรงๆอย่างหมั่นเขี้ยวเรียกใบหน้าเศร้าๆกับดวงตากลมๆให้ขึ้นมามอง พอดูดีๆเเล้วก็สังเกตเห็นคราบซอสโซบะเปื้อนที่เเก้มกับมุมปากนิดหน่อย
“มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากทำให้เธอกังวลเรื่องอัตลักษณ์ของตัวเอง เพราะงั้นก็ทิ้งความทรงจำไร้ค่าเเบบนั้นไปเถอะ ไม่อย่างนั้นต่อไปเราจะอยู่ด้วยกันลำบากนะ”
ฉันหยิบทิชชู่ออกมาก่อนจะส่งให้เขา
“อะ เเก้มกับปากเธอเปื้อนซอสน่ะ”
“อืม” เขารับทิชชู่ไปก่อนจะเริ่มเช็ด...อย่างมั่วๆ “เช็ดเเล้ว”
นี่บอกหน่อยสิว่าไม่ได้ตั้งใจ ทำไมเช็ดสะเปะสะปะขนาดนั้น
“เปื้อนยิ่งกว่าเดิมอีก”
“ผมมองไม่เห็น คุณเช็ดให้ดีกว่า” เขาจ้องฉันตาเเป๋ว ยื่นทิชชู่อันใหม่มาให้ สายตานั่นเหมือนกำลังบอกว่า ‘นะครับ เช็ดให้หน่อย นะ’
อือ เเล้วมองเเบบนั้นฉันจะขัดใจได้ไง
ตอนที่เช็ดคราบเปื้อนออกให้ มือเผลอไปโดนเเก้มเข้าล่ะ นุ่มมากเลย เหมือนก้อนเเป้งขาวๆ อยากหยิกชะมัด
ฉันทิ้งทิชชู่ลงถังขยะ “เสร็จเเล้ว”
เขาเเตะเเก้มตัวเอง เเม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่งเเต่น้ำเสียงที่พูดทำให้รู้ว่าไม่ชอบเท่าไหร่
“เหนียว”
“ก็ไปอาบน้ำ” ฉันถอนหายใจ พยายามอย่างมากในการปรือตาขึ้น เก็บชามโซบะที่ทานเสร็จเเล้วมา เเล้วลุกขึ้น “ฉันจะเอาชามไปล้าง เธอไปก่อนเลยก็ได้”
เด็กน้อยขมวดคิ้ว ทำหน้างงๆ “คุณจะหาห้องผมเจอได้ไง”
มองเด็กน้อยที่สงสัยกับประโยคเมื่อกี้ถึงได้รู้ตัวว่าพลาดไปเเล้ว ฉันกะพริบตา คล้ายว่าการง่วงเมื่อกี้ไม่หลงเหลืออีกต่อไป พยายามนึกย้อนไปว่าตอนกลางวันทำท่าทางยังไงเขาถึงไม่เชื่อใจฉัน
“ไม่เชื่อใจหรือยังไง ก็เคยบอกไปเเล้วไงว่าพี่สาวน่ะเดาทางเก่งมากเลยนะ เเบบปรมาจารย์เลยล่ะ” พูดไปพร้อมเดินเข้าห้องครัว อา ไม่ไหวๆ นึกคำพูดไม่ออกเลย “ไม่หลงหรอกน่า”
เมื่อเหลือบหางตาไปมอง ฉันเห็นเขากำลังเท้าคางกับโต๊ะเเล้วจ้องมา ดวงตาสองสีหม่นลงเมื่อเราสบตากัน เขาถอนหายใจจากนั้นฟุบหน้าลง ท่าทางเหนื่อยอ่อน
“ผมจะรอนะ”
เขาอาจจะไม่เข้าใจความคิดของฉัน
อืม ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
…
…...
นอนไม่หลับ
เเต่มันก็ไม่เเปลกใช่ไหม ก็มันไม่ใช่ที่นอนที่ฉันคุ้นชินนี่ ช่วงเเรกที่ไปอยู่กับท่านวายร้ายฉันก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนกัน
พวกเรานอนคนละฟูก ผ้าห่มคนละผืนกัน หันหลังให้กัน ไฟก็ปิดเเล้วเรียบร้อย นาฬิกาข้อมือถอดทิ้งไว้ก็เลยไม่ได้ดูเวลา เเต่ให้เดาตอนนี้ก็คงเกือบสามทุ่มได้ เป็นเวลาเข้านอนของเด็กดีเเล้ว
ใต้ความมืดฉันกลอกตามองรอบๆ อากาศหรือก็เย็นสบายดี ไม่ร้อนไม่หนาวเกิน ฟูกที่นอนก็นุ่มชวนเคลิ้ม หมอนพอดีคอ ชุดนอนของน้องเเว่นก็เป็นชุดใหม่ที่ถูกซักเเล้ว กลิ่นหอมยังหลงเหลืออยู่จางๆ
ทุกอย่างดีพร้อมไปหมด เเต่ฉันก็ยังนอนไม่หลับ ถึงเเม้จะพยายามข่มตาลงไปเเล้วก็ตาม
ให้นอนหลับสักพักก็พอได้หรอก เเต่นอนทั้งคืน โดยเฉพาะนอนกับคนอื่นที่ไม่ได้สนิทหรือรู้จักกันขนาดนั้น ฉันว่าไม่ไหว
“คุณหลับหรือยัง”
เเต่ดูเหมือนว่าไม่ได้มีเเค่ฉันที่เป็น
ฉันพลิกตัวหันไปอีกข้าง ก่อนจะพบว่าเขาก็ทำเหมือนกัน กลายเป็นเราสองคนนอนหันหน้าให้กัน เเสงไฟจากข้างนอกที่ลอดเข้ามาในห้องทำให้เห็นรางๆว่าดวงตาสองสีกำลังมองมาอยู่
“ทำไมยังไม่หลับล่ะ”
“ก็ไม่เเปลกไม่ใช่หรือไงคะ นอนกับคนไม่สนิทน่ะ”
เอาจริงฉันก็ยังสงสัย นายน้อยไม่เป็นเหมือนกันเหรอ ทำไมเขาถึงอยากย้ายมานอนด้วยกับฉันล่ะ เเละถึงจะเป็นการจับตาดูก็เถอะ ทำไมนอนหลับได้สนิทขนาดนั้น ไม่กลัวว่าฉันจะเป็นคนทรยศเเล้วฆ่าเขาหรือไง
เด็กสองคน ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่เข้าใจสักคน
“อันที่จริงเป็นพี่สาวที่ต้องถามไม่ใช่หรือไง นี่เป็นเวลานอนของเด็กดีนะ”
“...เหตุผลเดียวกับคุณนั่นล่ะ” เขาซุกใบหน้าลงกับหมอน พูดเสียงอู้อี้ “ผมไม่ได้นอนกับคนอื่นนานเเล้ว ครั้งสุดท้ายก็...เเม่”
ท้ายประโยคเสียงของเขาเเผ่วเบา ดวงตาสองสีสั่นระริก
ฉันฟังถึงเเค่ ‘...เหตุผลเดียวกับคุณนั่นเเหละ’ จับใจความได้คือเขานอนไม่หลับด้วยเหตุผลเดียวกับฉัน หลังจากเเม่เสียไปเขาก็นอนคนเดียว น่ารักน่าสงสาร
ฉันทำหน้าเหมือนเศร้าตาม ขณะที่เอื้อมมือไปลูบผมสีเเปลกตานุ่มเหมือนขนเเมว ในใจยิ้มกว้าง งี้ก็ง่ายหน่อย
“ให้พี่สาวออกไปไหม” พยายามพูดให้น้ำเสียงดูเป็นห่วงเป็นใยที่สุด “เเบบนี้จะได้นอนหลับทั้งสองคนไง เนอะ นอนด้วยกันเเบบนี้ไม่ดีหรอก โดยเฉพาะกับเด็กน่ารักอย่างเธอ พี่สาวเป็นห่วง”
เขาสบตาฉัน เหมือนจับผิดอะไรสักอย่าง
ในที่สุดก็ถอนหายใจ ทำอะไรเเปลกๆที่ฉันไม่เข้าใจ อย่างเช่น จับมือฉันตอนที่ฉันจะชักมือออกจากผมเขาไว้ เเล้วจับมาวางเเหมะบนหัวเหมือนเดิม
อ่ะ บังคับให้มือฉันลูบผมอีก เอาเข้าไป
“...”
จะมาเงียบเเล้วมองหน้าไม่ได้นะ
“ชอบให้ลูบผมเหรอ”
“อา” เขาตอบรับคำในคอ “ตอนเเม่อยู่ก็ทำเเบบนี้ เเล้วก็ชอบเล่านิทานให้ฟัง...ปลอบผมเวลาที่ทะเลาะกับพ่อ...”
“อืมๆ” ฉันตอบรับไปที
มองเพดานอย่างไม่รู้จะพูดอะไร นี่คือพระเอกมีปัญหาในชีวิตจริงเหรอ หรือว่าเป็นจุดจุดจุดคุงเวอร์ชั่นทะลุออกมาจากมังงะตาหวาน เเล้วนางเอกผู้เจิดจ้าล่ะ ฉันคงไม่ได้มาเเย่งหน้าที่เธอใช่ไหม
ฉันกลับมามองเขาอีกครั้ง เหตุการณ์ไปไวมาก เด็กน้อยมีสีหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อพูดถึงเเม่ที่เสียไป ดวงตาสองสีสั่นระริกเเละเริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำบางๆ ขดตัวใต้ผ้าห่มทำเหมือนตัวเองเป็นก้อนกลมๆ
อ่อนเเอเหลือเกิน เเต่ก็เด็กนี่นะ
ฉันถอนหายใจเเละเริ่มนึกไปถึงเด็กอีกคน นั่นเคสเดียวกันเลยหรือเปล่า น้องไคก็ถูกทิ้งเหมือนกัน เเต่เด็กคนนั้นก็ไม่ได้เเสดงออกมาว่าเสียใจหรืออะไรเท่าไหร่
จนตอนนี้ก็เลยไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง
“...ประโยคสุดท้ายที่เเม่พูดคือฝั่งซ้าย...มันน่ารังเกียจ...อัตลักษณ์ไฟที่ได้มาจากพ่อ”
อีกข้อ เขาไม่ได้ไม่ชอบอัตลักษณ์ตัวเอง
อืม คิดถึงจังเลย จะโกรธพี่สาวไหมน้า
ภายนอกฉันรับฟัง ภายในฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลับไปได้เหรอ ถ้าไม่ได้นึกถึงอะไรเลยความจริงก็ได้นะ มันง่ายมากเลย เเต่ก็คือไม่ได้ไง ท่านวายร้ายจับได้เละเเหงๆ นายน้อยอีก ฉันทิ้งเด็กน่ารักไม่ลงหรอก
ยุ่งยากจริงๆเลย
“เกลียดข้างซ้ายตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เกลียด...ผมเกลียดพ่อ” ดวงตาเเข็งกร้าวขึ้นมา “จะไม่ใช้พลังของคนอย่างนั้นเด็ดขาด...ไม่มีวัน”
เอ็นจิซัง ฮีโร่อันดับสองน่าสงสารจังเลย ถ้าไม่นับน้องเเว่นที่พอมีเยื่อใยให้ก็โดดเดี่ยวเลยสิ นัตสึโอะอีกนิดเดียวก็จะถลามาต่อยเเล้ว น้องน้อยคนนี้อีก โตขึ้นไปถ้าถูกเเช่เเข็งตายนี่ไม่ต้องเดาเลย
“คุณก็มีอัตลักษณ์เหมือนผม เเล้วยังรักษาได้ ทำไมล่ะ พ่อเเม่ของคุณเป็นอย่างผมหรือเปล่า”
เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้อง ดวงตาใสเเป๋วเหมือนเป็นคนละคนกับตอนที่พูดถึงพ่อฮีโร่อันดับสองของตัวเอง
คำถามค่อนข้างยาก ก็เขาถามถึงพ่อเเม่ฉันใช่ไหมล่ะ ตอบตามความจริง คือ ไม่มี ว่างเปล่า หรือบางทีอาจจะเป็นอะไรสักอย่างบนโลกใบนี้รวมตัวกัน ตูม! มีฉันเเบบงงๆ
นั่นคือคำตอบตามจริง
“พวกเขาทิ้งฉัน เเม้เเต่หน้าฉันก็ไม่เคยเห็น”
เเต่ อืม ก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้คนนอกรู้นี่นะ?
“มันเป็นอดีตไปเเล้ว ตอนนี้ฉันมีความสุขดี เจอเเต่เรื่องดีๆ เช่นเจอเด็กน่ารัก ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ...”
จากนั้นฉันก็หยุดไป ในโลกนี้เด็กเกือบทุกคนล้วนอยากเป็นฮีโร่ ไม่ก็เข้าทำงานที่อัตลักษณ์ของตัวเองเอื้ออำนวย พอเป้าหมายสำเร็จเเล้วก็จะมีพ่อเเม่หรือคนสำคัญมาร่วมยินดี เป็นวันเเห่งความสุข
ฉันรู้สึกสลดใจเมื่อมาดูตัวเอง ถ้าเป้าหมายเลี้ยงเด็กหนุ่มของฉันมันเกิดสำเร็จขึ้นมา หาวิธีให้ไม่ถูกประณามคงง่ายกว่าหาคนมายินดี
เด็กที่จะตีฉันคนเเรกคงเป็นน้องไค ดีไม่ดีเขาอาจจะทำลายเหล่าเด็กหนุ่มของฉันด้วย
ฮึก เเค่คิดก็เจ็บปวดเเล้ว
กลับมานึกถึงอนาคตอันไม่เเน่นอน ตัวเอกที่เหมือนนางเอกเเสนเจิดจ้าเปลี่ยนเเปลงความคิดเขา เเก้ปมจิตใจในอดีต ดึงเขาเข้าไปเป็นพวกอย่างง่ายๆด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค
“เเต่มันก็เป็นของเธอใช่ไหมล่ะ...พลังทั้งหมดนั่นน่ะ”
ฉันลูบผมเขา คลี่รอยยิ้มเมื่อสบดวงตาสั่นไหว
“จริงอยู่ที่ว่าอัตลักษณ์จะสืบทอดจากพ่อเเม่ไปสู่ลูก เเต่เธอไม่ใช่ทาสของสายเลือดเสียหน่อย ไม่ต้องรับเอาความทะเยอทะยานนั้นมาหรอก”
เหมือนมีอะไรสักอย่างไต่ยุบยิบข้างใน ชักจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกนายน้อยเวลาเกาตามตัวขึ้นมา
“ฟังจากที่โชโตะคุงเล่าถึงเเม่เเล้ว ท่านต้องเป็นคนที่อ่อนโยนเเล้วก็รักโชโตะคุงมากเเน่ๆเลย...ถ้ารู้ว่าโชโตะคุงไม่มีความสุขเเบบนี้จะเศร้าเอานะ”
เสียงอะไรสักอย่างขยับ
เด็กที่ขดตัวเป็นก้อนอยู่ดีๆก็เคลื่อนเขามาใกล้ ศีรษะมาเงยอยู่เเถวๆไหล่ ส่วนตัวนั้นมาซุกฉันเเทบจะสิงร่าง
อะ อึดอัดจริง มาอะไรที่นอนฉันเล่า เเต่ก็นะ ได้กลิ่นเเชมพูด้วยล่ะ ถึงจะเป็นเเชมพูขวดเดียวกันเเต่คนละฟีลเลย เชิญสิงได้เลย พี่ยอมเเล้ว
“เรื่องใช้พลังของพ่อ...ผมจะลองเอาไปคิดดู” เขาพูดเสียงอู้อี้ติดง่วงนอน ยังไม่เงยหน้ามา “ที่พูดทั้งหมดมาจากใจจริงของคุณหรือเปล่า”
ฉันลูบหัวเขา หัวเราะ “ไม่เชื่อฉันเหรอ”
“วันนี้คุณโกหกหลายรอบเเล้ว”
เขายังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากไหล่ของฉัน ขดตัวเเล้วซุกอยู่อย่างนั้น ใต้ความมืดฉันกลอกตามองเพดาน คงติดเป็นนิสัยไปเเล้วเวลานึกคำพูดอะไรไม่ออก เเละสุดท้ายก็จะจบด้วยการทำอย่างเดิม
“จากใจจริงของฉัน เอาล่ะเด็กดี นอนได้เเล้ว”
ได้ยินเสียงครางรับในลำคอครั้งหนึ่ง ก่อนที่มันจะเงียบไป การขยับเขยื้อนหยุดลง ลมหายใจบ่งบอกว่าเขาหลับไปเเล้ว ในสภาพที่เเทบจะเอาตัวมาเกยทับฉัน
ฉันเอื้อมมืออีกข้างไปหยิบนาฬิกาข้อมือที่วางไว้เหนือหมอนขึ้นมาดู หรี่ตามอง สี่ทุ่มเกือบจะครึ่ง
ฉันนิ่งอยู่สักพัก มองเด็กที่นอนหลับสนิทไปเเล้ว ก่อนจะค่อยๆขยับตัวเองออกมาโดนไม่ให้กระทบกับเขามากที่สุด
มองประตูบานเลื่อน ทางออกอยู่ใกล้เเค่เอื้อม เวลานี้ก็ไม่น่าจะมีคนมาสนใจชุดนอนฉันด้วย
ลองเอานิ้วเเตะจมูกดู อืม ก็ไม่ได้ยาวขึ้นนี่
….
…….
เงียบจังเลย
ห้องพักนี่เหงาจังเลย
ห้องพักเปิดไฟไว้ดวงเดียวคือตรงกลางห้องนั่งเล่น เป็นไฟสีส้มสลัวๆ วิวยามค่ำคืนสวยงาม กะพริบระยับตาเหมือนเวลาไม่หยุดนิ่ง มองดูเเล้วช่างวุ่นวาย
โซฟาอันเป็นที่ประทับของนายน้อยไม่ได้เละอย่างที่คิด หมอนหนุนนุ่มๆก็ยังอยู่ดี โต๊ะเเก้วที่มีเเจกันวางอยู่ก็ไม่ได้ถูกพังทิ้งเเต่อย่างใด คงไม่ได้หงุดหงิดขนาดนั้นหรอกมั้ง
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกะพริบตาเมื่อเหลือบไปเห็นถุงบางอย่างวางอยู่ที่โซฟา ด้วยความสอดรู้สอดเห็นอันเเรงกล้าฉันก็เลยเปิดถุงเเละดูของข้างใน -- อ่า ฉันเหมือนไร้เเรงขึ้นมากระทันหัน
ความจริงไม่ได้เกี่ยงที่นอนเท่าไหร่เเต่ก็พาตัวเองเดินไปที่ห้องนอนของตัวเอง มือจับลูกบิดประตู พยายามหมุนเปิดเเล้วเเต่ก็ไร้ผล เหมือนห้องจะถูกล็อกจากข้างใน
ฉันถอยออกมา อือ โกรธจริงๆด้วย
มองห้องตัวเองอย่างอาวรณ์เเปปนึง จากนั้นฉันก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายที่นอนในคืนนี้ใหม่ โซฟาก็กลัวนอนดิ้นเเล้วกลิ้งตกลงมา เกิดคุโรกิริมาเห็นเข้าคงขำเเหงๆ เพราะฉะนั้นตัดโซฟาออกไปเลย
ตัวเลือกที่ดีที่สุด -- ห้องท่านวายร้าย
จะว่าไปก็ดีที่สุดจริงๆ ห้องเล็กๆของเขาเข้าไปเเล้วความจริงไม่ต่างจากห้องนั่งเล่นอีกห้อง ที่เห็นห้องมืดๆกับคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเเค่ส่วนหนึ่งของห้องเขา ความจริงเเล้วมันกั้นอีกห้องไว้ด้วยม่านหนาสีทึบ อีกห้องน่ะเห็นวิวรอบๆตึกด้วย มีห้องน้ำ มุมครัว ตู้เสื้อผ้า เตียงนอนขนาดใหญ่ หรูหราสุด
ไม่เเปลกใจเลย ทำไมที่เเช่งให้เน่าตายในห้องถึงไม่เป็นผล ของครบครันขนาดนี้ก็น่าจะเน่าให้ฉันอยู่หรอก
ที่นั่งประจำไร้คนอยู่ คอมพิวเตอร์ก็ปิดสนิท
ปรกติฉันไม่เคยเข้ามาห้องเขานอกจากตอนกลางวันเพื่อรักษา มาในเวลาอื่นอย่างนี้ก็รู้สึกใจสั่นนิดหน่อย เเบบว่า เขาจะเขินจนพลั้งมือบีบคอฉันไหมนะ
ฉันเลิกม่านขึ้น มุดตัวเองเข้าไปในอีกห้อง พอยืนขึ้นก็ ว้าว เตียงนอนวางกลาง ยิ่งไม่เปิดไฟในห้องสักดวงยิ่งเห็นวิวยามค่ำคืนชัดเจน
บนเตียงฉันเห็นเเผ่นหลังใหญ่ น่ากอดจังเลย ถึงกล้ามจะไม่เเน่นเท่าออลไมท์ก็เถอะ
ฉันเดินไปอ้อมไปขึ้นเตียงเขา ที่หาญกล้าสุดคือการเลือกที่นอนตรงเขาจะมองดูวิว -- น่าเเปลกใจที่ไม่เขวี้ยงฉันลงพื้นเหมือนตอนกลางวัน ทำไมอ่า กลับมาอ่อนโยนเเล้วเหรอ
เขาใส่ชุดที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยๆ เสื้อธรรมดาสีขาว กางเกงขายาว ฉันเกือบจะหลุดขำ นึกไปถึงคำว่า ‘วิลเลินที่อยู่เบื้องหลัง’ ของฮีโร่คนนั้นขึ้นมา ฟังดูยิ่งใหญ่ขัดกับชุดที่เขาใส่ชะมัด
เเต่ก็ยิ่งใหญ่จริงๆนั่นล่ะ
หมายถึง กล้ามเขา
ดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นกำลังมองมา เป็นสายตาที่ทำให้รู้สึกร้อนๆกลางอก ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูดี
“เข้ามาทำไม”
เขาถามด้วยเสียงเเหบต่ำ บอกไม่ถูกว่าฉันกำลังรู้สึกยังไงระหว่างใจสั่นกับเจ็บใจ ประโยคมันก็ดูไม่ได้มีอะไรหรอก เเต่สายตาเขานี่สิ เมื่อกี้กำลังไล่หรือเปล่า
“ฉันไม่มีที่นอนเเล้วค่ะ” พยายามเค้นเสียงเศร้า “คุณอารมณ์ดีขึ้นหรือยัง ฉันนอนด้วยได้ไหมคะ คงไม่ฆ่าคุณหมอหรอกนะ”
มือของเขาเคลื่อนมาสัมผัสคอฉัน ปลายนิ้วลากไล้เเผ่วเบาบนรอยช้ำ ทิ้งความเย็นเอาไว้ ฉันเเทบไม่กล้าขยับเลย คือว่าเขาคิดอะไรอยู่ ขู่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็กลัวเเล้วจ้ะ
“ฉันควรฆ่าเธอตอนนี้ดีหรือเปล่า?”
เสียงนุ่มทุ้มไม่เข้ากับประโยคเเม้เเต่นิดเดียว
ฮึก กลัวจัง จะร้องไห้เเล้วนะ
ฉันกะพริบตาถี่ คาดหวังว่าจะมีน้ำตาหรืออะไรหยดออกมาให้บ้างเเต่ก็ว่างเปล่า กะพริบจนขนตาจะหลุดก็ไร้ผล น้ำตาก็ไม่มี เเล้วงี้ฉันจะเอาอะไรไปทำให้เขาใจอ่อน หรือหยุดความคิดน่ากลัวนั่น
“ฉันอารมณ์ไม่ดี” เขาพูดเนิบนาบ ปลายนิ้วกดจุดหนึ่งบนคอที่ทำให้หายใจติดขัด “มีคนคนหนึ่งกำลังขัดคำสั่งฉัน นอกจากนั้นยังทำลายเเผนที่ฉันวางไว้...ถ้ามันไม่มีประโยชน์อีกต่อไปเเล้วเธอจะจัดการยังไง?”
“เอ๋ มีคนกล้าทำเเบบนั้นกับนายท่านด้วยเหรอคะ ไม่น่าเชื่อ”
ฉันทำเสียงเเบบว่า โอ้โห นี่มันสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่เเปดของโลก
“เเหม นายท่านผู้หล่อเหลา ฉันมันเป็นพวกโง่นะคะ สมองทึบอีก คำตอบง่าย ๆ ก็มีเเค่ต้องทิ้งนั่นเเหละ ทิ้งไปเลยถ้าไม่มีประโยชน์น่ะ”
เขาเเค่นเสียง ‘หึ’ ออกมา จากนั้นลำคอฉันก็เป็นอิสระ ขอบคุณ พรุ่งนี้ฉันก็จะมีรอยช้ำประดับมาอีกหนึ่ง
เเต่มองดูร่างกายสมบูรณ์เเบบเเล้ว จิตใจด้านลบของฉันเหมือนถูกหักล้างไปดื้อๆ จิตใจผ่องใสเเละกล้าหาญขึ้นมาทันที รีบขยับไปใกล้ทันที เเบบว่า ได้ใกล้ขนาดนี้ให้โดนบีบคออีกทีก็ไม่ว่า เชิญเลย
“คุณหายอารมณ์เสียเเล้วเหรอ ตกลงคืนดีกับฉันเเล้วใช่ไหม ฉันง้อสำเร็จเเล้วใช่ไหมเนี่ย ดีใจจัง เชื่อเเล้วใช่ไหมว่าฉันเเค่เผลอรักษาออลไมท์เพราะหน้ามืดตอนเห็นกล้ามเขา”
“เงียบ” เสียงของเขาติดรำคาญ อ้อเหรอ
“ให้ฉันรักษาตาให้ไหมคะ เผื่อบางทีคุณจะอารมณ์ดีขึ้นกว่านี้ คือว่าคุณหงุดหงิดทีไรฉันเจ็บตัวทุกทีเลย รู้ไหมว่ารอยช้ำมันรักษาไม่ได้น่ะ ฉันเดินไปไหนก็กลายเป็นจุดสนใจทุกที...”
มือของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง
เเละก็เป็นเป็นอีกครั้งที่นิ้วเเตะที่คอ สัมผัสรอยช้ำ
เเบบว่า รำคาญจนจะฆ่าฉันเเล้วเหรอ ฮึก กระซิกๆ -- ฉันตัวสั่นไปหมด คำขอสุดท้ายคือไม่ตายในชุดนอนเเบบนี้ได้หรือเปล่า ให้ฉันไปเปลี่ยนชุดก่อน
“ยาเเก้ฟกช้ำวางอยู่ที่โต๊ะด้านนอก”
จากนั้นมือหยาบก็เลื่อนมาปิดตาไว้จนฉันมองไม่เห็น
เชื่อไหม
“นอนได้เเล้ว”
ทุกอย่างนั่นเสแสร้งสิ้นดี
★ ☆ ★ ☆ ★ ☆
นักเขียน : ประมาณว่าเป็นตอนเเยกย่อยของตอน[09]อีกทีน่ะค่ะ
เป็นอีเว้นต์ยามค่ำคืนของเด็กน้อยคนที่สามกับยัยพี่เลี้ยงโชตะค่อนล่ะ!
เนื้อหาอีกครึ่งก็มาลุ้นกันเถอะค่ะว่าจะเป็นยังไง
(*´∀`*) นักเขียนสนุกสุดๆไปเลยล่ะ
โช : ฉันจะโดนหักคอหรือเปล่านะ⊙▽⊙
ปล. คิดว่าอีกไม่นานเเล้วล่ะค่ะ
(ไม่ได้หมายถึงเวลาที่ยัยโชจะถูกหักคอนะคะ -- คือว่า เรื่องรร.ยูเอย์น่ะ)
★ ☆ ★ ☆ ★ ☆
โช : ใจเต้นตูมตามไปหมดเลย ทำไงดี
【o´゚□゚`o】
โช : นี่มันฉากเปิดตัวพระเอกโฉดชั่วกับนางเอกบอบบางชัดๆ!!
ความคิดเห็น