คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องสั้น :: สิ่งที่ฉันยังจดจำ
SF – สิ่งที่ฉันยังจดจำ ( hanhyuk)
เสียงดินสอลากเสียดสีเบาๆกับกระดาษจากทั่วทุกมุมของตัวห้อง ใบหน้าคล้ำเครียดคล้ายคนอดนอนก็เช่นกัน ทุกคนกำลังพยายามทำงานตรงหน้าให้เสร็จสิ้นลงภายในเวลาที่ค่อนข้างจำกัด
“ อีกเจ็ดแผ่นสุดท้ายแล้ว..พยายามหน่อยนะทุกคน " เสียงดังจากโต๊ะตัวใหญ่ด้านบนว่าแบบนั้น แต่กลับไม่มีใครขานเสียงตอบรับนั่นเลย ทุกคนที่พยายามทำงานตรงหน้ากัดฟันสู้ทนทั้งๆที่ตอนนี้ก็ล่วงเวลาเข้าวันใหม่ไปเกือบค่อนคืนแล้ว
เราทุกคนกำลังทำงานที่ตัวเองรักกันอย่างขันแข็ง.. งานที่ได้ชื่อว่าเป็นงานที่กระทำการด้วยใจรัก.. “ ผู้ช่วยนักวาดการ์ตูน " งานที่แค่รับงานมาวาดภาพเพิ่มเติมและลงสี ใส่รายละเอียด งานที่ค่อนข้างไม่เป็นเวลา เพราะอยู่ที่ผู้เขียนจะคิดและวาดออกมาได้เร็วแค่ไหน.. งานที่ชีวิตและการนอน มีน้อยยิ่งกว่าวงจรชีวิตของยุง
“ เสร็จแล้ว!! “ เสียงที่ดังออกมาพร้อมกันด้วยรอยยิ้มของทุกคนที่ฟุบลงกับโต๊ะทันที ฮยอกแจยืดตัวไปมาก่อนจะปัดของทุกอย่างให้เข้าที่ แตกต่างจากเพื่อนๆทุกคนที่ก้มหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ พรุ่งนี้จะเลี้ยงข้าวตอบแทนกันน๊า~ ” เสียงใสๆของผู้แต่งคนเดิมที่มักสร้างปัญหายุ่งๆให้ทุกคนที่ปิดตอนส่งสำนักพิมพ์ ชายหนุ่มท่ีใครๆต่างไม่่เคยเชื่อเลยว่า ตัวเขาจะเป็นคนเขียนนิยายรักชายหญิงที่กำลังโด่งดังไปทั่วประเทศแถมยังถูกซื้อไปทำซีรี่ส์แล้วไหนจะส่งขายต่างประเทศแปลไปอีกหลากลายภาษา
“ เปลี่ยนจากการเลี้ยงข้าวเป็น ช่วยให้งานพวกเราทันกำหนดแบบคนอื่นเค้าบ้าง โดยไม่ต้องปั่นงานจะดีกว่าครับ " ดงเฮว่าด้วยเสียงโรยแรงของเขาก่อนจะยกตัวขึ้นจับไหล่เพื่อนที่อีกคนที่เริ่มจัดกระเป๋าเพื่อกลับบ้านแล้ว " กลับเถอะ ฮยอกแจ.. ระหว่างรอรถไฟขบวนแรกของสถานนี เราไปกินข้าวเช้ากันก่อนดีว่า "
“ เอาสิ..” เสียงของอีกคนตอบเช่นนั้น มันโรยแรงไม่แพ้กันหรอก ร่างบางสองร่างที่ถูกหอบหิ้วกันออกไป ก้มหน้าลานายจ้างที่ยังคงสถบอยู่บนฉากวาดภาพ ไม่มีใครสนใจหรอกนาทีนี้..ใครถึงเตียงนอนเร็วที่สุดตังหาก ที่เรียกว่า สิ่งที่อยู่ในจุดสูงสุด
แล้วเราก็พาตัวเองกลับมาถึงที่นอนจนได้.. เสียงถอดหายใจไม่ได้อยากจะทำอะไรอีกแล้ว ร่างทั้งสองซบลงกับเตียงเล็กขนาดพอดีห้องขนาดกลาง หมอนนุ่มๆใบเก่าเป็นกลิ่นที่รู้สึกดีเสมอ.. แล้วดวงตาที่คิดอยากจะคว้าผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำชำระความเหนื่อยเสียหน่อยก็กลับกลายเป็นว่า ไม่มีสติใดหลงเหลืออยู่อีกเลย
“ อื้ม.. เห้ออ ปวดหัวชะมัด " เราสถบคำนั้นกับตัวเองเป็นคำแรกตั้งแต่ลืมตา แสงสว่างเพียงน้อยที่สาดเข้ามาในห้องทำเอาต้องหยิบนาฬิกาตรงหัวเตียงขึ้นมาดู.. เวลาที่กำลังบอกถึงเช้าวันใหม่.. “ หลับไปวันนึงเต็มๆ เลยรึไงเนี้ย " อ๊อก.. อ๊อก.. แล้วเสียงท้องก็เป็นอีกเสียงที่ส่งสัญญาณเมื่อตัวเองตื่นนอน
“ วันนี้ตื่นเช้า ออกไปหาอะไรกินอร่อยๆ ท่าจะดี " คำพูดที่ยังคงพูดกับตัวเองแบบนั้น เขาลุกจากเตียงด้วยท่าทางโยเยก่อนจะหยิบปฏิทินแบบตั้งโต๊ะขึ้นมามองดู.. “ อีกสองวันถึงจะเปิดต้นฉบับใหม่ .. กินข้าวให้อิ่ม นอนเก็บแรง.. เอาไว้ลุยงานดีกว่า เห้อ.. อะไรที่ดีกว่านี้จะมีมั๊ยเนี้ย "
มันก็เป็นเสียงบ่นที่มาจากทุกคนที่ต้องทำงานหาเงิน เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ใช่เหรอ.. เราไม่อยากเหนื่อยให้มาก แต่ก็อยากได้เงินเยอะ งานที่เราทำมักไม่ใช่สิ่งที่ชอบใจ แต่ถ้าถามถึงงานอื่นเมื่อไหร่.. ก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากทำอยู่ดี.. ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี.. นั่นคือคำพูดสรุปง่ายๆของชีวิตนั่นเหละ
“ น่าจะมีอะไรให้ทำสนุกๆบ้างน้า..น่าเบื่อชะมัด ”
ตรอกซอยร้านอาหารในยามค่ำคืนดูเหมือนว่าใครบางคนตรงนี้จะเลือกไม่ได้สักทีว่าจะเลือกเมนูไหนเป็นมื้อเย็น..ราเรง อาหารจานร้อน หรือว่าจะเป็นอาหารเฉพาะอย่าง ป้ายภาพที่ดูน่ากินพวกนั้น ทำให้รู้สึกอยากอาหารไปหมดทุกอย่าง เสียงดังลั่นต้องต้นปากซอยของถนนใหญ่ไมไ่ด้ทำให้เค้ารู้สึกสนใจอะไรมากนั้น อาจเป็นพวกตำรวจที่ไล่จับผู้ร้ายเหมือนทุกที
เสียงที่ดังขึ้นมาเรื่อยๆ และถึงแม้ทุกคนในที่นี่จะรู้สึกแตกตื่นแต่นั่นก็ไม่ใช่เค้า คนที่นานนานครั้งจะได้ออกมาพบแสงสีหรอกการตัดสินใจของเมนูอาหารที่ทำให้ขาจะก้าวเข้าไปเพื่อเดินเข้าร้าน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ท่อนแขนล้ำที่ไม่รู้ว่าจากไหน และยังมีความอุ่นตรงริมฝีปากนั่นของเราอีกละ ลิ้นที่ไม่ได้ลุกล้ำแต่สัมผัสได้ถึงน้ำลายหยดใส.. ความไม่คุ้นชินที่ทำได้แค่เบิกตาโพลงทันทีอย่างไม่ทันรู้ตัวอะไร
“ อ๊ะ! ” เราครางออกมาจากรูปปากแบบนั้น น้ำลายกลืนลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งๆที่ดวงตายังลืมตามองคนด้านบนได้ไม่ชัดเท่าไหร่นัก สมองที่พยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะผลักร่างตรงหน้าออกทันทีเมื่อสติมาพร้อมกับแรงที่รวบรวมไว้ได้ " ไอ้..”
“ ชู้ว~ เบาๆน่า เดี๋ยวเลี้ยงไอติม " แล้วเสียงทุ้มนั่นก้ว่าแบบนั้น โดยที่ไม่ได้สนใจหรือใจเลยว่า เมื่อกี้เขาได้กระทำการอุอาจแค่ไหนกับคนที่ตัวเองเห็นแค่หลัง
“ หนอย..นี่นาย..” ฮยอกแจกัดฟันกรอดกับชายหนุ่มตรงหน้าที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปากของเค้ามี่เม้มสนิทเข้ากันยังคงจดจำสัมผัสเมื่อครู่ได้ ' จูบฉันแล้วยังมีหน้ามาทำเฉยๆอีกเหรอ..' “ โจร ?.. นายหนีคนพวกนั้นอยู่เหรอ "
“ ใช่ แต่ฉันไม่ใช่โจร "
“ ไม่ใช่แล้วหนีทำไม.. ต้องใช่แน่ " แล้วความคิดนั้นก็ไวกว่าทุกอย่าง " คุณตำรวจครับ! คุณตำรวจ ทางนี้ครับทางนี้ คนที่คุณจะจับอยู่ทางนี้ครับ " เสียงหวานตะโกนขึ้นสุดเสียง มือที่โบกทักทายให้สัญญาณชายหนุ่มร่างบึกที่เดินผ่านไปแล้วให้หันมาสนใจและออกวิ่งทันที คนที่หันมานั้นใส่แว่นดำและสูท.. ท่าทางที่บอกได้เลยว่าก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่แต่อย่างใด " เอ๊ะ..เขาไม่ใช่ตำรวจนิ "
“ ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่โจร.. เดี๋ยวก็ไม่เลี้ยงไอติมซะหรอก "
“ ใครอยากจะกินไอติมของนายไม่ทราบ..”
“ ไปกินไอติมกันเถอะ.. พ่อมึงมาแล้ว " เสียงนั้นท่าทางจะไม่ได้ฟังเขาพูดเลยสักนิด มือหนาดูนุ่มนั้นคว้าเอาตัวของเราวิ่งเข้าไปยังซอยถนนว่างข้างทางทันที ขาที่เริ่มฉุดให้ออกวิ่งทำเอาเราเองก้วิ่งสุดฝีเท้าทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจเลยว่า นี่เราเองโดนลากมากทำไม..เสียงหายใจหอบของการวิ่ง ปากที่เริ่มอ้าออกเพียงผ่อนคลายแรงหายใจ แสงสว่างที่เริ่มน้อยลงจากพื้นที่ที่คนพลุกพล่านแปรเปลี่ยนเป็นสารภาพพื้นที่ที่คนน้อยจนสิ่งที่หลงเหลืออยู่จะมีเพียงแค่ร้านสะดวกซื้อ
ขาของเราเริ่มหยุดลงตามแรงอีกคนที่วิ่งพามา ลมหายใจที่เริ่มผ่อนลงช้อนตาตัวเองมองหน้าคนที่หันหลังกลับมามองอย่างตั้งใจว่า ใครคนนั้นเป็นใครกัน เขาหายใจกระพรื่มถี่ชุดเสื้อเชิ้ตตัวยาวกางเกงสเล็กสีดำสนิท รองเท้าผ้าใบดูมีราคาเข้ากับรูปหน้าเรียวคมและจมูกโด่งสัน ดวงตาที่ก้มลงจกจ้องเขาดูมีเสน่ห์จนหัวใจเต้นเร็วอย่างไม่เคยรู้สึก เขาละมือออกจากมือของเราก่อนจะเอียงตัวเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ
“ หวังว่าน่าจะมีไอติม รสอร่อยๆเหลืออยู่บ้างนะ ".. เขาว่า แต่ถึงอย่างงั้น สีหน้างงๆ คงทำให้แต่เียงหน้ามองแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่เดินเจากไป
“ กูไม่ได้มากินไอติมนะเห้ย..”
ประตูเลื่อนของร้านเปิดออกพร้อมร่างสูงที่เขาไม่รู้จักชื่อและถุงขาวภายในที่สงสัยว่าจะบรรจุอะไรสักอย่างที่ไม่ต้องเดาก็น่าจะพอรู้ได้.. ไอศกรีม
“ อะ! ไอติมหวานเย็น " เข้าโยนมันมาให้ก่อนจะเดินมายืนข้างๆ ลำตัวของเราสองคนยืนพิงกับขอบของทางเดินตรงรั้วกันระหว่างทางเท้าและถนน
“ ทำไมต้องไอติมด้วยว่ะ " เสียงสถบไม่เบานักทำเอาคนที่เพิ่งได้ท่านั่งพิงหันองอย่างสงสัย เขามองรูปใบหน้าของคนข้างกายสำหรับผมสีน้ำตาลธรรมชาติสวย ดวงตากลม จมูกแดงรั้นเพราะอาหาาศหนาวราวถึงปากสีสด ความน่ารักที่ดูน่าถนอมแต่ก็รั้นแบบเด็กๆ
“ เด็กชอบกินไอติมไม่ใช่เหรอ ? “
“ เด็ก ?..” ฮยอกแจทวนเสียงกับอีกคนที่ยังคงไม่สนใจเค้า ท่าทางการกินไอติมที่งับไว้คาปากแล้วหันมามองดูเค้า " นายคิดว่า ฉันอายุเท่าไหร่กัน "
“ สิบห้า..”
“ ยี่สิบเจ็ดแล้วตังหาก "
“ ยี่สิบเจ็ด!!! อะไรนะ ทำไมหน้านายถึง ฉันไม่เชื่อหรอก " เขาพูดเสียงดังแทบจะเป็นตะคอกกับอีกคนที่แค่ขมวดคิ้ว ก็มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ อาจเพราะตัวเล็กและผิวขาว หน้ามันก็เลยทำให้รู้สึกยังดูไม่แก่เท่าอายุที่ใกล้จะเข้าเลขสามมันไปทุกที
“ นี่บัตรประชาชน "
“ ทำไมนายหน้าเด็กแบบนี้คิดว่า เด็กม.ต้นซะอีก "
“ นายมันหน้าแก่ตังหาก..” ฮยอกแจพูดเสียงเบากับอีกคนที่แค่หันมาทำหน้าตึงใส่
“ พูดอะไรนะป้า..”
“ ห๊า~ ..” นายยังชมว่าหน้าฉันม.ต้นอยู่เลยไม่ใช่เหรอไงเมื่อกี้นะ.. ไอ้เด็กเวร.. “ นายเถอะ อายุเท่าไหร่..หวังว่าคงเข้ากับหน้าตานะ "
“ สิบเจ็ด..” เขาบอกพร้อมดวงตาคมที่เอียงหน้าลงมองพร้อมยักคิ้วยิ้มมุมปาก
“ ยังกับคนอายุสามสิบ..”
“ ว่าอะไรนะป้าย่น!.. “
“ ป้าย่นอะไรไอ้เด็กหน้าลุง.. นี่ฉันยังไม่ด่านายที่ กล้ามาจูบฉันเลยนะ ไอ้เด็กบ้า "
“ ชอบละสิ ไม่ว่าโดนเด็กจูบ..กว่าจะรู้ตัวเห็นนิ่งตั้งนาน "
“ ว่าอะไรนะ! .. หนอยยย นี่นาย "
“ บ่นๆ คนแก่ก็เงี้ยย "
บางทีจุดเริ่มต้นแบบนี้..เราจะเรียกมันว่า พรหมลิขิต จะได้มั๊ยนะ
จากวันนั้น ผ่านมาห้าปีแล้ว เป็นห้าที่ทำให้เค้ายิ้มได้เสมอ เรื่องราวที่เผลอคิดถึงก็มักจะทำให้มีเรี่ยวแรงทำงานได้ในทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน มือบางขีดๆ เขียนๆ ทำงานอย่างตั้งใจ เงยหน้าขึ้นมองภาพของคนที่แลบลิ้นใส่ เป็นภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน
ตรอกเดิมที่เค้าชอบมาทานราเมง และมันก็เป็นแบบนั้นมาเกือบห้าปีแล้ว เสียงดังขึ้นจากต้นซอยเค้าไม่ได้หันไปมอง อาจเพราะตำรวจคงจะวิ่งจับโจรเหมือนทุกที สายตาสั่นไหวของเค้าจ้องมองที่เมนูอาหารมากหน้าหลายตา รูปแบบที่น่ารับประทานก่อนทุกอย่างจะถูกกระชากความสนใจออกไป ด้วยมือหนาที่ดึงเขาเข้าไปจูบเป็นจูบลุกล้ำที่ทำให้ตกใจทุกครั้ง แม้จะกระทำซ้ๆมาตลอด ห้าปี
" ไอ้..”
“ ชู้ว~ เบาๆน่า เดี๋ยวเลี้ยงไอติม " คำพูดเดิม ของคนเดิมๆที่ตอนนี้ก็ดูแก่มากแล้ว.. ฮันคยองกำลังมีหงอก ไม่แตกต่างจากเค้า โชคดีที่เค้าดูแลตัวเอง พยายามให้มากที่สุดที่ทำให้ตัวเองยังดูเหมือนเดิม ยังคงเหมือนเดิมในสายตาของใครคนนี้
7 ปีก่อน..
“ ความจำเสื่อม ? “ ฮยอกแจทวนเสียงกับคุณหมอประจำตัวของคนรักของเค้า ฮันคยองคบกับฮยอกแจมานานแล้วนานจากเหตุการณ์ของวันนั้นหน้าร้านราเมงในวันที่เค้าเลิกงาน เค้าเป็นแเพียงแค่เด็กที่ฮยอกแจพบ และเพิ่งรู้ว่าเค้าเป็นลูกคนมีเงินคนนึง เราเริ่มคบกันจนวันนึง ฮันคยองก็มีอาการปวดหัวอย่างหนัก
“ อัลไซเมอร์ครับ เค้่าจะจำอะไรไม่ได้เลย ยกเว้นสิ่งที่เค้าอยากจะจำ "
บางคนถามผมว่า ทำไมยังคงรักคนที่แม้แต่ชื่อของเรา ก็ยังจำไม่ได้ ทำไมต้องรักคนที่เหมือนว่าหัวใจของเค้าไม่ได้มีเราอยู่เลย คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่า เค้าจำเราได้รึเปล่า แต่อยู่ที่ว่า เราเองตังหากที่ยังจดจำเค้าได้มากแค่ไหน
“ อะ.. ไอติมหวานเย็น " เค้าโยนมันมาให้ ก่อนที่ตัวเองจะแกะออกกิน ท่าทางที่ดูมีความสุข ทั้งๆที่ พรุ่งนี้ ไอติมหวานเย็นรสนี้กำลังจะหมดไปจากร้านค้าแห่งนี้ ที่ตรงนี้กำลังถูกยึด จะไม่เหลือความทรงจำของเราอีกต่อไปแล้ว แต่เค้าก็ยังกิน กินอย่างมีความสุขเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน
บางทีที่อาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่เค้ายังคงอยู่ ความรักของฮันคยองที่มีให้เค้า ไม่ใช่วันแรกที่เราบอกรัก แต่ความรักที่ฮันคยองมีให้เค้า คือความทรงจำครั้งแรกที่เราได้รู้จักกัน ความทรงจำเดียวที่ฮันคยองจำได้ และยังคงกระทำมันแบบนี้ซ้ำๆตลอดห้าปี .. เพื่อยืนยันกับเค้าว่า คนเดียวที่อยู่ในใจของฮันคยอง ก็คือ เค้า
“ ป้าย่น..”
“ ว่าอะไรนะ.. ไอ้เด็กหน้าแก่! ” เสียงนั้นของผม สั่นเทาเหลือเกิน
มันไม่สำคัญหรอกว่า ในชีวิตของเราจะผ่านอะไรมาบ้าง มันสำคัญที่ว่า เรายังจดจำวันแรกที่ เรารู้สึกรัก คนที่เป็นที่รักได้มาก ขนาดไหน ...
#ฮันฮยอก..จะอยู่ในใจของฉัน เสมอ
................................................
อ่านจบแล้ว โปรด กดฟังเพลงนี้ :: http://www.youtube.com/watch?v=SDR6iyG2I6s
เจิมมมมมม..
ความคิดเห็น