You are my every thing - Ft. Tvxq
Story by KiyoMi~
Part 1 ::
"มิก...เมื่อไหร่เราจะเลิกกันซักทีล่ะ"
"..."
"นายไม่เหนื่อยจริงๆเหรอ ฉันยังเหนื่อยเลย"
"...."
"อย่าเงียบสิ พูดอะไรก็ได้"
ผมเขย่าร่างคนตรงหน้าจนพลาดไปโดนแก้วน้ำตกแตกกระจาย
มิกกี้ขยับตัวออกจากเก้าอี้แล้วก้มลงไปเก็บเศษแก้ว
"นายจะเป็นคนย้ายออกหรือจะให้ฉันย้ายก็ได้นะ เลือกเอาซักอย่าง ทำไงก็ได้ที่เราจะไม่ต้องเจอกันอีก"
"...."
มิกกี้ยังคงนั่งเก็บเศษแก้วต่อไป น้ำตาหยดลงปนกับน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น
ผมคุกเข่าลงแล้วผลักไหล่มิกกี้
"ทำไมถึงยังเงียบอยู่ล่ะ พูดสิ ฉันลำบากใจเหมือนกันนะ"
ผมรู้สึกเจ็บๆที่หัวเข่า เมื่อขยับดูก็พบว่ามีเลือดไหลออกมา คงโดนเศษแก้วเข้าให้แล้ว
มิกกี้รีบวิ่งไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาวางบนโต๊ะ แล้วอุ้มผมไปนั่งที่โซฟา
ขากางเกงถูกร่นขึ้นอย่างระมัดระวัง
"พอเถอะนะ"
มิกกี้เงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาแดงก่ำนั่น เหมือนไม่เชื่อที่ผมจะพูดแบบนี้
เขาก้มลงจูบที่บาดแผล น้ำตาของผมถึงกับไหลลงมา
เขารักผมมากขนาดนี้เลยเหรอ...
ผมกำลังทำร้ายคนที่รักผมมากที่สุดอยู่อย่างงั้นเหรอ...
"พอทีเถอะนะ"
ผมผลักมิกกี้ออกแล้วดึงขากางเกงลง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในห้องแล้วจัดแจงเก็บกระเป๋า
ผมจะเป็นคนเดินออกไปจากชีวิตเขาเอง ในเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมา เราต่างก็ใช้ชีวิตอยู่กับคำโกหกด้วยกันทั้งคู่
เหนื่อย...เราเหนื่อยมากๆ ไม่ต่างกันเลย
"ปล่อย"
มิกกี้รั้งแขนผมเอาไว้ น้ำตายังคงไหลริน
"ถ้าไม่คิดจะพูดอะไร ก็ไม่ต้องรั้งฉันไว้ ลาก่อน"
ผมผละตัวออกมา แล้วโยนกระเป๋าขึ้นรถ
ภาพของมิกกี้ที่สะท้อนตรงกระจกหลัง ค่อยๆเล็กลง เค้ายังคงมองผมโดยไม่ละสายตา
ผมปล่อยโฮออกมาเมื่อมองไม่เห็นเขาแล้ว...เพิ่งรู้สึกว่าใจของผมเองก็เจ็บปวดไม่น้อยเลยเหมือนกัน
มิกกี้...ลาก่อน...
.............................
"เซีย...เป็นอะไรไป ยังคิดถึงเค้าอยู่เหรอ"
"เปล่าหรอก...แค่คิดถึงเสียงเพลงของเขาเท่านั้น"
ผมเอ่ยออกไปอย่างที่ใจคิด...ผมคิดถึงเพลงของเขาจริงๆนะ
"ยุนโฮ คุณแต่งเพลงให้ผมบ้างไม่ได้เหรอ"
ผมถาม
"อยากให้ผมเป็นเหมือนมิกกี้อย่างงั้นเหรอ"
"ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ผมอยู่กับเสียงเพลงมาก่อน...."
"ถ้าคิดอย่างนั้นก็กลับไปหาเค้าสิ"
ผมนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก
เกือบครบปีแล้วสินะ ที่ผมย้ายมาอยู่กับยุนโฮ เจ้าของคลับที่ผมเคยไปร้องเพลงมาก่อน
ซึ่งบางครั้ง ผมก็ใช้เพลงที่มิกกี้แต่งมาร้อง บ้างก็ชวนเขามาดีดเปียโน
แต่แล้วหัวใจของเราทั้งสองก็ออกนอกลู่นอกทาง...โลเลไม่ต่างกัน
"อยากกลับไปเห็นเค้ามีความสุขกับคิมแจจุงนักก็เอาเลย"
"ไม่นะ...อย่าพูดแบบนี้สิ คุณยังไม่เข้าใจผมอีกเหรอ"
ผมกอดแขนยุนโฮเอาไว้ พลางร้องไห้อย่างไม่อายตัวเอง
"ผมเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคุณแล้ว ทำไมคุณถึงไม่เลิกระแวงผมซักที"
ยุนโฮยืนนิ่ง ปล่อยให้ผมพูดอยู่ฝ่ายเดียว
"ต่อไปก็อย่าทำแบบนี้อีกแล้ว เลิกร้องเพลงซะ อยู่กับผม...ไม่ต้องร้องเพลง ยิ่งเป็นเพลงของไอ้บ้านั่น อย่าร้องเด็ดขาด เข้าใจมั้ย"
"อื้ม!"
ผมรีบพยักหน้า พลางเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม
คืนนั้น...ก็เป็นอีกครั้งที่ยุนโฮหยิบยื่นความทรมานและความสุขให้กับผมในคราวเดียว
เซ็กที่รุนแรงและเจ็บปวด แต่เพียงได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา...ผมก็มีความสุขแล้ว
..........................
"ไม่ต้องห่วงนะ เซียสบายดี แต่เขาแค่ไม่ได้ร้องเพลงอย่างแต่ก่อนแค่นั้นแหละ"
มิกกี้ยิ้มขอบคุณคนตรงหน้า พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
"เพลงที่คุณแต่ง ผมขอเป็นคนร้องได้มั้ย"
มิกกี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ ถ้าเป็นแจจุง คงจะร้องออกไปได้ดีอย่างไม่มีที่ติ
เพียงแต่....
เพลงนี้...เขาไม่ได้แต่งขึ้นมาเพื่อให้ใครร้องก็ได้
แต่เขาแต่งเพื่อให้เซียร้องเพียงคนเดียวเท่านั้น
"ล้อเล่นน่า ทำหน้าเครียดไปได้ แค่ที่ชางมินแต่งมาให้ก็มากมาย จนร้องไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ผมไปก่อนนะ"
แจจุงโบกมือหยอยๆ พลางค่อยๆเดินออกไปจากบ้านอันแสนโดดเดี่ยวและเงียบเหงา
....กระเป๋าของแจจุงนี่นา
มิกกี้คว้าหยิบกระเป๋าสีน้ำตาลขึ้นหลังแล้วรีบวิ่งตามออกไป แจจุงยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ พลันหันมาโบกมือให้มิกกี้
"ได้ผลแฮะ อย่างน้อยคุณก็ได้ออกกำลังกายกับเค้าบ้างล่ะนะ"
มิกกี้ยิ้มให้ความทะเล้นของร่างบาง จากนั้นก็ยืนคอยรถเมล์เป็นเพื่อนแจจุง
................................
ผมเพิ่งรู้ความจริงที่ว่า ยุนโฮไม่ได้รักผมเลยซักนิด เขาต้องการแค่เอาชนะมิกกี้เท่านั้น
หลังจากที่ได้ยินยุนโฮและแจจุงคุยกัน เรื่องที่จะช่วยให้ชางมินเป็นนักแต่งเพลงมือ 1 ของค่าย M เขาถึงกับวางแผนให้มิกกี้หมดแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง
ผมสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ...
สองขาอันอ่อนแรงของผม พากันก้าวออกมาจากบาร์เล็กๆในซอกตึก
ถนนมันดูส่ายไปมาจนมึนงง นี่ผมควรจะเดินไปทางไหนดี
ถ้าเดินตรงไป...ผมก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปอีกตลอดชีวิต
แต่ถ้าหันหลังกลับ...อดีตที่มีแต่ความเจ็บปวด ซึ่งผมเป็นผู้สร้างเอง ก็จะกลับมาย้ำเตือนอีกครั้ง มิกกี้เองก็คงเกลียดผมไปแล้ว
....ผมเป็นคนไม่มีที่ไป........แต่ข้างหน้านั่น
มิกกี้กับแจจุง ยืนหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์
นี่ผมเมาจนตาฝาดไปรึเปล่านะ
.....ไม่จริง....นั่นต้องไม่ใช่มิกกี้สิ ผมไม่อยากเห็นหน้าเขาเลย
สองขาของผมก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
ทำไมทางเดินมันเดี๋ยวแคบเดี๋ยวกว้างแบบนี้นะ
"นาย...มิกกี้ใช่มั้ย"
"เปล่าครับ ผมชื่อริกกี้"
ชายคนนั้นพูดกับผมแล้วเดินขึ้นรถเมล์ไป
ดีใจจัง ที่ไม่ใช่นาย มิกกี้...
หรือฉันควรจะเสียใจนะ เพราะจริงๆแล้วฉันอยากเจอนายเหลือเกิน...อยากเจอเหลือเกิน
"เฮ่!!!!!!!!!!!!ระวัง!!!!!!!!!!!!!!!!"
***โครมมม!!!!!!!!
ทำไมร่างกายของผมมันถึงได้เบาหวิวแบบนี้นะ...เหมือนกำลังลอยอยู่กลางอากาศเลย
นั่นมิกกี้รึเปล่า...ทำไมถึงมีใบหน้าของนายลอยไปมาเยอะแยะขนาดนี้ล่ะ
ร่างกายไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว...มันคงชาเหมือนจิตใจที่ด้านชาไปแล้วของผมน่ะสินะ
________________
"จากอุบัติเหตุรถชน เศษกระจกที่ทิ่มเข้าไปในดวงตาของคุณและความกระทบกระเทือนทางสมอง ทำให้คุณไม่อาจมองเห็นได้อีกตลอดชีวิต"
คำพูดของหมอยังลอยวนเวียนอยู่ในหัว ผมแทบไม่อยากเชื่อ ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง
ขณะที่ผมนั่งร้องไห้อยู่ เสียงของยุนโฮดังลอดเข้ามาจากข้างนอกเบาๆ เหมือนกับทะเลาะกับใครอยู่
"เซีย ไปกันเถอะนะครับ"
เสียงแจจุงนี่นา ผมปาดน้ำตาทิ้งแล้วนั่งเงียบ
"อย่ามายุ่งน่า"
ยุนโฮเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พลันตะคอกใส่แจจุง
จากนั้นทั้งสองก็พากันออกไปพร้อมกับเสียงทะเลาะ ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จู่ๆก็มีมือ มือหนึ่ง ฉุดแขนผมแล้วพาออกไปจากห้องอึดอัดนี่
"ใครน่ะ??"
ผมถามไป แต่ได้รับเพียงความเงียบกลับมา
เท้าของผมสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยียบของพื้นปูน
ตอนนี้ผมขึ้นมาอยู่ในรถยนต์ ครู่หนึ่ง ความอบอุ่นจากฮีตเตอร์ค่อยๆทำให้ผมหายสั่นขึ้นมาได้
"นายเป็นใคร จะพาฉันไปไหน"
"....."
"เป็นคนของยุนโฮเหรอ ยุนโฮให้นายไปส่งฉันใช่มั้ย"
"....."
เมื่อหมดประโยชน์ที่จะถามเอาความจากคนข้างๆ ซึ่งไม่ยอมพูดอะไรเลย ผมก็นั่งเงียบตลอดทาง จนความง่วงเข้าครอบงำ จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
........................
เสียงเปียโนปลุกผมให้ตื่นจากการหลับใหล
ผมน่าจะนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆทีไหนซักแห่ง
ความมืดยังคงไม่จากไปเหมือนทุกๆครั้งที่ตื่นมา
เสียงเปียโนนั่น ทำให้ผมคิดถึงวันคืนเก่าๆที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับมิกกี้ ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ
***ผึ่ง!!!!!!
เสียงเปียโนถูกกระแทก คนเล่นคงโมโหอะไรซักอย่าง เป็นไปได้มั้ยถ้าผมจะไปดูเขา แต่นี่ผมจะไปยังไงล่ะ
ผมค่อยๆคลำพื้นจากเตียงไปจนถึงกำแพง แล้วค่อยๆสุ่มเดาหาประตูจนเจอ
*แกร็ก!*
ผมเปิดประตูออก จากนั้นก็คลำทางไปเรื่อยๆ จนพบว่าที่ผมอยู่นี่เป็นชั้นบนซึ่งมีบันไดลงไปอีก
....ช่างเหมือนกับบ้านของผมและมิกกี้ที่จากมา 1 ปีแล้ว เหลือเกิน
เสียงเปียโนเงียบหายไปครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็เริ่มบรรเลงเพลงต่อไป
นี่มัน... You are my every thing เพลงที่มิกกี้เป็นคนแต่งนี่นา
หรือว่า...คนที่พาผมมาจะเป็นมิกกี้
ผมรีบก้าวลงบันไดอย่างรีบร้อน นี่มันบ้านของเรานี่นา ผมจำลอยลึกตรงหัวบันไดได้ มันเกิดขึ้นตอนที่เรายกโทรทัศน์เข้ามาแล้วกระแทกเข้ากับหัวบันได
"มิกกี้..."
ผมเอ่ยเรียกชื่อที่โหยหามานาน
แต่ผมก็ได้รับเพียงความเงียบกลับมาอีกครั้ง
"ทำไมนายไม่พูดกับฉันล่ะ ถ้าเกลียดกันแล้วจะพาฉันมาที่นี่ทำไม"
เสียงเปียโนเงียบหายไป เสียงลากเท้าดังขึ้นแทน
"นายคือมิกกี้จริงๆใช่มั้ย ขอร้องล่ะ...ทำอะไรก็ได้ให้ฉันรู้ทีว่าเป็นนาย"
มือของผมถึงดึงขึ้นไปแนบไว้ที่อก เสียงหัวใจเต้นตึกตัก ความอบอุ่นที่คุ้นเคย
มือนิ่มที่ใช้จับแต่ปากกาและเปียโน ...
คนตรงหน้ารั้งไหล่ผมเข้าไปโอบไว้เบาๆ
ผมแนบแก้มเข้ากับอกกว้างนั่น
"เป็นนายจริงๆด้วย....ทำไมนายถึงไม่พูดล่ะ"
เสียงเปิดประตูหน้าบ้านดังขัดจังหวะเรา ผมผละออกจากมิกกี้
"ทำไมไม่บอกกันเลยว่ากลับมาแล้ว ปล่อยให้ผมทะเลาะกับไอ้บ้านั่นอยู่ตั้งนาน"
"แจจุง..."
ผมเอ่ยชื่อนั้นออกมาเบาๆ
"เซียรู้เรื่องทุกอย่างรึยัง"
เขาถามใครกันนะ แต่มิกกี้คงจะพยักหน้าหรือส่ายหัวซักอย่าง ทำให้แจจุงถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่
"น้ำเน่าดีเหลือเกินนะเรื่องของพวกคุณเนี่ย"
"หมายความว่าไง"
ผมถาม ในขณะที่มิกกี้พาผมไปนั่งที่โซฟา
"อีกคนเป็นใบ้ อีกคนตาบอด จะให้หัวเราะหรือร้องไห้ดีล่ะเนี่ย"
"อะไรนะ...ใครเป็นใบ้"
ผมกวาดมือไปยังมิกกี้ พลางลูบไล้ใบหน้าของเขา มิกกี้จับมือผมไว้อีกที
"ผมนึกว่าคุณรู้"
แจจุงพูด
"ผมไม่น่าเห็นแก่เงินเลย เพราะยุนโฮแท้ๆเชียว"
เสียงทุบโต๊ะดังขึ้น คงจะเป็นแจจุงที่กำลังโมโหตัวเอง
"ทำไมนายถึงพูดไม่ได้ล่ะ อยู่ๆจะเป็นแบบนั้นได้ไง"
"ก็ก็ยุนโฮน่ะสิ ให้เขากินยาอะไรไม่รู้ มันทำลายกล่องเสียงหมดเลย"
แจจุงตอบ แทน
"แล้วทำไมต้องกิน...เพื่ออะไร!!"
"ก็เพราะมันขู่ว่าจะทำร้ายคุณน่ะสิ มิกกี้เขาถึงยอม ผมก็แค่ถูกจ้างมาให้ทำลายความสัมพันธ์ของพวกคุณเท่านั้น ส่วนชางมินไม่รู้เรื่องอะไรเลย"
"ตั้งแต่เมื่อไหร่....."
ผมเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า...อย่าบอกนะว่า...
"ก่อนวันที่คุณจะย้ายไปอยู่กับยุนโฮ 1 วัน"
ผมนั่งนิ่งเงียบ แทบหายใจไม่ออก แรงจะร้องไห้ยังไม่มี ดีที่มิกกี้ยังบีบมือผมเอาไว้
วันนั้นมิกกี้ไม่รั้งผมไว้เลย เขาเพียงดึงแขนแล้วร้องไห้ออกมาเท่านั้น
"ทำไมนายไม่บอกฉันล่ะ...ทำไมไม่มีใครบอกฉันเลย...ฉันไม่มีทางทิ้งนายไปหรอกถ้ารู้ว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก"
"แต่คุณก็ทิ้งเขาไปแล้ว"
"............"
มิกกี้บีบมือผมแน่น
ผมอยากมองใบหน้าของเขา ผมอยากรู้ว่าเขาโกรธผมรึเปล่า
"อย่าร้องไห้เลย...มิกกี้คงไม่อยากเห็นนายเป็นแบบนี้"
"แล้วนอกจากร้องไห้...ฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ...ถ้านายไม่มีเสียง แล้วนายจะร้องเพลงได้ยังไง นายเป็นนักแต่งเพลงนะ"
มิกกี้สวมกอดเข้ามาอย่างแนบแน่น ผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาอุ่นๆบนไหล่ มันทำให้ผมเองก็อดที่จะปล่อยน้ำตาออกมาไม่ได้เหมือนกัน
"มิกกี้เค้ายังมีคุณอยู่ไง ขอเพียงคุณไม่จากไปไหนก็พอ"
แจจุงพูด จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู เขาคงจะกลับไปแล้ว เสียงเครื่องยนต์ค่อยๆห่างออกไป เหลือเพียงเราอยู่สองคน
"ฉันอยากได้ยินเสียงนาย....ทำไม...ทำไมถึงต้องทำเพื่อฉันขนาดนี้ด้วย"
ริมฝีปากอุ่นทาบลงมา น้ำตาของผมไหลเป็นทาง
ไม่ต้องมีคำตอบใดเลย...แค่นี้ก็รู้แล้วว่ารัก
.............................
*เพี๊ยะ!!!!
"โอ๊ย!!.."
"เป็นไง พอใจรึยังล่ะที่กำลังจะเห็นฉันพินาศ"
*ตุ่บๆๆ!!!
"พอเถอะ...ฉ...ฉันไม่ไหวแล้ว"
ยุนโฮกระชากแขนเรียวขึ้นมา พลางกดริมฝีปากลงไปอย่างรุนแรง
"เสียใจด้วยนะ อย่างน้อยชางมินก็ยังพอมีน้ำยาให้ทางโน้นเค้าเห็นบ้าง แล้วไม่ต้องเอาเรื่องไอ้มิกกี้ไปบอกใครอีกล่ะ ไม่งั้นหน้าสวยๆของนาย ฉันจะกรีดให้เละเลยคอยดู"
ร่างบางถูกผลักล้มลงกระแทกกับเตียงนุ่ม
"ในเมื่อเซียไม่อยู่ นายก็ต้องเป็นที่ระบายให้ฉันล่ะนะ คืนนี้..."
แจจุงหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน ได้แต่ปล่อยให้คนตรงหน้าส่งมอบความเจ็บช้ำมาให้
เพียงแค่อยากเห็นคนที่รักมีความสุขเท่านั้น...ใช่...เขาหลงรักมิกกี้จริงๆ แต่เขาก็ไม่อาจทนเห็นมิกกี้นอนร้องไห้ทุกคืนได้ ขนาดมิกกี้เองยังยอมเสียสละสิ่งสำคัญเพื่อแลกกับการให้คนที่ตนรักปลอดภัย
แล้วทำไมเขาจะทำบ้างไม่ได้ล่ะ...
________________
"ยุนโฮ เซียเค้าไปไหนแล้วล่ะ"
ชางมินถามอย่างกลัวกล้าๆ พลางเดินสำรวจห้องนอนที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นของเซียมาก่อน
"เค้ากลับไปอยู่กับแฟนเค้าน่ะ ผมก็ไม่อยากรั้ง"
"แล้วยุนโฮไม่เศร้าเหรอ"
ชางมินถาม ใจในรู้สึกสงสารแต่ก็อดชื่นชมไม่ได้
"ผมไม่คิดจะรั้งคนที่ไม่รักผมไว้หรอก เค้าจะไม่มีความสุขเลย เชื่อมั้ย"
ชางมินยิ้มให้ เค้าตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ อย่างแรกก็เพื่อหาที่สงบๆเพื่อแต่งเพลงใหม่ออกมาเตรียมรับกับการออกอัลบั้มแรกของแจจุง และก็เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆยุนโฮ...คนที่เขาแอบชอบมานาน
"ชางมินอยู่ที่นี่ให้สบายใจเลยนะ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง ตอนนี้ผมมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก เอาไว้คืนนี้เราค่อยมาคุยเรื่องโปรเจ็คกันนะ"
"ครับ"
ยุนโฮลูบแขนเรียวเบาๆพอให้รู้ถึงจุดประสงค์ ชางมินยิ้มอย่างเขินๆ พลันค่อยๆถอยออกมาเพื่อไม่ให้รู้ว่าเขามือสั่นอยู่
ยุนโฮเองก็คงมองออก จึงได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆให้ พลางเดินออกมาจากห้องนั้น
ปล่อยให้ชางมินยืนใจเต้นตึกตักอยู่คนเดียว
................................
"ได้ข่าวว่าเป็นใบ้แต่ยังแต่งเพลงได้นี่ เก่งดีนะ"
"ทำไม จะตัดแขนตัดขาเขาอีกงั้นเหรอ"
แจจุงตะคอกใส่อย่างอดไม่ได้ พลางเขี่ยอาหารในจานอย่างไม่อยากกิน
คนตรงหน้ายกขาที่ไขว่ห้างออก พลางหันมาพูดอย่างยียวน
"หรือจาให้ทำแบบนั้นล่ะ แจจุงที่รัก"
**เพล๊ง!!!
แจจุงปัดจานข้าวลงไปแตกกระจายอยู่บนพื้น พลางปล่อยสะอื้นออกมา
"ยุนโฮ...พอเถอะนะ ขอร้องล่ะ"
ร่างสูงลุกขึ้นแล้วค่อยๆเดินเข้ามากอดจากด้านหลัง
"แค่แจจุงไม่ดื้อกับผมก็พอ แล้วก็ช่วยดูแลใบหน้าหวานๆนี้ให้ดีด้วยล่ะ คงต้องใช้อีกมันอีกนาน"
พูดจบ ยุนโฮก็จุมพิตลงที่ริมฝีปากสั่นระริก พลางเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นที่ตนเข้ามาขัดจังหวะเมื่อ 10 นาทีก่อนหน้านี้
แจจุงได้แต่กลั้นสะอื้นไว้ในลำคอ พลางเอื้อมมือไปแตะใบหน้าที่ช้ำบวมจากการถูกซ้อมเมื่อวันก่อน
.................................
ในสวนสาธารณะอันเงียบสงบ มิกกี้ลงจากมอเตอร์ไซด์พลางพยุงคนรักให้ทรงตัวได้เอง
"นี่ที่ไหนเหรอ"
เซียถามไปถึงแม้จะรู้ว่าคงไม่มีเสียงตอบกลับมาก็ตาม
มิกกี้จูงมือเซียไปยังม้านั่ง ลมเย็นๆพัดผ่านระใบหน้าให้รู้สึกเย็นสบาย
"อย่าบอกนะ ว่าพามานี่ก็แค่นั่งเล่นกันน่ะ"
เซียรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะอันสดใสของมิกกี้อีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นเพียงเสียงของลมพัดหอบใบไม้เบาๆ
แต่เขาก็เชื่อว่าตอนนี้มิกกี้กำลังยิ้มและหัวเราะกับเขาอยู่
"อ๊ะ!อะไรน่ะ"
เซียยกมือขึ้นจับสิ่งแปลกปลอมที่ระต้นคอของตน
.....สร้อยคอ
มิกกี้โน้มตัวลงมาหอมที่แก้มเนียน
"ขอบใจนะ แล้วก็....ขอโทษด้วย"
"...."
"รู้มั้ย...เกือบปีที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ฉันยังคิดถึงนายตลอด......ฉันคิดเสมอว่าฉันทำผิดไปรึเปล่า ที่ทิ้งนายมา และนับวัน ยุนโฮก็เปลี่ยนไป.....ในตอนนี้....สิ่งที่ฉันจะทำเพื่อนายได้ก็คงมีแค่ การหายใจอยู่ข้างๆนายตลอดไป...."
เซียยกมือขึ้นลูบใบหน้าของคนรัก
"ดูแลและอยู่เป็นเพื่อนนายด้วย....แค่นี้พอมั้ย....."
มิกกี้พยักหน้า จากนั้นก็ลูบใบหน้านวลของแจจุงเบาๆอย่างทะนุถนอม
"ฮิฮิ...นายนี่มักน้อยจัง"
มิกกี้เองก็อยากบอกเซียเหลือเกิน....ว่าเพียงแค่การได้เห็นหน้า ได้อยู่ใกล้ๆเซียทุกวัน มันก็เป็นการต่อชีวิตอันไร้ค่าให้มีเรี่ยวแรงที่จะอยู่ได้อีก
เพลงที่เขาแต่งเอาไว้ รอวันทีเซียจะได้กลับมาร้องอีกครั้ง ส่วนตัวเขาเอง
แค่ได้เขียนความในใจ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงก็พอแล้ว ถึงตอนนี้เซียจะยังไม่สามารถมองเห็นมัน
แต่ซักวัน เขาจะทำทุกอย่าง เพื่อให้เซียได้กลับมาสู่โลกแห่งแสงสว่างอีกครั้ง
"เริ่มหนาวแล้ว แต่ยังไม่อยากกลับเลย...ฉันยังอยากมองท้องฟ้าอีกหน่อยน่ะ"
มิกกี้กดศีรษะของคนรักให้แนบไว้กับอก ทั้งคู่เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยกัน
ถึงมองเห็น...แต่ก็ไม่สามารถบอกกับเขาได้ว่ามันสวยงามแค่ไหน
ถึงสามารถเอ่ยความรู้สึกออกมาจนหมดใจ...แต่ก็ไม่สามารถมองเขาด้วยสายตาที่รักและโหยหาได้
แต่ไม่ว่าคนทั้งสอง...จะมีชะตากรรมอยู่บนความโศกเศร้าเพียงใด.....ในหัวใจของพวกเขา ก็กลับชุ่มฉ่ำไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา
"มิกกี้...ฉัน..."
"เฮ่!!!!!.......ว่าไง กำลังมีความสุขอยู่เลยสิท่า"
"ฮ่าๆๆๆ"
เซียสะดุ้งกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างประสงค์ร้าย มิกกี้ผละออกจากคนรัก พลางลุกขึ้นยืน
เซียได้แต่ไขว่คว้าอยู่กลางอากาศ
"มิกกี้...ใครเหรอ....มีอะไรรึเปล่า"
"โถๆๆๆ.....น่าสงสารจริงๆ"
"ตุ่บ****"
เสียงชกต่อยดังขึ้น
"มิกกี้....ๆ!! นายอยู่ไหน...มิกกี้!!!!!"
เซียร่วงลงมากองกับพื้น พลางคลำทางไปอย่างไร้จุดหมาย
ไม่มีแม้แต่เสียงร้องครางใดใด...เพราะกล่องเสียงถูกทำลายทั้งหมด
มิกกี้ได้แต่นอนขดตัวอยู่กลางพื้นดินอย่างไร้หนทางต่อสู้
เขาอยากตะโกนบอกให้เซียหนีไปเหลือเกิน
"เฮ่ย...พอแค่นี้เถอะว่ะ ลูกพี่บอกให้สั่งสอนก็พอ"
ใครคนหนึ่งพูดขึ้น
"ก็ได้...นี่จำไว้นะ ห้ามเขียนเพลงอีก ไม่งั้นเราจะตัดมือแกซะ...ส่วนนายที่ตาบอดน่ะ ก็ช่วยเงียบๆหน่อยล่ะ ไม่งั้นแฟนแกไม่รอดแน่"
พูดจบ คนกลุ่มนั้นก็เดินจากไป เซียควานหาจนแตะถูกมือของมิกกี้ที่ยื่นมา
พลางช่วยกันพยุงลุกขึ้น
"ทำไม...ทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้ด้วย.......ยุนโฮ....... ไอ้ชั่วเอ๊ย"
เซียตะโกนด่าไล่หลังไปอย่างโกรธแค้น
คนหนึ่งในนั้นรับโทรศัพท์ พลันหันกลับมาหาคนทั้งสองอีกครั้ง
มิกกี้เห็นท่าไม่ดี จึงรีบลากเซียขึ้นมอเตอร์ไซด์ทันที
"อะไรเหรอมิกกี้...พวกมันไปแล้วไม่ใช่เหรอ"
มิกกี้บีบคันเร่งจนสุดแรง สองล้อหมุนไปท่ามกลางถนนอันว่างเปล่า
กลุ่มลูกน้องของยุนโฮขึ้นรถตามไปทันที หนึ่งในนั้นควักปืนออกมา
"ปัง!!!!!!!"
ลูกกระสุนเฉียดไหล่ทั้งสองไปเพียงนิดเดียว
เซียกอดมิกกี้เอาไว้แน่น
มิกกี้ก็บีบมือเซียไว้ด้วยมือข้างหนึ่งอย่างแน่นเช่นเดียวกัน
มิกกี้เลือกขับออกมาให้ห่างเมือง เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่โดนลูกหลง ข้างหน้าเป็นสะพานและจากนั้นจะเป็นทางขึ้นเขาไปสู่จุดชมวิว
ปังๆๆๆ!!!!
เสียงปืนยังดังไล่หลังมาเป็นระยะ พร้อมๆกับเสียงตะโกนบอกให้ยอมลงมาตายแต่โดยดีของไอ้พวกชั่ว
"มิกกี้...จอดเถอะ ฉันจะลงไปคุยกับมันเอง"
"ปัง!!"
เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง มิกกี้รู้สึกถึงแรงอัดที่กลางหลัง
......เขาไม่ได้โดนกระสุน
แต่คนที่นั่งอยู่ข้างหลังเขาต่างหาก
เซีย!! มิกกี้ได้แต่ตะโกนเรียกในใจ
น้ำตาไหลหยดเป็นทางจนแทบจะบังทางเบื้องหน้าเสียหมด
"มิกกี้....ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ"
ทางถนนเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เลื้อยไปตามไหล่เขา เสียงเครื่องยนต์จากด้านหลังยังคงดังตามมาอย่างไม่ลดละเช่นกัน
"....ซ....เซีย...."
เสียงลมเบาๆดังออกมาจากปากของมิกกี้
คนข้างหลังได้แต่ยิ้มให้บางๆ เลือดจากบาดแผลไหลไม่หยุด
เขาเพียงแค่ต้องรักษาลมหายใจไว้ให้มิกกี้
.....หน้าที่ของเขามีแค่นี้....แค่ดูแลลมหายใจเอาไว้เท่านั้น
"มิกกี้ ฉันรักนายนะ...."
"ซ....เซีย....!!!"
ปั้ง!!!!!***
--------------กระสุนที่ลอยเข้ามาในระยะประชิด
ทะลุผ่านอกของมิกกี้ไป
เซียกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ แล้วออกแรงกอดคนข้างหน้าไว้แน่น
มิกกี้เองก็ออกแรงบีบมืออันเย็นเฉียบไว้แน่นเช่นกัน ราวกลับจะบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย
................................
เด็กน้อยสองคนกำลังเล่นน้ำอยู่ริมชายหาด
"พี่ฮะ ดูนั่นสิ"
เด็กสาวหันไปมองตามที่น้องชายชี้....ไปยังถนนที่นำไปสู่จุดชมวิวที่สูงกว่า 500 เมตร
รถมอเตอร์ไซด์ที่ขับด้วยความเร็วสูงอ้อมเขาไป มีรถยนต์สีดำตามหลังมาติดๆ เสียงปืนดังสะท้อนเชิงเขาจนผู้คนบริเวณนั้นหันมามองกันเป็นการใหญ่
เมื่อรถทั้ง 2 คันอ้อมกลับมาอีกครั้ง ในชั้นที่สูงขึ้นไปอีก มอเตอร์ไซด์ก็ชนทะลุสะพานไม้ แล้วล่วงลงสู่น้ำทะเลที่ก่อตัวเป็นฟองคลื่น ซึ่งกำลังส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง
"โทรเรียกตำรวจกับรถพยาบาลที!!"
เด็กน้อยสองคนยืนมองภาพของมอเตอร์ไซด์ที่กำลังดิ่งลงสู่น้ำทะเล
คนสองคนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศนั้น เหมือนกับกำลังกอดกันอย่างแนบแน่น
จู่ๆเด็กน้อยก็ร้องไห้ออกมา พี่สาวได้แต่กอดและปิดตาน้องชายเอาไว้ ถึงมันจะช้าไปก็ตามที.....
...................................
"ปล่อยฉัน ฉันจะไปฆ่ามัน"
เลขาสาวดึงแขนข้างหนึ่งของแจจุงเอาไว้
แจจุงได้แต่กวัดแกว่งปืนไปมาอย่างน่าหวาดเสียว จนเลขาสาวถอยออกมา พอดีกับที่ยุนโฮออกมาจากห้องทำงาน
"แกทำแบบนี้ได้ไง...แกฆ่าคนตาย....ไอ้คนใจร้าย"
ยุนโฮได้แต่ยิ้มอย่างเหยียดๆ
"ฉันเนี่ยนะ!! มีหลักฐานเหรอ"
แจจุงยิงปืนขึ้นเพดาน
เสียงกรี๊ดกร๊าดดังลั่นไปทั้งอ๊อฟฟิศ
"ทุกคนออกไปให้หมด ส่วนแกต้องอยู่ที่นี่"
แจจุงจ่อปลายกระบอกปืนไปยังยุนโฮ
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งอ๊อฟฟิศก็เหลือเพียงแค่เขาสองคน
"ไปมอบตัวซะ...แล้วไปสารภาพผิดต่อหน้าหลุมศพของมิกกี้และเซีย"
"ฮ่า...ๆๆ"
"หัวเราะอะไรของแก"
แจจุงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว มือที่ถือปืนเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ยุนโฮที่หัวเราะราวกับผู้มีชัย ทั้งๆที่ตนกำลังอยู่ในเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ค่อยๆเดินเข้าไปหาแจจุงผู้ที่กำลังหวาดกลัวอย่างสุดใจ
"ผมทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อคุณนะ"
"แกอย่าทำมาเป็นพูดดี"
แจจุงกระชับปืนให้แน่นขึ้น
"วางปืนก่อนแล้วเรามาคุยกันนะ...ผมไม่ได้สั่งให้ใครไปฆ่าสองคนนั่นเลยจริงๆ สาบานได้"
ยุนโฮยกมือขึ้นข้างๆศีรษะ พลางเดินเข้าไปใกล้แจจุงมากขึ้น
"ฉันไม่เชื่อแกหรอก ไอ้คนหลอกลวง"
ด้ามปืนซัดเข้าไปเต็มๆที่ใบหน้าของยุนโฮ จนเลือดไหลซึมออกมา
ยุนโฮเริ่มโมโห พลางกระแทกตัวเข้าไปที่แจจุง
ร่างบางล้มลง ปืนกระเด็นไปอยู่หน้าประตูอ๊อฟฟิศ ซึ่งห่างจากทั้งสองมาก
"เก่งนักนะเรา"
ยุนโฮค่อมไปบนตัวของแจจุง ร่างบางพยายามดิ้นหนีแต่ก็ไม่เป็นผล
"อยากตายตามไอ้มิกกี้ไปมั้ยล่ะ..."
ยุนโฮถาม พลางบีบคอเรียวจนแน่น
"อั่ก...กะ...แก....อ๊ะ"
แจจุงเริ่มหายใจไม่ออก ลิ้นเริ่มจะออกมาจุกปาก ดวงตาปวดระบมราวกับจะถลนออกมายังไงยังงั้น
"คนหวังดีไม่ชอบ...ชอบให้ทำร้าย...หัดทำตัวโง่ๆเหมือนชางมินเค้าบ้างสิ จะได้ไม่ต้องทรมานอย่างงี้"
"โง่แบบผมน่ะเหรอ..."
ยุนโฮเงยหน้าขึ้นแทบจะในทันที
ชางมินถือปืนพลันหันกระบอกปืนมาทางชายหนุ่ม
"ชางมิน...อย่าเล่นแบบนี้สิ"
ยุนโฮปล่อยมือจากแจจุง ...แต่ร่างบางก็สลบไปแล้ว
"ชางมิน ผมรักคุณนะ ไม่งั้นผมไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก...คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยโกหกใคร เรากำลังจะเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ....อย่าทำแบบนี้เลยนะ วางปืนลงซะ แล้วผมจะ....."
****ปัง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!.....................................................
...........................
ณ หลุมศพ....
ดอกไม้สีขาวถูกวางทับซ้อนเรียงรายกันไว้มากมาย
ชางมินก้มมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเซียและมิกกี้ซึ่งถูกสลักไว้คู่กันบนป้ายหลุมศพเดียวกัน
อีกด้านหนึ่ง เป็นหลุมศพของยุนโฮ ซึ่งมีเพียงใบไม้ปลิวว่อนอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเหงาหงอย
"คุณชางมิน ได้เวลาแล้ว"
ชางมินหันมายิ้มให้ชายในเครื่องแบบ พลางยื่นมือทั้งสองข้างเข้าไปอยู่ในกุญแจมือ
"แจจุงปลอดถัยรึยังครับ"
ชางมินหันไปถาม ในขณะที่เดินไปยังรถตำรวจ
"รายนั้นเค้าอาการหนักเลยล่ะ....โดนบีบคอ จนอากาศไปเลี้ยงสมองไม่ทัน คงจะเป็นอัมพาตแถวๆนั้นมั้งไม่ก็สูญเสียความทรงจำ...ผมเองก็ไม่แน่ใจ"
"งั้นเหรอครับ"
ตำรวจหนุ่มดันชางมินเข้าไปนั่งตรงกลาง จากนั้นก็ปิดประตูรถ
ราวกับปิดฉากโศกนาฏกรรมอันแสนเลวร้ายทั้งหมดนี้
ถึงแม้เรื่องราวความรักแความเสียสละเหล่านี้จะน่าประทับใจสักเพียงใด
แต่ซักวันหนึ่ง มันก็จะถูกลืม
มีเพียงบทเพลง...ที่มันจะไม่เลือนหายไปไหน
แม้มันจะเป็นเพียงตัวโน๊ตและตัวหนังสือที่นอนรอคอยกาลเวลาอยู่ในกระดาษสีขาว
แต่บทเพลงเหล่านี้...จะบันทึกอยู่ในความทรงจำของผู้คน...อย่างไม่มีวันตาย
You are my everything, nothing your love won't bring
My life is yours alone, the only love I've ever known
Your spirit pulls me through when nothing else will do
Every night I pray on bended knee
That you will always be my everything
End Le
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น