ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Forcecore มิติโลกใหม่ ไปไกลสุดขอบแฟนตาซี

    ลำดับตอนที่ #1 : (บทนำ) ตำนานที่ไม่มีใครรู้ แต่ผู้อ่านรู้ เพราะผู้แต่งมาเล่าให้ฟัง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 729
      44
      5 ก.ย. 63

    นับล้านๆปีก่อนคริสตกาล โลกถือเป็นดาวเคราะห์ที่น่าอยู่ที่สุดในหมู่ดาวเคราะห์ทั้งหมดของระบบสุริยะ สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ต่างวิวัฒนาการไปตามเวลาที่ผ่านไป ยิ่งเวลาล่วงเลยมามากเท่าไหร่ โลกก็ยิ่งสมบูรณ์มากเท่านั้น

     

    .....แต่มีเกิดก็ต้องมีดับ หากไม่ดับสูญไปด้วยอายุขัย ก็ต้องดับไปด้วยสาเหตุประการใดประการหนึ่งอย่างแน่นอน

     

    และไม่นานดาวเคราะห์ที่ว่ากันว่าสมบูรณ์ที่สุดกลับกลายเป็นดาวเคราะห์ตายซากในชั่วพริบตา ใช่แล้ว โลกเคยล่มสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง หากแต่เป็นการล่มสลายเพื่อถือกำเนิดใหม่ ผ่านกระบวนการฟื้นคืนชีวิตนับล้านๆปี ในที่สุดมนุษย์ก็เป็นคำตอบของการกำเนิดใหม่นี้ พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีการกำเนิดสูงสุด ทั้งยังลึกล้ำจนไม่อาจประเมินได้ พวกเขาช่างขี้สงสัยและกระหายในความรู้

     

    สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาพยายามที่จะรับรู้ทุกสิ่ง เรื่องที่เกิดมานานนับสหัสวรรษในอดีต พวกเขาก็ค้นคว้าจนสามารถคาดคะเนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานับล้านๆปีได้ มนุษย์สืบเสาะประวัติศาสตร์ดาวเคราะห์ของตนจนไปถึงจุดที่ทุกอย่างเคยล่มสลายมาก่อน มนุษย์ได้นิยามเหตุการณ์ล่มสลายครั้งนั้นว่า “ยุคครีเตเซียส”

     

    เหตุการณ์ครั้งนั้นได้พรากเอาหลายชีวิตให้สูญหายไปจากโลกอันแสนงดงามนี้...

     

    แต่ไหนเลยจะเป็นเช่นที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ ยุคครีเตเซียสนั้นมีอยู่จริง แต่สิ่งที่มนุษย์ค้นพบนั้นถูกเพียงครึ่งเดียว โลกถูกชนด้วยวัตถุขนาดใหญ่ในอวกาศก็จริง แต่สิ่งที่ชนเข้ากับโลกในยุคครีเตเซียสนั้น หาได้เป็นวัตถุจากในระบบสุริยะไม่ มันมาไกลกว่านั้น ไกลจนเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้

     

    หากให้เล่าย้อนกลับไปถึงยุคแห่งการล่มสลายนั้น มนุษย์คงจะคาดไม่ถึงแน่ เพราะในอดีตกาลนั้น มีเผ่าพันธุ์ที่ทรงภูมิที่สุดเคยอาศัยอยู่ในโลกนี้มาก่อน พวกเขาเรียกตัวเองว่าแอตลาส แอตลาสสามารถสื่อสารได้กับวิญญาณของทุกสรรพสิ่ง ซ้ำยังมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย มากไปกว่านั้นพวกเขายังมีจิตใจสูงส่ง

     

    พวกเขาทราบถึงยุคแห่งการล่มสลายที่กำลังจะเกิดขึ้น ในตอนนั้นเองที่พวกเขาได้ทำการสร้างประตูมิติเชื่อมต่อไปยังดาวอังคาร สร้างชั้นบรรยากาศและเกราะป้องกันตามแนวโคจร เตรียมพร้อมรับมือยุคดังกล่าว แต่พวกเขาพลาด.....

     

    พวกเขาคำนวณช่วงเวลาตกกระทบของวัตถุลึกลับกับโลกนั้นผิดเพี้ยนไป ทำให้แผนการอพยพสิ่งมีชีวิตต้องกระทำการอย่างเร่งด่วน ถึงแม้จะเร่งมือแล้ว พวกเขาก็อพยพสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกมาได้แค่ 5% นอกนั้นสูญพันธุ์จากการชนกันของดาวเคราะห์ทั้งสอง

     

    ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว พวกเขาจึงรอคอยอย่างสงบ จนช่วงเวลาผ่านไปอีกหลายล้านปี ดาวเคราะห์ทั้งสองที่ชนกัน เริ่มหลอมรวมกันอย่างช้าๆจนในที่สุดก็กลายเป็นดาวเคราะห์ทรงกลมขนาดใหญ่ และข่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเขาได้รับมาตลอดล้านๆปีนั้นก็คือ ดาวที่พุ่งเข้ามาชนโลกนั้น มีจิตวิญญาณเป็นของตน มันหลอมรวมกับโลกเพื่อไม่ให้สูญสลาย มันเห็นช่วงชีวิตของโลกนับตั้งแต่เกิด และมันก็ฟื้นฟูตัวเองและโลกเพื่อให้เกิดสิ่งชีวิตขึ้นมา

     

    .....แต่สิ่งที่มันทำอยู่เปรียบเหมือนการเดินไปยังหน้าผาลึกที่มีหุบเหวไร้ก้น มันกำลังจะสูญสลายไปพร้อมกับโลกที่มันหลอมรวม มันรับรู้ได้ถึงข้อเท็จจริงนี่นานแล้ว แต่อย่างน้อยมันก็อยากให้การสูญสลายนี้ชะลอตัวและแสดงผลให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


    ความหวังในการคงอยู่ของดาวเคราะห์ผสมเริ่มเลือนหายไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งไม่นานมานี้ มันได้รับการติดต่อทางวิญญาณ จากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ๆมัน สิ่งที่ติดต่อมา เรียกตัวเองว่า แอตลาส

     

    ด้วยเทคโนโลยีของแอตลาส ทำให้พวกเขารับรู้ว่า แม้ดูเหมือนดาวเคราะห์ทั้งสองจะผสานและหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์ แต่แท้จริงแล้ว ลึกลงไปในแก่นกลางของดาวนั้นช่างบอบช้ำ โลกและดาวเคราะห์ปริศนานี้ มีแก่นกลางที่ต่างกัน นั่นจึงทำให้ทั้งสองผสานกันได้อย่างไม่สมบูรณ์

     

    มากไปกว่านั้นขนาดที่ใหญ่ขึ้นจากการหลอมรวมของดาวเคราะห์ทั้งสอง ทำให้เกิดแรงดึงดูดมากขึ้นตามไปอีก หากปล่อยไว้แบบนี้รังแต่จะไม่เกิดผลดีอะไร ซ้ำยังจะเพิ่มโอกาสจากการถูกดาวเคราะห์น้อยชนมากยิ่งขึ้น 


    ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป อีกไม่นานดาวอังคารต้องถูกดูดไปชนและหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของมันด้วยเช่นกัน ถึงตอนนั้นชาวแอตลาสและเผ่าพันธุ์อื่นๆที่อพยพมาก็คงถึงคราวต้องดับสูญ

     

    นั่นจึงทำให้หลายล้านปีที่ผ่านมา แอตลาสพยายามติดต่อทางวิญญาณกับดาวเคราะห์ปริศนานี้ จนกระทั่งไม่นานมานี้พวกเขาก็ทำสำเร็จ ดาวเคราะห์ที่พุ่งเข้ามาชนโลกนี้คือ ดาวเคราะห์วิเวียนน่า เรื่องราวของวิเวียนน่าดูจะเป็นปริศนามาก เพราะไม่ว่าพวกเขาจะติดต่อถึงต้นกำเนิดหรือความทรงจำส่วนไหนก็ตามของวิเวียนน่า พวกเขาจะพบแต่ความมืดมิดเพียงเท่านั้น แต่ยังไงก็ตาม แอตลาสก็พยายามจะวางปัญหานี้ลงก่อน เพราะพวกเขาต้องแก้ไขวิกฤตแห่งการหลอมรวมนี้ อย่างแรกที่พวกเขาทำก็คือ การกลับไปสู่โลกผ่านประตูมิติของชนเผ่า

     

    โชคดีของพวกเขาที่ประตูมิตินี้เคยเชื่อมต่อกับโลกมาก่อน มันจึงส่งพวกเขามายังผืนดินของโลกได้สำเร็จ สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือ ธรรมชาติอันงดงามกำลังฟื้นตัวกลับขึ้นมาอีกครั้ง 


    พวกเขาเกือบลืมไปแล้วว่าสีเขียวของใบหญ้ามีลักษณะเป็นเช่นไร ตลอดล้านๆปีที่ผ่านมานี้พวกเขาเห็นเพียงแค่พื้นผิวสีเทาจากดาวอังคารเท่านั้น นี่จึงทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกที่อยากจะปกป้องดวงดาวนี้ไว้ และเพื่อเป็นความเคารพต่อดวงดาว พวกเขาจึงตั้งชื่อให้ดินแดนที่พวกเขาเหยียบย่างอยู่นี่ว่า เบอร์มิวด้า ไม่นานพวกเขาก็เริ่มลงมือแก้ไขวิกฤตนี้

     

    ด้วยทฤษฎีแห่งมิติที่ลึกล้ำทำให้พวกเขาสรุปได้ว่า พวกเขาจะแยกมิติเวลาออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของโลกและส่วนหนึ่งเป็นของวิเวียนน่า แต่ครั้นจะแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์เลยก็เป็นไปไม่ได้ หากจะให้เปรียบก็คงเหมือนคนสองคนที่มีร่างกายติดกัน ใช้อวัยวะภายในร่วมกัน การที่จะแยกทั้งคู่ออกจากกันนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตายหรือที่แย่ที่สุดอาจจะไม่รอดทั้งคู่

     

    ดังนั้น ชาวแอตลาสจึงตัดสินใจใช้ทวีปเบอร์มิวด้าเป็นสื่อกลางระหว่างทั้งสอง ถึงแม้มันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางกายภาพ แต่มันก็ยังเกี่ยวข้องกันทางวิญญาณอยู่ และด้วยความหลักแหลมของชาวแอตลาส พวกเขาก็ได้รวมพลังวิญญาณของโลกไว้กลายเป็น เอิร์ทคอร์ และรวมพลังวิญญาณของวิเวียนน่าไว้กลายเป็น วิเวียนน่าคอร์ สองแกนพลังงานจะส่งพลังงานข้ามมิติเข้าหากันโดยจุดเชื่อมต่อของพลังจะอยู่ที่เบอร์มิวด้านั้นเอง

     

    แอตลาสสร้างมิติให้โลกอยู่มิติแรกและวิเวียนน่าอยู่มิติที่สอง นั่นจึงทำให้วิกฤตการณ์ดับสูญของดาวเคราะห์ทั้งสองพ้นผ่านไปได้ด้วยดี

     

    ยังไงก็ตามแม้เคราะห์ร้ายในครั้งนี้จะผ่านพ้นไปได้ แต่พวกเขาก็ได้สร้างสิ่งที่ผิดพลาดบางอย่างขึ้น การที่มิติที่ 1 เชื่อมกับมิติที่ 2 นั้นมันก่อให้เกิดช่องว่างมิติขึ้นมา

     

    ซึ่งนั้นหมายความว่า หากมีเผ่าพันธุ์ใดที่มีวิทยากรการสูงส่งในเอกภพนี้พบเจอช่องว่างดังกล่าว พวกมันจะสามารถวาร์ปมายังจุดเชื่อมต่อแห่งมิติได้ทันที และเผ่าพันธุ์ที่ว่านั้น ก็ได้ปรากฎตัวขึ้นมาแล้ว ชาวแอตลาสเรียกพวกเขาว่า แบล็คบัค

     

    จุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้ไม่อาจมีผู้ใดทราบได้ แต่ถ้าหากให้คาดการณ์แล้วล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เพราะทันทีที่มาถึง เผ่าพันธุ์นี้ก็ได้เปิดฉากโจมตีวิเวียนน่าทันที

     

    นั้นจึงทำให้ชาวแอตลาสเกณฑ์ไพร่พลทั้งหมดมาเพื่อป้องกันการรุกราน สงครามที่เกิดขึ้นยาวนานยืดเยื้อกินเวลาไปนานนับสหัสวรรษ ท้ายที่สุด แบล็คบัคก็ถอนกำลังออกไป ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจะกลับมาเยือนอีกเมื่อไหร่

     

    เวลาผ่านไปอีกนานหลายปี ปัจจุบันก็ย่างเข้า พ.ศ. 2579 แล้ว ตำนานที่ไม่มีผู้ใดรู้ก็จะยังคงเป็นความลับอยู่อีกต่อไป.....






    References from Childhood memory







    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×