คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3
คำเตือนแฟนฟิคเรื่องนี้จัดทำโดยอิงจากอนิเมะเป็นหลัก อาจจะมีข้อมูลที่ไม่ตรงในบางครั้งต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่านค่ะ
โรงเรียนสื่อไหลเค่อ
หลังจากที่ฟู่มี่หลิงได้รับวงแหวนวิญญาณวงแรกก็ผ่านมาสามวันแล้ว คณาจารย์ในโรงเรียนต่างก็คอยฝึกสอนสิ่งต่างๆให้กับนาง โดยเฉพาะอาจารย์หลี่อวี้ซงที่มักจะเป็นคนคอยฝึกสอนกระบวนท่าในการต่อสู้ให้ เพราะวิญญาณยุทธ์ของอาจารย์นั้นเป็นกระบองลายมังกร ซึ่งมีรูปร่างและลักษณะที่คล้ายกับเคียวของนาง ฟู่หลันเต๋อผู้เป็นบิดาจึงฝากฝังให้อาจารย์หลี่คอยชี้แนะและฝึกให้เป็นส่วนใหญ่
ทุกครั้งในระหว่างการฝึกก็จะมีฟู่หลันเต๋อมาคอยดูอยู่ตลอด คอยชี้แนะและสอนสั่งไปในตัว แต่วันนี้เป็นวันหยุดหลังการฝึกฝนสุดทรหด มี่หลิงเลยเลือกที่จะอยู่แต่ในห้องของตนเองเพื่อปรับแต่งและแก้ไขหุ่นเชิดทั้งสองตัว ถ้าหากเป็นเมื่อชาติก่อน คงไม่ต้องมานั่งหัวหมุนเพราะมีหุ่นเชิดถึง 10 ตัวด้วยกัน แถมแต่ละตัวล้วนมีความสามารถที่แตกต่างกันไป
แต่ตอนนี้มีแค่สองตัวซึ่งเป็นตัวที่ง่ายที่สุดในการสร้าง นั่นคือ หงเหลี่ยน1 กับ ถาวฉี้2 ทั้งสองตัวนี้ล้วนทำขึ้นมาจากไม้ที่ซ่อนกลไกลที่สามารถปล่อยมีดหรือเข็มเงินเพื่อสังหารศัตรูได้ ส่วนวิธีในการควบคุมหุ่นเชิดก็คือใช้พลังวิญญาณสร้างเป็นเส้นด้ายที่มองไม่เห็นเพื่อควบคุมอย่างอิสระ แม้ว่าพลังวิญญาณของฟู่มี่หลิงตอนนี้จะมีไม่มากนัก ก็พอที่จะสามารถใช้ทักษะวิญญาณและหุ่นเชิดสองตัวพร้อมกันได้
แต่รู้สึกว่าตอนนี้ห้องของนางจะเล็กไปเสียหน่อย เพียงแค่อุปกรณ์ต่างๆกับหุ่นเชิดสองตัวกองอยู่ที่พื้นก็แทบจะไม่มีพื้นที่ให้เดินแล้ว และห้องนอนของนางองก็อยู่ในหอพักของเหล่านักเรียนฉะนั้นการที่จะใช้ห้องข้างๆก็ตัดไปเลย “หรือว่าข้าควรไปถามท่านพ่อดีกว่า” ว่าจบร่างของเด็กสาวก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะโดดลงจากหน้าต่างชั้นสองเพื่อไปหาฟู่หลันเต๋อที่น่าจะอยู่สักที่ในโรงเรียน
ฟู่มี่หลิงเดินมาเรื่อยๆจนถึงสะพานที่มีน้ำตก ก็พบกับศิษย์ของสื่อไหลเค่อคนนึงเข้า เป็นชายหนุ่มเขามีสีผมน้ำตาลแดงที่ออกไปทางอ่อนๆ กำลังยืนเท้าแขนกับระเบียงรั้วมองไปทางน้ำตกอย่างเหม่อลอย และทำหน้าราวกับเศร้าเสียใจบางอย่างจนสามารถร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ ด้วยความสงสัยเด็กสาวจึงไม่รอช้าเดินปรี่เข้าไปเพื่อพูดคุยกับเขา
“ศิษย์พี่ๆ ท่านกำลังเศร้าเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?” ฟู่มี่หลิงว่าพางดึงชายเสื้อขางคนตรงหน้า เขามีท่าทีสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะก้มมามองที่นางพลางค่อยย่อตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับนัยน์ตาสีแสดประกายราวกับแก้วหลิวหลีนั้น เด็กสาวมีผมสีเงินที่ดูก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร “เจ้าคงจะเป็นมี่หลิงลูกสาวท่านผอ.ฟู่สินะ?” เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยิ้มให้แก่เด็กสาวตรงหน้า ซึ่งเท่าที่ดูยังไงก็ฝืนยิ้มชัดๆ
“ศิษย์พี่รู้จักข้า แต่ข้ายังไม่รู้จักท่านเลยนะ” ฟู่มี่หลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะพอใจนัก เมื่อได้ยินดังนั้นพลันศิษย์พี่ตรงหน้าก็ส่งยิ้มแห้งๆให้ “ขออภัย ข้าฉินหมิง วิญญาจารย์ศึกสายโมตี วิญญาณยุทธ์หมาป่าเทาโหมอัคคี ระดับ 36 ” ฉินหมิงเอ่ยแนะนำตัวเสร็จก็รอดูปติกิริยาตอบกลับของเด็กสาวตรงหน้า ที่ควรจะตื่นเต้นหลังจากที่ได้ฟัง แต่ดูเหมือนว่าฟู่มี่หลิงคนนี้ดูจะไม่ค่อยได้ตื่นเต้นกับมันเหมือนเด็กคนอื่นๆสักเท่าไหร่
แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดอะไรมากนักคงเพราะว่าผอ.ฟู่เองก็ระกับสูง ระดับของเขาก็เลยอาจจะดูไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่นักสำหรับเด็กสาวที่มีพ่อเป็นถึงระดับมหาปราชญ์วิญญาณ ฝ่ามือในถุงมือสีดำเอื้อมออกมาหมายจะลูบกลุ่มเส้นไหมสีเงินบนหัวของเด็กสาวตรงหน้า แต่ไม่ทันที่จะได้แตะฟู่มี่หลิงก็ก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็วจนฉินหมิงเองก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“ท่านพ่อลูบหัวข้าได้แค่คนเดียว” ว่าจบแก้มเล็กๆก็พองลมขึ้นพร้อมกับเอามือมือทั้งสองวางแมะไว้บนหัวของตนเองเพื่อเป็นการป้องกัน ฉินหมิงจึงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นเสมอไหล่ “ข้าไม่ลูบหัวเจ้าแล้วๆ วางใจได้” แม้ว่าจะบอกไปแบบนั้นแต่เด็กสาวก็ยังคงมีท่าทีระแวงและไม่ยอมลดมือลง ทั้งคู่จ้องหน้ากันนานสองนานก็เป็นมี่หลิงเองที่ยอมลดมือลงเพราะเมื่อยแขน
ฉินหมิงนึกขำเด็กสาวตรงหน้าและระบายยิ้มที่ไม่ได้ฝืนออกมา อย่างน้อยนางก็ทำให้เขาหายเศร้าได้นิดนึง “ศิษย์พี่ฉินหมิงยิ้มแล้ว” ฟู่มี่หลิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ฉินหมิงเองก็ถึงกับบางอ้อ ที่แท้ลูกสาวท่านผอ.คนนี้ช่างคิดนักหาวิธีให้เขายิ้มได้ “ที่แท้เจ้าก็มาเพื่อปลอบข้าหรือ ตัวแสบ” ชายหนุ่มว่าพลางกำลังจะยื่นมือเพื่อไปลูบหัวของมี่หลิงอีกครั้งแต่ก็ได้ท่าทีเดิมกับมาถือถอยหนี
“ที่บอกว่าท่านพ่อลูบหัวข้าได้คนเดียวข้าพูดจริงนะหากท่านคิดจะลูบหัวข้าอีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ฟู่มี่หลิงเอ่ยด้วยใบหน้าที่จริงจัง ทั้งดูจากท่านที่และน้ำเสียงแล้วนางน่าจะพร้อมสู้อย่างแน่นอน ฉินหมิงจึงได้ล้มเลิกการที่จะลูบหัวนางแล้วหันมาคุยเรื่องสัพเพเหระกันแทนระหว่างเดินไปเรื่อย “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพึ่งได้วงแหวนแรกมานี่ ข้าอยากรู้จังว่าทักษะของเจ้าเป็นอย่างไร” ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ที่ลานกว้าง ไม่ไกลจากสะพานเดิมนัก
“ทักษะแรกของข้าคือหม่าป่าทมิฬคลั่ง เป็นการเพิ่มพลังกายและการโจมตีเจ้าค่ะ จะว่าไปวันที่ข้าปลุกวิญญาณยุทธ์ศิษย์พี่ฉินก็อยู่ด้วยเหรอคะ?" เด็กสาวเอ่ยตอบก่อนที่จะหันมาถามอย่างสงสัย “ใช้แล้วล่ะ วิญญาณยุทธ์ของเจ้าช่างแปลกประหลาดและไม่เคยเห็นมาก่อน” ฉินหมิงเอ่ย เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแต่ก็เลือกที่จะปล่อยผ่านมันไป บนทวีปโต้วหลัวนี้ยังมีวิญาณยุทธ์อีกมากมายนักที่ยังไม่ถูกค้นพบหรือเป็นที่รู้จัก
เมื่อได้ฟังคำจากฉินหมิง เด็กสาวจึงได้เอ่ยออกมาว่า “แบบนี้ก็จะได้สมชื่อสัตว์ประหลาดแห่งสื่อไหลเค่ออย่างไรเล่า!!” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเองไม่น้อย “ก็จริงของเจ้า แล้วนี่เจ้าจะไปไหนล่ะ” ชายหนุ่มตามน้ำเพื่อไม่ให้ขัดใจเด็กชาวที่เดินอยู่ข้างๆ แล้วก็ไม่ลืมที่จะถามหาเหตุผลที่นางมาเดินเสียทั่วโรงเรียนเช่นนี้ “ข้ากำลังตามหาท่านพ่ออยู่ แต่ไปดูที่ห้องทำงานแล้วไม่เจอเจ้าค่ะ”
“งั้นเหรอ…. ไม่แน่ท่านผอ.อาจจะเข้าเมืองก็ได้ กว่าจะกลับก็คงจะเย็นๆ” ฉินหมิงเอ่ยตอบไปตามตรงเพราะทุกครั้งที่ท่านผอ.เขาเมืองก็มักจะกลับช้าตลอด ฟู่มี่หลิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็หน้ามุ่ยลงทันที เห็นทีว่าคราวนี้คงต้องกลับไปอุดอู้อยู่ในห้องเสียแล้ว แต่ไม่ทันที่จะได้เดินไปไหนต่อฉินหมิงก็ชวนนางไปเดินเล่นรอบๆหมู่บ้านแทน แล้วไหนๆฟู่มี่หลิงเองก็ยังไม่อยากกลับไปหมกตัวอยู่แต่ในห้องจึงได้ตอบตกลงไปทันที
ทั้งคู่เดินเล่นไปคุยไปจนเวลาเลยมาจนถึงเที่ยงวัน ฉินหมิงจึงชวนฟู่มี่หลิงไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันที่โรงครัวของโรงเรียน ทั้งสองใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงโรงครัว ก็พบกับอาจารย์ที่มีรูปร่างเป็นชายอ้วนท้วมกำลังจัดเตรียมอาหารอยู่ นั่นคืออาจารย์เส้าซินนั่งเอง หลังจากที่เสียงประตูเปิดออกอาจารย์เส้าจึงได้หันมาเอ่ยทักทายนักเรียนทั้งสองทันที “อ้าวฉินหมิง มี่หลิง พวกเจ้ามาพอดีข้าพึ่งจะอบไก่เสร็จพอดี” อาจารย์เส้าว่าพลางยกถาดที่มีไก่อบตัวใหญ่ร้อนมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร
“ขอบคุณเจ้าค่ะอาจารย์เส้า” ฟู่มี่หลิงว่าพลางแบ่งเนื้อบางส่วนมาไว้ที่จานของตนเอ่ยก่อนที่จะเริ่มทานมันอย่างเอร็ดอร่อย ฉินหมิงที่เห็นว่าเด็กสาวเริ่มลงมือทานแล้วตนเองจึงได้เริ่มทานมื้อเที่ยงบ้าง พลางตักอาหารไปให้ฟู่มี่หลิงบ้างเป็นบางครั้ง “ขอบคุณศิษย์พี่ฉินเจ้าค่ะ”นางกล่าวขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มให้ก่อนจะกลับไปสนใจอาหารมากมายตรงหน้าต่อ ทำเอาฉินหมิงอยากจะลูบหัวนางแต่ก็ตั้งยั้งไว้ก่อน สงสัยเขาคงต้องตีสนิทกับนางไว้มากๆแล้วล่ะ
“ว่าแต่อาจารย์เส้า ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าท่านผอ.ไปที่ไหน?” ฉินหมิงเอ่ยถามอาจารย์เส้าซินที่กำลังง่วนอยู่กับวัตถุดิบทั้งหลาย อาจารย์เส้าที่ได้ยินดังนั้นก็ผละออกจากสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ “เห็นท่านผอ.บอกว่าจะเข้าเมืองบ่ายๆก็กลับมาแล้ว เจ้ามีเรื่ออะไรรึฉินหมิง?” อาจารย์เส้าหันมามองที่ฉินหมิงอย่างสงสัย “ไม่ใช่ข้าหรอกขอรับแต่เป็นศิษย์น้องมี่หลิง” ชายหนุ่มเอ่ยตอบ
แต่ไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไรต่อประตูโรงรัวก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง และคนที่เปิดมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นฟู่หลันเต๋อนั่นเอง “ท่านพ่อกลับมาแล้ว” ฟู่มี่หลิงว่าจบก็ลุกออกจากโต๊ะอาหารพร้อมกับกระโจนเข้าไปกอดทันที ชายวัยกลางคนก็รีบอ้าแขนรับเข้ามาในอ้อมกอดทันที “ฮ่าๆๆๆ ได้ยินว่าเจ้าตามหาพ่ออยู่รึ?” ฟู่หลันเต๋อว่าพลางหันมาถามเด็กสาวในอ้อมแขนของตน “ข้ามีเรื่องอยากจะขอกับท่านพ่อเจ้าค่ะ”
“เจ้าอยากจะขออะไรล่ะ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย ฟู่มี่หลิงจึงได้กระซิบที่ข้างหูตอบบิดา “ไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ” เมื่อได้ยินดงนั้นฟู่หลันเต๋อก็ทำตามที่บุตรสาวเอ่ยอย่างว่างาย “เอาสิ งั้นข้าขอตัวนะอาจารย์เส้า ฉินหมิง” แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกลาสองคนที่เหลือในโรงครัวก่อนสองพ่อลูกจะเดินหายลับไปในทันที
‘ดูท่าว่า ท่านผอ.ฟู่จะตามใจลูกสาวสุดๆไปเลยนะ’
.
.
.
.
.
.
(ตรวจคำผิดแล้ว)
สายัณห์สวัสดิ์ ค่าาาาา ต้อบขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและเป็นนกำลังใจให้นะคะ เหมือนเดิมค่ะถ้ามีขอมูลผิดพลาดตรงไหนบอกกันได้น้าาา ส่วนฉินหมิงเราไม่รู้นะคะว่าเขาจบจากสื่อไหลเค่อตั้งแต่เมื่อไหรเราเลยมโนเอาค่ะ
คอมเม้นเพื่อพูดคุยกันได้นะคะ(^v^)
1 หงเหลี่ยน หนึ่งในสิบหุ่นเชิดของมี่หลิง มีรูปร่างเป็นเด็กสาวหน้าแดง
2 ถาวฉี้ หนึ่งในสิบหุ่นเชิดของมี่หลิง มีรูปร่างเป็นเด็กชายที่มีหน้าตาซุกซน
ความคิดเห็น