......ไหนดูสิเราลองให้ฉันมาเล่าต่อจากครั้งที่แล้วดีมั้ย หลายคนคงจะคิดว่าเรื่องมันสั้นๆแล้วตัดจบ ก็นะ มันไม่ใช่แนวฉัน ฉันเลยอยากจะมาเล่าต่อ ก่อนที่คุณพ่อจะไป หลายคนคงรู้ว่าไปไหน แต่ความหมายไม่ได้เป็นแบบนั้นซะทีเดียว เอาเถอะเข้าเรื่องดีกว่า......
หลังจากที่ออกมาจากลูซิสคุณพ่อพาฉันไปที่ 'เลทไซลั่ม' ก่อนที่จะถึงตัวเมืองคุณพ่อพาฉันมาที่'ฟาร์มโจโคโบะ'ก่อนฉันและคุณพ่อเล่นกับโจโคโบะ
แถมคุณพ่อก็บอกจะสอนฉันขี่โจโคโบะอีกด้วย 'ระวังนะ อย่าเผลอไปดึงขนมันเชียว' คุณพ่อบอกและคอยจับเจ้าโจโคโบะขนสีขาวนุ่มเอาไว้
แล้วก็พาเดินรอบๆฟาร์มโจโคโบะ จนในที่สุดฉันก็ขี่โดยที่ไม่ต้องให้คุณพ่อจับ
เราอยู่ที่นั่นซักพักจนถึงตอนเที่ยงฉันและคุณพ่อก็เดินทางไปที่เลทไซลั่มต่อคุณพ่อบอกว่ามีคนรู้จักอยู่ที่นั้น
พอขับรถออกมาจากฟา์รโจโคโบะคุณพ่อก็ขับตรงไปยังเลทไซลั่มทันที
ระหว่างที่กำลังเดินทางฉันเห็นหินที่มีรูปร่างโค้งเหมือนกับสะพานอันใหญ่ยักษ์ 'คุณพ่อคะหินนั่นเหมือนกับที่กัลดินเลย' ฉันพูดแล้วหันไปหาตุณพ่อ แต่คุณพ่อแค่ยิ้มกลับมาเท่านั้น
เมื่อผ่านจุดนั้นมาแล้วก็มาตรงอุโมงเราะตามเชิงเขามันดูสวยงามมากๆในตอนนั้น
อุโมงอิฐที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม
เมื่อมองเห็นทางข้างหน้าที่เป็นทางเข้าเมืองในตอนนั้นฉันมีความรู้สึกหลากหลาย เช่น
ตื่นเต้น ดีใจฯ ฉันอยากเก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ให้นานที่สุด
พอมาถึงส่วนในเมืองเลทไซลั่มคุณพ่อและฉันเดินมาหาที่พักก่อนอันดับแรกและเผอิญว่าคนรู้จักของคุณพ่อก็อยู่ที่นี้เช่นกัน
เมื่อเข้ามาในโรงแรมเพื่อที่จะเช็กอินก็มีชายคนหนึ่งกล่าวทักทายคุณพ่อ 'อ้าวไงไม่เจอกันนานนะ เดเลีย' ชายคนนั้นทักทายคุณพ่อก่อนที่คุณพ่อจะตอบกลับ 'ไงครับคุณ'เจอร์เรด' ไม่เจอกันนานนะครับ'ฉันคิกอยู่ว่านี่น่าจะเป็นคนรู้จักของคุณพ่อ
คุณพ่อและคุณเจอร์เรดคุยกันอยู่ซักพักคุณพ่อหันมาหาฉันก่อนจะบอกว่า 'ลูกแนะนำตัวหน่อยสิ' คุณพ่อก็บอกให้ฉันแนะนำตัวกับคุณเจอร์เรด 'หนู เดฟโฟดิล
อควาริเจีย ค่ะ' ฉันแนะนำตัวตามที่คุณพ่อบอก
คุณเจอร์เรดที่เห็นฉันแนะนำตัวด้วยท่าทีที่ขี้อายจึงพูดว่า 'แหมเดเลียลูกนานเนี่ยเหมือนกับแอร์เทียจริงๆ' คุณเจอร์เรดที่เห็นว่าฉันเหมือนกับคุณแม่
แต่ฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณแม่เองก็ขี้อาย ฉันได้แต่ยิ้มรับฝืดๆ
พอขึ้นมาชั้นสองที่ฉันกับคุณพ่อพักอยู่เมื่อเข้ามาในห้องแล้วฉันก็พอดีเหลือบไปเห็นกับระเบียงเข้าฉันจึงรีบวิ่งไปที่ระเบียงเพื่อที่จะดูวิวรอบๆเมือง
คุณพ่อที่เห็นฉันยืนอยู่ที่ระเบียงก็ถามว่า 'อยากไปเดินเล่นในเมืองมั้ยลูก' คุณพ่อถามพรางขยี้หัวฉันเบาๆ
ฉันเงิยหน้ามองคุณพ่อก่อนจะตอบว่า 'ค่ะคุณพ่อ' ฉันตอบและยิ้มออกไปด้วยความจริงใจ
บางครั้งฉันก็คิดว่าถ่าเสียคุณพ่อไปอีกคนฉันจะอยู่ยังไงกันนะ
เมื่อออกมานอกโรงเเรมแล้วบรรยากาศข้างนอกเป็นวิวทิวทัดที่สวยนะแต่มันใกล้จะมืดแล้ว
ในตอนนั้นฉันมองนู่นมองนี่ไปทั่วจนคุณพ่อก็พาเดินดูจนทั่วเหมือนกัน
หลังตะวันลับฟ้าก็นะ
คุณพ่อบอกว่าเลทไซลั่มเหมาะแก่การเที่ยวตอนกลางคืนมากๆ
ฉันคิดว่าคงเพราะเเสงสีต่างๆที่ประดับตามบ้านเรือนและตลาดสดที่มีของขายตลอด
กว่าจะกลับได้ก็กินเวลาไปเกือบดึกแล้ว
พอเข้าห้องพักมาคุณพ่อก็บอกให้ฉันไปอาบน้ำทันที พอฉันอาบน้ำเสร็จฉันก็เข้านอนทันที
ในตอนนั้นฉันรู้สึกเพลียมากๆ
เช้ารุ่งสางในวันที่สองของการอยู่ในเลทไซลั่ม
มันก็ค่อนข้างที่จะสนุกพอตัวนะที่เลทไซลั่มปกติฉันเป็นคนที่เรียนรู้เร็วนะแถมความจำดีซะด้วย
ฉันจึงขอคุนพ่อออกไปเดินเล่นซักหน่อยก็เป็นไปตามที่คาดคุณพ่ออนุญาตให้ฉันไปได้แต่ก็บริเวณใกล้นี้เท่านั้น
คุณพ่อให้เงินติดตัวฉันมาบ้างแต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี
ฉันก็เลยเดินดูในตลาดไปเรื่อยๆ ฉันเลยตัดสินใจออกไปแถวๆริมถนนบ้าง
แถวริมถนนเองก็มีคนเยอะอยู่พอสมควร ฉันเดินมาตรงจุดชมวิวที่เป็นหน้าผา
จากตรงนั้นก็สามารถมองเห็นได้ไกลมากๆเห็นแม้กระทั่งฟาร์มโจโคโบะที่อยู่ไกลลิบ
หลังจากที่ฉันดูวิวอยู่นานฉันก็คิดว่าจะกลับไปที่โรงแรมแต่ก่อนจะถึง
ฉันดันเหลือบไปเห็นกับร้านร้านนึงเท่าที่ฉันดูจากตรงที่ฉันยืนอยู่น่าจะเป็นร้านขายของที่ระลึก
ฉันเลยคิดที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ในร้ายก็มีแต่ของที่ระลึกของเลทไซลั่มที่ไม่ซ้ำกัน
ฉันดูอยู่นานในที่สุดฉันก็เลือกได้ มันคือสโนว์บอลขนาดเท่าสองฝ่ามือฉัน
ข้างในเป็นรูปของทางเข้าเมื่องอัลทิสเซียที่มีรายระเอียดที่ค่อนข้างเหมือนอยู่มาก
'พี่สาวชอบอันนี้เหรอ' ในตอนนั้นอยู่ๆก็มีเด็กผู้หญิงผมสีบลอนดวงตาสีเขียวตัวเธอสูงประมาณจะมูกฉันเข้ามาถาม 'เธอมาจากไหนน่ะ
เด็กน้อย' ฉันถามเด็กคนนั้น
ทันทีที่ฉันพูดว่าเด็กน้อยเด็กคนนี้ทำหน้าแก้มป่องแล้วพูดว่า 'หนูไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะหนูน่ะอายุ7ขวบแล้ว' เด็กคนนั้นทำท่าทางโกรธใส่
ฉันพอเข้าใจนะเวลาโดนเรียกว่าเด็กน้อยทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กแล้วแต่ถึงอย่างนั้นแต่ฉันก็ไม่ค่อยสนใจอยู่ดี'แล้วเจ้าของร้านล่ะ'ฉันถามด้วยหน้าตาที่เฉยชาและไม่สนใจเด็กคนนั้น'เดี๋ยวหนูไปเรียกให้'เด็กคนนั้นเปลี่ยนสีหน้าแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว
พอผ่านไปไม่นานนักเด็กคนนั้นก็เดินมาพร้อมกับหญิงสาวที่ทั้งสีผมและสีตาเหมือนกับเด็กคนนั้น
'แม่หนูจะซื้ออันไหนจ๊ะเลือกได้เลย' คุณน้าเจ้าของร้านพูดด้วยความเป็นมิตร 'หนูเลือกได้แล้วล่ะค่ะ' ฉันตอบแล้วยกสโนว์บอลขึ้นให้คุณน้าเจ้าของร้านดู
'แม่หนูเนี่ยชอบเมืองอัลทิสเซียเหรอจ๊ะ' คุณน้าเจ้าของร้านถามพรางลูบหัวฉันเบาๆ 'บ้านเกิดหนูน่ะค่ะ แล้วเท่าไหรเหรอคะ' ฉันถามแล้วหันมาสนใจในรายระเอียดของข้างในสโนว์บอลต่อ 'น้าเอาแค่ 50 gil ก็พอจะ' คุณน้าเจ้าของร้านบอก ฉันก็ยื่นเงินให้ตามที่คุณน้าบอก 'ขอบคุณที่อุดหนุนจ่ะ ไว้ว่างก็มาเล่นกับบีเรียบ้างนะ บีเรียไม่ค่อยจะมีเพื่อนน่ะ' คุณน้าเจ้าของร้านบอก
ตอนนั้นฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้อยู่ที่นั่นนานรึป่าว พอซื้อของเสร็จฉันก็กลับไปที่โรงเเรมในเวลานั้นเองก็เกือบที่จะมืดแล้วเหมือนกัน ฉันเดินเข้าไปในโรงแรมก็เห็นคุณพ่อและคุณเจอร์เรดนั่งคุนกันอยู่
คุณพ่อที่เห็นว่าฉันกลับมาแล้วพร้อมกับของติดมือมาด้วยก็เลยถาม 'เดฟโฟดิลมาแล้วเหรอลูก เป็นไงเดินเล่นสนุกมั้ย' คุณพ่อถามแล้วอุ้มฉันขึ้นไปนั่งบนตัก 'คุณพ่อคะเราจะกลับวันไหนเหรอค?' ฉันถามออกไปแล้วก้มมองสโนว์บอลที่พึ่งซื้อมาไม่นานมานี้ 'ลูกอยากกลับแล้วเหรอ' คุณพ่อถาม
ฉันไม่ตอบเพียงแต่ส่ายหน้าไปมาเพื่อเป็นการบอกว่าไม่กับคุณพ่อ 'อย่างงั้นเหรอ เราจะกลับก็อีกสามวัน' คุณพ่อตอบแล้วลูบหัวฉันเบาๆ
ส่วนฉันที่ได้คำตอบแล้วก็เดินไปที่ริมระเบียงแล้วมองวิวข้างนอกที่ค่อยๆถูกปลกคลุมด้วยความมืด
และในตอนนั้นเองฉันก็คิดเล่นๆไปว่า 'ถ้าหากว่าไม่มีเเสงของดวงอาทิตย์แล้วจะเป็นยังไงกันนะ' ฉันก็คิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่นาน
พอมารู้ตัวอีกทีดวงตะวันก็ลาลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว
ฉนั้นหากเมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้า ดวงจันทราก็จะมาแทนที่
ก็เหมือนกับที่ฉันเคยได้ยินมา มีแสงย่อมมีความมืด มีเกิดย่อมความตาย
มีความชุ่มชื้นย่อมมีความแห้งแล้ง
ใช้นั่นคือวัฏจักรของโลกที่เราอาศัยอยู่เรื่อยมา
แล้วในตอนนั้นเองหลังจากที่ฉันยืนอยู่ระเบียงจนเพลินคุณพ่อก็เรียกฉันไปอาบน้ำและนั่นคือทั้งหมดของวันที่สองในเมืองเลทไซลั่ม
'เดฟโฟดิลตื่นได้แล้วลูก เราต้องไปแล้วนะ' ในตอนนั้นฉันต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงของคณพ่อที่ปลุกฉัน ฉันสลึมสลือตื่นขึ้นมาด้วนความงัวเงียแล้วตอบกลับไปว่า 'พ่อคะนี่พึ่งวันที่สามเองนะ' ฉันถามออกไป ที่จริงมันเหลือตั้งอีกสองวันจริงมั้ย
ฉันลุกขึ้นจากเตียงพรางขยี้ตาเล็กน้อบแล้วเดินเข้าหน้องน้ำไปอย่างงัวเงีย ตอนนั้นฉันเองก็ยังสงใสว่าทำไมเราตั้งแต่เช้ามืด ฉันเข้าไปอาบน้ำอยู่สักพัก ก็ออกมาจากห้องน้ำ ฉันเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลง ฉันหันไปที่เตียงที่คุณพ่อนอน ก็เห็นกับกล่องไม้ที่คุณแม่ให้ไว้เปิดอยู่ ฉันก็กะจะลองไปแตะดูนิดหน่อย เมื่อมือของฉันแตะกับสร้อยทุกอย่างก็ มืดดับลง
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยเคว้งคว้างในอากาศ และภาพทุกอย่างก็ตัดมาที่อัลทิสเซียเป็นบริเวณอนุสาวรีย์ของ 'บิสมาร์ค' ราชาแห่งฝูงปลา มีคนสองคนผู้ชายและผู้หญิงอีกคนที่น้าตาดันคล้ายกับฉันกำลัง ทเลาะกันอยู่ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาทะเละเรื่องอะไรกันแต่ว่า
เพียะ
พวกเขาดูจะทะเลากันค่อนข้างที่จะเเรงอยู่ถึงขั้นที่ต้องมีการทำร้ายกัน ผู้ชายคนนั้นตบเข้าที่ใบหน้าของผู้หญิงที่หน้าเหมือนกับฉันเข้าเต็มๆ แต่ผู้หญิงคนนั้นจะไม่พูดอะไรแล้วรีบจ้ำอ้าวออกไปจากบริเวณนี้ทันทีแล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเลือนหายไปทีละนิดเหลือแต่คว่มมืด
บรื้น
เสียงของรถที่กำลังแล่นทำให้ฉันตื่นและเมื่อรู้สึกตัวอีกทีฉนก็นั่งอยู่บนรถของคุณพ่อซะแล้ว ฉันมองออกไปนอกกระจกฉันคิดว่าอีกไม่นานน่าจะถึงปั๊มน้ํามันแฮมเมอร์เฮด 'อ้าว! ตื่นแล้วเหรอตัวแสบ' คุณพ่อพูดแล้วลูบหัวฉันเบาๆ 'นึกว่าจะนอนต่อจนถึงอินซอมเนียซะอีก' คุณพ่อพูดแล้วมองออกไปข้างหน้าอย่างอารมณ์ดี
สิ่งที่ฉันต้องการคือรอยยิ้มมากกว่าความเสร้าของคุณพ่อ นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าคุณพ่อจะไม่ทิ้งฉันไว้ตามลำพัง ไม่ว่าจะยังไงคุณพ่อก็จะยืนอยุู่่ข้างฉันเสมอ
และในเวลาต่อมาพวกเราก็มาถึงวังซิทาเดล เมื่อก้าวเข้ามาทุกๆคนที่ฉันรู้จักก็กล่าวทักทาย ไม่ว่าจะคนใช้ ทหารยาม หลายคนที่ฉันรู้จักต่างกล่าวทักทาย และคนที่ต้องการเจอฉันมากที่สุดก็มาถึง
'พี่กลับมาแล้ว!!!'
เสียงของน็อคดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่กัมลังวิ่งเข้ามาหาฉัน ฉันรับเขาแล้วกอดเขาเอาไว้แน่นเหมือนไม่จากจะปล่อยให้ไปไหนทั้งนั้น แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปเล่นกันเหมือนๆกับทุกทีที่เคยทำกันในเวลาก่อนที่ฉันจะออกไป
พวกเรามานั่งเล่นอยู่ในสวนสักพัก ฉันก็หยิบสโนว์บอลที่ข้างในเป็นปราสาทของเมืองอัลทิสเซียที่มีรายระเอียดที่เหมือนจริงแบบสุดให้กับน็อคเป็นของขวัญกลับมาจากเลทไซลั่ม 'อะไรเหรอฮะ' น็อคถามในมือยังคงถือสโนว์บอลไว้อยู่
'ปราสาทของอัลทิสเซียน่ะ ซื้อมาให้เป็นของขวัญ' ฉันตอบพลางยิ้มให้กับเขา 'ว้าวสวยจังฮะ' เขาพูดพร้อมกับสายตามี่ลุกวาวด้วยความตื่นเต้น 'แต่ของจริงสวยกว่านี้อีกนะ' ฉันบอก จากนั้นเราก็คุยเรื่องของอัลทิสเซียจนถึงเย็น
และในเช้าวันต่อมาฉันก็ได้ตามหาพ่อของฉันตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาสายๆของวัน ฉันหาคุณพ่อเท่าไหร่ก็หาไม่เจอฉันจึงถอดใจแล้วกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่เข้ามาฉันเดินไปที่เตียงก็พบกับจดหมายกับกล่องที่ใช้เก็บสร้อยของคุณแม่ไว้
ข้อความในจดหมายเขียนไว้สั้นๆว่า
'ช่วงนี้ลูกอาจจะไม่เจอพ่อสักพักนะ เพราะว่าพ่อต้องไปปฏิบัตืงานในบริเวณชายแดน กว่าจะกลับก็อีกนาน เดฟโฟดิลลูกดูแลตัวเองได้นะ พ่อรักลูรักลูก แล้วก็อย่าดื้ล่ะเดฟโฟดิล
จากพ่อ'
นั่นเป็นข้อความสุดท้ายที่ได้รับจากคุรพ่อและหลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอคุณพ่ออีกเลย จนเวลาผ่านไปครึ่งปีเศษๆ ในที่สุดฉันก็ได้ข่าวจากคุณพ่อเสียที แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นข่าวร้ายที่ฉันจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
'เดเรีย อควารีเจีย ได้เสียชีวิตไปขณะปฏิบัติหน้าที่'
พอได้ยินข่าวนั้น สิ่งแรกที่ฉันทำคือหนีให้พนจากความจริง ฉันเชื่อว่าคุณพ่อจะยังคงมีชีวิตอยู่ ฉันในตอนนั้นฉันมักบอกกับตัวเองว่ามันก็แค่ฝันร้าย และสุดท้ายฉันก็ทนรับความจริงไม่ไหวฉันจึงเลือกที่จะหนี
'แต่ว่า'
ถ้าฉันเลือกที่จะหนี คนอื่นๆละ ทุกคนที่รู้จักก็คงแล้วฉันควรที่จะเลือกอะไรดีล่ะระหว่าง
"เลือกที่จะหนีความจริง"
'กับ'
"อยู่เพื่อที่จะรับความจริง"
ในตอนนั้นฉันทั้งสับสนและหวาดกลัวไปหมดไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไหนดี ไม่รู้ว่าควรที่จะเลือกสิ่งไหนดี ไม่รู้ว่าควรที่จะเลือก ทางใดดี ในตอนนั้นในหัวมันตีกันไปหมด ฉละสิ่งสุดท้ายที่ฉันเลือกคือ
"หนีความจริง"
และเมื่อเลือกได้แล้ว ฉันจึงรอเวลา รอและรอจนกว่าจะดึกพอที่ฉันจะสามารถหนีออกไปได้โดยไม่มีใครเห็นหนือจับตัวฉันได้ ฉันเลือกที่จะหยอบกล่องใส่ร้อยและจดหมายของคุณพ่อไปด้วยกับฉัน ฉันคิดในตอนนั้นว่า จะไม่มีใครได้เจอฉันอีก
ฉันใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหนีออกมาจากภายในวังซิทาเดลได้ ฉันเลือกที่จะลัดเลาะเข้าไปตามซอกตึกใหญ่ แล้วสุดท้ายฉันก็แวะนั่งพักข้างๆกับถังขยะอันใหญ่เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจมากนัก และฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมาอีด
ในตอนนั้นฉันทั้งหนาวและเหงา ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว ฉันได้แต่นั่งปลงตกอยู่ข้างๆถึงขยะใบใหญ่รอจนกว่าฝนเจ้ากรรมี่จะหยุดตกแล้วฉันจะได้ไปต้อสักที ไม่นานฉันก็เพลิอหลับไป แต่เมื่อพอตื่นมาอีกที ฝนเจ้ากรรมก็ยังคงตกอยู่เช่นเดิม ทุกสายตาที่เดินผ่านมองฉันด้วยสายตาสมเพชและเวทนา คงจะคิดว่าขอทานข้างถนนล่ะสิ
ฉันนั่งกอดเข่าคดตัวหลังแนบชิดกับถังขยะเหล็กใบใหญ่ที่แสนจะเย็นเชียบ ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไปซักพัก จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆกับฉัน เขาแต่งตัวดูประหราด ผมสีไวน์ดูยุ่งเหยิง ดวงตาสีทองดูน่าค้นหา มาพร้อมกับร่มคันใหญ่สีดำสนิท
เขาจ้องมองมาที่ฉันอยู่ซักพักแล้วเขาก็พูดขึ้นว่า 'ว่าไงแม่หนูน้อยไม่มีที่ไปอย่างงั้งหรอ เธอคงจะหนาวนะ...ที่ต้องมาอยู่ที่นี้ ไปอยู่กับฉันไหมละ...แม่หนูน้อย' ชายแปลกหน้าถามฉันด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น 'อื้อ' ฉันตอบไปแบบไม่คิดเพราะยังไงฉันก็ไม่มีที่จะไปอยู่แล้ว
และฉันก็ได้เจอกับครอบครัวใหม่และพ่อบุณธรรมของฉัน
...............................................................................................................................
แหมน๊านนานกว่าจะมาลงได้เป็นไงก็บอกด้วยนะคะ อย่าลืมไปอ่าน Darkness swallowed กันด้วยเน่อเม้นด้วยน้าาาาาาาา ไปล่ะจ้าาาาาาาาา