ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Storied Of Fantasy

    ลำดับตอนที่ #1 : จุดเกิดแห่งตำนานโลกแฟนตาซี

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 49


    The Storied Of Fantasy

    ตอนที่ 1 จุดเกิดแห่งตำนานโลกแฟนตาซี

                                             

           ในอดีตกาล ณ โลกแฟนตาซีเมื่อ 1000 ปีก่อน ได้เกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นระหว่างเหล่ามนุษย์กับกองทัพอสูรร้ายโดยมีจอมอสูรอาร์ชิวลาร์บงการอยู่  โดยหวังจะทำลายเผ่ามนุษย์ให้หมดไปและสร้างเผ่าอสูรขึ้นมาแทนในโลกแฟนตาซีใบนี้  จอมอสูรอาร์ชิวลาร์ได้ทำร้ายชีวิตอันบริสุทธิ์ของมนุษย์จนนับไม่ถ้วน  จนในที่สุดมังกรแห่งแสงสว่าง Holy Dragon ก็ปรากฎตัวขึ้นเพื่อปกป้องโลกจากพลังอำนาจด้านมืดของจอมอสูรอาร์ชิวลาร์ จึงได้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างจอมอสูรด้านมืดกับจอมอสูรด้านแสงสว่าง  จนในที่สุด Holy Dragon ก็สามารถเอาชนะพลังอำนาจจากด้านมืดได้และสละชีพของตนเพื่อปิดผนึกจอมอสูรอาร์ชิวลาร์ไว้ในการ์ดใบหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

                1 ศตวรรษต่อมาในยามรัติกาลอันมืดมิดซึ่งเคยเป็นเวลาพักผ่อนของมนุษย์แต่ภายในเมืองนี้กับดูวุ่นวายกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมา  เหล่าประชาชนต่างวิ่งไปคนละทิศทางราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง

                "แย่แล้วท่านพ่อเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว  ทหารของอาณาจักรเบโอวูฟบุกเข้ามาในเมืองแล้ว  พวกเราจะทำยังไงดี"   ชายหนุ่มอายุราวๆ 18 ถามชายผู้เป็นพ่อ  เค้าคือ  เคน   อิลัสการ์  เป็นบุตรชายคนเดียวของ  อัลฟรอง   อิลัสการ์

                "งั้นพวกเรารีบไปคุ้มครองความปลอดภัยของพระราชามุสตาร์กับองค์หญิงวาเนียกันเถิด  ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะได้รับอันตราย" ชายผู้เป็นพ่อพูดพร้อมกับวิ่งออกจากห้องรับแขกภายในบ้านของตนแล้ววิ่งนำหน้าชายผู้เป็นลูกเพื่อมุ่งหน้าไปยังปราสาท

                ภายในห้องโถงอันหรูหราบนปราสาทใหญ่  มีข้าราชบริวารกับเหล่าทหารไม่น้อยกำลังหาลือกันอยู่  กึก กึก กึก กึก เสียงฝีเท้าของสองพ่อลูกที่วิ่งมายังภายในห้องโถงดังขึ้น  ผู้คนมากมายต่างแสดงความคิดเห็นของตนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ต่อพระราชมุสตาร์  โดยมีองค์วาเนีย  เวนโดรนาร์  อายุราวๆ 18 เช่นเดียวกับเคนกำลังร่วมการสนทนานี้อยู่  ในขณะที่ทุกคนกำลังหาลือกันอยู่นั้นองค์หญิงวาเนียผละจากสนทนานั้นนั้นแล้วเคินตรงไปยังระเบียงใหญ่ที่ติดกับห้องโถงนั้น ภาพเหตุการณ์ที่ทหารเบโอวูฟกำลังฝ่าทหารของเวนโดรเนียเข้ามา  ภาพฉากหลังอันน่าสยดสยองนั้นเต็มเปลวเพลิงที่เผาไหม้ทุกสรรพสิ่งกับซากศพของเหล่าทหารทั้งสองฝ่ายและร่างของประชาชนนับพันกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยคาบน้ำสีแดงข้นไหลนองไปทั่วร่างกายผู้คนเหล่านั้น  จนทำให้น้ำใสๆที่ไหลออกมาจากดวงตาอันเศร้าหมองคู่นั้นไหลไปทั่วใบหน้าอันงดงามและขาวผ่องดุจดวงจันทราที่เฉิดฉายในยามมืดมิดของพระองค์

                 "องค์หญิง  องค์หญิง  องค์หญิงครับ"เสียงชายหนุ่มเรียกเธออยู่หลายครั้ง

                "มีไรเหรอเคน" เธอเอามือมาป้ายน้ำตาของเธอให้หายไปแล้วจึงหันไปยังเสียงนั้น

                "เชิญเสด็จไปด้านในก่อนเถิดครับ" เคน  อิลัสการ์ กล่าวด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเธอ

                องค์หญิงวาเนียเธอยืนนิ่งสักพักจึงย่างเท้าก้าวเดินเข้าไปภายในห้องโถงนั้นแล้วมุ่งหน้าไปหาเสด็จพ่อของตนทันที

                "เสด็จพ่อ  ทหารของศัตรูบุกเข้ามาจวนจะถึงตัวปราสาทแล้ว" เธอพูดแทรกขึ้นมาจากกาสนทนานั้น

                "พวกเราไม่มีเวลาแล้ว  เอาแบบนี้ก็แล้วกันพวกเจ้าทุกคนรีบหนีไปกันให้หมดเดี๋ยวนี้เลย" พระราชาผู้แสนสง่าพูด

            "แล้วเสด็จพ่อล่ะ  จะไปด้วยกันมั้ยคะ"เสียงหวานๆ ขององค์หญิงดังขึ้นมา

            "ไม่ได้หรอก  พ่อไปไม่ได้  พ่อเป็นกษัตริย์พ่อจะทิ้งทุกคนไปไม่ได้" เสียงเข้มๆ ของชายผู้ทุกคนเป็นห่วงดังขึ้นมาอีกครั้ง

                "แต่............." เคนไม่ทันที่จะกล่าวจบเพราะมีคนพูดตัดบทเค้าเสียก่อน

                "ไม่มีแต่ทั้งนั้น  เคน     อิลัสการ์  เราฝากดูแลวาเนียลูกเราด้วยนะ" พระราชามุสตาร์กล่าวพร้อมกับหันหน้าไปมองลูกรักของพระองค์

                "ครับ  ผมขอสัญญา  ผมจะต้องปกป้ององค์หญิงไม่ให้ได้รับอันตรายโดยเด็ดขาด  พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของผมนี้ผมจะดูแลองค์หญิงเองครับ" ชายหนุ่มผู้ถูกฝากฝังให้ดูแลหญิงสาวคนหนึ่งพูด

                "เอาล่ะพวกเจ้าทุกคนไปกันได้แล้ว  ขืนมัวช้าแบบนี้เราต้องตายกันหมดแน่  ลูกพ่อดูแลตัวเองด้วยนะ  พ่อเชื่อว่าซักวันลูกจะต้องมากอบกู้อาณาจักรของพวกเราทุกคนให้กลับคืนมาได้แน่  รีบไปเถิด  บอกให้ไปไง!" ด้วยน้ำเสียงของพระองค์ที่พูดนั้น  ทำให้ทุกคนต้องตัดใจหันหน้าไปยังทางออกแล้วแล้วย่างเท้าก้าวเดินออกไป

                หลังจกที่ทุกคนจำใจต้องทิ้งพระราชามุสตาร์ไว้นั้น  พวกเค้าทุกคนก็วิ่งออกมายังนอกปราสาทอันหรูหรายกเว้นก็แค่เพียงพระราชามุสตาร์พระองค์เดียวเท่านั้น  แล้วในที่สุดเรื่องที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  เมื่อเบลุฟทหารเอกของพระราชาอินาวูฟผู้ปกครองอาณาจักรเบโอลูฟนั้นได้ปรากฎตัวขึ้นมาต่อหน้าของพวกเค้าพร้อมกับทหารนับร้อยนาย

                "เป็นไงพวกแก หนีกันเข้าไป  คิกหรือว่าจะหนีข้าไปได้"ชายผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของผู้ที่ต้องการหลบหนีพูด

                "นี่แกเบลุฟ  พวกแกต้องการอะไรกันแน่  ถึงต้องทำอย่างนี้" เคนพูดด้วยความอยากรู้

                "ข้าได้รับคำสั่งให้พาตัวองค์หญิงวาเนียไป  องค์หญิงจะต้องไปกับข้าส่วนคนอื่นที่อยู่ที่นี่จะต้องตายกันให้หมด" เบลุฟกล่าวพ้อมกับจับดาบชี้ไปยังหน้าของเคน

                "ใครจะไปยอมให้องค์หญิงกับแกไปกันวะ"ชายหนุ่มสถบออกมา

                "งั้นพวกแกก็ลงนรกไปกันให้หมดเลยซะ  ทหารจับตัวองค์หญิงมาให้ได้ส่วนที่เหลือส่งมันไปลงนรกให้หมด" เมื่อสิ้นสุดคำพูดของทหารเอกเบลุฟเหล่าทหารของเบโอวูฟก็บุกเข้าฟาดฟันทหารของเวนโดรเนียทันที

                "โธ่เว้ย! เคนเจ้ารีบพาองค์หญิงหนีไปซะ  ส่วนทางนี้เดี๋ยวพวกเราจะต้านเอาไว้เอง รีบไปเร็วเข้า"เสียงของอัลฟรอง   อิลัสการ์พูดกับลูกของตนขณะกำลังต่อสู้อยู่

                "ครับ! รีบไปกันเถิดองค์หญิง"เคนตอบรับทันทีพร้อมกับจูงมือองค์หญิงวาเนีวิ่งหนีไป     

                เหล่าทหารและข้าราชบริวารที่วิ่งหนีมาต่างนั้นต่างเข้ามาช่วยกันต่อสู้กับทหารของเบโอวูฟ  ขณะองค์หญิงวาเนียวิ่งหนีไปกับเคนนั้นเธอได้พรึมพรำออกมามาอย่างเบาๆ  ทำไมเรื่องทุกอย่างต้องเป็นเช่นนี้  แล้วทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดกับเราด้วย  เราไม่รู้ว่านี่คือบทลงโทษจากนรกหรือโชคชะตาจากสวรรค์กันแน่  เราเป็นองค์หญิงเราจะต้องเข้มแข็งเราต้องทำใจยอมรับมันให้ได้หละสินะ        

                สิ่งที่ทำให้ความอ่อนแอของเธอผลุดขึ้นมาอีกครั้งก็คือ  เมื่อเธอเห็นร่างกายนับพันอันไร้วิญญาณของเหล่าประชาชนตาดำๆที่ไม่รู้ไม่เห็นกับสงครามครั้งนี้นอนกระจัดกระจายบนพื้นพระสุธาสีแดงข้น  ทำให้เธอกลั้นน้ำตาของเธอไม่อยู่  เสียงสะอื้นสลับกับเสียงหอบเหนื่อยจากการวิ่ง  ทำให้ชายหนุ่มอายุราวๆ 18 ที่จับมือเธอวิ่งนั้น  ต้องหันหน้ากลับมามององค์หญิงด้วยสายตาที่เป็นห่วงเป็นใย

                ในป่าใหญ่อันมืดทึบไม่มีแสงสว่างใดนอกจากแสงดาวนับล้านดวงกำลังส่องแสงอยู่รำไรบางดวงก็ส่องสว่างอยู่ตลอดเวลาบางดวงก็กระพริบอย่างริบหรี่  ทั้งคู่วิ่งมาถึงป่าไกลจากตัวเมืองพอสมควร

                "องค์หญิงครับปลอดภัยแล้วครับ  พวกเราหนีมาไกลมากแล้วทหารของเบโอวูฟคงไม่ตามมาแล้วครับ  คืนนี้เราพักที่นี่กันก่อนเถิดครับ  พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางต่อครับ" เคนพูดพร้อมกับทิ้งตัวนั่งยังโขลกหินใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น

                "เคนเราขอบใจมากนะ  ที่คอยช่วยเรา  แต่ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรอีกแล้วอาณาจักรเวนโดรเนียและทุกคนต่างหายกันไปหมดแล้ว  อีกอย่างเราเป็นห่วงเสด็จพ่อมากไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านจะปลอดภัยดีมั้ย"องค์หญิงวาเนียพูดด้วยสีหน้าอย่างสลดใจ

           "พระราชามุสตาร์จะต้องไม่เป็นไรครับ  ซักวันหนึ่งพวกเราจะต้องไปเอาทุกสิ่งทุกอย่างคืนมาอีกครั้งเพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องไม่ท้อแท้เพื่อวันหน้าของเรา" เคนพูดให้กำลังใจ

                "ใช่! พวกเราจะต้องไม่ท้อแท้  พวกเราต้องสู้  ขอบใจนะที่ปลอบใจเรา  เรารู้สึกดีขึ้นมาดแล้วหละ  คืนนี้เราพักผ่อนกันก่อนเถิด" องค์หญิงวาเนียพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

                ยิ้มนั้นไม่ใช่ยิ้มแรกที่เคนเห็น  แต่มันเป็นยิ้มแรกที่องค์หญิงยิ้มอย่างไม่มีความสุขห่วงหาอาทรอะไรบางอย่างซึ่งยิ้มแบบนี้มันเป็นครั้งแรกทั้งเค้าเห็น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×