ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC][EXO-KrisHan] ☣MADNESS ☣

    ลำดับตอนที่ #1 : [00.] yOu DrIvE mE cRaZy + [01.] iN tHe EyEs Of ThE dRaGoN

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 55


    © Tenpoints !


     

    [00.]  yOu DrIvE mE cRaZy

     

     

     

    บ้านของผมมีดวงจันทร์อยู่สองดวง

     

     

    คนบนโลกที่เห็นดวงจันทร์เพียงหนึ่งดวงอย่างคุณ คงจะมองว่าแปลก

    แต่เชื่อเถอะ ในอวกาศอันกว้างใหญ่ ลึกลับ และเต็มไปด้วยปริศนาแห่งนี้ การมีดวงจันทร์มากกว่าหนึ่งดวงเป็นเรื่องแสนธรรมดา

     

     

    ในเมื่อที่อยู่อาศัยยังแปลกในความคิดของคุณ ประชากรบนดาวดวงนี้คงแปลกยิ่งกว่า

    พวกเราเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ

     

     

    บางคนเรียกมันอย่างชื่นชมว่า 'พรสวรรค์' ส่วนบางคนเห็นว่ามันเป็น 'คำสาป'

    สำหรับผม มันเป็น 'พลัง' ที่ทำให้มีชีวิตรอดอยู่ได้

     

     

    ชื่อของผมคือ ลู่หาน

     

     

    'พลัง' ที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิดเรียกว่า 'Telekinesis'

    อธิบายง่ายๆก็คือ เคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยพลังจิต จะแอบอ่านใจคนดูก็ได้ถ้าอยาก

     

     

    คุณคงเคยเห็นใน....มนุษย์โลกเรียกว่าอะไรนะ?

    อ๋อ...ภาพยนตร์

     

     

    ใช่ๆ ภาพยนตร์ เรื่อง X-men อะไรนั่นน่ะ

    พลังของชาวดาว EXO ก็คล้ายๆอะไรแบบนั้นแหละ เพียงแต่ไม่ได้เวอร์จัดขนาดในนั้น

     

     

    แล้วเราก็ไม่มี 'ผู้หญิง'ด้วย

     

     

     

    มาถึงตรงนี้คุณคงจะงง...อ้าว แล้วทีนี้จะสืบพันธุ์ยังไง?

    เรามีสิ่งที่เรียกกันว่า 'ต้นไม้แห่งชีวิต'ครับ

     

     

    เราไม่มีพ่อแม่ตามหลักชีววิทยา 'ต้นไม้แห่งชีวิต' ให้กำเนิดเราทุกคนบนดาวดวงนี้

    จะเรียกว่า ทุกคนเป็นพี่น้องกันก็ไม่ผิดนัก

     

     

    แต่เอาเข้าจริงๆ ขนาดคนที่เกิดวันเดียวกัน ยังไม่เหมือนกันเลยซักนิด จะเรียกว่า 'พี่น้อง'ก็ไม่ค่อยเหมาะซักเท่าไหร่

    เอาเป็นว่า เราอยู่รวมกันตาม 'ความพึงพอใจ'ครับ

     

     

    ส่วนใหญ่ คนที่มีพลังคล้ายคลึงกันก็จะอยู่ร่วมกัน เติบโตด้วยกันมาจนผูกพันลึกซึ้งเป็นครอบครัวเดียว หลายคนก็แต่งงานกัน -เหมือนพ่อกับแม่ที่เลี้ยงผมมา- หลายคนก็เป็นเพื่อนตายตลอดชีวิต หลายคนก็เกลียดกันเข้าไส้

     

     

    ทั้งนี้ทั้งนั้น พวกเราก็อยู่กันอย่างสงบสุข ภายใต้การปกครองของ 'ประมุข' ผู้นำดาว และ 'องครักษ์ทั้งสิบสอง' ที่คอยพิทักษ์ 'ต้นไม้แห่งชีวิต'

     

     

    ผมเองก็เป็นหนึ่งในเหล่าองครักษ์ทั้งสิบสองที่ว่า เพราะผมเป็นผู้ที่ 'ต้นไม้แห่งชีวิต' ได้เลือกมา

     

     

    ไม่รู้ว่า 'ต้นไม้แห่งชีวิต' มีเกณฑ์แบบไหนในการเลือกคนมาเป็นองครักษ์ แต่ผมก็ดีใจที่ได้เป็นองครักษ์พิทักษ์ 'ต้นไม้แห่งชีวิต' เพราะมันทำให้ผมได้พบกับคนดีๆ

     

     

    เพื่อนคนแรกตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในกององครักษ์ทั้งสิบสอง ชื่อคิมมินซอก

     

     

    เค้าน่ารักมากเลย แถมยังเป็นกันเอง ทำอาหารก็อร่อย (จุดนี้ผมปลื้มมาก) การได้ไปไหนมาไหนกับเค้าทำให้ผมสนุกมาก ผมร้องไห้คิดถึงบ้านน้อยลง พ่อกับแม่บอกว่าดีแล้ว ผมจะได้โตเป็นผู้ใหญ่เสียที

     

     

    ผมบอกพวกท่านไม่ได้หรอกว่า 'ผู้ใหญ่' ที่พวกท่านคิดว่าผมเป็นน่ะ ยังนอนกอดตุ๊กตาอยู่เลย

     

     

    หลังจากได้มินซอกมาเป็นเพื่อนแท้ ผมก็ได้ทำความรู้จักกับคนอื่นๆ

     

     

    พวกเราเข้ากันได้ดีมาก สนิทกันอย่างรวดเร็ว การทำงานเป็นทีมทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราแน่นแฟ้นขึ้น เหมือนมีสายใยบางอย่างที่มองไม่เห็นมาผูกพวกเราไว้ก็ไม่ปาน

     

     

    สายใยที่ว่านี่ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของแม่ขึ้นมา

     

     

    แม่เล่าให้ผมฟังว่า นอกจากเราจะเกิดมาพร้อมกับ'พลัง' เรายังมีสัญชาตญาณตระหนักถึง 'สายใยผูกพัน 

    เหมือนที่แม่แต่งงานกับพ่อ เหมือนที่พ่อกับแม่รับผมเป็นลูก

     

     

    ผมถามแม่ว่า ตอนเจอพ่อ แม่รู้ได้ยังไงว่าพ่อคือคนที่ใช่?

    แม่เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ลูบหัวผมสองสามทีก่อนจะตอบออกมาว่า

     

     

     

    ถึงเวลา ลูกก็จะรู้เอง

     

     

     

    ….คุณคงเดาไม่ได้ไม่ยากว่าผมไม่พอใจกับคำตอบนี้เลย แต่อย่างน้อย ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาก

     

     

     

     

    ปัญหาก็คือ ผมสัมผัสถึง สายใยที่ว่านั่นได้จากคนหลายๆคน แต่ไม่มีซักคนที่ทำให้ผมรู้สึกถึง เนื้อคู่ที่แม่บอกไว้

     

     

    จนกระทั่ง….วันที่หัวหน้าองครักษ์ฝั่งตะวันออกกลับมายังวังหลวง

     

     

     

    อ๋อใช่ ผมลืมเล่าไปอย่างนึง

     

     

    องครักษ์พิทักษ์ต้นไม้แห่งชีวิต แบ่งออกเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก เราแยกกันดูแลดาวดวงนี้ แต่ที่อาศัยของเราคือวังหลวงซึ่งเป็นแหล่งลงรากของต้นไม้แห่งชีวิตที่แสนสำคัญ

     

     

     

    ตอนที่ผมได้พบกับ เค้าผมยังไม่มีสังกัด เพราะหัวหน้าฝ่ายตะวันตกที่ชื่อคิมจุนมยอนบอกว่า ต้องรอให้ เค้ากลับมาก่อนแล้วค่อยเลือก จะได้ยุติธรรมกันทั้งสองฝ่าย

     

     

    ชื่อของ เค้าคือ อู่อี้ฝาน แต่คนส่วนใหญ่เรียกเค้าว่า คริส

    เค้าอายุเท่ากับผม แต่ตัวโตสูงใหญ่และชอบทำหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา

     

     

    มินซอกตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเค้าเป็นหัวหน้า ถ้าไม่ทำท่าทางขึงขังคอยข่มลูกทีม น่ากลัวจะไม่มีใครยอมฟัง

     

     

    ผมว่ามันออกจะน่าขำและเกินจริงไปเสียหน่อย แต่พอเห็นจุนมยอนมีปัญหากับการดูแลลูกทีมฝั่งตะวันตกมากแค่ไหน ผมก็ชักจะเข้าใจเหตุผลของคริสขึ้นมา

     

     

    ถึงจะเข้าใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การอยู่ใกล้เค้าง่ายขึ้นเลย แม้ผมจะเข้ามาเป็นลูกทีมของเค้าได้หลายเดือนแล้วก็ตาม

     

     

    หลายครั้งที่ผมรู้สึกได้ถึงสายตาเรียวคมที่จ้องตรงมา ถึงจะไม่เห็นตัวเค้า ผมก็ยังสัมผัสได้ว่าถูกเค้ามอง

     

     

    เหมือนผมอยู่ในสายตาของคริสตลอดเวลา

     

     

     

    หลายครั้งที่เราเผลอแตะเนื้อต้องตัวกัน

    หลายครั้งที่เราสบตากันโดยบังเอิญ

    หลายครั้งที่เสียงทุ้มนุ่มของเค้าดังที่ข้างหู

    และอีกหลายครั้งที่ผมเก็บเอาเค้าไปฝันยามค่ำคืน

     

     

     

    ผมควรจะรำคาญ ไม่สิ ขยะแขยงการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควรนี้เลยด้วยซ้ำ

    น่าแปลกที่มันทำให้ผมตื่นเต้น

     

     

     

    ผมชอบที่จะถูกเค้าแตะต้อง

    ผมชอบที่เรามองสบตากัน

    ผมชอบทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของเค้าใกล้ๆ

    ผมชอบที่จะถูกเค้าจ้องราวกับจะกลืนกิน

     

     

     

    เค้ากำลังทำให้ผมเป็นบ้า

     

     

     

    พลังพิเศษของผมนั้น การครองสติให้อยู่เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง เพราะถ้าผมลองได้ หลุด ขึ้นมา ผมจะควบคุมพลังไม่ได้

     

     

    การเข้าใกล้คริสดูจะเป็นตัวเร่งให้ปฏิกิริยาการหลุดของผมเป็นไปได้เร็วขึ้น

     

     

    เพื่อรักษาความเป็นตัวเองเอาไว้ การที่ผมหลบหน้าเค้า หนีห่างจากเค้า พยายามพูดกับเค้าให้น้อยที่สุด มันคือการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ใช่มั้ย?

     

     

    ให้ตายเถิด ข้าแต่ต้นไม้แห่งชีวิตที่รัก

    หากผมทำสิ่งที่ถูก เหตุใดความร้อนรุ่มในอกจึงไม่หายไปเสียที…?

     

     

    หรือนี่ก็คือ…. ’สายใยแห่งเนื้อคู่ที่แม่เคยบอกไว้

     

     

     

    หากสายใยนี้จะเผาผมจนแทบลุกเป็นไฟแล้วล่ะก็

    สู้ให้เราไม่เคยเจอกันเลยยังจะดีกว่า….

     

     

    ผมเจ็บปวด ผมทรมาน

    และผมไม่อาจหาทางขจัดมันออกไปได้ซักที

     

     

    ผมกำลังจะเป็นบ้า

     

     

     

     

     

     

     

    [01.]  iN tHe EyEs Of ThE dRaGoN

     

     

     

     

    เค้าว่ากันว่า มังกรนั้นชอบของมีประกาย

     

     

    ผมบอกตัวเองว่ามันเป็นไปตามสัญชาตญาณ

    สิ่งที่ผมคิด สิ่งที่ผมทำ มันไม่ใช่เรื่องผิด

     

     

    ขนาดเจ้าชานยอลยังโดดใส่แบคฮยอนตั้งแต่วันแรกที่พบ แล้วก็โดนโต้กลับมาอย่างถึงพริกถึงขิงเช่นกัน

     

     

     

    เหตุผลที่มันอ้างในการกระทำการคุกคามทางเพศกับคนที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็คือ สัญชาตญาณ

     

     

     

    นกเองก็ชอบของที่เป็นประกายเช่นเดียวกับมังกร แล้วแบคฮยอนที่ปล่อยแสงออกมาได้ดังใจนึกก็ถือเป็น ของมีประกายที่เจ้านั่นชอบมาก

     

     

    ชานยอลปล่อยตัวเองตามสัญชาตญาณ….มันอยากจะทำอะไรกับแบคฮยอนเมื่อไหร่ ที่ไหน มันก็จะทำ

     

     

    โชคดีที่สุดท้าย ความชอบนั้นก็พัฒนาจนกลายเป็นความรัก

    ตอนนี้เค้าสองคนกลายเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาที่สุดภายในกลุ่มองครักษ์ทั้งสิบสองไปเสียแล้ว

     

     

    บอกตามตรง ผมอิจฉาชานยอลเหลือเกินที่กล้าพอจะทำตามใจปรารถนา

    นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากปล่อยตัวตาม สัญชาตญาณเมื่อ เค้าปรากฏตัวขึ้น

     

     

     

    ชื่อของเค้าคือ ลู่หาน

    เค้าอายุเท่ากับผม แต่ให้ตายเถอะ ถ้าไม่บอก ผมคงคิดไปแล้วจริงๆว่าเค้าอ่อนกว่า

     

     

    ในสายตาของผม ลู่หานคือสิ่งที่ตรงกับคำว่า ของมีประกายมากที่สุด

    ไม่ว่าจะเป็นเสียงใสกังวาน รอยยิ้มแสนหวาน ริมฝีปากชมพูระเรื่อ หรือดวงตากลมโตแสนใสซื่อคู่นั้น

     

     

    ลู่หานเหมือนเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคน

     

     

    ไม่มีใครห้ามใจไม่ให้รักเค้าได้

    แม้แต่เด็กที่ประหยัดคำพูดอย่างโอเซฮุนก็ยังติดเค้าแจ

     

     

    เด็กแห่งสายลมรายนี้ทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อย ผมไม่ชอบเลยที่เห็นเจ้านั่นเข้ามาคลอเคลียลู่หาน แล้วยิ่งไม่ชอบมากขึ้นไปอีกเมื่อลู่หานไม่ขัดขืน แถมหลายครั้งยังเป็นฝ่ายแตะเนื้อต้องตัวเซฮุนก่อนเสียด้วย

     

     

    เพียงแค่นึกถึงภาพบาดตาเหล่านั้น พลังไฟในตัวผมก็เหมือนจะระเบิดออกมา

     

     

    มังกรในกายผมคลุ้มคลั่งได้ง่าย โชคยังดีที่ตอนนี้ ผมยังพอจะข่มมันไว้ได้อยู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าไคคงเทเลพอร์ทมาเอาเรื่องกับผมแน่ๆที่ไปเผาแฟน(ที่มันเหมาเอาเองว่าเค้าเป็น)มันจนไหม้เกรียม

     

     

     

    พูดเหมือนผมจะกลัวอย่างนั้นล่ะ….?

     

     

     

     

    หน้ายุ่งแต่เช้าเชียว มีอะไรกวนใจหรือ? คุณหัวหน้าฝั่งตะวันออก

     

     

    ผมเหลือบสายตาไปมอง หัวหน้าองครักษ์ฝั่งตะวันตกที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าแทบจะตลอดเวลา ฝ่ายนั้นไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผมจะออกปากเชิญหรือเปล่า ถือวิสาสะนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างตัวผมแล้วออกปากสั่งเครื่องดื่มกับบริกร ผมยกเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นจิบเพื่อไม่ให้ปากว่างกลัวจะเผลอพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปโดยไม่ตั้งใจ

     

     

    คิมจุนมยอนหรือซูโฮ เป็นเหมือนน้ำใสที่คอยชะล้างความทุกข์ใจให้ใครต่อใครที่ได้พบ

    แต่ผมไม่ได้ต้องการการบำบัดในตอนนี้ ….

     

     

    เปล่าผมตอบกลับไปเสียงเรียบ ถ้าเป็นคนอื่นมาฟังคงกลัวหัวหด นึกว่าผมไม่พอใจ แต่ซูโฮเป็นเพื่อนผมมานานพอจะอ่านทะลุกิริยาเย็นชาแสนกระด้างนี้ได้ รอยยิ้มอบอุ่นยังไม่หายไปจากใบหน้าแม้ในยามที่เอ่ยต่อ

     

     

    นายก็รู้ว่านายปรึกษาชั้นได้ทุกเรื่อง…..”

     

     

    บุตรแห่งธาราอย่างนายไม่มีวันเข้าใจบุตรแห่งอัคคีได้หรอกผมจงใจพูดอย่างมีนัย ซูโฮไม่ทำให้ผมผิดหวัง เค้าจับความหมายแฝงในประโยคของผมได้ในทันที

     

     

    รู้อะไรมั้ยคริส? ฝ่าบาทเคยตรัสไว้ว่า การอดทนกับอะไรมากๆก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเสมอไป เราควรจะระบายออกมาบ้าง พระองค์กังวลอยู่เสมอที่ชั้นชอบเก็บอะไรไว้ในใจคนเดียว ถึงได้ทรงประทานคยองซูให้มาเป็นเพื่อนคุย…”

     

     

    แน่ใจหรือว่าเด็กนั่นเป็นแค่เพื่อนคุย

     

     

    “….ถ้าควบคุมไม่ได้ ทำไมไม่อยู่กับมันอย่างสันติล่ะ? ฟังความปรารถนาของสิ่งที่อยู่ในตัวนาย แล้วให้มันเท่าที่จะเป็นไปได้สิซูโฮดูจะจงใจทำเป็นไม่ได้ยินคำหยอกของผม แต่เอาเถอะ ผมไม่มีอารมณ์ไปสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆของชาวบ้านหรอกนะ แค่เรื่องของตัวเองก็จะแย่อยู่แล้ว

     

     

    ชั้นทำไม่ได้ มันอันตรายเกินไป ชั้นไม่อยากทำร้าย เค้า’….” ระหว่างผมกับซูโฮ แม้ไม่เอ่ยนามระบุตัวตนแน่ชัด แต่เราต่างเข้าใจดีว่ากำลังพาดพิงถึงใคร

     

     

    ตัวผมย่อมรู้ใจผมเองดี

    ผมรู้ดีว่าขืนอยู่ใกล้เค้าไปมากกว่านี้ ก็มีแต่จะทำให้เค้าลำบาก

     

     

    สัญชาตญาณในตัวผมมันกำลังร่ำร้อง โหยหา

     

     

    อยากกอด อยากจูบ อยากสัมผัสเค้า

    อยากทำให้ผิวขาวยวนใจนั้นแปดเปื้อนรอยบาป

    อยากเห็นสีหน้าที่มีแต่ความปรารถนา

    อยากกลืนกินเค้าเข้าไปทั้งกาย

    อยากให้ดวงตาคู่นั้นสะท้อนแต่ภาพผมเพียงคนเดียว

     

     

    ผมกำลังจะกลายเป็นปีศาจ……

     

     

     

    แล้วนายจะทำยังไง? จะปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังต่อไปแบบนี้น่ะหรือ??” รอยยิ้มของซูโฮดูหมองลงไปเล็กน้อย พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไร เจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมา คริส นายเป็นคนเก่ง ชั้นรู้ว่านายควบคุมตัวเองได้ แต่ของแบบนี้ ซักวันมันก็จะถึงขีดสุด แล้วเมื่อตอนนั้นมาถึง คนที่จะน่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ เค้าแน่นอน

     

     

    อย่าห่วงไป ถ้าตอนนั้นมาถึง ชั้นจะหนีไปให้พ้นจากเมืองหลวง หายหน้าไปซักระยะคงพอจะทำให้อะไรๆดีขึ้นบ้าง

     

     

    เหมือนที่ตอนนี้พวกนายสองคนหลบหน้ากันสินะ?”

     

     

    ความเงียบคือคำตอบของผม ซึ่งซูโฮไม่พอใจกับมันเลยซักนิดเดียว เค้าดูจะหัวเสียขึ้นอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น

     

     

    ชั้นยังยืนยันคำเดิมว่านายควรหาที่ระบาย ปรับความรู้สึกของนายให้ได้สิ อย่าให้มันมามีปัญหากับงาน

     

     

    ไม่หรอกน่า เค้ากับชั้นไม่มีงานที่จะต้องอยู่ใกล้กันเป็นเวลานานๆอยู่แล้วผมพูดอย่างออกจะมั่นใจอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าซูโฮมีแผนอะไรในใจ เพื่อนรักของผมส่ายหัวน้อยๆก่อนจะถือเครื่องดื่มที่ยังเต็มแก้วอยู่แล้วผละจากไป

     

     

    แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายฝากถ้อยคำไว้ให้ผมต้องครุ่นคิด

     

     

    อย่าได้คิดคาดเดาอนาคตเลย อู่อี้ฝาน โชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอ

     

     

    Tbc.

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×