ตอนที่ 13 : CHAPTER 13 : special 'THIS MOMENT'
ย้ำอีกครั้ง -- สถาปัตย์ไม่ใช่เรื่องตลก
เราตื่นนอนตอน 11 โมงเช้า และพบว่าตัวเองนั่งฟุบอยู่ตรงโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยท่ามกลางกองงานหน้าทีวี สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือความปวดเมื่อยที่เล่นงานเราไปทั้งตัว
นาทีนี้เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจแล้วว่าจะมีชีวิตรอดไปใช้ชีวิตวันหยุดรึเปล่า
คือเรากับเพื่อนมีแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกันตอนปิดเทอม จองตั๋วล่วงหน้ากันนานมาก นานจนเราลืมไปแล้วถ้าไม่มีคนสรุปแพลนสถานที่ที่จะไปมาในไลน์กรุ๊ป
พอคิดเรื่องเที่ยวขึ้นมาก็อยากหยุดเวลาไว้สักสองสามวันแล้วก็หนีไปเที่ยว ก่อนจะกลับมาลุยงานต่อจริงๆ
หลังจากนั่งนิ่งๆเพื่อกู้สติคืนมาได้ประมาณนึงเราก็ลุกขึ้นและเดินตรงไปยังห้องครัวโดยที่ในสมองสั่งการแค่ หิว หิว และ หิว
เปิดตู้เย็นปุ๊บ สิ่งแรกที่เราเห็นคือ M150 สามขวดวางเรียงกัน ภาพที่เห็นทำเอาเราลอบถอนหายใจ
และแล้วก็มาถึงจุดนี้กันจนได้ จุดที่ต้องดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อจะนั่งปั่นงานข้ามวันข้ามคืนได้แบบที่ไม่น็อคไปซะก่อน
โอเค!
เราตัดสินใจจะไม่ยุ่งกับเครื่องดื่มบ้าพลังตั้งแต่เช้า แล้วเอื้อมมือไปหยิบอาหารแช่แข็งที่วางซ้อนกันอยู่ในช่องฟรีซมาอุ่นด้วยไม่โครเวฟ ปล่อยให้ระบบอันโนมัติทำงานตามที่ตั้งเวลาไว้ ส่วนคนก็แยกตัวไปอาบน้ำ
เรียกความสดชื่นของตัวเองกลับมาเรียบร้อย เราก็ถือข้าวผัดกุ้งร้อนๆมานั่งลงตรงหน้าแม๊คบุ๊คลูกรัก ฝั่งขวาเป็นแมคบุ๊คโปร ส่วนฝั่งซ้ายเป็นแม๊คบุ๊คแอร์
เจ้าเครื่องใหญ่เราใช้จะทำงานออกแบบโดยเฉพาะ ส่วนเครื่องเล็กที่เรารับต่อมาจากพี่สาวจะเอาไว้ใช้ดูหนังฟังเพลงทั่วไปกับหิ้วออกไปข้างนอกเพราะมันเบากว่า
เราดึงสายตามองสลับไปสลับมาและหายใจเข้าลึกๆเหมือนให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผิวสัมผัสสีเงินด้านๆของเจ้าเครื่องมืออัจฉริยะตรงหน้า แล้วพูดออกมาเหมือนกันว่ามันมีชีวิต ตอนที่เปิดหน้าจอแม็คบุ๊คโปรที่พับอยู่ขึ้น
“สู้เค้านะลูกพ่อ...”
มื้อเช้าของเราถูกจัดการไปพร้อมๆกับการที่จดจ่อสายตาอยู่กับหน้าจอสว่างๆ พอเจอส่วนไหนที่คิดว่าน่าจะต้องแก้ไขเราก็วางช้อนแล้วทำงาน แล้วจะกลับมากินข้าวได้ก็ต่อเมื่อพบว่าผลงานตรงหน้าเป็นที่น่าพอใจแล้วเท่านั้น
ไม่ทันไรเสียงเตือนจากโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็บังคับให้เราต้องละสายตาอย่างช่วยไม่ได้ ที่หน้าจอทัชสกรีนแจ้งเตือนว่ามีคนไลน์เข้ามา เห็นอย่างนั้นเรากดรหัสปลดล็อค และเข้าไปอ่านข้อความ
*ตื่นยังครับคุณ
ตัวหนังสือตรงหน้าทำเอาเราต้องแอบขมวดคิ้ว กับคำถามในใจ
ถ้ายังไม่ตื่นแล้วจะมานั่งอ่านไลน์อยู่นี่ได้ไงวะคุณหมอ?
*ยังไม่ตื่นมั้ง
*นี่ยิ้มหวานตัวปลอมพิมพ์
*- _ -
*งั้นคุยกับยิ้มหวานตัวปลอมก็ได้
*ยิ้มหวานตัวจริงสบายดีมั้ย
*เมื่อคืนได้นอนเปล่า
*ตัวจริงได้นอนตอนเกือบเช้าละ
*อืม พักผ่อนด้วย
*เราไม่กวนละ
*ฝากบอกตัวจริงอีกอย่าง
*อย่าน่ารักเกินไปได้ปะ?
อ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาแล้วเราก็แอบทำสีหน้าไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
ว่าแต่....ควรตอบไปยังไงดี?
*ตัวจริงกลับมาแล้ว
* ^ ^
*- _ -
*หวัดดี
*โอเคมั้ย
*ทำไรอยู่
*กินข้าว นั่งเช็คงานด้วย
*เมื่อกี้ตัวปลอมบอกยังไม่ตื่น
*เพราะยิ้มหวานตัวปลอมเป็นจอมโกหกยังไงล่ะ
*555
*- _ -
*ทำไมกินข้าวไปพลางทำงานไปพลาง?
*ก็ทำอย่างเดียวมันเสียเวลาอ่ะ
เราพิมพ์ตอบไปอย่างที่คิด ทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วจะต้องเปิดโหมดนศพ.มาบ่นเราแน่ๆ
*ว่างคุยใช่มั้ย
*ง่วงว่ะ ตาลายโคตร ขี้เกียจพิมพ์
*แป้บนึง เดี๋ยวโทรไป
อ่านเสร็จเราก็ได้แต่ทำหน้างง แล้ววางมือถือเอาไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าแป้บนึงของอีกคนนี่กี่นาทีกันแน่ ก่อนจะเตรียมตัวดึงความสนใจกลับไปยังงานที่ทำอยู่อีกครั้ง
แต่ไม่ทันได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำเอาเราต้องละสายตา หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งถูกวางอยู่ไม่ไกลมือปรากฎตัวหนังสือสั้นๆ บอกชื่อของคนที่โทรเข้ามา
- เจ้าของชีท -
เห็นแล้วก็ต้องแอบขำ เราเคยคิดนะว่าจะเปลี่ยนชื่อที่บันทึกเอาไว้เป็นชื่ออื่น แต่ก็ยังนึกไม่ออก
จะใช้ชื่อของเจ้าตัวเลยก็ดูจะธรรมดาไป ทีฝ่ายโน้นเค้ายังไม่เซฟด้วยชื่อเราเลย
สุดท้ายชื่อ 'เจ้าของชีท' นี่ก็เลยไม่ได้เปลี่ยนสักที
เราปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่สักพักโดยไม่รับสายเพราะกำลังกดเซฟงานในโปรแกรม
แน่ใจว่าส่วนที่เราเพิ่งแก้ไขไปก่อนหน้านี่ถูกบันทึกการเปลี่ยนแปลงเอาไว้เรียบร้อยแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาแล้วรับสาย
“ว่าไงคุณหมอ โทรมามีธุระอะไร?”
“โทรมาคุยดิ จะให้เราโทรมาแล้วเงียบเหรอ?"
ฝ่ายนั้นตอบแล้วหลุดขำหึๆ
“กวนตีนนะครับ!”
ฝ่ายที่โดนเราว่าหัวเราะรับ ก่อนจะถามกลับมาอีก
“แล้วนี่กินข้าวเสร็จยัง?”
“ยังอ่ะ กินไปพลางทำงานไปพลางอยู่เนี่ย ตอนนี้คุยโทรศัพท์เพิ่มอีกอย่าง"
“กินให้เสร็จก่อนเลย ทำทีละอย่างดิ"
“ก็มันช้าอ่ะ"
“เชื่อดิ! กินให้เสร็จแล้วค่อยมาทำงานมันเร็วกว่าจริงๆ กินไปด้วยทำงานไปด้วยแบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพ เดี๋ยวปวดท้อง"
ว่าแล้วว่าต้องโทรมาบ่นเรื่องนี้ ...
ถึงจะชอบทำตัวเถื่อนๆ แบดบอย เจาะหูเยอะแยะ แต่จริงๆแล้วหมอเป็นคนมีระเบียบขัดกับลุคสุดๆ
รู้จักกันมาสักพักเราถึงได้รู้ว่าหมอจะทบทวนบทเรียนที่เรียนมาทุกวัน วันไหนโดด หลับ หรือแอบเล่นไลน์ พอกลับบ้านไปปุ๊บหมอจะอ่านทวนเนื้อหาที่เรียนในคาบนั้นทันทีแบบไม่ทิ้งเอาไว้ข้ามวัน รู้แรกๆเราก็อึ้งไปเหมือนกัน กับโหมดเด็กเรียนของเขา
ตอนที่เห็นเราทำหน้าอึ้งเพราะรู้เรื่องนี้ หมอบอกว่ามันไม่ได้น่าตกใจอะไรขนาดนั้น เขาก็แค่แบ่งเวลา 2-3 ชั่วโมงต่อวันเพื่อใช้ทบทวนบทเรียน ส่วนเวลาที่เหลือจะเล่นจะเที่ยวยังไงก็ทำได้เท่าที่ใจอยากไปเลย
ฟังดูง่าย แต่เรารู้ว่ามันทำได้ยากกว่าที่คิดอยู่แล้วในชีวิตจริง
แหละนี่คือโหมดเนิร์ดของนศพ.
เราฟังเสียงทุ้มๆที่กดน้ำเสียงลงต่ำเหมือนจะดุเราอยู่นิดหน่อยแล้วผ่อนลงในช่วงท้าย แล้วยอมตกลงทำตามที่เขาบอกไปง่ายๆ พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
แต่ถึงอย่างเราก็ยังอยากเถียงเขาอยู่ ถึงได้ตอบกลับไป
“ครับคุณหมอ ขนาดเรียนยังไม่จบยังดุขนาดนี้ ถ้าเป็นหมอขึ้นมาจริงๆจะดุขนาดไหนเนี่ย”
"อยากรู้ก็อยู่ด้วยกันจนถึงตอนนั้นแล้วรอดูดิ"
ไอ้หมอบ้านี่!
“ไม่ต้องมาจีบเลย เราวางสายแล้วนะ จะกินข้าว!"
พูดจบเราก็เป็นฝ่ายกดตัดสายก่อน แล้วลุกขึ้นจากเบาะที่นั่งอยู่ เพื่อที่จะเดินไปนั่งกินข้าวดีๆบนโต๊ะ และสรุปได้ว่าการนั่งกินข้าวแบบตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่ทำอย่างอื่นเลยก็ไม่ได้ใช้เวลานานอย่างที่คิด ดีไม่ดีอาจจะเร็วกว่ากินไปทำงานไปด้วยซ้ำ
น้ำผลไม้แบบกล่องในตู้เย็นถูกหยิบติดมือไปกับแก้วน้ำ ก่อนที่เราจะเดินกลับไปลงตรงมุมเดิมกับความรู้สึกพร้อมลุยงานต่อที่มากยิ่งขึ้น
เรานั่งวุ่นอยู่กับการตัดกระกาษเพื่อมาต่อเป็นโมเดลตามสัดส่วนไปได้สักพัก ก่อนที่เสียงเตือนจากไลน์จะดังขึ้นมาอีกครั้ง เรากดเปิดดู แล้วก็เห็นรูปร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เจ้าโปรดของเราถูกส่งมาพร้อมคำถาม
*อยากกินมั้ย?
ดูรูปแล้วเดาไม่ยากว่าอีกหมอกับเพื่อนๆน่าจะพากันไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะเราอีกแล้วล่ะมั้ง
*มากโคตร
*งั้นเดี๋ยวลงมารับด้วย
ห๊ะ?
อ่านข้อความจากหน้าจอจบแล้วเราก็ได้แต่ขมวดคิ้วเหมือนมีเจ้าตัวมาอยู่ตรงหน้า
ก่อนจะนึกในใจ ....เนียนอีกละ
*ถ้าเราไม่ลงไปอ่ะ?
*ปีน -_-
*ล้อเล่น
*ลงมาเอาของกินเฉยๆก็ได้
*ถึงแล้วเดี๋ยวบอก
*จะไม่ร้องเพลงอีกใช่ปะ?
*มองไปก็มีแต่ฝนโปรยปราย~~
พิมพ์เสร็จเราก็ส่งสติ๊กเกอร์หมีบราวน์หลบฝนใต้ใบไม้ไปให้ รู้สึกสนุกขึ้นมาเพราะได้ล้ออีกคน
*อย่าล้อดิ
*ขับรถก่อน
*ok
เวลาผ่านไปสักพัก ก่อนที่เราจะรู้ว่ามีคนส่งข้อความมาทางไลน์
... ไม่ต้องเปิดดูก็รู้เลยว่าใคร
เราหยิบโทรศัพท์มาถือไว้แล้วลุกขึ้นไปหยิบคีย์การ์ดกับกระเป๋าตังค์ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพลางเช็คมือถือไปพลาง แล้วก็เห็นข้อความบอกกันว่าอีกฝ่ายมาถึงแล้วแบบที่เดาเอาไว้ไม่มีผิด
พอลงไปถึงชั้น 1 ก็ได้เห็นว่าวันนี้คุณหมอเค้าเอาเมอร์ซิเดสคันเก่งมาซะด้วย
ปกติหมอไม่ขับรถนะ บอกว่าขี้เกียจ แถมนั่งบีทีเอสสะดวกกว่า ถ้าวันไหนขับรถคันหรูที่เจ้าตัวบอกว่าที่จริงแล้วเป็นรถของคุณแม่ มาอย่างวันนี้ แสดงว่าเจ้าตัวต้องเหนื่อยมากจนไม่อยากเบียดกับใคร ไม่ก็รู้ตัวว่าจะกลับดึก
เรามองคนที่อยู่ตรงหน้าจากมุมไกลๆแล้วก็รู้สึกขัดใจปนอิจฉา
ทำไมขายาวจังวะ?
เขายืนพิงรถ ขาข้างนึงเหยียดตรงส่วนอีกข้างงอเข่าหน่อยๆ ท่าทางไม่ต่างอะไรจากพระเอกการ์ตูนเท่ๆ
พอเราเดินเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาทักทาย ฝ่ามือของเขาไม่ใหญ่มากแต่นิ้วเรียวยาว ปลายนิ้วนางกับนิ้วก้อยจะงอๆนิดหน่อยแบบไม่ตั้งใจตอนที่โบกมือมาทางนี้
หมั่นไส้อ่ะ! เก็กไปป่ะ!
ขนาดเราเป็นผู้ชายด้วยกันเรายังรู้สึกเลยว่าคนตรงหน้าเท่แถมยังขี้เก็กเอามากๆ
เขาตัวสูงอยู่แล้ว พอมาบวกกับบุคลิกท่าทางนิ่งๆเฉื่อยๆดูไม่ค่อยแคร์โลกก็ยิ่งดูคูลเข้าไปใหญ่
แต่คิดๆดูแล้วท่าทางเวลามาดหลุดนิดๆตอนเขินนั่นก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน...
เราเดินไปหยุดตรงหน้าเขา มองหน้าแบบไม่ทักไม่ทายอะไร ก่อนจะยื่นมือไปหาแล้วถามถึงสิ่งที่รออยู่
“ไหนอ่ะก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เรา"
ได้ยินอย่างนั้นอีกฝ่ายก็มองกลับมา ยิ้มมุมปากนิดๆแล้วตอบ
“ก๋วยเตี๋ยวอะไร คุยกับตัวปลอมเปล่า?”
กวนตีนชะมัด!
เห็นท่าทางกวนโอ๊ยของหมอแล้วเราทนไม่ไหว จนต้องยกขาขึ้น เอารองเท้าแตะเตะลงไปตรงปลายรองเท้าหนังตรงหน้าเต็มๆ
โดนเราเตะปุ๊บอีกฝ่ายก็ยอมขยับออกมาจากรถที่พิงอยู่แล้วยืนตัวตรง หันไปเปิดเมอร์ซิเดสสีดำ ก่อนจะมุดเข้าไปในรถเพื่อจะหยิบถุงก็อบแก็บที่วางอยู่บนที่นั่งข้างคนขับมาให้
“อ่ะ กินซะจะได้โตไวๆ"
คำพูดที่ได้ยินทำเอาเราอดไม่ได้ที่จะตีหน้ายุ่ง แต่ก็ยังยื่นมือไปรับสิ่งที่เขายื่นมาให้ แล้วตอบกลับไปกับรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ"
“อืม...”
หมอรับคำแล้วก็ยืนมองหน้าเรานิ่งๆอยู่อย่างนั้น ท่าทางเหมือนกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ จนเราอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วมองสบตากลับไป
หลังจากนั้นก็มีสถานการณ์เหมือนว่าเรากับหมอกำลังยืนยิงพลังทางสายตาใส่กันอยู่ตรงหน้าคอนโด
พอฝ่ายนั้นขยับปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา เราก็รีบขัดพร้อมยกมือขึ้นไปชี้
“ห้ามร้องเพลงนะ!”
เขาฟังเราแล้วชะงักไป หมอหลุดขำพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบท้ายทอยตัวเองแล้ววางมือพักเอาไว้ตรงนั้นก่อนจะตอบกลับมา
“ง่วงนอนว่ะ เราจอดรถทิ้งไว้ตรงนี้แล้วขอเข้าไปนอนในรถแป้บนึงได้มั้ย ยามจะไล่ปะ? เดี๋ยวทุ่มนึงต้องไปอ่านหนังสือกับพวกนั้นต่ออีก"
“น่าสงสารเนอะ"
เราตอบกลับไปแบบนั้น
ทั้งๆที่ความรู้สึกตอนนี้คืออยากเอาก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ฟาดคนชะมัด!
พอเราไม่ยอมพูดอะไรต่อ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นทั้ง 2 ข้างแล้วพูดออกมาอย่างยอมแพ้
“โอเคๆ หมดมุกแล้ว อยากขึ้นไปบนห้องอ่ะ"
“ก็แค่เนี้ย!...”
เราพูดออกมาพร้อมกับกลั้นขำไปด้วย ก่อนจะเดินอ้อมไปยังประตูที่นั่งข้างคนขับ แล้วส่งสายตาบอกให้อีกฝ่ายปลดล็อคประตูให้หน่อย
"ที่จอดรถของห้องเราอยู่ชั้น 5 จะขึ้นอาคารจอดรถต้องขับอ้อมไปด้านหลัง"
คนฟังยิ้มถูกใจก่อนจะกดรีโมทปลดล็อคประตูรถให้กันทันที
เราไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะคิดยังไงกับเรื่องนี้...
แต่สำหรับเรา การที่เรายอมให้เขาขึ้นไปบนห้องเราง่ายๆมันเป็นผลจากความดีที่เจ้าตัวสะสมมาตลอด
หมอทำอะไรโดยนึกถึงความรู้สึกของเราก่อนเสมอ และไม่เคยทำตัวไม่น่าไว้ใจ
นั่นทำให้ระดับกำแพงของเราที่มีต่อคนตรงหน้าลดลงเรื่อยๆ
ส่วนจะลดลงไปได้ถึงไหน และความรู้สึกนี้จะพัฒนาไปเป็นอะไรนั้น
...ตอนนี้เราก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
รู้ก็แต่...ถ้ามันมีวันนึงที่เรากับเขาไม่ได้คุยเล่นกันแบบตอนนี้
ถ้าความสนิทสนมที่มีอยู่นี้มันหายไป ก็คงไม่ได้มีแต่เขาหรอก...ที่จะรู้สึกเสียใจ
,
ถึงแม้จะออกจากห้องไปคนเดียว แต่เราก็กลับเข้ามาโดยมีอีกคนมาเป็นเพื่อน
เข้ามาปุ๊บเราก็เอาก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่เย็นชืดเพราะแอร์รถมาเทใส่จาน แล้วใส่เข้าไมโครเวฟไปอุ่น หันมาอีกทีแขกของห้องเค้าก็หาที่อยู่ให้ตัวเองได้เรียบร้อย
หมอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง ยกขาข้างนึงมา พาดข้อเท้าไว้บนขาอีกข้าง
เท่าที่เราสังเกตดูนะ เขานั่งท่านี้บ่อยมาก
พอรู้ว่าเรามองไป ฝ่ายนั้นก็มองกลับมาแล้วชวนเราคุย
“ก็อยากเดินเข้าไปช่วยนะ แต่รู้ว่าทำอะไรไม่ได้แน่ๆ เลยนั่งรอตรงนี้ดีกว่า"
ได้ยินอย่างนั้นเราก็พยักหน้ารับ พร้อมคำตอบ
“ดีแล้ว เป็นแขกก็นั่งรอไปนั่นแหละ"
หมอก็เป็นอย่างนี้แหละ...
นอกจากนิสัยเสียที่ชอบเล่นมุกน่าขายหน้าแล้ว เขาก็เป็นคนตรงๆ
ถึงจะตามจีบเราอยู่แต่ก็ไม่เคยทำเป็นเอาใจเราจนเกินพอดี แล้วก็ไม่เคยทำเหมือนเราเป็นผู้หญิงด้วย
รออยู่ไม่นานก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่อุ่นไว้ก็เสร็จ เราหยิบช้อนส้อม 2 คู่พร้อมกับถือจานอุ่นๆมานั่งลงบนเบาะหน้าโต๊ะตัวเดิม ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกคนที่นั่งเช็คมือถืออยู่บนโซฟา เขาทำหน้างงนิดหน่อย ตอนได้ยินที่เราพูด
“มานี่ดิ มีอะไรจะบอก"
คนฟังยกมือขึ้นขี้หน้าตัวเอง จนเรานึกสงสัย
... นั่งกันอยู่ 2 คน จะให้เรียกใครวะ?
พอเห็นว่าเราพยักหน้ารับ อีกคนก็เดินมานั่งลงข้างๆกัน ก่อนที่เราจะดันจานให้ขยับไปใกล้เขามากขึ้น
“กินด้วยกัน"
"เฮ้ย ไม่เอา"
ได้ยินปุ๊บเขาก็ส่ายหน้าแทนคำตอบ
เราเหลือบมอง พอเห็นว่าอีกคนหูแดงจัดก็ได้แต่กลั้นขำ ก่อนจะพูดต่อ
“เรากินข้าวแล้วนะ กินหมดนี่ไม่ไหวหรอก"
พอเห็นว่าคนที่ควรจะตอบยังคงส่ายหน้ามาให้กันลูกเดียว เราก็ยกส้อมในมือขึ้นชี้หน้าขู่แล้วพูดซ้ำ
"กินเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่ช่วยกินวันหลังก็ไม่ต้องซื้อมาให้เราเลยนะ"
"ขู่นี่หว่า"
"ขู่อะไร เราพูดจริง!"
"น่ากลัวมาก โอเคๆ กินก็กิน"
คนฟังยิ้มมุมปากตอบรับคำพูดของเรา พร้อมกับส่ายหน้าเหนื่อยใจ แล้วหันไปจิ้มเส้นใหญ่เข้าปาก กินหมดไปคำนึงเขาก็ถามเราสั้นๆ
“พอใจยัง"
“เก่งมาก หมอแสนรู้แสนเชื่อฟัง พันธุ์อะไรครับ”
เราตอบกลับไปอย่างนั้น ก่อนจะโดนอีกฝ่ายเอาข้อนิ้วเขกหัวเข้าให้ตอนที่ตักก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ขึ้นมากินบ้าง
หลังจากนั้นไม่นาน จานตรงหน้าก็ว่างเปล่า
คนข้างๆอาสาลุกขึ้นเอาจานไปล้างให้ ก่อนจะส่งเสียงมาจากในครัวถามเราว่าแก้วน้ำอยู่ไหน
สักพักเขาก็เดินกลับออกมานั่งลงข้างๆเรา เหมือนจะตั้งใจมาดูงานที่เราทำอยู่
“แม็คบุ๊ค 2 เครื่องเลยเหรอ ขโมยได้ปะ”
เราหันไปมองสบตา ก่อนจะยักคิ้วให้ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าช่วงนี้เราชอบทำท่าทางแบบนี้บ่อยๆ เวลาตั้งใจจะกวนใครสักคน -- ติดคนตรงหน้ามาแน่ๆ
“ขโมยดิ! เราจับหมอทุ่มออกไปทางระเบียงแน่"
เขาเลิกคิ้วรับคำพูดของเรา ก่อนจะตอบกลับมาแค่
"เหรอ~”
“ล้อเล่นน่า เครื่องใหญ่ของเรา ส่วนเครื่องเล็กก็อันเดียวกับที่เราชอบหิ้วไปร้านกาแฟไง มรดกจากพี่สาวแหละ"
คนฟังรับคำในลำคอเหมือนไม่ค่อยสนใจ เพราะสายตากำลังจดจ่ออยู่กับโมเดลงานของเราที่กองอยู่ท่ามกลางเศษกระดาษเกลื่อนกลาด กับอุปกรณ์พวกกาวและคัตเตอร์ ก่อนจะพูดออกมา
"งานใหญ่นะเนี่ย เหลืออีกเยอะปะ"
"ตอนนี้มันก็เหมือนจะไม่เยอะอ่ะ แต่เราว่าสักพักมันต้องเยอะ แบบไม่เสร็จง่ายๆ"
หมอพยักหน้ารับคำพูดของเรา นั่งมองโมเดลที่ยังไม่เสร็จดีอยู่สักพัก ก่อนจะหันมาถาม
"ขี้เกียจอ่านหนังสือว่ะ มีอะไรให้ช่วยมั้ย?"
พูดจริงๆ เราโคตรไม่ไว้ใจหมอเลย
หน้าตาท่าทางไม่เหมือนคนที่จะทำอะไรละเอียดๆได้เลยสักนิด เพื่อความมั่นใจเราเลยถามอีกครั้ง
"หมอ... ตอนเรียนศิลปะได้เกรดอะไร?"
"A ดิ"
ฝ่ายนั้นตอบแล้วยิ้มมุมปากมาให้เหมือนจะอวดกัน เราเกือบเชื่อแล้ว ถ้าเขาไม่พูดต่อ
"จ้างเพื่อนทำการบ้านทุกชิ้นเลย"
"ว่าแล้วเชียว!”
พูดจบทั้งเราและหมอก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนที่เราจะพูดต่อ
"ขอบใจที่อยากช่วย แต่หมอไปอ่านหนังสือเหอะ สอบติดๆกันเลยนี่"
"อืมม"
เขารับคำ ยักไหล่เหมือนชิวเต็มที่ ทั้งๆที่หน้าตาดูอ่อนเพลียสุดๆ
"ไปละ! โซฟานอนได้ปะ?"
พอเราหันไปพยักหน้าให้ หมอก็ลุกขึ้น เดินกลับไปนั่งบนโซฟา เปิดกระเป๋าสะพายข้างสีดำซึ่งใบใหญ่กว่าที่เขาใช้ในวันปกติ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนาออกมา แล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟาอย่างที่ถามเอาไว้ พร้อมกับยกหนังสือขึ้นอ่าน
พูดจริงๆ แค่เห็นความหนาของหนังสือเราก็กลัวแล้ว
สถาปัตย์ไม่ใช่เรื่องตลกก็จริง
...แต่แพทย์ก็คงขำไม่ออกพอๆกัน
“ถ้าหลับจะให้เราปลุกมั้ย?”
ที่เราถามออกไปอย่างนั้นเพราะเห็นท่าทางง่วงจัดของเจ้าตัว
เดาเอาว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงนศพ.ต้องหลับคาที่แน่นอน
“ไม่ต้องอ่ะ ถ้าเราหลับก็ปล่อยให้นอนไปเลย"
เรารับคำเบาๆ ระหว่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก เราก็รับรู้ได้ว่าห้องเงียบลง
...เดาไม่ยากว่าอีกคนน่าจะหลับไปเรียบร้อยแล้ว
ได้หันไปสนใจเขาอีกทีก็ตอนที่เราลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว แล้วกลับออกมาพร้อมน้ำดื่มขวดใหญ่ในมือ
แต่แทนที่จะกลับไปนั่งลงบนเบาะเหมือนเดิม เรากลับไปแวะดูคนที่กำลังนอนหมดสภาพโดยมีหนังสือทั้งเล่มวางทับอยู่บนใบหน้า...เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
ถ้าเกิดฝันขึ้นมา จะฝันว่ากำลังอ่านหนังสือไหมเนี่ย?
โซฟาตัวใหญ่ในห้องเราเป็นแบบสามที่นั่ง แต่คนที่หลับสนิทอยู่ก็ตัวยาวจนเท้าเลยเบาะออกมา
หมอนอนกอดอกนิ่งๆไม่ขยับตัว เราเห็นท่าทางเก็กๆของคนที่ยังคงไม่หลุดมาด ถึงแม้ว่าจะมีหนังสือทั้งเล่มทับหน้าอยู่ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้
หันซ้ายหันขวาไปเห็นไอโฟนหมอวางอยู่ไม่ไกลเลยเอื้อมมือไปหยิบมา
เรากดปลดล็อคหน้าจอด้วยตัวเลข 4 หลัก ก่อนจะเปิดกล้องแล้วแอบถ่ายคนที่นอนหลับอยู่ไปหลายช็อต
ถ่ายเสร็จก็ต้องมานึกว่าจะเอารูปที่ได้ไปทำอะไรดี ก่อนสิ่งที่คิดขึ้นมาได้จะทำให้เราหลุดยิ้ม
เราเปิดไลน์ พึมพำบอกคนที่นอนอยู่ว่า ยืมมือถือหน่อยนะ ด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะกระซิบ เป็นอันเข้าใจได้ว่าเราขอยืมแล้ว ก่อนเลื่อนหาไลน์กรุ๊ปหล่อสัดรัสเซียที่หมอเคยให้เราช่วยตอบให้
เจอปุ๊บก็ส่งรูปคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องลงไป แล้วก็ได้แต่แอบขำ รอดูปฏิกริยาอยู่สักพักก็มีคนพิมพ์ตอบกลับมา
*มึงอยู่ไหนเนี่ย
*ห้องไม่คุ้นนะไอ้สัด
งานเข้า!! ลบก็ไม่ได้ด้วยอ่ะ!!
รู้งี้โพสลงไอจีดีกว่า....
พอไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง เราก็ได้แต่กดล็อคหน้าจอ ปล่อยให้ไลน์หมอเด้งเตือนไม่หยุดอยู่อย่างนั้น ก่อนจะวางมือถือไว้ตรงที่เดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น – แกล้งตายดีกว่า....
เรากลับไปสนใจคนที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องอีกครั้ง พอเห็นว่าเขานอนกอดอกอยู่แบบนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าจะหนาวรึเปล่า
เพราะเวลาพวกเพื่อนๆของเรามานอนที่นี่ ไอ้พวกนั้นชอบล้อว่าห้องเราเย็นเป็นขั้วโลกเหนืออยู่ประจำ
ยืนมองอยู่สักพักเราก็เอาขวดน้ำไปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินเลยไปหยิบผ้าห่มผืนบางออกมาจากในห้องนอน เพราะคอนโดเราเป็นที่รวมตัวของทุกคนอยู่แล้ว แม่เราเลยเอาพวกหมอนกับผ้าห่มมาเตรียมเอาไว้ให้เยอะแยะ
เราถือผ้าห่มอยู่ในมือ มองคนที่ยังคงหลับสนิทแล้วไม่ไว้ใจความเจ้าเล่ห์ของเขาสักนิด
คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจพูดออกมาคนเดียว
“ถ้าแกล้งหลับอยู่ก็รีบตื่นขึ้นมาเลยนะ"
ไม่รู้ดิ -- ก็เรากลัวโดนแกล้งไง
พูดจบปุ๊บเราก็ยืนหรี่ตาสังเกตท่าทางของคนที่นอนหลับอยู่สักพัก พอเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงนิ่ง ถึงได้คลี่ผ้าห่มออก แล้วห่มลงไปให้บนร่างกายคนที่ยังคงนอนหลับอยู่ ก่อนจะค่อยๆหยิบหนังสือเล่มหนาที่ปิดหน้าเขาอยู่ออกแล้ววางไว้ให้บนกระเป๋า
พอเอาหนังสือออก ท่าทางการนอนของคนตรงหน้าก็ดูสบายขึ้นทันที
...ดีนะไม่ตายคาหนังสือไปซะก่อน
เราเดินผละมาจากตรงนั้น ก่อนจะกลับมานั่งทำงานอยู่ตรงมุมเดิม
กว่าจะได้ละสายตาจากงานตรงหน้าอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง ตอนที่โทรศัพท์เครื่องเดียวที่เราเคยเอามาเล่นอยู่เมื่อกี้ส่งเสียงร้องเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา
พอหันไปทางโซฟาก็พบว่าคนที่ควรจะตื่นมารับสายยังคงหลับสนิทไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เราก็เลยลุกขึ้น ปลายเท้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆคนที่กำลังนอนหลับลึกสองมือยังคงกอดอกนิ่ง เอียงคอหน่อยๆ
พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งสนิท เราก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเอานิ้วไปอังปลายจมูก แล้วหลุดขำกับความคิดของตัวเอง
ไม่ใช่ว่าหยุดหายใจไปแล้วนะ!
พอนิ้วมือเราสัมผัสได้ถึงลมหายใจเบาๆ ก็เป็นอันวางใจได้
อืม... ยังอยู่ๆ
ก่อนที่เราจะได้เขย่าตัวเขาแล้วเรียกให้ตื่นเพราะโทรศัพท์ดัง ฝ่ามือของคนที่นอนอยู่ก็ขยับแล้วก็ยกขึ้นมากุมข้อมือเราเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆลืมขึ้นเพียงครึ่งนึง
มันก็เลยเหมือนกับว่าเราโดนหมอหรี่ตามอง ก่อนที่เขาจะถามออกมาสั้นๆ
“เล่นอะไรอ่ะ?”
ยอมรับเลยว่าการที่เจ้าตัวยกมือขึ้นมาคว้ากันไว้กะทันหันแบบนี้ทำให้เราตกใจจนต้องรีบดึงข้อมือที่่ถูกจับเอาไว้ออก แล้วตีลงไปบนไหล่คนตรงหน้าแรงๆ
“ตกใจหมดเลย! มีคนโทรมา มันดังจนตัดไปแล้ว!”
ได้ยินแบบนั้นเขาก็ตื่นขึ้นเต็มตา ลุกขึ้นนั่งช้าๆก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากหาว แล้วบ่นงึมงำได้ใจความว่า
"จริงๆรับไปเลยให้ก็ได้นะ"
ไว้ใจกันไปปะ?
เรามองคนที่กำลังเช็คมือถือดูว่าใครโทรมา พอเห็นว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มหมอก็เข้าไลน์ไปพิมพ์ถามว่ามีอะไร พร้อมคุยกับเราไปด้วย
“คิดว่าเราตายรึไง"
เราไม่ตอบ แต่พออีกฝ่ายมองมาเห็นสีหน้าเราก็คงสรุปเอาเองได้ว่าเราก็แค่เล่นสนุก
“เด็กน้อย~ กี่ขวบแล้วเนี่ยฮึ?”
“21 ขวบ เท่าหมอแหละ!"
เราตอบ ยักคิ้วไปให้คนตรงหน้า 2 ที
“หมอยัง 20 อยู่เลยครับ"
ทำไมต้องพูดแล้วทำหน้าภูมิใจด้วยเนี่ย?
“อายุน้อยกว่าเราก็เรียกพี่เลย!”
คนตรงหน้าเลิกคิ้วมองหน้าเราแบบที่เดาความหมายไม่ได้ ก่อนที่จะตอบกลับมา
“เรียกแล้วมีรางวัลให้ป่ะ? ไม่มีไม่เรียกนะ"
ได้ยินอย่างนั้นเราหันไปแยกเขี้ยวใส่คนที่ยังคงนั่งหน้าง่วงอยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินผละมาทำงานต่อ ปลายสายตาของเราเห็นว่าเขาลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำแล้วออกมากับหน้าเปียกๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาเต็มแรง
“ในตู้เย็นมี M150 นะ กินมั้ย?”
เราถามล้อๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ยัง... นี่ยังวันแรกอยู่ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก"
“เออใช่เราลืมบอกเลย สอบเสร็จเราไปญี่ปุ่นอาทิตย์นึงนะ อยากได้อะไรป่ะ?”
“ไม่อ่ะ"
“นึกก่อนก็ได้ ถ้านึกออกบอกนะ”
“อยากให้ตัวปลอมไปแทน ไม่ได้เจอกันอาทิตย์นึงเลยดิ คิดถึงชัวร์"
“เวอร์ละ!”
เราคุยไปด้วยทำงานไปด้วยแบบที่ไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีคนนั่งลงข้างๆ พอเราหันไปก็เห็นว่าหมอกำลังยกโทรศัพท์ขึ้นมาจอหน้าเราแล้วกดถ่ายรูปซะงั้น
เรายกมือขึ้นไปบังเลนส์กล้องมือถือ แต่ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่ทันแล้ว
“อะไรอ่ะ?”
“ไอ้พวกนั้นมันถามว่าอยู่ที่ไหน เราบอกไปว่าอยู่คอนโดยิ้มก็ไม่เชื่อ ต้องถ่ายรูปส่งไปเป็นหลักฐาน"
'ยิ้ม'? – เราชื่อยิ้มตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
คิดแล้วก็งงอยู่พักนึง แสดงว่าหมอก็รู้แล้วอ่ะดิว่าเราส่งรูปตัวเองตอนหลับลงไปในไลน์กรุ๊ป
คนตรงหน้าไม่โวยวายอะไรออกมาเหมือนเวลาที่พวกเพื่อนๆโดนเราแกล้ง
แต่ยิ่งทำเป็นเฉย เราว่ามันยิ่งดูอันตราย...
หันไปมองอีกที เราก็เห็นนศพ.ยิ้มมุมปากก้มหน้ากดมือถือยิกๆ
ว่าแต่....เมื่อกี้หมอบอกว่าจะส่งรูปเราไปให้เพื่อนนี่หว่า!!
ซวยแล้ว!!
คิดได้อย่างนั้นปุ๊บเราก็รีบเอื้อมมือไปพยายามจะคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของคนตรงหน้ามาให้ได้
แต่อีกฝ่ายดันเร็วกว่า ยกมือหลบเราเสร็จก็หันมาทำหน้าเยาะเย้ยกันทันที นาทีนั้นเรารู้ตัวเลยว่าโวยวายอะไรไปก็ไม่ทัน รูปถูกส่งไปแล้วแน่ๆ
ไม่ทันที่เราจะได้พูดอะไรออกมา คนที่ยังคงยกมือที่ถือโทรศัพท์อยู่ขึ้นสูงสุดแขนก็โน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบอกเราต่อหน้าอย่างอารมณ์ดี
“ช่วงสั้นนะเราน่ะ”
ยิ่งได้ยินอย่างนั้นเรายิ่งฉุนขาด! อยากจะจับตัวสูงๆเหวี่ยงออกทางระเบียงห้องให้รู้แล้วรู้รอดอย่างที่เคยขู่เอาไว้
เวลาเล่นมุกหยอดกันยังไม่น่าฟาดให้ตายเท่าพูดอ้อมๆว่าเราแขนขาสั้นแบบนี้เลยจริงเหอะๆ!
เราเหลือบสายตาไปมองคนที่นั่งขำกับหน้าบึ้งๆของเราแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมานอกจากถอนหายใจหนักๆ
ทำไมเก่งนักวะ? จะทำอะไรก็ชนะเราไปหมดเลยอ่ะ!
แล้วฝ่ายนั้นก็ลดมือลง ขยับตัวหันหลังให้เราที่ตั้งท่ากลับมาทำงานต่อเรียบร้อยแล้ว
เนี่ย มัวแต่เล่นเสียเวลาชะมัด!
สักพักเราก็รู้สึกว่ามีคนเอนหลังมาพิงที่ไหล่ พอเอียงคอไปมองแล้วเห็นปกคอเสื้อนักศึกษากับลำคอด้านหลังอยู่ใกล้ปลายจมูกเราแค่นิดเดียวก็ต้องรีบหันกลับมา แล้วบ่นงึมงำ
“หนัก...กลับที่ไปเลยไป"
คนฟังหัวเราะรับ ก่อนจะยกมือขึ้นวาดแขนยาวๆมาทางนี้แล้ววางมือแหมะลงบนหัวเราเต็มๆ ฝ่ามืออุ่นลูบผมเราเล่นแบบที่ชอบทำอยู่บ่อยๆ
ก่อนเจ้าตัวจะหันหน้ามาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หมอกระซิบบอกว่า ไม่งอนนะครับ แล้วเรียกชื่อเราปิดท้ายแถมยังเติมคำว่า 'พี่' นำหน้าให้อีกด้วย
ไอ้บ้า!
เขินเลย...
tbc.
ยิ้มแม่งทุกตอนเลยว่ะหมอ 55555555555
ชอบๆ ❤