คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 3rd fourteenth
Paring ; yunhojaejoong & yoochunjunsu
Genre ; ramantic, drama
Author ; hasu
twelve fourteenths
3rd fourteenth
14 Mar
White Day
วันนี้ ฝ่ายชายจะมอบมาชแมลโล่คืนให้แก่ฝ่ายหญิงบ้าง
ชีวิตคนเรามันจะน่าเบื่อได้ขนาดไหนกันเชียว?
แจจุงนึกหาคำตอบของคำถามข้อนี้อยู่นาน แต่ก็จนใจจะตอบ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงน่าเบื่อ แต่มันเป็นเพราะไม่อยากจะยอมรับต่างหาก... ชีวิตมันน่าเบื่อตั้งแต่เขาเดินหันหลังให้กับคุณนายแบบโคตรจะหล่อ โคตรจะดัง และโคตรจะหยิ่งคนนั้นนั่นแหละ
ชอง ยุนโฮ เป็นเหมือนสีสันแปลกตาที่พาดผ่านชีวิตของเขา
มันคงจะแปลกกว่าสีธรรมดาอยู่โข อย่างถ้าเป็นสีแดง ยุนโฮก็คงเทียบได้กับแดงโกเมนประกายระยับพรับพราว... เข้าใจกันมั้ย? ตัวแจจุงเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เหมือนกัน เอาเป็นว่ามันไม่ใช่แดงธรรมดาก็แล้วกัน แล้วพอพื้นสีขาว ถูกปาดสีแดงประหลาดนี่ทับลง แม้จะเป็นเวลาแค่แป๊บเดียว แต่มันก็ทิ้งรอยเปื้อนที่อยากจะลบเลือน อารมณ์นั้นแหละ
อันที่จริงมันก็แค่กลับเข้าสู่ภาวะปกติสินะ เด็กมหาลัยที่ไม่เคยมีชีวิตเฉียดเข้าใกล้วงการมายาแบบแจจุง จะไปข้องเกี่ยวกับนายแบบแนวหน้าอย่างยุนโฮได้ยังไง? ไอ้ช่วงเวลาไม่นานที่ผ่านมานั่นแหละที่แปลกประหลาด เหมือนช่วงที่อลิซหลงทางในแดนมหัศจรรย์สวนหลังบ้านนั่นไง!
ที่ร่ายมายาวเหยียดนี่... ก็แค่จะบอกว่า การที่ผู้ชายตัวโตหน้าหมีคนนึงหายไปจากชีวิตของแจจุงอย่างไร้ร่องรอยเนี่ย มันไม่น่าจะส่งผลกระทบใดๆ กับชีวิตของเขาได้เลย จริงไหม
ตั้งแต่วันที่เขาหันหลังให้ยุนโฮพร้อมน้ำตาที่ไม่รู้จะแย่งกันไหลไปถึงไหน สาบานได้ว่ามีแค่เสียงทุ้มลอยตามลมมาเท่านั้นที่เป็นเพื่อนไปส่งเขาถึงบ้าน แจจุงต้องเดินเกือบกิโลแถมต่อรถไฟเกือบสุดสถานีเพื่อกลับบ้านอยู่คนเดียว! หมีตัวไหนมันบอกว่าจะไปปล่อยมือวะ แล้วทำไม ทำไม
... ทำไมมือเขาถึงว่างเปล่ามาจนถึงตอนนี้
ยิ่งคิดยิ่งเหมือนคนบ้า เหมือนสาวน้อยที่หวั่นไหวไปกับทุกการกระทำของรักครั้งแรก และแจจุงไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย มันน่าสมเพชชะมัดยาด การที่หัวใจตัวเองมันล้าแรงเพราะการกระทำของคนที่ไม่เคยให้ค่า ให้ความสำคัญกับหัวใจคนอื่นเนี่ย ก็เหมือนกับการที่เอานิ้วไปจิ้มคมมีดทั้งที่รู้ว่ามันคม และจะบาดปลายนิ้วให้เลือดไหลนั่นแหละ
และน่าสมเพชที่สุดคือ พอเลือดมันไหลแล้ว เสี้ยวหนึ่งของความคิดโง่ๆ มันก็ดันรอให้คนๆ นั้นกลับมาทำแผลให้เนี่ยสิ
แม่งเอ๊ย...
“อ๊ะ”
...ชิบหาย ก้อนหินที่เตะไปมั่วๆ นั่นกระเด็นไปโดนหัวใครรึปล่าววะ?
“ขอโทษครับ เป็นอะไรหรือเปล่--า” ทั้งที่ตั้งใจว่าจะขอโทษไปก่อนให้จบๆ เรื่อง แต่พอผู้เคราะห์ร้ายหันหน้ามาให้ดูเท่านั้นล่ะ คำพูดที่ตั้งใจจะเอ่ยก็กลืนหายไปกับลำคอ เสียงหวานครางแผ่วออกมาเป็นคำเพียงคำเดียวที่นึกออกในตอนนี้
ถ้อยคำที่คุ้นเคย มันหลุดออกมาจากปาก โดยไม่ผ่านสมองแม้แต่น้อย
“ชางมิน...”
.
.
.
การไม่พูดถึง ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะหายไป
เหมือนเรื่องของเขากับชางมิน...
ไม่ได้พูดถึง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่นึกถึง
และไม่ได้หมายความว่าเมื่อเราได้พบกันโดยบังเอิญแบบนี้ รอยแผลในหัวใจที่โดนบังคับให้ลงมีดด้วยตัวเองจะปวดปร่าน้อยลง
“หวัดดี แจจุง” อีกฝ่ายเอ่ยทักอย่างขลาดๆ แล้วแจจุงจะทำอะไรได้... นอกเสียจากสูดลมหายใจลึกยาว ให้ความรู้สึกที่ตีกันในอกมันสงบลง
“อืม” ทั้งที่อยากจะตอกกลับแรงๆ ให้สมกับที่ต้องเจ็บปวด แต่แปลกนะ เสียงลอดออกมาจากริมฝีปากบางกลับมีแค่คำตอบรับสั้นๆ ที่สั่นไหวเท่านั้น
“นาย... เป็นไงบ้าง?” ท่าทีเกรงใจที่แทบไม่เคยพบเห็นระหว่างที่เราเป็นมากกว่าคนคุ้นเคย ยิ่งทำให้ความรู้สึกในใจเขามันร่ำร้อง... ชางมินคนที่ถือดี ปากเสีย แต่ก็ดูแลแจจุงดียิ่งกว่าใคร คงไม่มีอีกแล้วสินะ
“ก็ไม่เป็นไงนี่” อีกฝ่ายทำหน้าเก้อไปเมื่อแจจุงไม่ได้ยิ้มตอบอย่างที่เคยทำตลอดมา ไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจกันแล้วไงล่ะ
“คือว่า... ฉันได้ข่าวมาว่านายสนิทกับผู้ชายคนนึง...”
“คนตัวสูงๆ ที่เป็นนายแบบดังใช่มั้ยล่ะ” แจจุงผิดไหมที่รู้สึกสะใจ ยามที่เห็นสีหน้าที่จืดเจื่อนลงทันทีของร่างสูงตรงหน้า “นั่นน่ะ ยุนโฮ... แฟนใหม่ฉันเอง”
พูดไม่ผิดใช่ไหม...
ถึงเขากับยุนโฮจะ... อืม มีปัญหากัน ?
แต่เรายังไม่ได้เลิกกัน ยังไม่ได้ยกเลิกข้อตกลงระหว่างกัน ดังนั้น แจจุงก็คงจะยังเรียกยุนโฮว่าแฟนได้อยู่ใช่ไหม
“นั่นสินะ... แจจุงน่ารักขนาดนี้ ไม่แปลกหรอกที่จะมีใครมาชอบน่ะ”
...จะใครสักกี่คนก็สู้คนเดียวที่อยากให้ชอบไม่ได้หรอก รู้ไหม
“แล้ว... แจจุงมีความสุขดีหรือเปล่า ?”
“ฉันมีความสุขดีกว่าแต่ก่อนเยอะเลยล่ะ”
“นั่นสินะ เขาคงดูแลนายดีสินะ” เวรเอ๊ย ... ช่วยทำท่าโกรธบ้างเถอะ อย่าทำท่ายอมจำนน เป็นแฟนเก่าที่แสนดีแบบนี้เลย มันทำให้เขา... รู้สึกผิด
“แน่นอน ถึงเราจะไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะตารางงานหมอนั่นยุ่งมาก แต่ฉันก็มีความสุขดี” จริงแค่ครึ่งเดียว... แน่นอนว่าแค่ครึ่งแรก
“แล้วนี่นายมีอะไร อย่าบอกนะว่าอุตส่าห์มาถึงคณะฉันแค่ถามอะไรไร้สาระแบบนี้น่ะ”
“ฉันก็แค่เป็นห---”
“ไม่ต้องเป็นเป็นห่วงหรอก” แย่งพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะทันจบประโยค “ชีวิตที่ไม่มีนาย ฉันก็มีความสุขดี ไม่จำเป็นต้องมารู้สึกผิดให้เสียเวลาหรอก ไปดูแลเด็กของนายดีกว่าน่า” เก่งไหมล่ะ คิมแจจุง ที่พูดไอ้ประโยคชวนปวดใจที่ออกไปรวดเดียวจบได้
แจจุงเงยหน้าขึ้น หวังจะสบตาอีกฝ่ายเพื่อยืนยันให้รู้แน่ว่าเขาไม่เป็นอะไร ถึงอยากจะบอกให้ชางมินรู้สักแค่ไหนว่าในใจเขากำลังร้องไห้ แต่คำว่ารักที่เคยมีให้ มันกลับบีบบังคับให้เข้าทำได้เพียงฉีกยิ้มแกนๆ ให้อีกฝ่ายแทนคำว่าไม่เป็นไร
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ” แรงกดหนักๆ ที่จู่ๆ ก็วางพาดลงมาตรงไหล่ทำให้แจจุงเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองยังยืนอยู่บนพื้นโลก ไม่ได้หลุดลอยละล่องไปตามห้วงอารมณ์สั่นไหวแต่อย่างใด
ย...ยุนโฮ...
ปากมันไม่ขยับ แต่พอหันหน้าไปเห็นเสี้ยวหน้าคม เสียงในอกมันก็ร่ำร้องขึ้นมาทันที... คล้ายจะตอบรับ วงแขนแกร่งยิ่งโอบเขาแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ แต่เขากลับไม่กล้าร้องขอให้ปล่อยเลยสักคำ
“ผมดูแลคนของผมดีเสมอล่ะ ไม่จำเป็นต้องให้คนเก่าๆ มาเป็นกังวลหรอก” เสียงทุ้มประกาศอย่างถือสิทธิ์ ... น่าหัวเราะ ถ้าการทิ้งเขาให้อยู่คนเดียวนี่ถือเป็นการดูแล หมอนี่ก็คงดูแลเขาได้ดีพิลึกล่ะ
“งั้นเหรอ... ก็ดีแล้วล่ะ” แต่ร่างสูงโย่งนี่ดูท่าจะเชื่อเอาจริงๆ ไม่แปลกหรอก ขนาดเขาเอง พอเหลือบตาไปมองเห็นแววตาที่จริงจังของคนตรงหน้านี่ยังเกือบจะเคลิ้มเลย ... จนต้องเบรกตัวเองไว้ว่า ยังไงซะ ยุนโฮก็เป็นนักแสดงชั้นยอดอยูแล้วนี่นะ
“ขอโทษนะ รอนานหรือเปล่าแจจุง” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ยุนโฮก็ละความสนใจในตัวชางมินอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อก้มลงมาหาเขาในระยะประชิดก็ตกใจพออยู่ แล้วไอ้คำถามนี่มันอะไรกัน เขาไปนัดอะไรกับมันตอนไหน? อย่ามาเนียนนะเว้ย
“อย่างอนเลยน่า... ฉันติดงานอยู่เลยมาช้า ไม่ได้หนีไปเที่ยวไหนมาแน่นอน” ส่งเสียงอ้อนๆ แบบที่ฟังแล้วขนอ่อนทั่วร่างกายมันลุกชันยังไม่พอ ชอง ยุนโฮคนดียังยกสามนิ้วทำท่าวันทยหัตถ์ พร้อมบีบเสียงให้เล็กๆ น่ารัก (น่าชัง) อีกแหนะ “สาบานเลยว่าไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหน อย่าโกรธเลยนะ... คนดี”
จะโกรธก็เพราะคำว่าคนดีของมันนี่แหละเว้ย!
.
.
.
เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย
เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผิดก็คือหมอนั่นต่างหากล่ะที่ผิด ผู้ชายที่ไหนมันจะคิดมากกับเรื่องแบบนี้วะ ก็กะอีแค่จูบจะอะไรนักหนาเชียว มาทำน้ำตาไหลยังกับนางเอกโดนพรากความบริสุทธิ์ไปได้ แล้วกล้าดียังไง มาหันหลังให้กับซูเปอร์สตาร์อย่างเขา ชองยุนโฮน่ะ มีแต่สาวๆ วิ่งเข้าหาจนหลบไม่ทัน รู้ไว้ซะด้วย!
ถึงแม้จะพร่ำบอกตัวเองแบบนี้ แต่ตัวรู้มันก็คอยกระซิบบอกว่าไม่ใช่ แจจุงไม่ได้ทำอะไรผิดซักนิด เขาต่างหากที่เอาแต่ใจตัวเองเกินควร ถึงแม้เราสองคนจะได้ชื่อว่าเป็นแฟน แต่ก็เป็นเพราะแจจุงโดนเขารวบรัดให้ตกลงต่างหาก
เรื่องของเรา เริ่มต้นด้วยความพึงใจเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งลวงตาเช่นความรัก
แล้วคนที่อยากพบกับความรักที่แสนโรแมนติกอย่างหมอนั่น
... จะรู้สึกยังไงนะ
แม่งเอ๊ย! ไม่สมกับเป็นชอง ยุนโฮเลยสักนิด
แล้วนายแบบหนุ่มก็ต้องกลายมาเป็นสโตล์กเกอร์จำเป็น... ไม่ อย่าคิดว่ายุนโฮจะใส่หมวกไหมพรมกับแว่นดำปิดบังหน้าตา ใส่เสื้อโค้ทตัวโคร่งสีสันไร้รสนิยม แล้วเดินตามแจจุงไปทุกที่อย่างกับคนโรคจิตเชียว ก็รู้กันอยู่ว่ายุนโฮน่ะเป็นคนของประชาชน ขืนออกมาทำลับๆ ล่อๆ ล่ะก็ ไม่ต้องลุ้นเลยว่าจะมีประชาชนของยุนโฮสังเกตเห็นไหม เพราะฉะนั้น ยุนโฮก็เลยแก้ปัญหาโดยการใช้ความเป็นพี่ชายให้เกิดประโยชน์!
พูดง่ายๆ ก็คือใช้ยัยจีเฮย น้องสาวตัวแสบที่ยินดีเสมอเมื่อได้เจอเรื่องสนุกๆ เป็นฝ่ายแอบตามดูแจจุงแทน และน่าใจหายตรงที่แผนนี้สำเร็จอย่างงดงาม ร่างบางๆ นั่นไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนคอยตามดูพฤติกรรมอยู่แทบจะทุกฝีก้าวเป็นเวลานานสองนาน เป็นกระต่ายขาวขนปุยตัวน้อยที่สัญชาตญาณระวังภัยต่ำเสียจริง ไม่รู้อยู่รอดปากเหยี่ยวปากกามาถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน ?
และเมล์ฉบับสั้นๆ แนบไฟล์รูปที่ลงวันที่ถ่ายวันนี้ รายงานล่าสุดจากจีเฮยก็ทำเอาชอง ยุนโฮถึงกับนั่งไม่ติดที่
โถ่เว้ย...
ไม่เคยได้ยินกฎข้อนี้หรือไงกัน
ในความสัมพันธ์ครั้งใหม่น่ะ แฟนเก่าก็มีค่าไม่ต่างไปจากเศษขยะไร้ค่า ไม่ใช่แค่ขยะเปียกที่ส่งกลิ่นกวนใจธรรมดาๆ นะ แต่เป็นขยะมีพิษที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพเลยเหอะ!
แล้วใครล่ะจะปล่อย-ขยะ-เอาไว้กวนใจตัวเอง
พอแอบมองไปมองมาก็ต้องยอมรับว่าขยะนี่หน้าตาดีกว่าที่คิด
เฮอะ โคตรน่าหมั่นไส้... ยิ่งมาทำตัวโคตรพระเอกนิยายยิ่งแล้วใหญ่ ไปเป็นคนดีไกลๆ เถอะไป ไม่เห็นเหรอว่าแฟนเก่าตัวเองนั่งเม้มปากตาแดงแล้วนั่น ยิ่งเห็นยิ่งน่ารำคาญใจ อะไรจะร้องไห้ง่ายขนาดนี้วะ ทีกับเขานะปากจัด ด่าได้ด่าดี ทีแบบนี้นะมาทำปากสั่น
หงุดหงิดชะมัด!
หงุดหงิดที่ต้องยอมรับว่าว่าตัวเองไม่พอใจที่เห็นว่าแจจุงยังหวั่นไหวกับคนเก่าๆ มากขนาดไหน แล้วก็หงุดหงิดตัวเองมากกว่าที่ทนดูต่อไม่ได้ และหงุดหงิดที่สุดคือการที่สองขามันไปไวกว่าใจ ถึงได้ก้าวออกจากมุมมืดแล้วไปขัดการสนทนาของทั้งคู่ซะอย่างนั้น
“ผมดูแลคนของผมดีเสมอล่ะ ไม่จำเป็นต้องให้คนเก่าๆ มาเป็นกังวลหรอก
”
ขอบคุณหน้ากากของนักแสดง วิชาชีพหากินประจำตัวที่ทำให้เขาเอ่ยประโยคข้างบนนั้นพร้อมรอยยิ้มได้
แจจุงดูจะมึนงงไม่น้อยเลยทีเดียว ตากลมๆ เบิกกว้างขึ้นแต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเล็กน้อย สาเหตุน่าจะมาจากคำว่าคนดีที่เขาแกล้งหยอดให้หน้าขาวๆ เรื่อสี... ไม่ค่อยแน่ใจแฮะว่าอายหรือโกรธกันแน่ ถึงอย่างนั้น แจจุงก็ยังทำตัวเป็นตุ๊กตาที่ดี ยอมโดนลากมานั่งบนเล็กซัสรุ่นท็อปคันนี้โดยไม่มีอาการโวยวายให้รำคาญ
ยุนโฮปรายตามองสิ่งมีชีวิตหน้าขาวปากแดงที่นั่งยุกยิกแล้วก็หันไปสนใจทางตรงหน้าต่อ จนตุ๊กตาหน้ารถต้องเป็นฝ่ายเปิดปากก่อนเอง
“ไปไหน--?”
“บ่นอะไร” เล่นกระชากเสียงจนฟังแทบไม่รู้เรื่องขนาดนั้น
“ก็ถามว่าจะพาฉันไปไหน”
“จำทางกลับคอนโดแฟนแค่นี้ก็ไม่ได้ ความจำสั้นนะนายน่ะ” เหมือนจะได้ยินเสียงนับ หนึ่ง... สอง... สาม... ดังมาจากคนข้างตัว ยุนโฮหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นแจจุงทำตาโตจนแทบทะลุออกมาจากเบ้า มือหนายกไปขยี้กลุ่มผมนิ่มที่อีกฝ่ายเพิ่งไปเปลี่ยนเป็นสีทองประกายอย่างจะแกล้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับอย่างทันท่วงที
“หัวคนนะไม่ใช่กระปุกเกียร์ ตั้งใจขับรถไปเลยไป๊ ฉันยังไม่อยากลงข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าพรุ่งนี้” แจจุงปัดมือเขาออกแล้วเขยิบไปพิงกระจกพร้อมกับกอดอกทำหน้ามุ่ย
“หน้าหนึ่งอะไรของนาย?”
“อ้าว ก็ดาราดังขับรถแหกโค้งดับอนาถพร้อมเพื่อนชายสนิท ไม่เอาด้วยหรอกนะ หัวสมองระดับคิมแจจุงนี่ถือว่าเป็นอนาคตของชาติ ตายไปเสียดายแย่”
“นึกว่าข่าวดาราดังกับคู่ขาหนุ่มเล่นหนังสดบนรถท้าสายตาประชาชีซะอีก”
“อ.. อ... ไอ้บ้า!!”
ยังต้องฝึกอีกไกลนะ เด็กน้อย
ระดับมันยังผิดกัน
หึหึ
.
.
.
“นี่... ยุนโฮ”
เสียงหวานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
ตอนนี้แจจุงกำลังนอนพาดขวางเตียงคิงไซส์ในห้องนอนของยุนโฮ และเจ้าของห้องก็นั่งจิบเบียร์กระป๋องอยู่บนพื้นพรมไม่ไกลกัน
หลังจากมาถึงคอนโดนายแบบหนุ่ม ทั้งคู่ก็ทะเลาะแกล้งกันจนเหนื่อยหอบ แจจุงคว้าผ้าเช็ดตัวและเสื้อนอนที่รื้อๆ เอามาจากตู้เสื้อผ้าของอีกฝ่ายก่อนจะเป็นฝ่ายยุติสงครามย่อมๆ ของคนทั้งสองโดยการก้าวเท้าเข้าห้องน้ำไปคลายอารมณ์ร้อนของตัวเอง และพอออกมา ก็เห็นคุณนายแบบชื่อดังมานั่งทำเอ็มวีอยู่นี่แหละ
ก็แหม... เสื้อเชิ้ตปล่อยชาย ปลดกระดุมโชว์แผงอกรำไร นั่งพิงผนัง ใบหน้านิ่งๆ ตาเหม่อมองไปไม่จับโฟกัสที่จุดไหน แต่มือก็ยังคว้ากระป๋องเบียร์ยกขึ้นดื่มเป็นจังหวะ ... เออ รู้แล้วว่าหล่อ ชิ!
“ยุนโฮ... ฟังฉันอยู่มั้ยเนี่ย?” แจจุงผุดลุกขึ้นนั่ง คว้าเอาหมอนใบโตมากอด พอมองหน้าหล่อๆ แล้วก็คิดถึงตอนที่ตัวเองโดนขืนจูบ ทั้งช็อค ทั้งเสียใจ แต่หมอนี่ก็ไม่มาเคลียร์กันสักนิด หายหัวไปตั้งนาน พอโผล่มาอีกทีก็มาเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้เนี่ยนะ มันจะมากเกินไปแล้ว
“อะไรอีก” ในที่สุดร่างสูงก็หันมาให้ความสนใจคนสวยที่เริ่มอยู่ไม่สุขอีกครั้ง ยุนโฮเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ
“ชั้นโกรธอยู่นะ โกรธตั้งนานแล้วด้วย ไม่ยอมมาง้อกันเลยนะไอ้บ้า หายเงียบไปซะอย่างงั้น... รู้มั้ย เห็นหน้านายในทีวีทีไร ชั้นอยากเอาไม้กอล์ฟของพ่อมาหวดใส่ทุกที”
“แต่นายก็ไม่ได้ทำ”
“แหงดิ หรือนายจะซื้อทีวีคืนให้ชั้นเล่า!” คราวนี้ยุนโฮกลั้นขำไม่ได้จริงๆ พูดจาหาเรื่องเสร็จก็มาทำหน้าแดงแบบนี้ ใครมันจะกลัวเล่า แจจุง
“ชั้นต้องขอโทษใช่มั้ย หืม...?”
“เออดิ--”
“งั้นก็ตั้งใจฟังนะ... แจจุง ชั้นขอโทษที่ขืนจูบนาย จะไม่ทำอีกแล้ว คราวหน้าจะขอความสมัครใจนายก่อน ดีไหม?”
“ไม่ดีเว้ย! คราวหน้งคราวหน้าอะไร ไม่มีแล้วเหอะ”
ถึงปากจะโวยวาย
แต่ลึกๆ ในหัวใจ... แปลกไหม... ถ้าจะบอกว่าความโกรธที่อุตส่าห์เก็บไว้ตั้งนาน มันปลิวหายไปหมดตั้งแต่ได้ยินคำว่าขอโทษพร้อมรอยยิ้มบางๆ จากอีกฝ่าย
คิมแจจุง อย่ามาใจง่ายแถวนี้นะ!
“ส่วนเรืองวันนี้.. ”พูดแล้วก็ซุกซบลงกับหมอนใบใหญ่ในอ้อมแขน ประโยคที่ดังต่อมาจึงอู้อี้แทบจะจับใจความไม่ได้
“ขอบคุณนะ
”
ขอบคุณที่โผล่มาทันเวลา ถึงแม้จะชวนให้นึกถึงภูติพรายที่ออกมาได้จังหวะพอดีขนาดนั้น แต่ต้องยอมรับ ว่าเพราะยุนโฮจริงๆ ทีทำให้การเผชิญหน้าที่แสนกระอักกระอ่วนเมื่อครู่จบลงได้โดยที่เขายังไม่ทันได้ทำตัวน่าสมเพชจนเกินไป
“ขอบคุณ”
...อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียน้ำตาต่อหน้าใครทีไม่เห็นค่า
“ถ้าจะมัวแต่ขอบคุณ นายช่วยเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียงจะดีกว่า” ร่างเล็กเบิกตาอย่างงุนงง หน้าเอ๋อๆ มึนๆ แบบนี้ น่ารักแบบไม่น่าให้อภัยเลยล่ะ
ยุนโฮลุกขึ้นมานั่งบนเตียงเคียงข้างคนตัวเล็ก ก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ให้เปิดลิ้นชักทางขวา
...มาร์ชเมลโลว์ถุงเบ้อเริ่มอัดแน่นอยู่ในนั้นตั้งหลายถุง
ให้ตาย... ไวท์เดย์สินะ เกือบลืมเลย
“ตอบแทนความรักรสช็อกโกแล็ตที่นายให้มา... สไตลิสท์นูน่าแนะนำมาเลยนะว่าของยี่ห้อนี้อร่อยที่สุด” แขนแกร่งทั้งสองข้างสอดผ่านเอวคอด เอื้อมไปแกะหนึ่งในถุงขนมสีหวานแล้วหยิบมาจ่อถึงปากบาง
“ชอบไหม?” เสียงทุ้มกระซิบชิดติดริมใบหู
“...ไม่เห็นจะชอบเลยซักนิด”
แต่ปากก็ยังเคี้ยว มือก็ยังหยิบมาร์ชเมลโลว์นุ่มๆ เข้าปากไม่หยุด
ไม่ชอบเลยซักนิด ไม่ชอบเลย... เด็กปากแข็งเอ๊ย
To be continued...
ความคิดเห็น