คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 2nd fourteenth
Title ; twelve fourteenths
Paring ; yunhojaejoong & yoochunjunsu
Genre ; ramantic, drama
Author ; hasu
twelve fourteenths
2nd fourteenth
14 Feb
Valentine's Day
วันแห่งความรัก ฝ่ายหญิงจะมอบช็อกโกแล็ตให้แก่ฝ่ายชาย
เขาคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าคนนี้ได้ไวอย่างน่าตกใจ
อันที่จริงจะเรียกว่าคนแปลกหน้าก็คงไม่ถูกซะทีเดียว เพราะคนแปลกหน้ากิตติมศักดิ์นี้มีตำแหน่งเป็น... เอ่อ... แฟนใหม่ของเขา ?
แถมเป็นแฟนที่พ่วงดีกรีนายแบบซูเปอร์ป๊อปปูลาร์โหวตเสียด้วยสิ
วันนั้น หลังจากแจจุงหายมึนจากฤทธิ์เบียร์กระป๋องกว่าโหล ก็พบว่าตัวเองกลับมานอนบนเตียงที่คุ้นเคยในห้องของเขา... ย้ำ ของเขา! แจจุงไม่กล้าคิดหรอกว่าเขาที่เมาเละขนาดนั้นจะคลำทางกลับบ้านเองได้ เอาแค่ไม่กลิ้งตกถนนให้รถทับก็บุญแล้ว เพราะงั้นคำตอบก็ต้องเป็นชายหนุ่มปริศนาที่เหลือภาพเพียงแค่เงาดำเรือนลางในความทรงจำใช่มั้ย? แจจุงค่อยๆ ระลึกชาติว่าหลังจากน้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าปาก เขาเผลอทำอะไรลงไปและกับใครบ้าง
พอประมวลผลจนถึงช็อทข้อเสนอขอเป็นแฟนที่ไร้ความแมนติกสิ้นดีจากไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนั้นได้ เขาก็แทบจะทึ้งหัวตัวเองให้ผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงมันยุ่งยิ่งกว่าเดิม! ไม่อยากจะคิดเลยว่าผีห่าซาตานหรือเดวิลจากนรกไหนมันทำให้เขาตอบรับไปแบบนั้น ตอนนี้มันควรจะเป็นเวลาที่เขาจะได้ฟูมฟาย เสียใจกับรักครั้งเก่าที่เฝ้าประคองมันมาสิ ไม่ใช่ต้องมาปั้นหน้าเป็นคนรักของใครคนอื่น
วูบแรก เขาคิดจะทำเป็นลืม ปล่อยให้เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นแค่ความเพ้อเจ้อของคนเมาเท่านั้น แต่แล้วแจจุงก็รู้ ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์
เสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น แจจุงหยิบมันขึ้นมาอ่าน อดไม่ได้ที่จะหวังว่าจะมีเมสเซจจากพระผู้เป็นเจ้า -เฮ้! เรื่องเมื่อคืนชั้นล้อเล่น- แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีทาง แล้วก็เลยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้มลงมองหน้าจอ
-ตื่นเต็มตารึยังจ๊ะ ที่รัก-
แม่ง!!! ถ้าไม่ใช่ว่าเสียดายนะ เขาคงปามือถือทิ้งไปแล้วล่ะ
เสี่ยวมาก และหลอนมากด้วย
ไม่ใช่แค่ข้อความ แต่เป็นรูปแทนตัวของคนส่งข้อความ... มันคือรูปของเขากับผู้ชายคนนั้น ที่ปากกำลังประกบกันน่ะสิ!!! แค่เสี้ยวหน้าแต่มันก็ทำให้หน้าร้อนผ่าวได้เหมือนกันนะ
นี่เมื่อคืนเขาเมาขนาดไหนกัน
แล้วเผลอตัวไปขนาดไหนแล้วนะ
-อย่ามัวแต่บ่น สร่างเมาหรือยังเนี่ย?-
ข้อความต่อไปตามมาราวกับตาเห็น หรือแม่งจะแอบติดกล้องไว้ในห้องเขาวะ ?
-อย่าลืมนัดเราวันนี้ ไม่งั้นฉันจะตามไปหาถึงที่เลย คอยดู-
ชิบหาย! นัดอะไรของมัน เขาไปเผลอตกลงอะไรอีกตอนไหน อย่ามาโมเมนะเว้ย คนเมาก็มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่จะจำอะไรไม่ได้เลยซักอย่างนะ
...แต่มันก็จำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
ช่างแม่ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พ่อนายแบบคนดังเค้าคงไม่ทำอะไรเอิกเกริกนักหรอก
ใช่มั้ย?
ลงท้าย ร่างบางก็พาเอาตัวเองไปนั่งเรียนไปหลับไปที่มหาวิทยาลัยจนได้ ร้อนถึงเพื่อนสนิทที่รักการเรียนเป็นอย่างสูงอย่างปาร์คยูชอนต้องเอาตั้งหนังสือมาปิดบังเพื่อนหน้าสวยที่ฟุบหลับตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกให้พ้นจากสายตาอาจารย์จอมเฮี้ยบที่หน้าห้อง
กว่าจะจบคาบเรียนสุดท้ายในภาคเช้า แจจุงก็นอนพักจนตื่นเต็มตาพอดี อดจะบ่นตัวเองไม่ได้ว่าถ้าถ่อมาถึงนี่แล้วไม่ได้เรียน จะมาเพื่อย้ายที่นอนทำบ้าอะไร? หลับก็ไม่สบายอีกต่างหาก
“อา... คนเยอะชะมัด” พอออกมาจากตึกคณะ ตั้งใจจะไปหาอะไรกินที่โรงอาหารกลางก็ต้องแปลกใจ กับจำนวนคนที่ดูจะมากเกินกว่าปกติ แถมส่วนมากยังเป็นหญิงสาวเสียด้วยนะ ไม่รู้วันนี้มีนัดชุมนุมอะไรกัน
“ไปหาอะไรกินกันเถอะ แจจุง” ปาร์ค ยูชอน ดันแว่นทรงเจ้าคุณปู่ของตัวเองให้เข้าที่ พร้อมกับหอบหนังสืออ้างอิงเล่มหนาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว จึงได้หันไปชวนแจจุงไปทานมื้อเที่ยง ไม่มีทีท่าจะสนใจสักนิดว่ารอบตัวเกิดอะไรพิเศษขึ้นหรือเปล่า
เอ่อ... อันที่จริงจะเรียกว่าไม่สนใจคงไม่ได้
ระดับปาร์ค ยูชอน... ต้องเรียกว่าไม่รู้ตัวเลยต่างหาก !
“ไปสิ”
ร่างเพรียวรับคำง่ายๆ แล้วระหว่างที่ทั้งคู่เดินห่างออกมาจากใต้ตึกได้สักพักแล้วนั่นเอง...
“คิดจะเบี้ยวฉันเหรอ”
เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง ถ้าเข้าใจไม่ผิด... มันน่าจะเป็นแถวๆ ที่ประชากรผู้หญิงหนาแน่นที่สุดใช่ไหม? แจจุงสูดลมหายใจเข้าลึกยาว คำนวณถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดในหัว... เสียงต่ำแต่ฟังดูมีพลังขนาดนี้ ถึงจะเคยฟังด้วยหูตัวเองแค่ไม่กี่คำแต่มันก็ไม่ใช่จะลืมกันได้ง่ายๆ นะ วงเล็บ ถึงจะอยากทำเป็นลืมแทบตายก็เถอะ
อย่าบอกนะว่า ชอง ยุนโฮ...
“ว่าไง จำเสียงฉันไม่ได้หรือไง”
...ให้ตายเถอะ
“นาย....”
เสียงหวานครางแผ่ว ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเมื่อหันหลังกลับมามองแล้วเห็นผู้ชายหน้าตาโคตรดียืนเท้าแขนกับกระจกรถยุโรปรออยู่ ร่างสูงสมส่วนอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ดูสบายๆ ดวงตาคู่คมถูกปกปิดไว้ด้วยเลนส์แว่นสีชา นอกนั้นก็ไม่มีอุปกรณ์ปลอมตัวอื่นใดอีก นี่พี่จะมั่นไปหน่อยมั้ย ?
เสียงซุบซิบจากรอบด้านแว่วมาให้ได้ยิน เหมือนหลายคนจะเริ่มสงสัยและคุ้นหน้าคุณนายแบบดัง แต่ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาถามตรงๆ สักคน
“นี่ๆ คิดว่าใช่มั้ยอ่ะเธอ”
“คนนั้นน่ะ เสื้อสีเทาน่ะ ใช่ยุนโฮอปป้าหรือเปล่า”
“จะบ้าเหรอ พี่เค้าคงไม่มาเดินเล่นกลางมหาลัยแบบนี้หรอก”
“แค่คนหน้าคล้ายรึปล่าว”
“แต่ชั้นว่าน่าจะใช่นะ”
ไอ้บ้าเอ๊ย ทำอย่างนี้ กะจะให้เค้าอยู่มหาวิทยาลัยไม่ได้อีกเลยใช่มั้ย แรงแฟนคลับสาวๆ จะน่ากลัวแค่ไหน ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าแม่ชะนีพวกนี้รู้ว่าพี่ยุนโฮสุดหล่อของพวกหล่อนกลายมาเป็นแฟนของเค้าแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
“ไปกันได้แล้ว”
เสียงรบกวนทั้งหลายเงียบหายไปทันทีที่วงแขนกว้างวางพาดไหล่เขาแล้วบังคับเปลี่ยนทิศทาง สองขาเพรียวก้าวตามมาจนถึงรถแล้วก็โดนดันเข้าไปนั่งอย่างงงๆ หันไปมองนอกกระจกรถก็เห็นเพื่อนรักอย่างยูชอนยืนอ้าปากค้างจนริมฝีปากเป็นรูปตัวโออยู่ไกลๆ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน กว่าแจจุงจะหาปากของตัวเองเจอก็ตอนที่สารถีรูปหล่อกระชากรถออกจากที่จอดแล้วนั่นล่ะ
“จะพาชั้นไปไหน !!” เสียงหวานตวัดอย่างขุ่นเคือง
“ไปหาความสุขกันยังไงล่ะ”
“ไปตายซะ!” สองมือเล็กที่แรงไม่เล็กตามเลยของแจจุงระดมทุบไปทุกพื้นที่ของร่างสูงใกล้มือ เล็บที่ชักจะยาวก็ข่วนเนื้ออีกฝ่ายจนผิวหนังใต้เนื้อผ้าคงเป็นรอยแดงแล้วแน่ๆ
“เจ็บนะ” ยุนโฮละมือข้างนึงจากเกียร์ แล้วจับรวบมือทั้งสองข้างของแจจุงไว้แทน “คิดลึกชะมัด ทะลึ่งนะนายน่ะ”
ตากลมโตเบิกกว้างจนแทบจะเรียกได้ว่าถลึง “ไอ้บ้าเอ๊ย !!”
ซึ่งยุนโฮก็เพียงหัวเราะรับ
...นายนี่มัน ไม่น่าเบื่อเลยจริงๆ นะ
.
.
.
นัดวันนั้นลงท้ายที่ร้านอาหารอิตาเลียนเล็กๆ แต่บรรยากาศดี
คนที่ทำหน้างอมาตลอดทาง พอเห็นการตกแต่งแบบสบายๆ ของร้านเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มแมกไม้กลางตัวเมืองแล้วก็ทำตาโตอย่างตื่นเต้น ยิ่งสั่งอาหารมาแล้วรสชาติถูกปากแทบจะทุกอย่าง ตากลมๆ ก็ยิ่งยิบหยีอย่างพอใจ แถมยังชมยุนโฮอีกแหนะ ที่รู้จักร้านดีๆ แบบนี้
วันนั้นเป็นวันแรกที่แจจุงรับรู้ถึงโลกที่เปลี่ยนไปของตัวเอง
อ่า... ไม่นับวันแรกที่เจอกันนะ
เมาเละขนาดนั้น มันไม่รู้สึกอะไรซักอย่างอยู่แล้วล่ะ
หลังจากวันนั้น ยุนโฮก็แวะเวียนโผล่หน้าหล่อๆ เข้ามาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จนเริ่มมีหลายคนสงสัยระแคะระคายย... ไม่อยากจะยอมรับนะ แต่มันก็หล่อจริง หน้าเล็กๆ ตาคมๆ จมูกโด่งๆ ฟันเกซี่เล็กๆ แถมริมฝีปากเซ็กซี่อีก ... โคตรจะน่าหมั่นไส้อ่ะ ให้ตาย! ผู้ชายอะไรจะหน้าตาดีแบบนี้วะ หรือนี่คือความแตกต่างระหว่างไอดอลบนจอภาพกับคนธรรมดาเดินดินอย่างเราๆ กัน ?
พูดตรงๆ เลยว่า ระยะแรกน่ะ แจจุงยังคงงงและก่งก๊งกับแฟนที่ถูกยัดเยียดให้มีคนนี้อยู่ไม่น้อย การที่ต้องเลิกกับแฟนเก่าแล้วมีแฟนใหม่ในทันทีทำเอาสมองเขาปรับตัวรับความจริงไม่ค่อยจะได้ ทำนองนั้น แต่พอนานไป เขาก็เริ่มจะรู้สึกชิน... อา คุ้นเคย ล่ะมั้ง
วันไหนที่ยุนโฮว่าง (ซึ่งมันไม่ค่อยจะมีนักหรอก!) คุณนายแบบสุดฮ็อทเค้าชอบมาฉกตัวผมถึงบ้าน แล้วเราก็มักจะกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาไม่ก็พื้นพรมนิ่มที่ห้องนั่งเล่นในคอนโดหรูของอีกฝ่าย บางทีเราก็คุ้ยแผ่นหนังมานั่งดูและวิจารณ์ตัวเอกไปด้วยกัน และหลายครั้งที่หมอนั่นลากผมมาทิ้งไว้ที่ห้อง แล้วตัวเองก็หลับเป็นตายซะอย่างงั้น ไม่กลัวผมจะยกเค้าหมดห้องหรือไงไม่รู้
“ยุนโฮ... หิวรึยัง?”
แล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้แจจุงสับสนพอประมาณ การใช้ครัวของมัน ใส่ผ้ากันเปื้อที่มันเตรียมให้ แล้วก็คอยทำอาหารตามคำสั่งไอ้คุณชายเนี่ย ให้ความรู้สึกกระดากแปลกๆ นะ เหมือนตัวเองเป็นแม่บ้านยังไงไม่รู้ แถมเป็นแม่บ้านให้คุณพ่อบ้านที่โคตรจะเรื่องมากด้วยเถอะ ไอ้นู่นไม่กิน ไอ้นี่ไม่เอา ไอ้นั่นไม่อร่อย แต่ก็เห็นกินไม่มีเหลือซักครั้ง แล้วจะบ่นทำเพื่อ ?
“หอมชะมัด”
คำตอบมาซะชิดติดใบหู ถ้าเป็นวันแรกที่เจอผมก็ตกใจอยู่หรอก แต่นี่มัน...
“หลบไปน่า ไม่งั้นฉันจะใช้หน้านายแทนจาน” ยุนโฮทำหน้าบูดทันทีที่ได้ยิน มือหนาละออกจากเอวบางแล้วยืนถอยไปพิงโต๊ะทานข้าวแทน
“โหดจริง แฟนใครก็ไม่รู้” น้ำเสียงน่าหมั่นไส้ซะไม่มี
“บ่นนัก จะกินก็มาช่วยยกเร็ว”
“คร๊าบ~ คร๊าบ คุณแม่” ร่างสูงฉกจานพอร์ชเลนจากมืออีกฝ่ายไปรวดเร็ว แล้วก็เผ่นแผล็วไปถึงโต๊ะทานอาหารก่อนที่อีกคนจะทันรู้สึกตัวว่าโดนล้อเป็นแม่
ดูรวมๆ แล้วช่างเหมือนครอบครัวแสนสุขในละครหลังข่าว เราทั้งสองคนดูคุ้นเคยกันและกันเป็นอย่างดีจนไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งจะคบกันได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ คำว่าแฟนหลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายได้ง่ายดาย เรื่องนี้ล่ะมั้ง ที่ตรงข้ามกับเขา
นอกจากวันแรกที่คุยกันโดยมีแอลกอฮอล์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาแล้ว เขาทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดถึงความสัมพันธ์ที่ดูกำกวมนี้อีกเลย มีเพียงยุนโฮที่ขยันย้ำเหลือเกินกับคำว่าแฟน
ทั้งที่เป็นแฟนก็แค่ชื่อแท้ๆ
ความรู้สึก ... ไม่มีซักนิด
หวั่นใจ...
ไม่แน่นอน
ไม่เข้าใจ อะไรซักอย่าง
.
.
.
“น้องแจจุงนี่ผิวดีจังเลยนะคะ ~”
เล็บยาวที่ตกแต่งเป็นอย่างดีของสไตล์ลิสท์นูน่าเพศชาย(?) ประจำกองถ่ายกำลังไล้ไปตามผิวหน้าเนียนอย่างแผ่วเบา... แต่หลังจากที่สำรวจทุกซอกมุมของวงหน้าสวยๆ จนแทบช้ำแล้วหรอกนะ
“ไม่สนใจจะถ่ายแบบบ้างเหรอจ๊ะ ?” พี่ช่างแต่งหน้าก็อีกคน เพราะตอนนี้ร่างสูงกำลังโพสท่าอยู่หน้ากล้องนู่น ทีมงานที่ว่างๆ อยู่เลยมามะรุมมะตุ้มอยู่กับ -แฟนหนุ่มคนสวย- ที่โดนหิ้วมานั่งดูการทำงานของแฟนตัวเองถึงสตูดิโอ
แจจุงได้แต่ส่ายหัวไปมาแล้วยิ้มแหยๆ รับ เพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี ลำบากใจหนักเข้าเลยต้องหันไปส่งสายตาพิฆาตให้คนที่โดนรีเฟล็กส่องซะหล่อวิ้งๆ ตรงหน้านั่นแทน... หนอยแน่ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ระหว่างทำงานนะ เขาจะเข้าไปจิ้มตาที่มองล้อๆ นั่นให้ทะลุเลย วันวาเลนไทน์ทั้งที นอกจากจะไม่ได้ไปเดทกับสาวน้อยหน้าใสให้สบายใจแล้วยังต้องมาติดแหง็กที่นี่อีก ตัวเองมีงานคนเดียวก็ทำไปสิ จะพาเขามากองถ่ายด้วยทำไมไม่รู้ มาก็ทำอะไรไม่ได้ซักหน่อย ถือว่าตัวเองเป็นนายแบบหลักแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอไงหา !?
ร่างเล็กมองกลุ่มคนมากมายที่วิ่งวุ่นไปมาเพื่อให้การถ่ายแบบของนิตยสารออกมาดูดีที่สุด มองทุกคนที่ดูจะรู้หน้าที่ของตัวเองและปฏิบัติตามได้อย่างดีแล้วก็รู้สึกแปลกๆ... ทำนองว่า เขาจะมาอยู่ที่นีทำไมนั่นล่ะ ? ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรสักนิด นิเทศก็ไม่ได้เรียน ดูการทำงานของใครเขาก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
“วันนี้ยุนโฮดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยน๊า เพราะมีแฟนมาคอยให้กำลังใจใช่มั้ยล่า” หนึ่งในทีมงานสาวร้องแซว ซึ่งคนโดนแซวซึ่งหน้ามันยังอุตส่าห์จะฉีกยิ้มรับเสียเต็มที่อีก
ไอ้บ้า หน้าไม่อาย...
ตั้งใจจะข่มความอายโดยการตัดความสนใจจากคนที่แซวเล่นกันอยู่ แจจุงถึงได้คว้าแมกกาซีนใกล้มือมาเปิดอ่านเล่น แต่แค่มองหน้าปก แก้มที่ร้อนซู่อยู่แล้วก็ยิ่งเหมือนจะเดือดเสียให้ได้
เกาหลีใต้นี่คงจะขาดแคลนนายแบบขนาดหนัก...
บนกระดาษอาร์ตมัน สะท้อนรูปของนายแบบสองคนที่นั่งหันหลังชนกันแล้วหันหน้ามายิ้มให้กล้อง คนตัวเล็กกว่าซ่อนตัวอยู่ในฮู้ดดี้สีฟ้าสดใส ฉีกยิ้มน่ารักจนเห็นแล้วชวนให้ยิ้มตาม ในขณะที่อีกคนที่สวนเสว็ตเตอร์สีน้ำกรมท่าน่ะ... ฮึ ทำหน้าตาน่าหมั่นไส้ที่สุด
“นึกว่าหล่อนักหรือไง แบร่~!”
แจจุงแลบลิ้นให้คนที่ยืนเก๊กบนหน้าปก ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคนที่โดนแลบลิ้นใส่รูปตัวเองน่ะ ก็ยืนมองกริยาเหมือนเด็กเล็กๆ ของเขาด้วยแววตาระยิบเช่นกัน นิ้วเรียวพลิกเปิดหน้าหนังสือไปเรื่อยๆ ยิ่งมองภาพแฟชั่นที่ถูกคัดมาตีพิมพ์แต่ละรูปก็ยิ่งต้องยอมรับปนน้อยใจสวรรค์
ไม่ยุติธรรมเลย
ทำไมไม่แบ่งความหล่อของไอ้หมอนี่มาให้เข้าบ้างเล่า!
“บทสัมภาษณ์... งั้นเหรอ”
นิตยสารฉบับต้นเดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรักทั้งที ไม่น่าแปลกใจเลยที่เนื้อหาบทสัมภาษณ์จะวนเวียนอยู่กับเรื่องความรักนี่แหละ ถ้าอ่าน... ก็จะได้รู้มุมมองความรักของหมอนี่เพิ่มขึ้น ใช่ไหม? เผื่อเขาจะเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้คิดยังไง ถึงได้บังคับเอาลูกชาวบ้านมาเป็นแฟนกันง่ายๆ แบบนี้
กรอบข้อความอันใหญ่ตรงกลางหน้ากระดาษดึงดูดสายตาคนอ่าน... แจจุงก็เป็นหนึ่งในคนอ่านเช่นกัน ตากลมโตจึงตวัดไปอ่านข้อความที่ถูกเน้นให้เด่นในกรอบนั้นเสียก่อน
QUOTE |
|
“อ่านอะไรอยู่ ไปกันได้แล้ว”
แม่ง! โคตรไร้อารยธรรมอ่ะ คนกำลังอ่านอยู่ดีๆ หมอเล่นดึงหนังสือออกจากมือเฉย ไม่มีบอกไม่มีกล่าวล่วงหน้า... ไม่พอ มือน่ะ เอามาโอบรั้งทำไม ไม่ต้องทำประเจิดประเจ้องี้เขาก็พร้อมเดินตามไปอยู่แล้วน่า ก็อยากออกไปจากบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้อยู่แล้ว
“งานเสร็จแล้วเหรอ”
เห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นชุดลำลองของตัวเองแล้วเลยถามขึ้นมา
“อื้ม... ไปกันเถอะ
มือหนาเอื้อมมากุมมือของคนตัวขาวไว้ พาให้ก้มหัวลาทีมงานลวกๆ แล้วก็เดินออกไปจากสตูดิโอด้วยกัน
“วันนี้เบื่อรึปล่าว?” คำตอบคือกลุ่มผมนิ่มที่กระจายไปตามแรงสะบัดของศีรษะ
“ไม่หรอก... พี่ๆ แต่ละคนคุยสนุกดี” ถ้าไม่นับเรื่องนี่เอาแต่ชมว่าเขาสวยอย่างนู้น สวยอย่างนี้ล่ะก็นะ
“ดีแล้ว ทำตัวให้ชินเข้าไว้” มือเล็กที่ถูกกอบกุมไว้กระตุกมืออีกฝ่ายทันที
“หมายความว่าไง” ร่างสูงเพียงยกยิ้มมุมปาก
“อ๊ะ พี่ยุนโฮ!!!!”
ไม่ทันที่แจจุงจะได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไร เสียงสูงๆ จากบุคคลที่สามก็ดังมาแย่งความสนใจไปเสียก่อน
เขาและยุนโฮหันหน้าไปตามทิศที่มาของเสียง... และนั่น ภาพชายหนุ่ม... เด็กหนุ่ม? ในชุดเสื้อยืดสีชมพูอ่อนทับด้วยเสื้อไหมพรมสีขาว ดูรับกับดีกับพวงแก้มอิ่มที่กลายเป็นสีระเรื่อเพราะวิ่งฝ่าอากาศเย็นๆ มา
มือของเขาถูกปล่อยออก...
นิ้วมือทั้งสิบไม่ได้ประสานกันอีกต่อไป
เมื่อเจ้าของมือหนาเลือกจะปล่อยมือเขาแล้วเดินตรงไปหาผู้มาใหม่แทน
“มีอะไรรึปล่าว จุนซู?”
เสียงนุ่มทุ้มของยุนโฮท่าจะมีฤทธิ์แรงพอดู คนฟังเลยยืนบิดไปบิดมาพร้อมทำท่าเขิน แก้มกลมๆ มีสีเลือดฝาดซ่านจนเห็นได้ชัด ... ดูน่ารักดี
“คือว่า.... นี่ฮะ” ร่างเล็กป้อมหยิบกล่องของขวัญที่ผูกโบว์สีหวานขึ้นมาจากถุงกระดาษที่ถืออยู่ นัยน์ตากลมยิบหยี ปากอิ่มฉีกยิ้มเสียเต็มแก้มทั้งที่ใบหน้านั้นเรื่อสีเลือดหนักเข้าไปใหญ่ยามที่แขนเล็กยื่นตรงมาหาร่างสูงครงหน้า “ช็อกโกแล็ตน่ะ... ผมให้ฮะ”
รอยยิ้มแบบนี้ ... คุ้นตา ?
เหมือนจะเป็นนายแบบที่ถ่ายคู่กับยุนโฮในแมกกาซีนเล่มเมื่อกี้... สินะ
“ขอบใจนะ” มือหนาเอื้อมไปรับกล่องใบเล็กมาง่ายๆ แถมยิ้มหวานให้หนึ่งที แล้วจึงบอกลาอีกฝ่าย
“พี่ไปแล้วนะจุนซู”
“ฮะ พี่... ยุนโฮ”
QUOTE |
|
ประโยคเมื่อกี้หวนกลับมาดังก้องในสมอง ...
จะคิดมากทำไมล่ะแจจุง จะไปเชื่ออะไรกับคำสัมภาษณ์ที่ตอบส่งๆ ไป
ดีไม่ดี อาจจะไม่ใช่คำตอบจากปากของชอง ยุนโฮเองก้ได้ ใครจะไปรู้
จะ... รู้สึกแปลกๆ ทำไม ?
ห้องโดยสารรถยนต์เงียบสนิท เมื่อคนนึงตกอยู่ในภวังค์ส่วนตัว... และแน่นอนว่ายุนโฮไม่ชอบความเงียบแบบนี้
“แจจุง...” ไม่รู้ตัว
“แจจุงอ่า” คราวนี้ร่างบางถึงกับสะดุ้ง ไม่ใช่เพราะเสียงเรียกหรอก แต่เป็นสัมผัสอุ่นๆ ของมือหยาบที่ตบลงบนมือเขาต่างหาก
“เล่นบ้าอะไรเล่า ขับรถดีๆ สิ” เป็นการดุที่ฟังดูน่ารักเกินไป คนโดนว่าเลยยิ้มรับไม่ถือสา แถมยังโชว์ท่าจับพวงมาลัยแบบสบายๆ เสียอีก
“ก็เห็นนายไม่สนใจ” ดัดเสียงเล็ก นี่เรียกว่าอ้อน ?
“ก็สนแล้ว อย่ามาทำเป็นเด็กมีปัญหาหน่อยเลย” ตากลมตวัดมองร่างสูงที่ทำหน้าหงอยอย่างจงใจ
“ใจร้าย แฟนใครไม่รู้ใจร้ายชะมัด วาเลนไทน์ทั้งที ช็อกโกแล็ตก็ไม่มีให้ซักนิดอ่ะ”
“ก็ได้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจะอยากได้อะไรอีก” พูดลอยๆ...
“ก็มันไม่ใช่จากคนที่ฉันอยากได้นี่นา” คราวนี้เสียงทุ้มไม่เจือแววล้อเล่นแบบที่ผ่านๆ มา ยุนโฮหักพวงมาลัยรถเข้าจอดริมทาง ดีที่ตรงนี้เป็นถนนเส้นเล็ก ไม่ค่อยมีรถสัญจรผ่านในบ่ายวันทำงานแบบนี้
เงียบงัน...
อึดอัด..
“เมื่อกี้...” แจจุงเป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน กลีบปากบางเลยเริ่มเอ่ยถ้อยคำเบาๆ “ในแมกกาซีน... นายบอกว่าไม่รับช็อกโกแล็ตของใคร แต่ว่า...”
ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่าเรื่องที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่มันช่างไร้สาระสิ้นดี
เขาไม่ใช่สาวน้อยวัยหวานซักหน่อย จะได้มัวมากังวลกับเรื่องอะไรแบบนี้
คิม แจจุง นายนี่มัน... ให้ตาย...
สายตาคมผ่อนลง เหลือเพียงแววที่เดาไม่ถูกยามจับจ้องใบหน้าเนียน
“จุนซูก็เป็นเหมือนน้องชายคนนึง ชั้นไม่เคยคิดอะไรกับเด็กคนนั้น” นิ้วแกร่งปัดลูกผมที่ตกลงมาปรกหน้าอีกฝ่ายให้พ้นใบหน้าสวยแผ่วเบา “แต่ความคิดของเค้าจะเป็นยังไง... ชั้นเองก็บังคับใจเค้าไม่ได้เหมือนกัน”
เป็นคำพูดของคนเห็นแก่ตัวชัดๆ !!
พอเห็นหน่วยตากลมโตตวัดขึ้นมองเหมือนแมวงอนเจ้าของ และพร้อมจะตวัดกงเล็บข่วนทุกเมื่อ ร่างสูงเองก็อดจะยิ้มไม่ได้... แมวตัวโตตัวนี้ อารมณ์อ่อนไหวน่าดูแฮะ
“ให้พูดยืนยันชัดๆ เลยก็ได้... ฉันอยากได้ช็อกโกแล็ตจากนาย”
เสียงทุ้มเบสแผ่วเบา แต่มั่นคงในใจคนฟัง
ยุนโฮกดปุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออก โน้มร่างเข้าหาคนที่นั่งตัวลีบ ใกล้กันจนเห็นขนตายาวเป็นแพ นัยน์ตากวางหรุบลง ให้เห็นเพียงเปลือกตาบางใส... มือสองข้างของร่างสูงยันเบาะข้างคนขับไว้ ... กักขัง อีกฝ่ายให้อยู่ใต้อ้อมแขน
ปลายจมูกชนกัน....
ลมหายใจอุ่นร้อนรินรด
“นี่ไง เจอแล้ว”
เหมือนเส้นด้ายที่ถูกดึงจนขมึงเครียดผ่อนลงในทันตา บรรยากาศกดดันกลายเป็นคอนเฟตติสีสดใสโปรยปรายเมื่อยุนโฮคว้าเอากล่องของขวัญสีหวานมาจากกระเป๋าสะพายของเขาได้
“ไม่ยักกะรู้ว่านอกจากอาชีพนายแบบแล้ว ชอง ยุนโฮยังเป็นหัวขโมยซะด้วย” แจจุงเบือนหน้าหนี น้ำเสียงตวัดอย่างแง่งอน
“ขโมยอะไร นี่มันสมควรเป็นของฉันอยู่แล้วต่างหาก” ปลายนิ้วแกร่งเชยคางมนให้หันกลับมาสบสายตา
“จริงไหม?”
“โลภมาก... ตัวเองก็ได้จากคนอื่นมาแล้วแท้ๆ” แจจุงยังไม่ละความพยายาม ถึงหน้าตัวเองจะโดนนิ้วแก่งจับยึดไว้ สายตาก็ยังหาทางเลี่ยงหลบให้ไม่ต้องเห็นอีกฝ่ายจนได้
“ก็มันไม่ใช่จากคนที่ฉันอยากได้”
“เอามา” เสียงใสตวัด ห้วน สั้น พร้อมกับใบหน้าหวานที่หันมาต่อตากับอีกฝ่ายตรงๆ
“หืม” ยอมรับเลยว่าเขางงและตามไม่ทัน
“เอาช็อกโกแล็ดของจุนซูมา”
“ทำไม อยากกินหรือไง”
“ใครว่า ก็มันเป็นความรักที่ส่งมาให้นาย แต่ความรักทั้งหมดของนายต้องเป็นของชั้น เพราะงั้น ช็อกโกแล็ตนี่ก็ต้องเป็นของชั้น ไม่ถูกรึไง” อา... แจจุงโหมดเด็กหวงของเล่น น่ารักที่สุด แล้วก็น่าตามใจที่สุดเช่นกัน แต่ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเด็กน้อยจะเสียนิสัยเสียก่อน
“จะเอาความรักของชั้นไป ก็เอาของนายมาแลกสิ”
ไม่รู้หรือว่ายุนโฮน่ะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นยอด ไม่ยอมแลกเปลี่ยนโดยไม่เท่าเทียมหรอก
“ชั้นไม่มีจะให้”
“งั้น... แย่ง ล่ะนะ”
จบประโยคนั้น ยุนโฮก็-แย่ง-ลมหายใจของร่างบางมาเป็นของตัวเอง เข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางท้องถนน บัดนี้กลับกลายมาเป็นหนึ่งในพันธนาการที่ทำให้แจจุงดิ้นหนีไปไหนไม่สะดวก ยิ่งเมื่อแขนแกร่งรั้งตัวเขาเข้าไปแนบชิดยิ่งเหมือนปลอกเหล็กที่เขาไม่อาจหลุดรอดไปได้
ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจเมือใบหน้าของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วจนริมฝีปากสองคู่ปัดผ่านไปมาทุกจังหวะขยับตัว... ตาคมจดจ้อง... มองลึกลงไปในแววตาอีกฝ่ายอย่างจะถ่ายทอดอะไรบางอย่างที่แจจุงไม่อาจเข้าใจ ทั้งอย่างนั้น ดวงตาที่ทรงพลังก็ยังเปี่ยมพลังเหลือเกิน
ชั่ววินาทีนั้น... กลีบเนื้อนุ่มหยุ่นสองคู่ก็สัมผัสกัน ถึงแจจุงจะตกใจแค่ไหนก็ไม่เซ่อพอจะไม่รู้ว่าเขากำลังโดนขโมยจูบอย่างอุกอาจ เจ้าตัวพยายามเม้มริมฝีปาก ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาได้ แต่มันก็ยากเหลือเกินในยามที่อารมณ์เบื้องลึกกำลังถูกชักนำเยี่ยงนี้ ไม่ได้อยากหวั่นไหว... แต่อารมณ์ฝ่ายต่ำมันต้านทานยากเหลือเกิน
ลมหายใจแทบขาดห้วง... แจจุงใช้โอกาสที่อีกฝ่ายละริมฝีปากเพียงนิดเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอด มือเรียวขาวดันหน้าอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็ว
นั่นแหละ... ยุนโฮจึงได้เห็นริมฝีปากที่แดงช้ำและมันวาว ดวงตาคู่สวยที่แดงช้ำ และ... คราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้างาม
แจจุงกระพริบตาไม่กี่ที แพขนตาที่ชื้นน้ำก็ไม่มีหยาดหยดใดไหลรินออกมาอีก และแม้เสียงหวานจะสั่นพร่า เจ้าตัวก็ยังพยายามเปล่งคำพูดออกมาแผ่วเบา
“ชั้นไปล่ะ...”
แข็งใจ... รวบรวมแรงกายแรงใจ เปิดประตูแล้วก้าวออกไปช้าๆ ... ขาเขา ไม่สั่นใช่ไหม?
เวลาเดือนเดียวที่อีกฝ่ายทำตัวสนิทสนม ทำให้เขาลืมไปได้อย่างไรนะ
...ว่ายังไง เราก็ไมได้มีความรู้สึกให้แก่กัน
แต่อีกฝ่ายคงไม่ลืม
ถึงได้ข่มเหง... ความรู้สึกเขาง่ายๆ เช่นนี้
“ฉันไม่มีทางปล่อยนายไป”
...แว่วมาตามลม
.
.
.
To be continued...
ความคิดเห็น