ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TVXQ] ,,, twelve fourteenth ,,, [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #1 : 1st fourteenth

    • อัปเดตล่าสุด 8 ธ.ค. 54


     

    Title ; twelve fourteenths
    Paring ; yunhojaejoong & yoochunjunsu
    Genre ; ramantic, drama
    Author ; hasu



     


    twelve fourteenths
    1st fourteenth






    14 Jan
    Diary Day


    วันที่คู่รักจะมอบสมุดไดอารี่ให้กัน








    ในชั่วโมงทำงานแบบนี้ ร้านกาแฟเล็กๆ ที่อาศัยพื้นที่ชั้นล่างของตึกสำนักงานให้เช่าค่อนข้างจะเงียบเหงา เพราะลูกค้าประจำอันได้แก่มนุษย์สูททั้งหลายกำลังหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับสารพัดเอกสารในออฟฟิสอยู่นั่นเอง 



    ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีบางคนที่ชื่นชอบความสงบแบบนี้เหลือเกิน





    ที่นั่งตรงมุมร้านซึ่งไม่เป็นที่สะดุดสายตาใครมากที่สุด เนื่องจากมีกระถางฟิโลต้นใหญ่บังไว้เสียเกือบมิด มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งละเลียดกาแฟร้อนอยู่อย่างสบายอารมณ์... จนกระทั่งมีเสียงดังเข้ามาแทรกความเงียบสงบที่เจ้าตัวมีทีท่าโหยหานักหนาขึ้นมานั่นล่ะ ใบหน้าหล่อเหลาจึงได้ละความสนใจจากแก้วกระเบื้องเคลือบตรงหน้า




    เลิกกันเถอะ!

    แรงได้อีก... เป็นประโยคบอกเลิกทีสุดแสนจะคลาสสิค ให้ตายเถอะ ทั้งสั้น ห้วน ไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้เลยน่ะเหรอ? ใครมันยอมเลิกโดยดีก็คงจะบ้าไปแล้วแน่ๆ



    อื้ม ตกลง

    เสียงทุ้มตอบง่ายๆ น้ำเสียงเจือแววโล่งใจเสียด้วยซ้ำ


    เฮ้ย อะไรมันจะง่ายดายขนาดนี้!? ไม่มีเล่นตัวซักหน่อยอะ?



    จะว่าผมสอดรู้ก็ได้นะครับ แต่มันก็เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคนนั่นแหละที่อยากรู้อยากเห็น สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยอาดัมกับอีวาแล้วไง... ผมได้ถึงได้เขยิบตัวเข้าใกล้ทิศที่มาของเสียงเพิ่มขึ้น และพยายามสอดส่ายสายตาหาเจ้าของเสียงทั้งสอง ก็... แค่อยากเห็นหน้าเฉยๆ แหละน่า



    ได้เรื่อง... 



    ร่างสูงใหญ่พาขาตัวเองก้าวยาวๆ ออกมาจากด้านในของร้าน ผ่านหน้าผมในระยะที่ใกล้พอจะสังเกตเห็นสีหน้าได้ นอกจากจะไม่มีทีท่าเศร้าแล้ว ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังประดับรอยยิ้มเสียด้วยซ้ำไป คนนี้คงเป็นเจ้าของเสียงโล่งใจสินะ ทำไมกัน ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกบอกเลิกกลับดูสบายใจแบบนี้น่ะเหรอ


    ต้องโทษตัวสอดรู้ของตัวเอง บวกกับความแปลกใจในสิ่งที่สมองประมวลผลได้ ผมถึงได้มองย้อนไปทางทิศที่ผู้ชายคนนั้นเดินออกมา... ไม่ยากเกินคาดเดา ที่ตรงนั้นมีผู้ชายอีกคนยืนอยู่


    อืม... ผู้ชาย... แต่เป็นผู้ชายที่ตัวเล็กชะมัด แล้วก็... ให้ตายสิ พอเขาเงยหน้าข้นมา สิ่งเดียวที่ผมคิดออกก็คือ -สวยชะมัด- เป็นผู้ชายที่สวยจนทำให้หยุดหายใจได้จริงๆ แต่เป็นความสวยเหมือนสายหมอกยามเช้า มันดูอึมครึมและหม่นหมอง พร้อมที่จะจางหายไปอยู่ทุกเมื่อ 


    ไหล่เล็กที่สั่นเทาเรียกความสนใจคนมองได้มากพอดู ขอบตาแดงก่ำแม้ไม่มีน้ำตาซักหยดไหลออกมา แต่ทั้งสีหน้า แววตา และกิริยาที่เจ้าตัวกอดสมุดเล่มไม่ใหญ่นักไว้แนบอกนั้นมันกลับสื่อความเจ็บปวดออกมาได้มากกว่าหยดน้ำไร้สีสันไม่กี่หยดซะอีก




    อ๊ะ!

    เจ้าตัวเขาหันมาเห็นผมพอดี




    ผมว่าผมก็ไม่ได้จ้องจนน่าเกลียดหรือเสียมารยาทเกินพอดีนะ? แต่ตากลมๆ ของคนตัวเล็กนั่นมันวาววับขึ้นมาเรื่อยๆ ตามจังหวะฝีเท้าที่เจ้าตัวก้าวมาหาผมใกล้เข้าๆ จนมาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า



    กลิ่นน้ำหอมบางเบาอลอวล...


    เรียวปากบางเม้มแน่นสลับกับคลายไปมาอยู่อย่างนั้น ทำท่าเหมือนคนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่พูด... แล้วในวินาทีที่เขาจะหมุนตัวจากไปโดยกลิ่นไม่ทันจางนั้นเอง



    นายมีอะไรจะพูดหรือเปล่าดูท่า หากผมไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน กรอบร่างบางนี่คงเหลือค่าแค่ความทรงจำที่รอวันรางเลือนเป็นแน่ 


    ผมจับจ้องมองดวงตาคู่กลมผ่านเลนส์แว่นสีชาที่ตัวเองสวมอยู่ ... เสียดาย ขอบตานั้นช้ำอย่างน่าใจหาย ใบหน้าสวยๆ แบบนี้ มันเหมาะกับรอยยิ้มเต็มที่มากกว่านะ


    โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผมส่งแรงสั่นสะเทือนโดยไร้เสียง แต่ช่างมัน ยังไงก็ไม่พ้นสายโทร.เข้าตามตัวผมให้โผล่หน้าไปที่สตูดิโอไม่ใกล้ไม่ไกลนี้อยู่ดี เรื่องงานน่ะ ถึงจะมีสีสันมากแค่ไหน แต่การอยู่กับสีสันฉูดฉาดตลอดเวลา มันก็ทำให้คนเราอยากจะตาบอดสีได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ 



    ที่สำคัญ

    เรื่องตรงหน้ามันดูน่าสนุกกว่าเยอะ ~




    ว่าไงล่ะ เห็นจ้องหน้าฉันอยู่ได้โชคดีที่เลนส์สีชาบังใบหน้าครึ่งบนของผมได้เกือบมิด อีกฝ่ายคงไม่ทันสังเกตว่าแววตาของผมมันวาวระยับเพียงใด ไม่งั้นคงไม่มายืนกัดปากทำหน้าลังเลใจแบบนี้อยู่หรอก


    นายเองก็แอบมองอยู่ก่อนนี่...เสียงหวานแฮะ ถึงจะยังตอบไม่เต็มเสียงก็เถอะ 


    หืม... งั้นเหรอ…~” จงใจเลยล่ะ ลากเสียงให้ดูยียวนนิดหน่อย ความสามารถพิเศษที่พระเจ้าประทานมาให้ผมเลย กับการยั่วโมโหใครสักคนเนี่ย แล้วดูท่าจะยั่วขึ้นเสียด้วยนะ จุดเดือดต่ำจริง คนสวย


    ดวงตากลมโตยังโดนเคลือบไว้ด้วยหยาดน้ำคลอคลอง แต่แววเศร้าเมื่อครู่กลับหายวับไปเรียบร้อยเมื่อเจ้าของมันหันมาถลึงตามองอย่างโกรธๆ แทน เรียวขาบางก้าวฉับๆ มาหาผม ระยะห่างระหว่างเราที่สั้นลงทำให้ยิ่งพิจารณาใบหน้าหวานได้ชัดใกล้



    สวยจะตาย...นัยน์ตากร้าวเหมือนจะถูกความงงงันเข้าโจมตี เป็นภาพที่ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้เลยทีเดียว ผมส่งยิ้มที่ดูเป็นมิตรที่สุดให้คนที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเริ่มพูดประโยคถัดไป 


    นายน่ะสวยจะตายไป ตอนยืนนิ่งๆ เมื่อกี้ สวยเหมือนตุ๊กตาเลยเชียวแก้มขาวนวลซ่านสีเลือดขึ้นทันตา แต่แววตาที่วาววับขึ้นนั่นเป็นตัวบอกได้ดีว่าสีแดงบนในหน้าคงไม่ได้มาจากความเขินอายอย่างที่ผมอยากให้เป็น... แต่ฉันว่า นายที่แสดงอารมณ์น่ะ สวยกว่าเป็นไหนๆ




    ถึงจะเป็นอารมณ์โกรธก็เถอะ

    มันก็ทำให้ดวงตาคู่สวยมีประกายได้แล้วกัน




    ร่างเล็กที่ได้รับประโยคกินนัยเข้าไปเต็มๆ ถึงกับนิ่งไปเป็นครู่ในคราแรกอย่างงงงัน ก่อนรอยยิ้มจางจะค่อยๆ เผยโฉมให้เห็น เหมือนภาพรีเพลย์ของดอกไม้ที่แห้งเหี่ยว ยามได้รับสายน้ำหลั่งรินรดก็กลับค่อยฟื้นตัว สดใส และกลับมาเป็นดอกไม้ที่ค่อยแง้มกลีบบานได้อีกครั้ง




    น่าเด็ดดอกไม้เหลือเกิน

    หวังว่ากลีบอ่อนบางจะไม่ชอกช้ำง่ายจนเกินไปนะ




    นี่...กลีบปากสีแดงอ่อนขยับไปมาแผ่วเบา ขอบใจนะ ฉันจะไม่ว่าที่นายเสียมารยาทแอบฟังคนอื่นเค้าอยู่ตั้งนานสองนานแล้วกัน เจ๊ากันไปเนอะใครจะรู้ว่านางฟ้าคนสวยก็เข้ากับท่าทางยียวนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว พูดจบก็เอื้อมมือไปวางสมุดที่ถือไว้อย่างดีลงบนโต๊ะ ปากอิ่มขยับเป็นคำพูดเบาๆ แล้วก็หมุนตัวจากไป



    สมุดนี่ไม่มีค่ากับฉันแล้ว และฉันก็จะทิ้งมันไว้ตรงนี้นี่แหละ ไม่ได้หวังว่าจะมีใครเก็บไปหรอก” 





    แผ่นหลังบอบบางห่างออกไปทุกที

    ...ร้ายชะมัด






    เขา -ชอง ยุนโฮ- เอื้อมมือไปหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กแต่หนาพอควรมาถือไว้ในมือ ค่อยพิจารณามันราวกับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ไล้นิ้วไปตามปกสีน้ำตาลอ่อนลวดลายโมโนแกรมคุ้นตา ... LV … บ้าหลุยส์ใช่เล่นนะคนสวย ยุนโฮนึกหัวเราะกับตัวเอง ก่อนจะลองพลิกสำรวจหน้าในที่เป็นกระดาษสีนวลตา



    หลังรองปกหน้า... ลายมือเป็นระเบียบเรียงตัวกันอยู่




    เซอร์ไพรส์!!!

    รู้มั้ยว่าวันนี้วันอะไร? อย่าตอบว่าวันศุกร์เชียวนะ!
    เคยได้ยินไหม 14 มกรา ไดอารี่เดย์น่ะ


    ... นายต้องขมวดคิ้วอยู่แน่ๆ ฮ่าๆ
    ฉันรู้น่าว่าวันพิเศษพวกนี้มันมีเยอะซะจนจำไม่หวาดไม่ไหว


    ก็ไม่ได้คิดว่านายจะมานั่งเขียนบันทึกอะไรหวานแหววทุกวันหรอกนะ
    แต่ถ้า... นานๆ ที... อืม ถ้านายอยากจะเขียนน่ะนะ
    ฉันก็อยากให้มีเรื่องราวของเราบันทึกอยู่บนไดอารี่เล่มนี้บ้าง



    ทั้งเรื่องที่นายอยากจะบอก... หรือไม่กล้าบอกฉัน


    เขียนมันด้วยนะ


    แจจุง





    แจจุง... ชื่อของคนตัวเล็กนั่นสินะ แล้วนี่ก็คงจะเป็นไดอารี่ที่ตั้งใจจะให้เป็นของขวัญ ข้อความในนั้นสะท้อนความรู้สึกดีๆ ออกมาเต็มเปี่ยม แล้วทำไมเรื่องราวระหว่างสองคนมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้? ดูไม่เหมือนคนจะเลิกกันสักนิด ตัวหนังสือที่เรียงราย คราบน้ำตาของคนที่ต้องบอกลา มันทำให้เขาได้เห็นอะไรบางอย่าง


    ฝ่ายที่ตัดความสัมพันธ์ อาจจะไม่ใช่คนที่หมดรักไปก็ได้สินะ




    ถ้างั้นเพราะอะไรล่ะ?

    อย่าบอกว่าเพราะเหตุผลห่วยๆ อย่าง -รักมากเกินไป- เชียวนะ




    น่าสนใจดีนะ... แจจุง...ยุนโฮถอดแว่นกันแดดที่ใส่อยู่เหน็บไว้กับคอเสื้อ ก่อนจะค่อยๆ พิจารณาตัวหนังสือบนกระดาษอีกครั้ง ไม่ได้ให้ความสนใจกับแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงที่จู่ๆ ก็หยุดไป และเงาของใครบางคนที่เข้ามาใกล้...


    ตอนนี้นายสนใจงานของตัวเองก่อนเถอะ ทำไมไม่โผล่หัวไปสตูซักทีหา!” 



    .



    .



    .




    ทำไมเวลาเสียใจคนเราต้องหันเข้าหาเหล้า ?



    ดื่มเข้าไปก็แค่เมา เมาหนักก็แค่อ้วก อาจจะมีน็อคขาดสติไปบ้าง แต่พอหายเมาค้าง นอกจากอาการปวดหัวตุบๆ ที่แสนน่ารำคาญแล้วก็ไม่มีชิ้นส่วนความทรงจำใดกระเด็นหายไป ใช่ ความเจ็บปวด เรื่องแย่ๆ ทุกอย่างมันก็ยังเหมือนเดิม รังแต่จะทับถมจนเพิ่มพูนด้วยซ้ำ 



    ทั้งที่คิดแบบนี้ทุกทีที่มองแก้วทรงสูงบรรจุเมรัยแก่ดีกรี แต่ทุกครั้งที่มีปัญหา เขาก็ยังสมัครใจจะมานั่งทอดอาลัยใส่น้ำสีอำพันนี่อยู่ดี ถึงชางมินจะชอบบ่นทุกครั้งที่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวเขาก็เถอะ




    อืม... ตอนนี้ก็คงไม่มีใครมานั่งบ่นแล้วสินะ

    เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่อีกฝ่ายจะคอยมาบ่นจ้ำจี้จ้ำไชเหมือนเดิมแล้ว




    เรียวปากบางเหยียดยิ้มหยันให้กับตัวเอง พร้อมยกกระป๋องเบียร์เย็นเฉียบขึ้นแตะขอบปาก ... รสแปลกไป... นี่เขามึนขนาดซื้อผิดยี่ห้อเลยหรือ ?



    แจจุงปล่อยตัวเองให้เอนหลังไปกับเก้าอี้ยาวหน้าสถานีแห่งหนึ่ง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นที่ไหน เขาก็แค่นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ พอรู้สึกว่าอากาศที่รายรอบตัวเริ่มจะขาดหายไปก็เลยออกมาเท่านั้น คิดแล้วก็สมเพชตัวเอง นี่เขาทำตัวล่องลอย ไร้ค่าได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ?




    ก็แค่... ต้องปล่อยมือจากความรักที่พยายามรั้งมานานไป...

    รั้งไว้จนสายป่านมันตึง ท้ายสุดก็ดีดกลับมาทำร้ายตัวเอง



    เบียร์กระป๋องเดิมถูกยกซดอีกครั้ง เรียวลิ้นไล่ซับไปตามหยาดน้ำสีเหลืองอำพันที่เปื้อนมุมปาก ตากลมมองเหม่อไป ดูผู้คน ความวุ่นวายของตัวเมือง ปล่อยความรู้สึกตัวเองไปกับแอลกอฮอล์ที่ทิ้งรอยทางเป็นความรู้สึกเย็นวาบผ่านลำคอ ก่อนจะร้อนระอุอยู่ในท้องน้อย


    หลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามอง... ก็แน่ล่ะ ต้องยอมรับว่าเขาดูดีน้อยเสียเมื่อไหร่ ไอ้สายตาโลมเลียอะไรพวกนี้ ความรู้สึกเขาล่ะไวนัก


    แจจุงเปิดเบียร์กระป๋องที่... เท่าไหร่เจ้าตัวก็นับไม่ถูกแล้วแฮะ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย... น่าโมโหตรงที่มันคอยแต่จะลอยไปหาเรื่องราวของความสุขระหว่างเขากับผู้ชายเฮงซวยคนนั้น... ชิม ชางมิน... คนรักที่เคยแสนดี คนเดียวกับคนที่ทำเขาแทบเป็นบ้าว่าตัวเองทำผิดอะไรทุกสิ่งที่เคยสวยงามถึงได้เปลี่ยนแปลงไป



    เขาคิดจริงจังกับความรักครั้งนี้มากพอดูเลย

    จากแจจุงคนที่ชอบเที่ยว ก็เปลี่ยนมาเป็นแจจุงคนที่อยู่ติดบ้าน จากคนที่มีคู่รักมากมาย ก็เปลี่ยนเป็นซื่อสัตย์ต่อคนๆ เดียว



    นั่นเป็นเพราะรัก...

    เพราะสิ่งที่เขาเคยเชื่อว่าเป็นความรัก




    แล้วยังไง แค่มีผู้หญิงคนนั้นเข้ามา เธอไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้สิ่งโง่ๆ ที่เขาเคยเชื่อว่าเป็น ความรักของเขาไปครอบครอง ... แค่เพราะหล่อนเป็นผู้หญิง ส่วนเขาเป็นผู้ชาย



    และความรักของผู้ชายกับผู้ชาย... มันไม่มีอนาคต


    ...เจ็บปวดดีมั้ยล่ะ หึ





    ที่เจ็บยิ่งกว่าคือไอ้เวรนั่นทั้งที่กล้าพอจะมีคนใหม่ แต่กลับไม่กล้าพอจะบอกความจริงกับเขา ปล่อยให้ต้องทนทุกข์ใจกับความเปลี่ยนแปลงอันน่าชิงชัง ปล่อยให้เขาคิดโทษตัวเองอยู่ตั้งนานว่าทำผิดอะไร และพยายามแทบบ้าเพื่อประคองความสัมพันธ์ที่ดูบิดเบี้ยวให้ดำเนินต่อไปได้



    ไดอารี่เล่มนั้นเกือบจะเป็นความพยายามสุดท้ายของเขา...

    ก็แค่หวังว่า ถ้าชางมินไม่อาจซื่อตรงต่อหน้าเขาได้ อย่างน้อย ต่อหน้าสมุดเล่มนั้น หมอนั่นก็คงไม่เขียนคำหลอกลวงเพ้อพก



    แต่ก็ไม่ได้ให้ไปจนได้...


    ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นไปแล้ว ยังจะมาหวังความจริงใจอะไรอีก?

    มันไม่มีประโยชน์แล้ว




    อดจะนึกไม่ได้ว่าป่านนี้ไดอารี่เล่มนั้นจะอยู่ที่ไหน จะโดนวางลืมทิ้งไว้อยู่ที่เดิม? จะมีเด็กมือบอนเก็บได้และละเลงสีสันทับความในใจของเขา? จะโดนโยนทิ้งไปแล้ว? ... ข้อนี้คงไม่นะ เสียดายตายเลย ... แต่ถ้าจะให้ดี ถ้าผู้ชายท่าทางกวนประสาทแต่ใจดีคนนั้นเก็บไปก็คงไม่แย่เท่าไหร่นะ คิดซะว่าแทนคำขอบคุณที่ชมว่าเขาสวยก็แล้วกัน 




    บางทีเขาอาจจะเมาแล้วจริงๆ ก็ได้ ถึงได้คิดอะไรไร้สาระอย่างเอาจริงเอาจังแบบนี้ ~

    แจจุงหัวเราะกับตัวเอง...




    เสียงกระป๋องอลูมิเนียมกระทบกันดังเกรียวเมื่อคนดื่มไม่มีสติพอจะวางกระป๋องเครื่องดื่มในมือให้ดีๆ อีกต่อไป... ตอนนี้เขาเมาแล้วแน่ๆ เมามากซะด้วย คงได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะ




    โลกหมุน... 

    เวรเถอะ! แค่หยัดกายขึ้นก็เหมือนพื้นซีเมนต์รอบตัวมันยวบยาบไปทุกย่างก้าว แถมยังเอียงลาดไปมาอย่างกับแผ่นดินไหว เดินยากชิบแต่ก็ต้องเดินต่อไป ท่อนขาหนักอึ้งเหมือนโดนถ่วงด้วยแท่งตะกั่ว แจจุงเดินเซไปเซมาตามสติรู้ตัวที่ค่อยหดหาย...



    แม่งเอ๊ย!” 

    เท้าเล็กเตะก้อนกรวดหินที่ขวางทาง มันกระเด็นไปได้ไม่ไกล และคนเตะเองก็เหมือนจะกระเด็นไปทางเดียวกับหินนั้นด้วย สัมปชัญญะที่หลงเหลือน้อยนิดกระฉอกไปมาจนแทบไม่เหลือหลอ ตากลมที่เยิ้มไปด้วยฤทธิ์สุราเริ่มปรือปรอย ใกล้จะปิดลงมันตรงนั้นนั่นแหละ 



    นางฟ้าที่ไหน เมรีขี้เมาชัดๆ


    ในห้วงสติลางเลือน แจจุงรู้สึกเหมือนจู่ๆ ก็โดนโอบอุ้มด้วยผนังอันแข็งแกร่งแต่ไม่กระด้าง มันฉาบไว้ด้วยกระไออุ่นที่ชวนให้รู้สึกวางใจอย่างประหลาด กลิ่นหอมเย็นๆ จากเสื้อเชิ้ตเนื้อดีและสัมผัสแผ่วเบาที่ระเลื่อยจากกลางศีรษะ ซอกแก้ม ไหล่ลาด ไปจนถึงแผ่นหลังทำให้รู้สึกสบายตัว เหมือนจะล่อลวงเขา... 





    เข้าสู่วังวนของนิทรา


    .



    .



    .




    ปวดหัวชะมัด...



    แดดก็แยงตา ยัยพี่บ้าแอบมาเอาม่านในห้องขึ้นอีกแน่ๆ


    แต่แดดแรงขนาดนี้ กี่โมงแล้วนะ? วันนี้เขามีคลาสที่ขาดไม่ได้ตอนบ่ายเสียด้วยสิ ขืนนอนเพลินจนลืมตื่นล่ะแย่แน่ แต่...อืม ขี้เกียจชะมัด



    ท่อนแขนกลมกลึงที่โผล่พ้นผ้านวมผืนหนามากำลังบิดขี้เกียจไปมา ทำราวกับกำลังควานค้นอะไรบางอย่างแต่ไม่เจอเสียที สุดท้ายจึงละความพยายาม ไปคว้าเอาหมอนหนุนในโตมากอดแทน



    หืม... หมอน?


    เตียงที่ห้องเขามันควรจะมีหมอนใบเดียว คือใบที่กำลังหนุนอยู่สิ แล้วนี่มัน...




    เปลือกตาสีน้ำนมเบิกขึ้นทันที ตากลมมองกวาดไปรอบๆ เมื่อเจอภาพที่ไม่คุ้นเคยก็แสดงกริยาระแวดระวังภัยเหมือนลูกกวางตัวน้อยเพิ่งรู้ตัวว่าหลงมาอยู่ในถ้ำของราชสีห์เหี้ยมหาญ แจจุงทั้งตกใจ หวาดระแวง ปนกันไปเมื่อตื่นมาเจอสภาพที่ต่างจากห้องนอนที่คุ้นเคยของเขาไปไกลลิบ




    หนาว...

    ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศตกมากระทบเป็นระยะ เย็นจนต้องเผลอดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาปกคลุมหัวไหล่ที่เปลือยเปล่าของตัวเอง... ไม่สิ ไม่ใช่แค่ไหล่


    แจจุงก้มมองร่างกายตัวเองภายใต้ผ้าห่มสีน้ำเงินเข้มเข้าชุดกับเครื่องนอนแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อทั้งร่างของตัวเอง มีแค่บ็อกเซอร์ตัวเล็กปกคลุมไว้อย่างหมิ่นเหม่เท่านั้น


    หัวจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?




    หลับสบายมั้ยที่รัก หืม...~” 


    แจจุงหันขวับไปทางต้นเสียงทันที แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างงุนงง จนเจ้าของเสียงทุ้มเมื่อครู่ถึงกับหลุดยิ้มขำกริยาตกใจแบบน่ารักๆ นั้น



    อ้าว... ทำตาโตอีก ฉันล้อเล่นหรอกน่าร่างสูงทรุดลงนั่งริมเตียง นิ้วแกร่งไล้จากหางตาสวยเรื่อยมาตามข้างแก้มเนียน


    ...เขาแทบหยุดหายใจ


    ไม่ใช่เขินอาย แต่ตกใจจนหน้าขึ้นสีต่างหากล่ะ!




    ที่รักบ้าอะไร! แล้วที่นี่มัน...


    คอนโดฉันเองเสียงหวานเอ่ยไม่ทันจบ อีกคนก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน นำเสียงดูเป็นการเป็นงานขึ้นมาจนแจจุงเผลอช้อนตา ตั้งใจฟัง เมื่อคืนนายเมามาก ฉันผ่านไปเจอพอดี ทนดูไม่ได้เลยหิ้วนายมาด้วย จะพาไปส่งถึงบ้านก็จนใจ เลยพามาไว้ที่คอนโดฉันก่อนเนี่ยแหละ


    ร่างเล็กก้มหน้าจนคางแทบชิดอก มองเพียงผ้าห่มสีเข้มที่ยับยู่ยี่ ก่อนจะอุบอิบบอกเสียงแผ่ว ขอโทษนะ... แล้วก็ขอบคุณทั้งที่เป็นคนไม่รู้จักกัน แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังมีน้ำใจในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่ยังไงก็น่าด่าตัวเองที่สุด ปล่อยให้ขาดสติถึงขนาดโดนหิ้วไปไหนมาไหนไม่รู้ตัวขนาดนี้ได้ยังไง


    ความรู้สึกดีๆ กำลังเบ่งบานขึ้นทดแทนที่เคยอารมณ์ขึ้นไปเมื่อครู่


    ถ้าจะขอโทษเรื่องนี้ นายขอโทษที่ทิ้งของไม่เป็นที่เป็นทางดีกว่าน่าร่างเล็กเอียงคอสงสัยอีกครั้ง กายขาวบางเขยิบถอยเล็กน้อยเมื่ออ้อมแขนแกร่งยืดผ่านตัวเขาไปยังหัวเตียง สองร่างใกล้ชิดกันจนแจจุงได้กลิ่นสดชื่นจากอาฟเตอร์เชฟของอีกฝ่าย



    ความใกล้ชิดที่ชวนให้หวาดหวั่นดำเนินไปชั่วครู่ ร่างสูงก็ถอนกายกลับมาพร้อมสมุดเล่มนึงที่แจจุงคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก...



    นี่มัน...ไดอารี่ที่เขาตั้งใจจะให้ชางมิน... แต่ก็ไม่มีโอกาสนี่นา

    งั้นผู้ชายคนนี้ก็...



    นายคนที่เจอที่ร้านกาแฟใช่มั้ย ?”

    เมื่อวานตอนเจอกันในร้านนั่น หมอนี่ใส่แว่นกันแดดปิดใบหน้าซะเกือบครึ่งนี่นา... แต่พอมาลองมองใบหน้าคมโดยปราศจากเครื่องบดบังแล้ว แจจุงก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าผู้ชายคนนี้มีเครื่องหน้าที่แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งใบหน้าเรียวเล็กกว่าผู้ชายทั่วไป สันจมูกโด่ง ริมฝีปากหยักได้รูป และผิวที่เป็นสีแทนอ่อนทำให้ดูเข้มแข็งสมชาย




    แทบไม่มีที่ให้ติ ~


    ยิ่งพิจารณาไปก็ยิ่งดูคุ้นตา แต่ไม่คุ้นเคย... เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นใบหน้าได้รูปนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง... 



    ชอง... ยุนโฮ...?” เสียงหวานเอ่ยแผ่วๆ ไม่ใคร่จะมั่นใจตัวเองนัก... ใครจะไปมั่นใจได้ล่ะว่าตัวเองอยู่ต่อหน้าดารานายแบบที่มีทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียด้านผู้หญิงมากพอกันแบบยุนโฮคนนี้ ที่ตอนแรกนึกไม่ออกว่าใคร เขาขอโยนความผิดให้แอลกอฮอล์เข้มข้นที่ไหลเวียนอยู่ในสมองเลยเถอะ 



    ยังดีที่อุตส่าห์จำได้ริมฝีปากหยักกดยิ้มมุมปาก ทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นเปี่ยมด้วยเสน่ห์ร้าย เอาล่ะ เรื่องขอโทษเป็นอันตกไป ต่อไปก็เรื่องขอบคุณล่ะนะ...



    รอยยิ้มร้ายทำเอาแจจุงหวั่นใจ... แต่ถึงอย่างนั้น ร่างบางก็ยังแข็งใจตอบโต้ไป 

    ว่าไงล่ะ จะให้ฉันตอบแทนหรือไง” 



    หัวไวดีนี่

    ร่างสูงคืบกายเข้ามาใกล้ สองแขนแกร่งถูกใช้เป็นปราการกักร่างบางไว้ตรงกลาง




    ถอยไป! จะทำบ้าอะไรของนาย ถึงเป็นดาราก็ไม่ได้หมายความว่านายจะทำอะไรได้ทุกอย่างนะ
    สัญญาณอันตรายที่กรีดร้องในหัวเตือนให้แจจุงพยายามขยับตัวดิ้นหนี แต่ก็ไร้ประโยชน์ในเมื่อปลอกเหล็กนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก แถมเขาเองที่ยังไม่ฟื้นตัวจากพิษแอลกอฮอล์ เรี่ยวแรงที่เคยมีเลยลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือหลอ แม้จะไม่ต้องการ แต่ก็จำต้องปล่อยให้ใบหน้าคมมาวนเวียนใกล้ชิด



    ตอบแทนไง... ด้วยการคบกับฉัน

    พูดเหลวไหลอะไร!ร่างบางตวาดกลับในทันที


    หมอนี่... รู้ทั้งรู้ว่าเขาเพิ่งจะโดนบังคับให้ปล่อยมือจากความรักที่เฝ้าถนอม... รู้ทั้งรู้ว่าเขาเพิ่งจะอกหัก แถมยังเป็นพยานในฉากรักสุดท้ายของเขากับชางมิน

    ทั้งที่รู้อย่างนั้น ยังจะมาพูดบ้าๆ อะไรแบบนี้อีก



    ฉันชอบนาย
     
    หัวใจดวงเล็กกระตุกวูบขึ้นกับคำกล่าวไม่มีที่มาที่ไป 



    ฉันชอบตรงที่นายน่าจะเข้าใจอะไรง่ายๆ... ทั้งที่ตัวเองยังรักไอ้ผู้ชายคนนั้น แต่ก็ยอมปล่อยมือจากไปได้... ฉันเลยคิดว่านายคงไม่เหมือนผู้หญิงโง่เง่าที่วิ่งไล่ตามความรักเป็นคนบ้า ทั้งที่สิ่งที่เจ้าหล่อนเรียกเสียสวยหรูว่าความรัก ที่จริงมันก็แค่ก้อนสวะแห่งความใคร่ก็เท่านั้นแล้วการที่ต้องมีสวะมาพัวพันบ่อยๆ เนี่ย มันก็น่ารำคาญ จริงมั้ย?” ร่างสูงหลิ่วตาให้ 




    หัวใจเขายังช้ำไม่พอหรือยังไง ?

    ถึงได้ต้องมาทนถูกคำพูดเจือแววดูถูกนั้นกรีดซ้ำลงไปจนแผลมันเหวอะหวะเสียยิ่งกว่าเดิมแบบนี้




    ผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงพูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยนะ





    ขอปฏิเสธเขาต้องรวบรวมกำลังใจแค่ไหนนะ หางเสียงที่พูดออกมาจึงไม่สั่นไหวได้



    นายคงไม่อยากจะปฏิเสธจริงๆ หรอกร่างหนาหยิบกระดาษสามสี่แผ่นที่คั่นไว้ในสมุดไดอารี่เมื่อครู่ออกมาวางแผ่ต่อหน้าแจจุง “...ใช่ไหม?”


    ภาพที่สะท้อนในนัยน์ตากลมโต


    คือภาพของแจจุงที่เผยผิวเนื้อขาวจัดตัดกับสีเครื่องนอน มีเพียงผ้าห่มปิดบังส่วนสำคัญไว้พอหมิ่นเหม่ นอนอยู่ข้างเคียงกับชายอีกคนที่เห็นหน้าไม่ชัดนัก... 



    สวยใช่มั้ยล่ะ ?” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ ฉันถ่ายเองกับมือเลยนะ

    ทำไม...ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน...

    ถ้าแม่นายเห็นรูปนี้เข้าจะเป็นยังไงนะชายหนุ่มทอดเสียงสบายๆ แต่ทำเอาคนฟังร้อนรนจนเห็นได้ชัด


    ไม่นะ!


    นายมันบ้า... โรคจิตชัดๆ! เล่นละครมากไปหรือไงน่ะ อย่าเอามาสับสนกับชีวิตจริงแบบนี้ ฉันไม่ใช่นางเอกนิยายน้ำเน่าที่จะยอมก้มหน้าก้มตาทำตามนายเพราะวิธีสกปรกๆ แบบนี้หรอกนะ!

    หืม... สกปรกที่ไหนกัน ออกจะ...ใส สะอาดขนาดนี้ตาคมกวาดมองทั่วกรอบร่างบางหัวจรดเท้า สายตาแฝงนัยที่ส่งมาทำเอาแจจุงสะบัดร้อนสะบัดหนาว ต้องกระชับผ้าห่มคลุมตัวให้แน่นกวาเดิม 


    “…ใครว่านิยายน้ำเน่ากันล่ะ ฉันจะให้นายมาเป็นนางเอกนิยายรักโรแมนติคต่างหาก ฉันกำกับเองแถมยึดบทพระเอกเองด้วยนะ ดีไหม?”



    ถ้าฉันไม่ยอมล่ะ...เดิมพันครั้งสุดท้าย กับคำตอบของคำถามนี้

    ฉันว่านายฉลาดพอที่จะเลือกได้นะ แจจุงคำตอบไม่ได้ทำให้ไฟความหวังน้อยนิดคุโชนขึ้นมาในใจของแจจุงได้เลย ฉันเชื่อว่านายเข้าใจ ตอนนี้ฉันแค่ต้องการใครสักคนมายืนข้างๆ อย่างเปิดเผย พวกน่ารำคาญที่ชอบตามมาเสนอตัวให้ฉันจะได้หายๆ ไปให้หมดซะที... ส่วนนาย ก็จะได้ไม่ต้องเฮิร์ทอยู่คนเดียวยังไงล่ะ


    ทำไมต้องเป็นฉันด้วย?”


    อันที่จริงมันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนายหรอก แต่ก็นั่นแหละ ฉันชอบนาย... เพราะนายคงจะทำใจได้ง่ายๆ ถ้าเราต้องเดินจากกัน ในวันที่นายกับฉันไม่มีประโยชน์ต่อกันแล้ว... นายคงจะไม่ฟูมฟายและทำตัวน่ารำคาญแน่ๆ


    ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น


    เพราะการที่นายเป็นฝ่ายชิงบอกเลิกไอ้งี่เง่าคนนั้น แสดงว่านายรักตัวเองมากกว่าจะบูชาเรื่องไร้สาระอย่างความรักน่ะสิยุนโฮตอบสวนทันที แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด แว่วเสียงหวานงึนงำในลำคอ... รู้ทัน...


    แจจุงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและยาว เหมือนจะทำใจยอมรับทุกเรื่องได้โดยไร้ข้อโต้แย้ง แล้ว... ระยะเวลาล่ะ?” 


    จนกว่าฉันจะพอใจ ถึงเวลานั้น ฉันจะปล่อยนายไปเองรอยยิ้มหล่อเหลาดูน่าหมั่นไส้นัก


    หึ สัญญาทาสชัดๆปากบางแดงสดบิดเป็นรอยยิ้มหยัน


    เอาน่า ฉันไม่ใจร้ายกับนายนักหรอกยุนโฮขยับเข้าใกล้กลุ่มผ้าห่มนั้น แล้วกระตุกมันลงจนผิวกายขาวกระจ่างออกมาเปล่งแสงแข่งกับหลอดฟลูออเรสเซนต์



    เรียวแขนขาวเอื้อมไปวางพาดบนไหล่หนาที่โน้มเข้ามา เกี่ยวคล้องไว้หลวมๆ ก่อนเรียวปากอิ่มจะขยับเป็นคำพูดช้าชัด 




    จำเอาไว้นะ... ฉันไม่เคยอยากได้นายมาเป็นพระเอกในนิยายของฉันเลยสักนิด



    ริมฝีปากสองคู่โดนแรงดึงดูดเข้าหากัน

    ริมฝีปากหยักเป็นฝ่ายโน้มเข้าไปประทับบนปากอิ่มสีแดงที่ไม่ต่อต้านแต่ก็ไม่โอนอ่อนตามให้ได้ใจ ริมฝีปากดื้อดึงดูดกลืนเอาทั้งอนุสติและความตระหนักรู้ที่ว่าแจจุงกำลังปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้กับคนที่ยังไม่ทันรู้จักกันดีให้ล่องลอยหายไป เหลือเพียงสัมผัสชวนเคลิ้มฝันที่อีกฝ่ายปรนเปรอมาให้ราวกับจะมอมเมา





    แจจุงไม่รู้การตัดสินใจครั้งนี้จะผิดหรือถูก


    แต่การใช้เวลาไปกับใครสักคน จะดีจะร้าย มันก็คงดีกว่าจมจ่อมอยู่กับความเศร้าเพียงลำพัง โดยมีแค่เบียร์กระป๋องเป็นเพื่อนปรับทุกข์... 




    ล่ะมั้งนะ


    .



    .



    .


    To be continued...




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×