ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo.] Dark, BigEyes เหลือกมืด I KaiDo

    ลำดับตอนที่ #9 : 07 Chess Changes (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 58


    07

    Chess Changes



     

    Kai ::

     

                นี่ก็ปาเข้าไปสองอาทิตย์แล้วที่เจ้าบ้านั่นเข้ามาปั่นป่วนในชีวิตของผม ไอเหลือกที่จับพลัดจับพลูมา ถ้าจะให้พูดจริงๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนักหรอก ผมก็แค่คิดเท่านั้น บางทีนะ ผมก็เหมือนมีแม่อีกคน

               

                พอพูดถึงแม่ก็อดไม่ได้ที่จะเล่า แม่ขอผมน่ะเป็นคนดีมากๆเลยนอกจากเขาจะเป็นผู้หญิงคนแรกแล้วยังเป็นรักแรกพบของผมด้วย เวลาเหงาๆผมก็มักจะโทรไปหาท่านบ่อยๆแต่นั่นคือช่วงที่ไอเหลือกนั่นยังไม่เข้ามาในชีวิตผม เพราะตั้งแต่มีมันชีวิตผมก็ดูจะยุ่งเยิงไปเสียหมด ผมหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่สายชาร์ตถูกถอดออก สงสัยไอตัวป่วนจะสอดส่องแล้วถอดมันให้ผมเมื่อเช้าแล้วมั้ง

     

                แหงนมองนาฬิกาที่ตีบอกเวลาเก้าโมงครึ่ง โชคดีวันนี้เป็นวันเสาร์ไม่เช่นนั้นผมคงเข้าเรียนไม่ทันเป็นแน่ มือหยาบกดหมายเลขและปุ่มโทรออกอย่างชำนาญ พอนึกขึ้นได้ผมจึงจะโทรไปหาแม่ซักหน่อย

     

                ทันทีที่ปลายสายรับผมก็กรอกเสียงใส่โทรศัพท์ทันที “ฮัลโหลแม่”

     

                “จ้ะลูก...ว่าไงหายไปนานไม่โทรถึงกันเลยนะ”

     

                “อ่า...โทดทีฮะพอดีงานยุ่งๆอ่ะ”ผมเลี่ยงที่จะเล่าว่ามัวแต่ยุ่งกับเพื่อนที่มาขอแชร์ห้องเพราะเดี๋ยวเรื่องมันจะยิ่งยาวนอกจากนั้นยังคงต้องใช้เวลาเล่าซักหน่อยไว้เวลาปิดเทอมแล้วไปหาท่านและค่อยเล่าอีกทีคงไม่เสียหาย

     

                “ไม่เป็นไรหรอกนี่โทรมานี่คิดถึงแม่รึเปล่าเนี่ย5555

               

    “คร้าบบบบ คิดถึ้งงงคิดถึง” ผมเอ่ยเสียงอ้อนลงไป แม่หัวเราะคิกคักหลังจากนั้นเราจึงคุยกันอีกสักพัก แม่บอกว่าถ้าปิดเทอมให้ผมไปหาท่านด้วยซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ผมคิดไว้อยู่ก่อนแล้วละ ปิดเทอมหน้าถ้าไอเหลือกมันว่างๆก็ว่าจะพามันไปเหมือนกันเพราะถ้าไปคนเดียวคงจะไม่สนุกเท่าไหร่

     

    “แม่ครับนั้นผมวางก่อนนะ” ผมบอกแม่หลังจากที่เราคุยกันนานพอสมควรไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยแต่ผมปล่อยให้ท่านไปทำงานดีกว่ายิ่งเสร็จเร็วท่านจะได้พักเร็วๆ

     

    “แม่รักลูกนะ”

     

    “ผมก็รักแม่ครับ จุ๊บๆ”

     

                ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนก็มีเพียงแม่นี่แหละที่เข้าใจผม แม่รู้ทุกเรื่องที่ผมอยากรู้และแม่ให้ความอบอุ่นกับผมเสมอแม้เราจะอยู่ไกลกันแต่ความรักที่มีให้กันไม่เคยน้อยลงไปเลย  “คิก คิกๆๆ”

               

    เสียงกลั้นหัวเราะดังมาจากมุมหนึ่ง ผมขมวดคิ้วก่อนจะเดินไปตามต้นเสียงนั้น ดูเหมือนคนที่แอบฟังผมอยู่จะซ่อนได้ไม่เนียนเท่าไหร่ชายเสื้อสีขาวถึงโพล่ออกมาแบบนั้น

               

                “คิกๆๆๆๆ”

     

    “หัวเราะไรมึง” ทันทีที่เห็นว่าเป็นคนตัวเล็กแอบนั่งฟังอยู่ผมก็เตรียมเงื้อมมือขึ้นประทุษร้ายมันเต็มที่แต่ไม่ทันไรมึนก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปก่อน ผมรีบตามมันไปแต่ก็ได้รับคำตอบที่เล่นเอาสตั้นไม่น้อย

     

                “น่ารักจังมีคงมีครับ คิดถึ้งคิด...อุ้บ” ไม่ทันที่มันจะพรั่งพรูคำศัพท์น่าอายออกมาผมก็ปิดปากมันด้วยมือหยาบๆไงล่ะมึงเค็มมั้ยล่ะ

     

                มีอีกอย่างที่ผมลืมบอก แม่จะเห็นว่าคิมจงอินคนนี้เป็นผู้ชายโหดเถื่อนไร้ความเมตตาปราณีสตรีแท้และเทียมต้องมาเทียบกับฝ่าเท้า ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ขี้อ้อนซะหน่อย เรื่องนี้นอกจากแม่และพ่อกับญาติที่สนิทกันมากๆแล้วก็ไม่มีใครอาจกล้ามาล้วงลับผมเลย

     

                แล้วไอเหลือกนี่มันมายังงายยยยย ฮัลโหล!!!

     

                คนตัวเล็กดิ้นพล่านในอ้อมแขนของผม ผมใช้แขนล็อกมันไว้ไม่ให้วิ่งหนีเห็นตัวสั้นๆแบบนี้วิ่งเร็วจะตายชักไหนจะรอยยิ้มที่ทำให้ใจสั่นนั่นอีก นี่ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าทนอยู่กับมันทุกวันมาได้ยังไง

     

                “หุบปากเลยมึงเดี๋ยวพ่อจับเชือด”พูดพลางส่งสายตาเป็นเชิงข่มขู่ นิ้วชี้ทำท่าปาดคอให้ดูน่ากลัวแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย

     

                “เอาเดะเชือดเดะ” มิวายยังทำหน้าทำตาเล่นลิ้นประกอบ ผมเบะปากเป็นรูปตีนก่อนจะผละตัวออกแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูหลังจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเซ็งๆ

     

                10:25 

     

                หลังจากทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยผมก็พาสารร่างเดินไปโซนห้องครัวอย่างเหนื่อยหน่ายน้ำอุ่นที่อาบไม่ได้ช่วยให้ผมสดชื่นขึ้นซักนิด  อาจเป็นเพราะเมื่อวานที่ไอเหลือกมันขอให้ช่วยสอนเกี่ยวกับหมากรุกที่ตนไม่เข้าใจแล้วอาทิตย์หน้าก็ต้องสอบแล้วด้วย

     

                ทีแรกก็เห็นใจมันอยู่หรอกแต่หลังๆนี่รู้สึกเทน้ำลงแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำนั่นแหละ ไม่ว่าจะอธิบายให้ตายยังไอเหลือกก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจซักนิด

     

                เมื่อคืน

     

                “ไคย่า ติวหมากรุกให้เราหน่อยสิ” จู่ๆผมที่กำลังเช็ดหัวหลังจากสระผมเสร็จก็ถูกคนตัวเล็กเดินมาทำสายตาออดอ้อนมือนั้นเกาะเกี่ยวแขนผมเต็มที่ราวกับร่างนั้นจะทรุดลงไปต่อหน้าต่อตาถ้าไม่มีที่พยุงกาย

     

                “หมากรุกไรมึง” ผมขมวดคิ้วมองหน้าอ้อนๆของมัน ทั้งๆที่ผมยังยืนตัวเปียกกับผ้าขนหนูตัวเดียวที่กันไคน้อยไว้กับสายตาชาวโลกแต่มันก็ยังกระแซะผมไม่เลิกจนผ้าที่ผมมัดไว้ลวกๆเริ่มคลายออกทีละน้อย

               

    “ก็หมากรุกอ่ะที่อาจารย์จงแดสอนวันนั้นเราไม่ค่อยเข้าใจเลย ไคย่าช่วยติวให้เราหน่อย”

     

                “แล้วทำไมกูต้องติวให้มึงครับ”ผมพูดพลางพยายามปัดมือมันที่เกาะเป็นปลาหมึกออกก่อนเพื่อจะรีบมัดผ้าขนหนูให้แน่นขึ้น แต่ไอเหลือกสงสัยจะไปฝึกพลังตีนตุ๊กแกมาถึงได้เกาะหนึบยิ่งกว่าตังเมซะอีกแน่ะ

     

                “ก็....ก็เราเป็นเอ่อ...เพื่อนกัน....ใช่....เพื่อนต้องช่วยเพื่อนสิ” ไอเหลือกทำหน้าอ้อนยิ่งกว่าเดิม คุณลองจินตนาการดูเอาก็ได้ว่ามนุษย์ตัวสั้นตาโตๆกลมๆมีพุงนิดหน่อยแต่ไม่มากหัวเป็นทรงหน้าม้าพองๆนิดๆในเสื้อคอเต่าที่ส่งเสริมความเตี้ยเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอีกกำลังเกาะแขนผมหนึบหนับ

     

                “เพื่อนหรอกูเคยบอกมึงซักคำว่า...เห้ยยยย!!!” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดส่อเสียดให้ไอเหลือกเจ็บปวดใจเล่น(ท่ดๆ) มือเล็กที่เกาะไม่เลิกก็ปล่อยออกอย่างแรงจนโดนผ้าเช็ดตัวให้หลุดออกเหมือนเตี๊ยมกันไว้ซะดิบดี

     

                บายจ้า...ToT

     

     

     

                “ไคย่าน่าเกลียดอ่ะ!!!

     

                “พูดมากมึงนี่จะให้กูสอนก็อยู่เงียบๆไป”

     

                “ไคนั่นแหละเงียบไปเลย...” ผมอยากจะหัวเราะดังๆทันทีที่ไอเหลือกทำท่ากำหมัดจะอัดเขาเข้าให้โอ้ยกูกลัวหน้าโยก  “ทำไมกูต้องเงียบ”

     

                “ไม่งั้นเรื่องที่ของดำจะรู้ถึงหูเพื่อนๆทั้งห้อง”

     

                งั้นจบ...

     

                “โอเคครับ คุณชายคยองซูเรามาเริ่มกันเลย”จ้ะกูยอม ก็อย่างที่มันพูดนั่นแหละถ้าไม่ยอมเงียบและติวให้มัน ปากรูปหัวใจคงโพนทะนาเรื่องที่เขาของดำให้ทั้งห้องรู้ จริงๆผมก็ไม่ได้อายอะไรขนาดนั้นแต่ถ้าจำไม่ผิดผมเคยบอกกับชานยอลว่าถึงผมจะดำแต่ไอจ้อนนั้นขาวอมชมพูนะเว่ย ซึ่งถ้าย้อนเวลาได้ไคจะกลับไปโบกหน้าตัวเองไม่ให้ผมพูดอะไรออกมาถ้ารู้ว่าซักวันมันจะเป็นปมที่มามัดตัวเอง

     

                อีกอย่างถ้าผมเดาไม่ผิดและไม่คิดเข้าข้างตัวเองผมคิดว่ามันจงใจที่จะปัดผ้าขนหนูผมออกแต่แรกอยู่แล้ว

     

                “ทะลึ่งนะมึงเนี่ย...”

     

     

                กลับสู่ปัจจุบัน

     

                แก้วน้ำถูกวางลงไว้ตรงหน้า ผมค่อยๆบรรจงรินน้ำในเหยือกลงแก้วทันทีที่ดื่มเสร็จก็หวังว่าจะช่วยให้สดชื่นขึ้นได้บ้าง ในหัวพยายามสลัดความคิดถึงไอคนตาเหลือกที่รั้นจะให้ผมสอนเล่นหมากรุกให้ได้

     

                “ก็อกๆๆ” ไม่ทันขาดคำเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าไอเตี้ยหมาตื่น(ท่ดๆ)กำลังมาหาเขาอีกเช่นเคยผมบอกห้วนๆว่าห้องไม่ได้ล็อกก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมากระดก

     

                “ไคย่าวันนี้สอนเรารุกหน่อยสิ”

     

                พรวดดดด

     

                น้ำในปากถูกแรงดันลมจากภายในให้กระจายไปที่คนตรงหน้า ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไปแต่ที่เห็นจะๆคงเป็นหน้าไอเหลือกที่เปื้อนไปด้วยน้ำ

     

                “กะ...กูไม่รู้เรื่อง...มะ...มึงพูดอะไรออกมาแบบนั้นเองนี่” เอาจริงๆก็ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างที่บอกไปนั่นแหละ พอได้ยินมันบอกว่าสอนเรารุกหัวก็รันโปรแกรม18+ ขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ จะบ้ารึไงกันเคะอย่างไอหมอนั่นจะมาผันตัวเป็นเมะมันใช่เรื่องที่ไหน เอ้ย! ไม่ใช่ๆ

     

                “เราพูดอะไรหรอ...เราหมายถึงสอนเรารุกหน่อยอ่ะ...รุกฆาตในหมากรุกไงไคคิดอะไรอยู่หรอ” มือเล็กลูบน้ำออกจากหน้าอีกครั้งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “อ่าวหรอ...”

     

                “...........”

     

                “เออ....กูก็คิดงั้นแหละพอดีเมื่อกี้น้ำมันติดคอ....เออมึงจะให้สอนรุกใช่ไหม...มาๆเดี๋ยวกูสอนเอง” ผมกล่าวออกไปอย่างขัดเขินไม่ปฏิเสธเลยว่าเผลอทำตัวเสร่อออกไปซะขนาดนั้น  มือหยาบวางแก้วน้ำลงบนบาร์ในห้องครัวพลางเดินเข้าไปโอบไหล่แคบให้เดินไปที่โซฟานั่งเล่นด้วยกัน

     

                Do ::

     

                ไคย่าก็เป็นแบบนี้เสมอแหละ เวลาอายทีไรก็เอ๋อรับประทานไม่ก็กระวนกระวายจนเกินเหตุทุกทีแต่ถึงยังไงผมก็ว่ามันน่าแกล้งดีนะ อีกอย่างคนที่ไหนเขาน้ำติดคอมีแต่สำลักน้ำมากกว่า ขนาดโกหกยังพูดผิดๆถูกๆเลยคิดดู

     

                ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันน่าเกลียดหรือดูโชว์ควายเลยนี่นา คนตัวดำลุกขึ้นไปเตรียมจะหยิบกระดานหมากกับตัวหมากแต่ผมรีบเรียกไว้ก่อนเพราะผมหยิบมันมาวางที่โต๊ะก่อนแล้ว ให้ตายเถอะโรบิ้นนี่ไคเอ๋อหนักขนาดไม่สังเกตอะไรเลยหรือไง

     

                “ขะ...ขั้นแรกมันมีสูตรเดินอยู่นะ”ไคกล่าวเมื่อนั่งลงกับเบาะโซฟาเรียบร้อย ผมแอบเห็นมือนั่นยังสั่นอยู่แท้ๆแต่เอาเถอะถ้าปล่อยไว้สักพักเดี๋ยวก็คงหาย

     

                ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองตาของคนตรงหน้าเพื่อให้เขาผ่อนคลายขึ้น ตามที่คาดเดาไว้ พอไม่มีความรู้สึกมากดดันเป็นชนักติดหลังไคก็ดูผ่อนคลายขึ้นคำพูดคำจาก็ดูไม่ตะกุกตะกักดังก่อนหน้านี้

     

                “เดินม้าเป็นรูปตัวแอลจำได้ใช่มั้ย...”

     

                “จำได้แล้วก็เดินตัวนี้...ว้า...โดนรุกฆาตซะแล้ว”

     

                ทันทีที่มือเล็กหยิบขุนไปกินม้าที่ไคล่อเอาไว้ โชว์ละครสัตว์ฟาดแส้ก็เกิดขึ้น จะให้ผมไปคำนวณเลขแคลคูลัสหรือท่องเทนส์ทั้งหมดในวิชาภาษาอังกฤษตอนนี้เลยย่อมได้ถ้ามันทดแทนกับความไม่ถนัดด้านกีฬาทุกชนิดของผม

     

                เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่ไคเอามือกุมขมับอย่างแรงแต่เขาก็ไม่พ้นการยิ้มอ่อนกับการเขม่นเสียงลอดไรฟันออกมาบ้าง ผมรู้นะว่าการที่ไคจะต้องมานั่งเสียเวลาชีวิตกับโชว์สัตว์สี่ขามีเขามานั่งเล่นหมากรุกด้วยมันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่

     

                ให้ทำไงได้ล่ะอาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้วด้วยสิ

     

                ผมมองหน้าไคตรงๆเจ้าตัวขมวดคิ้วน้อยๆด้วยความฉงน “มีไร...”

     

                “เราว่าไคไม่ต้องสอนเราแล้วล่ะ” จู่ๆดนตรีสายดราม่าที่ไม่เคยมีในสมองก็แล่นพล่านเข้ามาในหัว อันที่จริงผมรู้สึกละอายใจมากๆที่ตนไม่สามารถพัฒนาฝีมืออันไม่ค่อยจะมีให้ดีขึ้นบ้างอย่างน้อยที่สุดไคจะได้ดีใจด้วย

     

                “ทำไมวะ...อ๋อ...มึงจะหาข้ออ้างว่ากูไม่ยอมสอนแล้วเอาเรื่องนั้นไปโพนทะนาสินะ” ร่างสูงแค่นหัวเราะน้อยๆแววตาแข็งกร้าวแต่เจือไปด้วยความสงสัยมองมาที่ผมอย่างไร้ความเขินอาย

     

                “ไม่ใช่ซะหน่อย...เราแค่”

     

                “แค่อะไร....” มิวายมองตากลมๆให้หวั่นไหวอีก ไหงเป็นงี้ล่ะทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไคยังเขินไม่กล้าสบตาผมอยู่เลยทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นผมแทนที่รับบทนั้นกัน

     

                “แค่....”

     

                “................”

     

                “แค่ไม่อยากให้ไครำคาญ...”

     

                คนตรงหน้าไม่พูดอะไรก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ เฮ้ย! นี่ผมทำอะไรผิดรึเปล่า ผมแค่รู้สึกผิดที่ทำให้ไคเสียเวลาก็เท่านั้นเองนะ

     

                “มึงรู้ไหมอะไรทำให้กูรำคาญที่สุด...”

     

                “..........”

     

                “การที่กูยังไม่ได้ว่าอะไรซักคำแต่คิดไปเอง...”

     

                “.........”ผมเงียบรอฟังถ้อยคำที่จะหลุดออกมาจากปากไคเท่านั้น

     

                “และรู้ไหมอะไรที่ทำให้กูเสียใจมากที่สุด....”

     

                “........”

     

                “คือการที่กูไม่ได้สอนมึงไงล่ะ.....”

     

                เหมือนน้ำที่ชุบเลี้ยงหญ้าเหี่ยวๆให้กลับมาเต่งตึงและเติบโตขึ้นอีกครั้ง ผมโผเข้ากอดไคตามความรู้สึกที่เรียกร้อง ในใจลึกๆแล้วผมเหงามากๆผมแค่อยากมีคนให้กอดให้คุยด้วยในทุกๆวันเท่านั้นเอง ไคถือเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในครอบครัวแต่ผมรู้สึกไว้ใจเขามากๆมากจนคิดว่าอยากให้ไคมาเป็นมากกว่าเพื่อน

     

                “ขอบคุณนะไค...”

     

                นานกว่านาทีที่ผมกอดไคไว้อย่างนั้น ไคพอจะรู้สึกตัวได้เลยใช้มือหยาบๆลูบหลังผมเบาๆ น้ำตาที่อัดอั้นมานานได้ไหลออกมาสาแก่ใจชาวโลกซักที “ร้องทำไมห้ะ...”

     

                น้ำอุ่นไหลออกมาไม่หยุดหย่อนไครู้สึกถึงเสียงสะอื้นในลำคอของคนในอ้อมกอดได้ ผมจิกเสื้อคนตรงหน้าอย่างแรง ไคไม่ว่ายังไงแต่ก็ลูบหลังผมไปอย่างนั้น มันรู้สึกดีจริงๆที่ได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นในใจกับใครซักคนที่ยอมรับฟังเรา ใครซักคนที่เราไว้ใจ

     

                “ไม่ได้ร้องซะหน่อย” ผมปฏิเสธไปอย่างไม่จริงจังนัก เป็นใครๆก็รู้ “ไม่ได้ร้องเล้ยเสื้อแฉะหมดล่ะนะ” พูดไปพลางลูบหัวคนในอ้อมแขน เมื่อรู้สึกตัวว่ากอดคนตรงหน้าอย่างพอใจก็เพิ่งมารู้สึกได้ว่าคนที่กอดอยู่เป็นผู้ชาย ผมดีดตัวออกมาสุดแรงไคผงะไป

     

                “ขะ...ขอโทษนะ...”

     

                “ขอโทษไรมึงกูยังไม่ได้ว่ามึงชักคำ” มือที่ปาดน้ำตาหยุดชะงักเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเอ่ยออกมา นี่ไคไม่ได้รังเกียจผมเลยหรอ

     

                “คะ...ไคไม่ได้...”

     

                “เออๆๆๆ พูดมาหน่ามึง” ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรออกไปไคก็ปิดปากผมไว้ซะก่อนจะไม่แปลกเลยถ้าของที่ใช้ปิดปากเป็นมือ

     

                ไม่ใช่ปากแบบตอนนี้...

     

                ริมฝีปากผมถูกครอบครองด้วยปากของไคมันเป็นจูบที่เนิบช้าและหวานปนขมที่สุด ถ้าจะพูดแบบนี้แต่กระนั้นผมก็ไม่ได้ช่ำชองเรื่องแบบนี้ซักเท่าไหร่ ไคคือจูบแรกของผม และผมคิดว่ามันแปลกมากที่เราสองคนปล่อยให้ความรู้สึกมันเอื่อยมาถึงตอนนี้โดยที่ไม่ได้เอะใจกันไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เราจูบกัน

     

                ไม่ใช่ว่าลืมแต่ผมเลือกที่เลี่ยงมันไปก็เท่านั้น

     

                ไคผละออกไปอย่างช้า ผมหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกที่สับสนอยู่ในจิตใจ ความเป็นว่าที่เพื่อนร่วมห้องมันตีกันกับความรู้สึกมากกว่านั้นอย่างบอกไม่ถูกภายในใจมันหมุนวนราวกับมีพายุพัดโหมกระหน่ำอย่างน่าประหลาด

     

                “ขะ...ขอโทษนะ” เป็นฝ่ายผมที่ต้องขอโทษไคอีกครั้ง ผมใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดพยุงร่างกายตัวเองขึ้นเพื่อที่จะเดินกลับห้องไป ไม่ไหวแล้วถ้าจะให้อยู่ตรงนี้หยดน้ำตาที่ยังไม่สร่างดีจะต้องทะลักออกมาอีกแน่ๆ

     

                “เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป...”

     

                “.....”

     

                “กูจะบอกว่า...กูไม่เคยรำคาญมึง”

     

                “.....”

     

                “มึงจะคบกับกูได้มั้ย...”

               

                ห้ะ!!

     

    ช็อกดิ...

     

                คำพูดทั้งหมดถูกกลืนไปหมด นานหลายนาทีที่เราต่างเงียบกันทั้งคู่ไม่มีใครพูดออกมาหลังจากไคเอ่ยออกมา นี่ผมหูฝาดไปใช่มั้ยเนี่ย

     

                ความรู้สึกของผมมันไม่สามารถอธิบายได้เป็นคำพูดอะไรเลยต่อจากนี่มันทั้งตกใจดีใจและเสียใจไปพร้อมๆกันแต่ถึงแบบนั้นลึกๆแล้วก็รู้สึกดี...

     

                ที่ใจไคกับผมตรงกัน...

               

                “ได้มั้ย...โดคยองซู” และเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อเต็มของผม เนื้อในอกด้านซ้ายเต้นแรงจนหยุดไม่อยู่มันดังตุ้บๆๆจนผมกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเอา

     

                “อะ...อะไรหรอ” ผมไม่อาจทนความอึดอัดและเงียบเสียงตัวเองไว้ได้นานนัก ลองแกล้งโง่ซะเลยจะได้รู้กันว่าผมไม่ได้หูฝาดไป “กูถามว่า...มึงจะคบกับกูมั้ย”

     

                ร่างสูงเอ่ยด้วยเสียงเร่งเร้า จังหวะในหัวใจของผมยังคงเต้นหนักและรัวแรงยิ่งกว่ากลองชุด ผมค่อยๆหันหน้าไป เสี้ยวหน้าของคนตัวสูงกว่าก้มต่ำลงเล็กน้อยแต่พอได้เห็นแววตาของไคมันก็ทำให้ผมเชื่อหมดใจว่าไม่ได้หูฝาดและฝันกลางวันอย่างแน่นอน

     

                “คะ...คบหรอ”

     

                “เออคบกันไง...”

     

                “ตอนนี้เราก็คบกันอยู่นะคบกันเป็นเพื่อน...”

     

                “ไม่ดิวะ...ไม่ใช่เพื่อน”ไคเอ่ยเสียงเรียบแววตานิ่งที่แฝงไปด้วยอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ข้างในแต่ไม่สามารถปลดปล่อยมันออกมาให้หมดได้

     

                “เราเข้าใจแล้ว...”

     

                “...แล้ว?”

     

                “เราว่าไคกลับไปคิดให้ดีกว่านี้เถอะ...”  






    TALK :: เหยไงล้ะมากันแบบจบแชบ ทำไมแต่ไปแต่งมาแล้วมันหน่วงอ้ะแต่ขอให้จำไว้ว่านิวไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยยฮือคาดว่าตอนหน้าจะรักใสๆหัวใจมุ้งมิ้งเหมือนเดิมชัวรืยังไงก็เรียบๆหน่วงๆอีกหนึ่งตอนหวังว่าจะไม่เบื่อกันเน้าะ อ่านแล้วชอบอ่านแล้วโดนกดแฟบกดโหวตคอมเม้นต์สกรีมให้นิวหน่อยคงไม่ว่ากันเนาะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้นิวรักมากกเลยแล้วเจอกันแชปหน้าเด้อเชิ้บๆๆ #พี่ไคคนเอ๋อ เจอคำผิดทักมาเน้อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×