ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO.] "FALL TO THE WOODS" | CHANBEAK KAIDO

    ลำดับตอนที่ #3 : Fall to the woods - CH2 |100%|

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 58


                Chapter 2


     

                ถ้าจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความคิดคาดว่าหลายคนคงจะคิดว่ามันเป็นมุขที่แป้กที่สุดและไม่ใช่ความจริงเลยซักนิด อาจเป็นการอุปมาที่ดูเกินตนไปหน่อยแต่ก็นั่นแหละเขาไม่ได้มีอะไรกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้จริงๆ

     

                และถึงแม้แบคฮยอนจะไม่ได้เป็นคนดีเด่อะไรมากมายแต่เขาก็ไม่ใช่คนง่ายเอาไม่เลือก ดังที่อารัมภบทไปว่าชานยอลเป็นชายหนุ่มดูมีภูมิฐานนอกจากนั้นเครื่องราชบรรณาการที่ร่างนั้นสวมใส่อยู่ตรงหน้ายังแสดงว่าเขาต้องรับราชการในวังเป็นแน่ เรื่องนั้นแบคฮยอนมองออก

     

                แต่ที่จะให้ทุกคนสังเกตได้คือชื่อที่เขาเรียกว่าชานยอล ทั้งนี้แบคฮยอนเองก็ไม่รู้มันเกิดขึ้นได้ยังไง จู่ๆคำที่ว่าก็ผุดขึ้นในหัวและบังคับให้เขาเอ่ยออกไปเท่านั้นเอง

     

                “สวัสดีครับคุณ...?”

                “แบคฮยอน...”

                “อ่อครับคุณแบคฮยอน” ชานยอลกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มความคิดที่สรรสร้างออกมาเป็นฉากๆในหัวยังคงตราตรึงและแล่นพล่านไม่หยุดไม่สิ้น

                ไม่รู้ทำไมแค่เพียงสบตาเข้ากับแบคฮยอนเขาจึงรู้สึกวาบหวิวและไปไกลถึงการร่วมรักในห้วงความคิด มันช่างเร้าร้อนเสียนี่กระไร

     

                “นายล่ะ...ชื่ออะไร...อ่อช่างเถอะ...ชานยอลสินะ”

                ร่างสูงฉงนใจกับสิ่งที่ได้ยินจะบอกว่ารู้ชื่อเขาแล้วเช่นนั้นหรือถ้าจำได้ไม่ผิด ชานยอลไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้เลยนะ “ใช่ครับ...ปาร์คชานยอลเป็นชื่อของผมเอง”

     

                แบคฮยอนมองร่างนั้นด้วยสายตานิ่งๆความสงบปกคลุมไปทั่ว ท่ามกลางป่าเขาอันกว้างใหญ่ไฉนเล่าจึงมีชายหนุ่มปีนขึ้นมาบนหอคอยของเขารวมถึงทำให้คนตัวเล็กคิดเรื่องบัดสีขนาดนั้น

     

                “แล้วนาย.../แล้วคุณ...”

     

                “คุณพูดก่อน...” แม่ทัพปาร์คเอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาท ก็เช่นนี้แหละ สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลยิ่งผู้ที่มีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพควบกับองค์รักษ์จะให้ไร้มารยาทขนาดนั้นก็กังวลจะถูกครหาเอาได้

                ร่างเล็กกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากเดิม โดยคร่าวๆแบคฮยอนสังเกตได้ว่า ชายตรงหน้ามีสัมมาคารวะพอสมควร “นี่ก็โพล้เพล้แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ในป่าได้ล่ะ”

     

                “ถ้าเช่นนั้นทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลาโพล้เพล้ล่ะ”

     

                แบคฮยอนถอนหายใจน้อยๆเมื่อชานยอลไม่ได้ตอบคำถามด้วยคำตอบแต่ตอบเขาด้วยคำถามซะเอง ร่างเล็กเชิดหน้าขึ้นพลางเอ่ยออกไป “เพราะที่นี่คือบ้านของฉันแล้วนายล่ะ”

     

                “ข้าตามรักษาองค์ชายที่มาตามหาสาวงามในป่าแห่งนี้น่ะ เจ้าพอจะรู้จักนางบ้างไหม” ได้ทีชานยอลจึงเอ่ยปากถามเขาซะเลยถือเป็นการรวบรวมข้อมูลไปให้เจ้านายของตนอันถือเป็นองค์ชายรัชทายาทในอาณาจักรนี้ด้วย

     

                แบคฮยอนแค่นหัวเราะกับประโยคคำถามที่น่าขัน เขาอยู่แต่ในหอคอยจะไปรู้อะไรเล่า “ไม่รู้นะ..แต่เท่าที่รู้ฉันสวยที่สุดในป่าแห่งนี้แล้วล่ะ”

                “5555มั่นใจซะเหลือเกินนะแบคฮยอน”ร่างสูงเอ่ยกระเซ้า “แล้วนายคิดอย่างนั้นรึเปล่าล่ะ” ไม่ทันไรเสียงหวานกล่าวสวนขึ้นมาอีกหากแต่คราวนี้เป็นเชิงยั่วยวนเล็กน้อย

                “คิดสิครับ...คุณแบคฮยอนออกจะสวยขนาดนี้”ไม่ว่าเปล่ามือไม้ก็เลื่อนไปลูบแก้มขาวๆที่เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แบคฮยอนสาบานว่าไม่ได้อ่อยอะไรท่านแม่ทัพเลยซักนิด

               

                “ชานยอล...ชานยอลกลับวัง”

     

    ทันทีที่ริมฝีปากหนาค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้เสียงตะโกนที่ดังสนั่นไปทั่วป่าก็ทำให้ทั้งสองชะงักไปก่อน ร่างสูงกระชับเครื่องแต่งกายให้เข้าที่ก่อนจะบอกลาร่างเล็กบนหอคอย

    “เห็นทีว่าผมต้องไปแล้วล่ะ”

    “ก็ไปสิ” น้ำเสียงเล็กที่เจือปนไปด้วยความคะนึงหา กับสายตาที่ตรงกันข้ามกับคำพูดไม่ได้ทำให้แบคฮยอนลืมชานยอลไปได้เลย

    555ถ้ามีโอกาสเราคงเจอกันอีก”

    “อือ” ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปร่างเล็กแต่เพียงก้มหน้างุดๆกั้นสายตาที่ไม่สามารถโกหกใครได้จากสายตาชานยอล”งั้นไปแล้ว...หวังว่าเราจะเจอกันอีกนะ...แบคฮยอน”

     

    หลังจากคนตัวเล็กส่งชานยอลลงสู่พื้นได้ในที่สุดจนร่างนั้นขี่ม้าหายลับไปจากสายตา มือนิ่มก็ทาบลงบนอก หัวใจเต้นแรงจนผิดปกติแม้จะเพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่ทุกๆสิ่งของเขาตราตึงในจิตของแบคฮยอนยากที่จะลืม

     

    ถ้าฟ้าเป็นใจ...

     

    เราคงจะได้พบกันอีกนะ...

     

    ปาร์ค ชานยอล...

     

     

     

                ก่อนหน้านั้นสองวัน

     

                “เห้อ...”

                ลู่หานถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่นั่งหลังขดหลังแข็งถอนหญ้าในสนามออกจนหมดก้มหัวขอบคุณเหล่าพวกสัตว์ที่อุตส่าห์มาช่วยทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นแต่ถือว่าการช่วยเหลือในคราวนี้ต่างฝ่ายก็ต่างได้รับผลประโยชน์

                สิ่งที่ลู่หานเกลียดที่สุดคือการเอารัดเอาเปรียบแต่สิ่งนั้นดันกลับมาทำร้ายลู่หานเอง การที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ทำได้ยากเมื่อเขาเดินไปบอกแม่เลี้ยงว่าทำงานเสร็จตามที่สั่งแล้วแต่ก็ยังคงไม่ได้ไปงานเต้นรำด้วยอยู่ดี ด้วยเหตุผลคร่ำครึอันว่าเขาไม่มีชุดใส่ไปงาน การเอาเปรียบใช้งานเขาทุกอย่างและโกหกโป้ปดนับเป็นเรื่องที่น่าสังเวทใจยิ่งนัก

               

                “ฮึก ฮึก”

     

                ลู่หานพยายามกลั้นน้ำตาไว้สุดฤทธิ์ ป้องกันมันไว้จากสายตาแม่เลี้ยงอันชั่วร้ายไม่ให้เห็น นอกจากจะแสดงถึงความอ่อนแอที่เจ้าตัวมี สองขาพาร่างบางเดินไปตามบันไดเพื่อที่จะไปห้องใต้หลังคา ที่ซุกหัวนอนของลู่หาน

                มือบางเปิดประตูเขาไปอย่างรวดเร็วอยากจะขังตัวให้อยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหน ขอบตาร้อนผ่าวรู้สึกได้ถึงหยดน้ำใสๆที่ไหลออกมาจากตา ลู่หานทิ้งกายลงบนเตียงแข็งและหยาบแต่เขาก็คงยังพอใจ แค่มีที่ซุกหัวนอนก็บุญเท่าไหร่แล้ว

                นิ้วชี้เลื่อนปาดหยดน้ำตาบนแก้มใสๆ ถ้าจะร้องลู่หานเลือกมาร้องเงียบๆคนเดียวในห้องดีกว่าเป็นไหนๆตาหวานไล่มองดูตามเนื้อตามตัวของตน ชุดสีชมพูขาดลุ่ยไม่เป็นทรง นั่นสินะสภาพน่าสมเพทแบบนี้ใครเขาจะให้เข้างานเต้นรำอันหรูหราขนาดนั้นได้

                คนตัวบางหยัดตัวขึ้นนั่ง ทบทวนความรู้สึกตนเองในจิตใจ ในหัวหวนคิดไปถึงผู้เป็นมารดาที่เสียชีวิตไปนานมาแล้ว ความรู้สึกมวนในท้องนี่มันอะไรกัน น้ำตาที่พยายามให้มันหยุดไหลก็ทะลักออกมาเสียดื้อๆ ความเจ็บปวดของลู่หานใครเล่าที่จะมารับรู้ได้ ชีวิตที่แสนทุกข์ระทมขมขื่นโดนจิกหัวใช้วันแล้ววันเล่า ใช่ว่าเขาจะมีอารมณ์สุนทรีย์นัก

     

                ความอดทนของคนเราก็มีขีดจำกัดเช่นกัน เมื่อในสมองนึกได้ถึงเรื่องต้นไม้วิเศษในป่าลู่หานก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ตอนนี้เขากำลังควบม้าของตระกูลมุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึก

     

                หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า

     

                สองขาพาร่างบางเดินตรงเข้าไปในป่าหลังจากปล่อยม้าสีดำด่างให้กินหญ้าไปพลางก่อน ลู่หานมาสถิตอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ ลำต้นของมันสีทองอร่าม มันคือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากน้ำตาของเจ้าตัวหยดลงผืนดินอันมีจำนวนมากมายมหาศาล อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือมารดาของลู่หานซึ่งถูกฝังไว้ที่ตรงนี้

                น้ำตาหยดเล็กใหญ่ไหลอาบแก้มขาวจนช้ำไปหมด ริมฝีปากเล็กแห้งผาก ลู่หานกัดมันด้วยอารมณ์ที่คุกกรุ่นอันวนเวียนอยู่ภายในราวกับพายุที่พัดโหมกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเอาง่ายๆ  “ฮึก  ฮึก  ฮือ”

                เสียงสะอื้นไห้ดังระงมไปทั่วป่า หมู่สัตว์น้อยใหญ่ออกมาเป็นสักขีพยายาน รวมถึงแสงทองที่ส่องประกายด้านหน้าของร่างบางในเวลานี้ ลู่หานเบิกตาโพลงทันทีที่แหงนหน้าขึ้นไปมองก็ต้องหรี่ตาลงโดยฉับพลัน

                “ลู่หานลูกรัก” เสียงเอื้อนเอ่ยเบาๆพอได้ยินกันสองคน มันเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกตาใสๆค่อยๆเบิกขึ้นมาช้าๆ ภาพตรงหน้าปรากฏเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งเรือนผมสีทองที่ยาวประบ่า ลู่หานยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ใช่ นี่คือแม่ของเขานั่นเอง

                รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาแม้เป็นเพียงสัมผัสที่แผ่วเบาแต่มันก็ทำให้ลู่หานตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ภาพรอยยิ้มขิงแม่ในวันวานยังคงสะท้อนมาถึงปัจจุบัน แม้ร่างตรงหน้าจะเป็นเพียงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าต้นไม้นี้ก็ตาม

                ให้ตายเถอะ...ทำไมลู่หานถึงอยากอยู่ที่นี่ ในป่านี้ตลอดไปเหลือเกินนะ

                “จงขอในสิ่งที่เจ้าขอ...จงอยากในสิ่งที่เจ้าอยาก”

                เสียงของแม่ดังขึ้นเรียกสติอีกครั้ง ร่างบางถอนหายใจหนักๆพลางเงยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาสบกับดวงตาสีสวยของผู้เป็นแม่ รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากก่อนที่ท่านแม่จะพยักหน้าเข้าใจ

                “ผมขอ...ไปงานเต้นรำ”

     

                “ว่าแล้วเชียว”

     

                ราวกับการจะกลบเกลื่อนสิ่งต่างๆไว้ใต้ใบหน้านั้นไม่ง่ายเลย จะบอกว่าลู่หานเป็นคนที่ดูออกง่ายก็ได้เพราะดวงตากวางนั้นไม่เคยโกหกใครเวลารู้สึกดีไม่ดีก็จะเผยออกมาได้ไม่ยากใช่ว่ามันจะไม่ดีหรอกนะแต่บางครั้งลู่หานก็อยากที่จะโกหกเป็นเหมือนกัน

                โกหกว่าอยู่ได้โดยไม่มีทั้งพ่อและแม่...

     

                และไม่เจ็บปวด...

     

                เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นที่เจ้าตัวได้ใช้เวลาไปหมกมุ่นกับความคิด ลมพัดแรงเอาทั้งใบไม้และเศษหญ้าต่างๆหมุนวนเข้าไปในอากาศ เกิดรอยยิ้มบางๆขึ้นที่ใบหน้าอันงดงามของผู้เป็นแม่ก่อนที่จะมีแสงวิบวับขึ้นไล่ตั้งแต่ปลายเท้า

                รองเท้าฟางมอซอถูกแปลเปลี่ยนเป็นส้นสูงเกือบๆสองนิ้ว มันทำมาจากแก้วใช่ลู่หานคิดอย่างนั้น กางเกงสีซีดและเสื้อตัวโปรดที่เปื้อนไปด้วยคราบโคลนตมกลายเป็นชุดกระโปรงยาวสีฟ้าสดประดับไปด้วยกากเพชรมีระบายยาวรอบๆและสิ่งที่ทำให้ลู่หานแปลกใจได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นกลุ่มผมที่ถูกแต่งเติมให้ยาวขึ้นกว่าเดิมพร้อมโบว์สีสะอาดที่ถูกผูกไว้เป็นทรง

                ถึงตอนนี้คงดูได้ไม่ยากว่าแม่เขากำลังทำอะไร

     

                ลู่หานถูกปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เป็นผู้หญิง...

     

                “แม่แต่...”

                พอคิดจะท้วงติงอีกทีผู้เป็นแม่ก็หายลับไปจากที่ตรงนั้นเสียแล้ว ร่างบางกุมขมับขึ้นมาเสียดื้อๆ ท่านแม่กำลังคิดอะไรกันอยู่แน่ที่จะจับผู้ชายทั้งแท่งมาแต่งตัวเป็นผู้หญิง แถมจะเปลี่ยนชุดกลับไปแบบเดิมก็ไม่ได้ซะด้วย เขาไม่รู้ว่าชุดตัวโปรดเก่าๆนั่นอยู่ที่ไหนถ้าจะถอดชุดนี้ออกแล้วเดินเปลือยกลับบ้านคงจะดูทุเรศในสายตาคนอื่นเป็นแน่

                จำใจต้องไปทั้งสภาพอย่างนี้ ลู่หานเลิกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเมื่อจะขึ้นม้ากลับบ้าน ในหัวก็ลังเลว่าควรจะไปงานเต้นรำดีไหม ใครจะรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นผู้ชาย

     

                อันที่จริงลู่หานก็อยากไปไม่ใช่หรอแล้วทำไมเขาต้องมาลังเลด้วยล่ะ ก็เพราะอยากไปไม่ใช่หรือไงเขาถึงต้องมาหาแม่น่ะ

                ช่างมันปะไร...ลองไปดูซักคืนคงไม่เสียหายหรอกน่า...

     

     

     

                ขนมปังไส้ถั่วแดงเป็นสิ่งที่อยู่ในมือเขาทั้งสอง ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงแสงสว่างจากกองไฟเล็กๆ เด็กชายสองคนกำลังพยายามฝืนกินขนมปังพอประทังกระเพาะให้หายส่งเสียง ใครมันจะไปกินลงกัน มงกูหายไปทั้งตัวแย่กว่านั้นคือการกลับบ้าไปมือเปล่าโดยไม่มีหนึ่งแสนห้าหมื่นวอนแทนที่ยิ่งนึกถึงใบหน้างองุ้มของมารดาแล้วคิมจงอินยิ่งอยากจะเป็นบ้าไปเสียตรงนั้น

                แผ่นหลังกว้างถูกมือเล็กๆลูบเบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม

                “คิดมาก...เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยหาใหม่ก็ได้เราช่วยเอง”

                “นายก็พูดได้นี่...มงกูหายเลยนะเว่ยๆ” คิมจงอินกล่าวตวาดพร้อมกุมขมับอย่างที่คนหัวเสียเขาเป็นกัน

                “ก็รู้แล้วแต่นายเครียดไปมงกูมันจะวิ่งมาหาไหมล่ะ หื้ม?”

                “....” มันก็เป็นความจริงที่จงอินเครียดไปมงกูก็คงไม่โพล่ออกมาหรอกแต่ให้ตายเถอะ ใครจะไปใจเย็นนั่งสมาธิบำบัดใจให้สงบได้ลง

                “....”

                “แต่...”

                “แต่อะไร?”

                “นายรู้ไหมว่าถ้าฉันหาไม่เจอจะเป็นอย่างไรบ้าง ฉันไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร ไม่ใช่ว่าวัวหายแล้วจะทำหน้าตายด้านไม่รู้สึกอะไรเลยนี่!

                คยองซูมองคนตรงหน้านิ่งๆเขากำลังวิเคราะห์ว่าในหัวของเด็กดำนี่กำลังคิดอะไร ตั้งแต่พบกันเขาก็รู้สึกว่าคิมจงอินไม่ใช่คนเลวเพียงแต่หัวรั้นไปกับบางเรื่องเหมือนกับพระเอกในนิยายที่เคยอ่านเมื่อไม่นานมานี้เปี๊ยบและเขารู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี

                “แล้วทำไมต้องมาตวาดเราด้วยละ...งั้นก็แล้วแต่ละกันอุตส่าห์เป็นห่วงไม่ยุ่งก็ได้” คยองซูทำท่าทางที่จำมาผ่านตัวอักษรในหนังสือเล่มโปรด วาทะที่นางเอกพูดกับพระเอกตอนเขา  งี่เง่าแล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ช่ายย ฉากนั้นน่ะเขินจะตาย

                คนตัวเล็กดีดตัวขึ้นเหมือนจะเดินไปที่ไหนซักที่ คิมจงอินดูตกใจไม่น้อยกับการกระทำที่สื่อจะเรียกร้องความสนใจ แต่มันก็ได้ผล เด็กชายรู้สึกถึงแรงดึงชายผ้าคลุม ถ้าจะบอกว่าผ้าคลุมดันไปติดกับขอนไม้หรืออะไรซักอย่างก็คงน่าขันเกินกว่าความเป็นจริง

                ดวงหน้าน่ารักหันไปมองเด็กดำ ปั้นหน้าหงุดหงิดนิดๆพอเป็นพิธี

                “จะไปไหน”

                “ก็นายไม่ต้องการฉันแล้วนี่ฉันก็ต้องไปตามทางของฉันสิ” จะมีใครเล่นละครเก่งเช่น   คยองซูไม่มีอีกแล้วเด็กชายทำแค่พยายามสลัดมือออกจากการเกาะกุมแต่ดูเหมือนคิมจงอินจะไม่ปล่อยเอาง่ายๆ

                “ล้อเล่นน่าอย่าไปนะอยู่เป็นเพื่อนกันก่อนสิ” เด็กชานในชุดเอี๊ยมเอ่ยขึ้น สุดท้ายแล้วจงอินก็ยอมศิโรราบกับความเก่งกาจของเขาอยู่ดี คยองซูยังคงแสดงละครต่อก่อนจะไหวไหล่อย่างคนเสียไม่ได้

                คนตัวเล็กหยัดตัวนั่งลงอีกครั้ง ถ้าให้เขาเดินไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในป่าเวลากลางคืนแบบนี้ก็ไม่เอาหรอกนะ ทั้งๆที่พยามปลอบใจตัวเองด้วยเพลงที่เผลอฮัมออกมาแล้วก็ตาม

                “The woods are just tree

                “The tree are just woods..”

                และก็เป็นอีกครั้งที่ทั้งคู่ต่างให้บรรยากาศเงียบๆถูกกลบด้วยเสียงเพลง คยองซูหันหน้าไปสบกับคนข้างเป็นวินาทีเดียวกับที่จงอินหันมามองหน้าเขาเช่นกันก่อนที่ทั้งคู่จะเบนหน้าออกไปมองพื้นหญ้ารอบๆ

                เพราะถ้าขืนมองกันนานกว่านี้คยองซูอาจจะหน้าแดงขึ้นมาได้...

     

     

                ค่ำคืนแรกในป่าผ่านไปได้ไม่ยากหลังจากที่เขาและจงอินตัดสินใจว่าจะจับเข่าคุยเรื่องชีวิตส่วนตัว ทีแรกดูเด็กชายจะเลี่ยงการเล่าเรื่องเกี่ยวกับฐานะการเป็นอยู่ของเจ้าตัวยิ่งกว่าอะไรจนคยองซูบอกว่าไม่เป็นไรเข้าใจนั่นแหละจงอินถึงได้เล่าเรื่องออกมา

                ยอมรับจริงๆว่าจงอินเป็นบุคคลที่น่าสงสารกว่าเขาหลายขุมจากการที่ผลัดกันเล่าเรื่องต่างๆทั้งการอยู่กินสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบจงอินก็จะดูน่าสงสารกว่าเขาไปหมดทุกอย่าง

                ขนมปังในตะกร้าถูกหยิบยกขึ้นเป็นอาหารในเช้าวันนี้ คยองซูไม่ได้รังเกียจที่จะแบ่งปันขนมปังเล็กๆน้อยๆที่ได้ฟรีมาจากน้าเลย์ พอนึกถึงหน้าน้าเลย์ทีไรหน้าอีตาลุงอี้ฝานหน้าโหดก็ลอยเข้ามาในหัวทุกทีแต่ช่างเถอะยังไงซะลุงนั่นก็ไม่ได้จนเอาภายในสามวันนี้หรอกเขามั่นใจ

                คนตัวเล็กลุกขึ้นปัดเศษกิ่งไม้ออกจากกางเกงผ้าคลุมสีแดงมีประโยชน์มากกว่าที่คยองซูจะนึกถึง นับเป็นเรื่องอันน่าประหลาดใจมากทั้งๆจงอินจะจนกว่าเขาแต่กลับมีหัวคิดดีกว่า    คยองซูสุดโต่งเพราะทันทีที่สภาพอากาศเริ่มหนาวขึ้นมาคนผิวแทนก็จัดการเอาผ้าคลุมไปห่มให้อบอุ่นและมันก็ใหญ่มากพอจะทำให้เด็กชายสองคนนอนภายใต้มันได้

                อีกเรื่องที่สำคัญและน่ายกย่องเกินกว่าคนทั่วไปก็คือ จงอินสามารถอยู่ได้โดยไม่จางจังแบบเผ็ดมาเกี่ยวข้องในชีวิตเลยแม้แต่ชามเดียวดูบ้าชะมัดแต่ต้องยอมรับจริงๆว่าคยองซูชอบมันมากกว่าอะไรในโลกรวมกันเสียอีก

                “ปะ...ไปหามงกูกัน”

                “อื้ม”

     

                และสุดท้ายคือความรักและเมตตาในเพื่อนร่วมโลกข้อนี้แหละที่ทำให้จงอินดูเป็นคนอ่อนโยนขึ้นมาทันที่คุยกันเรื่องเจ้าวัวสีขาวน้ำนมนั่น

     

     

     

     

     

                กิจการร้านขนมปังยังคงขายดีอยู่ทุกวี่ทุกวัน ชีวิตคู่ของทั้งเขาและอี้ฝานดูจะดีไปเสียหมดราวกับพระเจ้าได้ขีดเส้นชะตาชีวิตอันสุดแสนจะเฟอร์เฟ็กนี้ไว้แต่แรกแล้ว

                ตั้งแต่เรียนจบการคบกันในลักษณะไม้ป่าเดียวกันของทั้งคู่ก็ถูกยอมรับจากสังคมทั่วไปแถมยังได้รับคำชมต่างๆนาๆอีกรวมถึงบิดามารดาและครอบครัวของแต่ละฝ่ายก็ยอมรับทั้งยังมอบหมายให้เขาทั้งสองดูแลกิจการนี้อีก

    งานแต่งงานของทั้งคู่ไม่ได้หรูหราอย่างใครๆหากแต่ประทับความทรงจำดีๆให้แก่กันและกัน บาทหลวงที่อยู่ตรงหน้ายังบอกกับเราว่าให้รักกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกับเสียงระฆังซึ่งดังระงมไปทั่วโบสถ์วันนั้น มีดอกไม้โปรยเต็มทางเดินที่เราเดินผ่าน มีผู้คนมากมายเต็มหมู่บ้านมาร่วมแสดงความยินดีกับเด็กหนุ่มทั้งสองในพิธีวิวาห์ จางอี้ชิงยังคงนึกถึงชุดแซกสีขาวที่ทำให้เขาดูดีที่สุดในวันนั้น ก่อนจะตบท้ายด้วยงานสังสรรค์กินเลี้ยงกันอีกในภาคค่ำ

    อ่า ผ่านมาแล้วสักสองสามปีเห็นจะได้แต่เขายังคงไม่ลืม ทุกวินาทีที่ได้ใช้ร่วมกับคนตัวสูงที่ยืนตีแป้งงกๆอยู่หลังร้าน ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าเขารักอู๋ อี้ฝานมากแค่ไหน

    และมันเกือบจะดี ในคืนที่เราร่วมรักกัน ห้องหอที่มีเตียงใหญ่ถูกประดับด้วยกลีบดอกไม้เหมือนในละครทั่วๆไปเขาก็เคยสัมผัสมันมาแล้ว

    ทั้งลีลาอันเร่าร้อนที่อีกฝ่ายบรรจงทำกับเขามันช่างหอมหวานเสียเหลือเกินแต่ติดอยู่นิดเดียว...

     

    ไม่ว่าจะทำกันแบบไหนแต่จางอี้ชิงก็ไม่สามารถมีลูกน้อยๆมาให้คุณตาคุณยายอุ้มได้เลย

    ใช่ว่าอี้ชิงไม่อยากได้ แต่ผู้ชายที่ไหนจะไปมีลูกได้ล่ะ นั่นแหละคือความปรารถนาอันสูงสุดในชีวิตที่เขาพึงจะมี

    “ที่รักมาเอาคุกกี้ธัญพืชออกจากเตาให้หน่อยสิ”

    “รับทราบคับ” จางอี้ชิงขานรับเสียงหนักแน่นก่อนจะพาร่างตัวเองไปเปิดเตาอบ กลิ่นหอมอ่อนๆของคุกกี้ธัญพืชลอยมาแตะจมูก คนตัวบางปัดมือไปมาให้กลิ่นของคุกกี้หอมมากขึ้นเพียงแต่...

    “อ้ะ!

    “เป็นอะไรไหมที่รัก” อี้ฝานผละออกจากงานที่กำลังง่วนอยู่ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของแก้วตาดวงใจของเขา หยิบมือของผู้เป็นที่รักมาดูเห็นเป็นรอยแผลแดงๆตรงสันมือ จะเรียกว่าซุ่มซ่ามก็ได้ที่มือของเลย์ดันไปโดนกับถาดคุกกี้ร้อนระอุจนทำให้เกิดแผลราวกับน้ำร้อนลวก

    มันไม่ใช่ครั้งแรกซะทีเดียวที่เกิดเหตุการณ์เหตุนี้นับเป็นรอบที่สามของสัปดาห์เลยก็ว่าได้แต่คนตรงหน้าเขาก็ยังคงเหมือนเดิม...

     

    อี้ฝานไม่เคยเมินเฉย...

     

    หรือเพราะเป็นเรื่องที่ชินตาแต่เพราะการกระทำที่ดูอบอุ่นมาตลอดทำให้อี้ชิงรู้สึกไว้วางใจว่าคนตรงหน้ารักเขาเสมอ มือบางวางตรงลาดไหล่กว้าง โปรยรอยยิ้มออกมาราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร

    “เหนื่อยรึเปล่า” ถามคนตัวสูงที่กำลังช้อนตัวเขาค่อยๆลุกขึ้นมือทั้งสองข้างพยายามปัดฝุ่นที่เปื้อนตรงสะโพกมน

    “ไม่เลยแค่เห็นที่รักก็หายเหนื่อยแล้ว” คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มจากปากของจางอี้ชิงได้ไม่ยากเหมือนกับก่อนหน้านี้ การแสดงความรักของทั้งคู่ไม่เคยน้อยลงเลยยิ่งไปกว่านั้นอาจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ อ่าคงจะดูแย่ไปหน่อยไหมถ้าวันนี้จางอี้ชิงก็อยากจะมอบความรักให้กับอี้ฝานมากขึ้นกว่าเดิม

     

     

    ถ้าปิดร้านซะตอนนี้เลย จะเป็นอะไรรึเปล่านะ...

     

     

     

     

    เวลาย่ำเย็นในทุกๆขณะ หลังจากให้รางวัลกับพ่อทูนหัวของเขาเสร็จจางอี้ชิงก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้ ร่างเปลือยเปล่าบนเตียงยังคงนอนแผ่หลาอยู่กับที่ลมหายใจผ่อนเข้าออกตามจังหวะไม่มีผิดเพี้ยน

    แขนสองข้างตวัดกอดรอบคอคนรักก่อนจะมอบจูบอันเนิบช้าและอ่อนหวานที่สุด อ่า อี้ฟานชอบความรู้สึกแบบนี้จริงๆ ริมฝีปากของอี้ชิงทำให้เขาต้องตกลงไปในห้วงแห่งความรักไม่รู้จบ เนิ่นนานจนลมหายใจแทบขาดห้วงทั้งคู่จึงผละออกจากกัน

    เท้าแขนลงกับเตียงพลางหันหน้าไปมองคนรักที่นอนอยู่ข้างๆมือแกร่งลูบไปตามกลุ่มผมนานขนาดไหนกันนับแต่วันแรกที่เราพบกัน แต่ร่างสูงบนเตียงยังคงมั่นคงในรักเสมอ

    หันไปมองนาฬิกาแขวนผนังแล้วก็ต้องผงะเล็กน้อยใช่คนข้างๆเขาทำให้ลืมวันเวลาไปเสียส่วนใหญ่ เมื่อตัวเลขบนหน้าปัดสะท้อนเวลาหกโมงครึ่ง ร่างเปลือยเปล่าลุกขึ้นก่อนจะหยิบผ้าขนหนูพันรอบเอวลวกๆ

    เดินไปรินน้ำกินพอให้ตื่นตัวก่อนจะทำธุระในห้องน้ำอีกนิดหน่อย หลังจากที่ไม่ได้ทำทะลึ่งกับเจ้าสาวคนสวยมาหลายวันก็ยิ่งเหนื่อยมากเป็นพิเศษ เรียวนิ้วยกเช็ดน้ำที่เลอะออกมาตรงมุมปากพลางก้าวเอื่อยๆไปที่ครัวแต่ไหนแต่ไรจะให้เขานั่งอยู่นิ่งๆก็ไม่ใช่วิสัยเพราะอู๋ อี้ฟานเป็นคนขยันยิ่งกว่าอะไรดี จะลุกจะนั่งก็นับเป็นงานเป็นการหมด

    ชายหนุ่มเตรียมเก็บครัวให้เข้าที่เข้าทางมาขึ้น สีสันของวันกำลังจะหมดไปทุกวินาที ถาดขนมปังถูกเลื่อนด้วยมือหนาก่อนที่เขาจะบรรจงทำความสะอาดมันอย่างละเมียดละไม ขจัดคราบแป้งให้หลุดออกก่อนจะนำผ้ามาเช็ดแล้ววางไว้ให้มันแห้งเป็นอย่างนี้เช่นทุกวันตลอดระยะเวลาที่เขากับอี้ชิงมีร่วมกัน

    ก็ใช่ว่าสองคนมันก็ดีอยู่แล้วแต่ถ้าถามจริงๆอี้ฝานก็อยากมีเด็กตัวเล็กๆไว้ประดับสักคนสองคน และก็อย่างที่บอกไปผู้ชายมันจะไปมีลูกได้ยังไง

     

    ถ้าขอได้ละก็นะ...

     

    ตึง!

    บานประตูถูกอะไรบางอย่างซัดเข้าเต็มแรงจนมันหลุดออกจากผนัง แสงสีขาวและกลุ่มควันพวยพุ่งเข้ามาในร้าน อี้ฝานเบิกตากว้างอย่างตกใจพร้อมเดินไปหยิบปืนที่แขวนไว้กับผนังด้านบนเตาผิงมาถือไว้ในมือตามสัญชาติญาณ

     

    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาจะไม่ยอมให้คนที่นอนขดอยู่ในห้องนั่นเป็นอันตรายเป็นอันขาด

     

    สิ้นสุดคำประกาศิตในหัวร่างสูงก็เพ่งมองไปด้านหน้าในขณะที่กลุ่มควันก็ค่อยๆเลือนหายไปจนหมด ปรากฏหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า อี้ฝานใช้เวลาพินิจมันไม่นานมากก็ตัดสินใจก้มไปเก็บมันมาดู

    มือแกร่งลูบสันปกสีแดงสดด้วยความประหลาดใจอยู่ไม่น้อยถ้าจะบอกว่าพวกคารวานมาส่งของก็ไม่น่าใช่เพราะเขาคงไม่รุนแรงจนประตูพังไปอย่างงั้นหรอกไม่เช่นนั้นก็คงต้องมีเรื่องกันไปนานแล้ว

    แล้วหนังสือนี่มันมายังไง?

    เป็นคำถามแรกที่มาพร้อมกับคิ้วที่ผูกเป็นปม

    อี้ฝานตั้งใจที่จะเปิดอ่านแต่อีกใจก็คิดว่าควรจะโยนมันทิ้งไปเสียดีหรือไม่...

     

    แต่ก่อนจะได้ทำอะไรเสียงประหลาดก็ดังมาก่อนเนื้อความบนปกหนังสือถูกเมินไปโดยปริยายเพราะทันทีที่เขาหันหน้าไปก็พบกับภาพเงาสะท้อนยายแก่ผู้หนึ่งตรงหน้าต่างซึ่งกำเนิดเสียงเมื่อสักครู่ทำให้เขาต้องเดินไปสำรวจ เป็นเวลาเกือบห้านาทีเห็นจะได้ที่ร่างสูงสอดส่องอยู่ตรงนั้น

    อี้ฝานพยายามลบภาพอันชวนสะพรึงออกไปในหัวภาพยายแก่หลังขดแข็งหัวชี้ฟูที่โปรยรอยยิ้มอันน่าขนลุกนั่นยังคงติดไว้ในหัวยากที่จะลบไป ก่อนที่เขาจะจำใจเดินกลับมาที่โต๊ะตัวเก่าซึ่งว่าหนังสือชวนสงสัยห่างจากหน้าต่างที่ว่าเกือบๆห้าเมตร

    สะบัดหัวไล่ความคิดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะบรรจงเปิดกระดาษทีละแผ่นอย่างเบามือ

    ลายมือหวัดๆเขียนยืดเยื้อเต็มหน้ากระดาษจนแล้วจนรอดความรู้ที่ร่ำเรียนมาก็บังเกิดเห็นผลเมื่ออี้ฝานเริ่มรู้สึกว่าอ่านตัวหนังสือนั่นออก ความรู้สึกอิ่มเอมก็ตีตื้นขึ้นในอก

     




    การแก้คำสาปว่าด้วยคำขอ...

    จงขอในสิ่งที่เจ้าอยาก จงอยากในสิ่งที่เจ้าขอ

    [บทที่1ว่าด้วยเรื่องการตั้งครรภ์ในบุรุษเพศ]

     





    และบางทีเรื่องที่เขาขอมันอาจเป็นจริงก็ได้...

     

               

     

     

    Ⓒ QRD

     


    ’ cactus
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×