คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Fall to the woods - CH1 |100%| nc-15+
สายลมอ่อนเข้าปะทะกับใบหน้าได้รูป ร่างสูงค่อยๆลากมงกูวัวสีขาวน้ำนมออกจากคอกอย่างช้าๆ จงอินปาดน้ำตาข้างแก้มก่อนจะก้าวเดินไปตามทางดินแฉะๆ
อันเนื่องมาจากที่เขาบอกกับผู้เป็นแม่ว่า ถ้าเขาช่วยอะไรได้ก็บอก แต่จงอินไม่คิดเลยว่าแม่เลือกที่จะให้นำมงกูไปขายด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำนมมันไม่ออกให้เก็บมาเป็นอาทิตย์แล้ว
“เฮ้อ...” มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะพาเพื่อนสี่ขาที่เขารักที่สุดออกไปขาย มงกูทำตาละห้อยเหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ร่างสูงค่อยๆจูงเพื่อนของเขาออกนอกเขตรั้วเก่าๆอันเต็มไปด้วยวัชพืชเกาะอยู่เรียงรายเป็นแนวยาว
“มอ...” มงกูร้องขึ้นเล็กน้อยเมื่อผิวหนังครูดกับหนามของวัชพืช ร่างสูงตกใจเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาตามรอยครูดซิบๆ พลางรีบจูงมันไปหาที่รักษาแผล ถ้าถามว่าทำไมจงอินถึงไม่กลับเข้าไปทำแผลมงกูในบ้าน เขาจำต้องตอบว่า กลัวแม่บังเกิดเกล้าไล่ตะเพิด นอกจากนั้นบ้านของเขายังไงมันก็ไม่มีอุปกรณ์ทำแผลใดๆอยู่แล้ว
ทางดินเปียกแฉะทอดยาวไปในตัวเมือง บ้านเรือนหลังเล็กใหญ่สลับกันไปจนสุดสายตา จงอินในชุดเอี๊ยมตัวเดิมพยายามไล่ถามคนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่ามียาบ้างรึเปล่า ในขณะที่เลือดก็เริ่มไหลออกมาจากมงกูไม่หยุด
“ขอโทษนะครับคุณพอจะมี...”
“ออกไปนะ...อี๋ สกปรกจริง” ทันทีที่ร่างสูงเอื้อมมือไปรั้งแขนเสื้อหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเข้า เขาก็ถูกวาจาเสียดสีบวกกับสายตาหน้ารังเกียจมาให้ จงอินก้มหัวขอโทษ ก่อนที่เขาจะเดินออกมา
คนกล้าหาญ ไม่ใช่คนบ้าบิ่น และคนบ้าบิ่น ไม่ได้ไร้มารยาท...
จงอินยังคงเดินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้ร่างกายจะอ่อนเพลียมากเมื่อต้องจูงมงกูไปด้วยทุกๆย่างก้าว เขาร้องขอยารักษาแผลจากผู้คนต่างๆแต่ก็ไม่มีใครใจดีที่จะสนใจเขาเลยซักคน จนจงอินฉุกคิดได้ว่า เขาไม่ควรมาเสียเวลาหายารักษาแต่ควรจะหาคนที่ยินดีรับ มงกูไปรักษาเองมากกว่า
ก่อนออกจากบ้านมา ผู้เป็นแม่กำชับเขานักหนาว่าจะต้องขายวัวไปในราคาที่สามารถเลี้ยงชีพได้ไปนานๆโดยตกลงกันว่าจะขายในราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นวอน (ทีแรกจงอินจะขายแค่แปดหมื่นวอนเท่านั้น) หนทางที่จะสู่ป่าอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อจงอินเดินผ่านตัวเมืองมาจนสุดเขต เขาก็เห็นทางเข้าป่าอยู่ข้างหน้า
ทางเข้าสู่ป่าเป็นอะไรที่น่าพิศวงไม่ใช่เล่น เถาวัลย์ที่พันรอบๆต้นไม้สูง กับกาฝากที่เลื้อยลงมาจากกิ่งราวกับมือของคนที่พยายามจะแตะต้องตัวผู้ที่ผ่านไปมาอยู่เสมอ เด็กในชุดเอี๊ยมกล้าหาญมากพอที่จะเดินเข้าไปแม้ในใจแอบระแวงอยู่บ้างก็ตาม
ในป่าที่เงียบสงบ เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของเขาและสัตว์สี่ขาข้างๆ จงอินรู้สึกเบื่อไม่น้อย ยิ่งเวลาผ่านไปรวดเร็วจนตอนนี้ตะวันเริ่มลับลงจากขอบฟ้าแทนที่ด้วยความมืดและแสงจันทร์ที่สาดส่องไปทั่วอาณาบริเวณ ก็ยิ่งทำให้เบื่อได้ในทุกขณะ
เสียงจิ้งหรีดร้องระงมเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ ทำให้จงอินเผลอฮัมเพลงออกมาเบาๆ
“The woods are just tree….”
“The tree are just woods” สิ้นเสียงฮัมเพลง ก็มีสุ้มเสียงประหลาดดังขึ้นต่อจากเนื้อร้องที่จงอินร้องออกมา ร่างสูงหันไปมองรอบกาย ถ้าจะให้เชื่อว่าเจ้ามงกูร้องต่อออกมาคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และถึงถ้ามันพูดได้จริงมันคงจะช่วยเขาขอร้องแม่ไม่ให้ขายมันเด็ดขาด
เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อหูของตนเอง คิม จงอิน ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อจู่ๆเนื้อร้องเพลงนั้นก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนแทบจะมาหยุดที่แผ่นหลังเขา
“มอ...” มงกูร้องออกมาตามสัญชาติญาณจงอินรีบหันกลับไปหาเจ้าของเสียงนั่นทันที
“เห้ย”
“สวัสดี”
ใบหน้าขาวซีดที่ห่างจากคนตัวใหญ่ไม่กี่เซน แต่ก็ทำให้เขาหน้าร้อนวูบด้วยความกลัวได้ไม่ยากนัก เด็กผู้ชายในชุดคลุมสีแดงสด ในมือมีตะกร้าขนมปังที่ทุกชิ้นพร่องไปเกือบครึ่งซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นฝีมือการชิมของเจ้าตัวเป็นแน่
ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าคิมจงอินจะหายตกใจเอาง่ายๆ คนตัวเล็กในชุดคลุมเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยสำเนียงติดจะแปร่งๆออกมา
“ฉันชื่อ คยองซู...โดคยองซู”
“เอ่อ...”
“แล้วนายละชื่ออะไร” ไม่รอให้คนตัวสูงปริปากอะไร คยองซูก็สวนเขาด้วยคำถามผูกไมตรีจนทำให้จงอินอาจจะปรับตัวไม่ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สาบานว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่มีคนอื่นเป็นฝ่ายทักเขาก่อนโดยไม่มีท่าทีแสดงความรังเกียจออกมา ซึ่งข้อนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำเอาจงอินประทับใจในตัวเขาอยู่ไม่น้อย
“จงอิน..คิมจงอิน”
“ยินดีที่ได้รู้จักจงอิน”
“เอ่อ...เช่นกัน”
“....”
“....”
“แล้วเอ่อ...นายมาทำอะไรในป่านี้กันล่ะ” คนตัวเล็กเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ริมฝีปากรูปหัวใจนั่นดึงดูดความสนใจของเขาไปหมดสิ้น จงอินเผลอมองปากน่ากัดนั่นอยู่นานจนทำให้เขาต้องถูกคนตัวเล็กสะกิดด้วยการเตะเข้าที่หน้าแข้งจุดตาย
“อ้ะ...ย๊านายนี่” คนตัวสูงรีบเงื้อมมือขึ้นประทุษร้ายแต่มิวายต้องพลาดเพราะคนตัวเล็กช่างว่องไวเสียเหลือเกิน “5555นายนี่ตลกจัง”
คนตัวเล็กยิ้มร่า โดยคร่าวๆจงอินสามารถวิเคราะห์ได้ว่าคยองซูต้องเป็นพวกที่ชีวิตดี้ดีแน่ๆ ถึงได้ดูร่าเริงและสดใสกว่าเขามาก แน่นอนหละก็ผ้าคลุมสีแดงนั่นดูก็รู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดีที่หาง่ายๆได้ตามริมทางซะเมื่อไหร่ นอกจากนั้นยังมีตะกร้าขนมปังที่เจ้าตัวหิ้วมาด้วยอีกซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ทันทีว่าฐานะทางบ้านของคยองซูร่ำรวยกว่าเขาไปหลายขุม
“สรุปว่านายมาทำอะไรในป่ากันแน่” สุ้มเสียงใสเอ่ยขัดความคิดเจ้าของเรือนผมสีทองอีกครั้ง จงอินขมวดคิ้วก่อนจะมองหน้าใสๆด้วยความฉงน
“นายจะอยากรู้ไปทำไมกัน”
“ก็เผื่อไปทางเดียวกันจะได้ไปด้วยกันไงเล่า...” คนตัวเล็กตอบเสียงใสพลางยื่นหน้าเข้ามาเรื่อยๆ “นายรู้มั้ยที่ในป่านี้น่ะ”
“...”
“มีคนเคยแขวนคอตายด้วยนะ...”
“....”
“และเชื่อว่าวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ที่แห่งนี้”
สิ้นเสียงจงอินตัวแข็งทื่อหน้าซีดเผือดด้วยความกลัวทันทีหลังจากที่ร่างเล็กยื่นหน้ามากระซิบข้างๆหูเขา จงอินเป็นคนกล้าหาญ กล้าหมดทุกเรื่องยกเว้นเรื่องพวกนี้เขาขอยอมแพ้ ต่อให้ไปบุกน้ำลุยไฟกินดินกินทรายที่ไหนก็ได้แต่อย่าขอให้เจอสิ่งลี้ลับพวกนี้ มันไม่ถูกกับเขานักหรอก
“ฮิๆๆๆ” เสียงกลั้นหัวเราะดึงให้จงอินหันมามองตาขวาง คยองซูเอามือปิดปากอย่างพอใจเมื่อหลอกควายได้หนึ่งตัว เอ้ย ท่ดๆ เมื่อแกล้งคนตัวใหญ่ได้ตามต้องการ คยองซูเอียงคอน้อยๆพอเป็นการล้อเลียนก่อนที่จงอินจะเงื้อมมือขึ้นฟาดอีกครั้งเขาก็วิ่งไปหลบหลังต้นไม้ที่ไม่ไกลนัก
“นายนี่มัน!!!” ร่างสูงตะโกนก่อนจะวิ่งไล่ตามเด็กในชุดคลุมอย่างไม่ลดละ ก็อย่างที่เคยกล่าวไว้ แม้คยองซูจะกินเยอะเกินกว่าคนทั่วไปเขากินกันแต่ในเรื่องของความเร็วเขาก็ไม่เป็นรองใครแน่
ความเหนื่อยแล่นเข้ามาที่คนตัวสูงอีกครั้งเป็นเรื่องยากที่จะมาวิ่งไล่นกฮูกตัวใหญ่ตัวหนึ่ง สองขาหยุดอยู่กับที่ จงอินหอบหายใจแรงๆพลางทรุดลงกับโคนไม้แถวนั้นๆ
“555นายนี่มันตลกจริงๆด้วย” เมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายชนะก็กอดอกด้วยความภาคภูมิ จงอินอดที่จะหมันไส้เล็กไม่ได้ ไว้วันหลังก่อนเถอะนกฮูกจะจัดให้สาสมใจเลยทีเดียว
ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งข้างๆอย่างสบายๆ จงอินเหลืบหันไปมองเสี้ยวหน้าใสๆที่ถูกผ้าคลุมสีเลือดบังไปเกือบมิด ตากลมโต ริมฝีปากบางรูปหัวใจ คิ้วหนาเข้ม ร่างเล็กๆที่น่าทะนุถนอม จงอินไล่พิจารณาคนข้างๆตั้งแต่หัวจรดเท้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าคยองซูเป็นมนุษย์น่ารักคนหนึ่ง แต่ไม่สิๆๆ เขาเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวันเองนะ
จงอินพยายามจัดการกับความคิดตัวเองสุดฤทธิ์ไอเด็กตัวแสบนี่นะหรอน่ารัก มงกูยังน่ารักกว่าเป็นไหนๆ
เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ
มงกู
อยู่ไหนล่ะ...
เมื่อรู้สึกตัวว่าสิ่งมีชีวิตตัวที่สามหายไป จงอินรีบหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง ความเหนื่อยอ่อนหายไปกลับถูกแทนที่ด้วยความตกใจเต็มสูบ เขาจะปล่อยให้เพื่อนรักหายไปในป่าอย่างนี้ไม่ได้ขืนถ้ากลับบ้านไปมือเปล่ามีหวังโดนไล่ออกจากบ้านเป็นการลดรายจ่ายแน่ๆ ร่างสูงรีบวิ่งไล่หาเจ้าวัวตัวดีก่อนที่เวลาจะเข้าสู่ยามวิกาล อันเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงในการตามหามงกู
“นี่นายทำอะไรนะ” คยองซูเอ่ยถามเมื่อเห็นจงอินมีท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ชายผ้าคลุมสีเดินลอยจาพื้นเมื่อคนตัวเล็กหยัดตัวขึ้น “หาวัวนะสิ”
“ห้ะ...หาวัว” คยองซูขมวดคิ้วน้อยๆ จะว่าไปตอนที่เขาเดินมาเจอจงอินก็เห็นวัวสีขาวน้ำนมอยู่ตัวหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากนัก หรือว่ามันจะหายไป
“มงกู...อยู่ไหน...มงกู” ไม่ต้องรอให้เดานาน จงอินตะโกนเรียกชื่อสัตว์สี่ขาอย่างบ้าคลั่ง มือเล็กแตะลงบนบ่าแกร่งของอีกฝ่ายเป็นเชิงว่า จะช่วยตามหาอีกแรง
เวลาไม่เคยรอใครแสงอาทิตย์ที่ใกล้หมดลงทุกขณะ เช่นเดียวกับทั้งสองที่วิ่งวุ่นตามหาสัตว์สี่ขากันจนแทบคลั่ง คนในชุดคลุมยืนจับเข่าตนเองเพื่อขอพักหายใจต่างกับจงอินที่พยายามบินขึ้นไปบนต้นไม่ใหญ่และพยายามมองหามงกูจากที่สูง
คนตัวเล็กมองตามเด็กชายที่บินต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว ในใจอดจะคิดไม่ได้ว่าชาติที่แล้วจงอินเป็นลิงหรือไงกัน แม้บนดินจะไม่ได้ปราดเปรียวอะไรแต่เมื่อได้บินต้นไม้แล้วทักษะของเค้าดูยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่คนตัวเล็กเผลอมองตามทุกท่วงท่าการกระทำของจงอิน
ใช่ย่อยที่ไหนกันล่ะ...
อีกด้านหนึ่งในป่าลึกไม่ไกลจากทั้งคู่...
“นั่นใครน่ะ...” เสียงทุ้มแหบดังขึ้นจากทางด้านล่างขอหอคอยเป็นสัญญาณอันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าไม่ใช้แม่ทูนหัวของเขาเป็นแน่ ก้อนเนื้อในอกของบยอนแบคฮยอนกำลังเต้นแรงอย่างน่าประหลาดเพียงได้ยินเสียงของชายหนุ่มปริศนาที่ดังขึ้นด้านล่างเท่านั้น
ปาร์ค ชานยอล ชายหนุ่มผู้มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ผู้มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพรวมถึงองค์รักษ์ผู้ทรงสนิทกับพระราชา ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่น พยามยามเพ่งไปที่ยอดหอคอยที่สูงลิบลิ่วนั่นไม่ต่างกันกับคนทั่วไปเมื่อผ่านมา ณ สถานที่แห่งนี้
หอคอยที่ล้อมรอบไปด้วยป่าและเขา ไกลจากตัวเมืองหลวง ใครกันนะที่มาพักอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ ด้วยความฉงนที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ ชานยอลเอี้ยวหูฟังว่ามีคนอยู่บนนั้นหรือเปล่า ไม่ทันขาดคำก็มีเชือกเส้นสีทองหย่อนลงมาจากทางด้านบนคนตัวสูงโปร่งที่กำลังจะเดินออกไปหยิบมันก็ต้องหยุดชะงักไว้เมื่อมียายแก่ในชุดสีครามขาดวิ่นมาฉวยเชือกไปก่อนเขาพลางไต่ขึ้นไปอย่างชำนาญ
“ราพันเซล ราพันเซล ส่งเชือกลงมาหน่อยได้ไหม” ถ้าฟังไม่ผิดคำๆนี้แหละที่ทำให้คนข้างบนหย่อนเชือกลงมา ปาร์คชานยอลจำขึ้นใจ
แบคฮยอนเชื่อว่าหูตัวเองต้องไม่ฝาดไปแน่ทั้งๆที่มีเสียงของผู้ชายที่ถามว่าใครอยู่บนนั้นหรอ แต่สักพักกลับกลายเป็นเสียงของแม่ทูนหัวที่เรียกให้ส่งเชือกลงไป
ฝีเท้าหนักกระทบกับอิฐดังขึ้นมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาหยุดตรงบานหน้าต่างไม้ ผู้เป็นแม่เรียกขานแบคฮยอนด้วยรอยยิ้มพร้อมกับอ้าวงแขนสวมกอดร่างเล็ก
แบคฮยอนโผเข้าไปในอ้อมกอดเสียงกระซิบของมารดาในตอนนี้กำลังต่อสู้กับจิตใจที่พร่ำคิดแต่เรื่องเสียงเมื่อสักครู่จนปั่นป่วนไปหมด ถ้าหากว่ามีคนจริงที่พร้อมจะรับแบคฮยอนออกไปจากที่นี่เขาก็ยินดี ในเวลา18ปีที่ต้องทนเดินไปเดินมาอยู่ในหอคอยเล็กๆมันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของเขามีความสุขขึ้นเลยรังแต่จะสร้างรอยร้าวขึ้นในจิตใจจนพร้อมจะแตกออกมาเมื่อถึงเวลา
“แม่ฮะ...”
“ว่าไงจ้ะ...” ผู้เป็นแม่กล่าวด้วยรอยยิ้มแต่ทันทีที่แบคฮยอนหลุดปากออกไปด้วยเรื่องบางเรื่องที่ไม่สมควรรอยยิ้มนั้นถูกกลืนหายไปในพริบตาแทนที่ด้วยเสียงดุตักเตือนกับสายตาที่ราวกับจะห่าเขาให้สิ้นหลังจากนั้นแม่ทูลหัวจึงกระโดดลงจากหอคอยไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
เพียงแค่แบคฮยอนถามว่า เมื่อไหร่ที่เขาจะได้ออกจากหอคอยแห่งนี้เท่านั้นเอง...
ร่างสูงรีบหลบเขามุมไม้ทันที่เมื่อยายแก่คนนั้นกระโดดลงจากหอคอย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาสังเกตเห็นสีหน้าน่ากลัวมาจากหญิงคนนั้นซะจนขนหลังต้องลุกชัน
ชานยอลรอซักพักให้หญิงแก่เดินออกไปจนลับสายตา เขาโพล่ออกจากที่ซ่อนชั่วคราวพลางสาวเท้าไปยืนเบื้องหน้าหอคอย “ราพันเซล ราพันเซล ส่งเชือกลงมาหน่อยได้ไหม”
ร่างสูงท่องประโยคที่ตนทบทวนมาอย่างดีไม่ให้ผิดทุกระเบียดนิ้วก่อนจะตะโกนออกไปสุดเสียง เขายืนรอพลางแหงนหน้าขึ้นมองเจ้าของเชือกสีทองใต้หอคอยโดยไม่รู้ว่าปลายหอคอยนั้นมีคนที่ยืนลังเลกับเสียงเรียกขานนั้นอยู่
แบคฮยอนเดินหมุนไปมาทั่วห้อง ใช่แล้ว เสียงเรียกข้างล่างที่ต้องการให้เขาส่งเชือกลงไปเป็นเสียงเดียวกับที่ถามเขาก่อนที่แม่เขาจะมาหา แล้วแบคฮยอนจะลังเลทำไมเล่าในเมื่อต้องการที่จะออกจากที่แห่งนี้เสียเต็มประดาแต่ถ้าหากเลือกได้คนตัวเล็กก็ย่อมเลี่ยงปัญหาที่ตามมาจากแม่เลี้ยงทูลหัวเมื่อรู้ว่าลูกของตนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆเมื่อคนๆนั้นสาปส่งทุกสรรพสิ่งบนโลกให้ปั่นป่วนจนผิดวิสัยถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาแต่คร่าวๆแบคฮยอนจำได้ว่า นางสาปสามารถสาปให้กระต่ายมีสี่หูได้เมื่อครั้งแบคอยอนยังเด็ก
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องพรรค์นั้น คนข้างล่างที่รอเขาอยู่ไม่ได้ถูกสต๊าฟนิ่งไว้ได้ตลอดไป ชานยอลยืนรอเชือกจนคอโก่ง องค์รักษ์หนุ่มท้อใจจึงหลังหลังกลับและเตรียมขี่ม้าออกไปจากที่นี่ ในใจเฝ้าแต่คิดว่าตนคงไม่มีโชควาสนาได้เห็นอะไรใหม่ๆซะแล้ว...
‘ตุบ!!’
ยังไม่ทันที่สองขาจะได้ก้าวเดิน เสียงของหนักที่กระทบกับตัวหอคอยก็เรียกให้ร่างสูงโปร่งหันไปหาอีกครั้งด้วยความหวังที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น สุดสายตาปรากฏเชือกเส้นสีเหลืองนวลอยู่ ไม่รอช้า แม่ทัพปาร์คจ้ำอ้าวไปอย่างรวดเร็วก่อนจะถีบตัวเองท้าทายแรงโน้มถ่วงเพื่อให้ถึงจุดยอดสุดตามที่ตนต้องการ
ร่างสูงหอบหายใจหนักตรงบานหน้าต่างไม้ เครื่องประดับยศที่ทำจากเงินและทองมีน้ำหนักมากเกินกำลังมนุษย์จึงทำให้การต้านแรงโน้มถ่วงแล้วมาสถิตอยู่ตรงนี้ช่างเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของชานยอลยิ่งนัก
แต่แม้ว่ามันจะเหนื่อยแสนเหนื่อยขนาดไหนถ้าหากได้เพียงพบคนที่อยู่บนหอคอยนี้ ไม่ว่าใครก็ตามก็เลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มเหนื่อยจริงๆ
ก็คนตรงหน้าเขามันน่ากินซะขนาดนี้ใครจะอดใจไหวเล่า
-Cut-
TBC
แหะๆจบแชปด้วยความงงอีกเช่นเคยจะบอกว่าตอนนี้มีคงมีคัทด้วยนะเออ หาฉากสยิ๋วกิ้วปิ้วๆได้ในแท็ก #ฟิคฟอลทู ในทวิตเตอร์ จะมีคนมาลงให้ (จริงๆก็เลานั่นเอง) สนุกไม่สนุกยังไงช่วยคอมเม้นต์ด้วยนะละก็สกรีมแท็กเย้อๆนะเราไปส่องอยู่บ่อยๆอย่าให้แท็กเหงานะจุฟๆๆๆๆๆ
ความคิดเห็น