ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO.] "FALL TO THE WOODS" | CHANBEAK KAIDO

    ลำดับตอนที่ #1 : Fall to the woods - Intro

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 59


     

    Intro

    หะ! อะไรนะ กำลังจะโดนยึด

     

    ครับเป็นเพราะคุณไม่จ่ายดอกและต้นของเงินที่ยืมไป”  เสียงตกอกตกใจของสาวใหญ่ดังขึ้นเมื่อมีชายฉกรรจ์ที่ตนเคยไปขอเงินกู้มายืนบอกถึงเรื่องที่หญิงสาวผู้นั้นจะโดนยึดบ้านและที่ดิน

     

    กระท่อมหน้าตาแปลกๆสีเทาหม่นที่แค่ลมพัดก็พังไม่เหลือชิ้นดีกับหลังคาที่กันได้ทุกอย่างยกเว้นฝนไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้ คิม ฮโยริน ต้องมากังวลใจเสียที่ไหน

     

    ที่ดินต่างหากที่สำคัญ...

     

    การดำเนินชีวิตของครอบครัวคิมถึงคราววิกฤติ! เด็กชายผิวสีเข้มในชุดเอี๊ยมยีนเก่าๆที่ขาดวิ่นมากกว่าจะเป็นแฟชั่นกับรองเท้าบู๊ตเปื้อนโคลน ชะโงกหน้าลงมามองภาพของหญิงผู้เป็นแม่ซึ่งยืนคุยกับชายร่างใหญ่อีกสองคน  บนเตียงกองฟางที่เริ่มยุบไปบ้างทำให้เขาต้องเขยิบออกมา และด้วยความรู้สึกลึกๆเขาก็สามรถเดาได้คร่าวๆว่าแม่คงรู้สึกไม่ค่อยอภิรมย์มากนักหรอก

     

    สองขาพาร่างเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน อันที่จริงแล้วเรียกว่าเป็นบ้านคงดีไปหน่อย คิมจงอินรู้สึกเหมือนว่านี่เป็นเพียงที่ซุกหัวนอนชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนบ้าน และไม่อบอุ่นอย่างที่บ้านควรจะเป็น จงอินเดินลงบันไดไปเงียบๆพลางรอฟังเรื่องราวอย่างห่างๆ อ่า เรากำลังจะโดนยึดบ้านใช่ไหมเนี่ย

    ผ่านไปเพียงชั่วครู่ชายหนุ่มสองคนนั้นก็เดินออกจากบ้านของเราไปทิ้งไว้แต่เพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ทนฝืนยิ้มเมื่อเห็นหน้าลูกชายพลางปาดน้ำตาที่รินข้างแก้ม

    เอาเป็นว่าจงอินจะไม่ถามแม่ของเขาละกันว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    มะ...แม่ฮะ”  เสียงเอื้อนเอ่ยเบาๆพอได้ยินกันสองคนดังขึ้นเมื่อ ฮโยรินนั่งลงกับโซฟาเก่าๆที่ไร้หนังหุ้ม มือของจงอินพยายามปลอบโยนโดยการลูบหลังเบาๆพอเป็นกำลังใจเล็กได้ไม่มากก็น้อย

    ฐานะทางบ้านของ จงอิน คือ จนมาก มากจริงๆ อิทธิพลคงมาจากผลผลิตทางการเกษตรที่ไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไหร่ แถมการรีดน้ำนมจากเจ้ามงกู ช่วงหลังมานี้ก็ไม่ค่อยจะได้น้ำนมตามคาด  อันที่จริงแล้วจงอินมีวัวทั้งหมดสามตัว ก็คือวัวสีน้ำตาลสองตัว และสีขาวเหมือนน้ำนมอีกหนึ่ง สองตัวแรกแม่เอาไปขายเมื่อไม่กี่เดินก่อนแล้ว (ตอนนั้นจงอินถึงกับงอนและไม่พูดกับแม่เป็นวันๆ) ทำให้ตอนนี้เหลือแต่เพียงเจ้ามงกูตัวเดียว

     

    ผู้เป็นแม่หันหน้ามามอง จงอินรู้ได้ว่าแม่ของเขากำลังเครียดจัด แววตาที่สะท้อนความเศร้าแบบถึงที่สุดเหมือนกำลังอ้อนวอนอะไรซักอย่าง

    ลูกรู้ไหมถ้าแม่ขอพรได้ขอหนึ่งแม่จะขออะไร...

    “...” คำถามที่เหมือนไม่ต้องการคำตอบหลุดออกจากปากหญิงสาวใหญ่ เด็กชายมองหน้าแม่ไปด้วยอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยเสียงสั้นอย่างจนปัญญา

    อะไรฮะ...

    แม่จะขอ.....

    “...”

    ความร่ำรวย....ผู้เป็นแม่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะรีบเปลี่ยนความคิดของตนในหัวเพราะยังไงเราก็ได้เพียงแค่ขอเท่านั้น

    “...”

    เอาเถอะ...แม่ว่าจะทำอะไรนะ...อ๋อ...ตากผ้า ใช่....ถ้างั้นแม่ไปตากผ้าก่อนแล้วลูกก็อย่าทำอะไรให้แม่ต้องปวดหัวอีกนะจ้ะ

    แม้จะพูดออกมาแบบนั้นแต่ใบหน้าขอหญิงสาวกลับเศร้าซึมลงไม่น้อยกว่าเดิม จงอินหวังเพียงจะสร้างความสุข และ ความร่ำรวยตามที่แม่ต้องการ เขาจึงคิดเอ่ยคำนั้นออกไป

     

    ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยบอกได้นะฮะ...

     

    ซึ่งจงอินอาจจะคิดผิดก็ได้ที่พูดออกไปแบบนั้น...

     

     

     

    เวลาบ่ายเป็นเวลาที่เหมาะแก่การเดินทางครั้งนี้ของ โด คยองซู เขาขันอาสาไปหาคุณย่าที่นอนซมอยู่ในป่าลึก แม่ของเด็กชายตัวเล็กได้ให้เสื้อคลุมสีแดงสดให้เป็นของต่างหน้าดูเผินๆมันก็มีสีเช่นเลือดสดไม่ต่างกัน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะความประสงค์อันน้อยนิดที่จะให้ลูกชายของเขาดูเด่นและสดชื่นในป่าเผื่อหลงทางก็จะได้มีคนหาเจอ

    สองขาพาร่างเล็กเดินไปในทางใหญ่ ระหว่างทางคยองซูเหลือบไปเห็นร้านของคนทำขนมปังตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลนัก เขาจึงถือโอกาสที่จะไปแวะซักหน่อย คุณแม่คงไม่ตำหนิเอาหรอกนะ

     

    สวัสดีครับ...สุ้มเสียงเล็กดังขึ้นทันทีที่ประตูร้านถูกเปิด เด็กชายในชุดผ้าคลุมสีแดงยืนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะสาวเท้าเร็วๆไปหาภรรยาของคนทำขนมปังที่คุ้นเคย

     

    ว่าไงคยองซู...

     

    คือผมจะไปเยี่ยมคุณย่าในป่าแต่ไม่มีของฝากให้ท่านเลย...

     

    เข้าใจแล้วๆ...นี่จ้ะ

     

    ขอบคุณคับน้าอี้ชิง...คนได้รับคำขอบคุณยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม จาง อี้ชิง หรือเลย์ ภรรยาคนทำขนมปัง หรือก็คือ เฮียคริส  ถือว่าคยองซูจะรู้จักเขาในนามเพื่อนของแม่เขาอีกทีแต่บางครั้งพ่อของคยองซูก็มีหึงหวงบ้าง  อาจเป็นเพราะคุณแม่ชอบมานั่งคุยกับน้าเลย์นี่บ่อยๆ

     

    ลืมบอกไป น้าเลย์เป็นผู้ชาย แต่ที่เรียกว่าภรรยาคนทำขนมปังเพราะ...

     

    เขาเป็นภรรยาจริงๆนี่หน่า....

     

    ว้าวน่ากินจัง...คยองซูร้องขึ้นเมื่อเดินผ่านชั้นวางขนมปัง มันทั้งน่ากินทั้งสีสวยทั้งหอมหวานซึ่งถ้าไม่ติดว่าเขาต้องรีบเข้าป่าไปเยี่ยมคุณย่าละก็คงจะต้องขออยู่ที่นี่อีกนาน

     

    อยากกินก็หยิบไปสิจ้ะและดูเหมือนน้าเลย์ผู้แสนใจดีจะรู้ว่าเด็กชายต้องการมันมากขนาดไหน คยองซูทำตาโตก่อนจะก้มหัวขอบคุณแรงๆพลางเดินหยิบขนมปังไปเรื่อยๆจนมันเริ่มจะล้นมือและเสี่ยงต่อการตกลงพื้น

     

    น้าเลย์ครับ...อ่า...พอจะมี..ตะกร้าให้ยืมมั้ยครับ...

     

    อ่าแปปนึงนะจ้ะร่างบางกล่าวก่อนจะก้มตัวลงไปหาตะกร้าใต้ชั้นวางของ อี้ฝานเห็นตะกร้าใส่ขนมปังบ้างมั้ยจางอี้ชิงเอ่ยเสียงหวานพลางชะโงกหน้าเข้าไปมองหลังร้าน

     

    ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เดินออกมาจากภายในร้าน เฮียคริส หรือ ชื่อเต็มคืออู๋ อี้ฝาน ผู้ที่มีเรือนผมสีทองกับรูปร่างที่ดูกำยำ ภายในมือหิ้วตะกร้าสานที่รองด้วยผ้าลายสก็อต น้าเลย์รับมาด้วยรอยยิ้มและหยิบทิชชู่ข้างๆใส่ลงไปอีกชั้นก่อนจะยื่นตะกร้ามาทางเด็กตัวเล็ก

     

    คยองซูยื่นมือออกไปรับก่อนจะค่อยๆเทขนมปังหลากหลายชนิดลงบนตะกร้า

    นี่นายให้ขนมปังไอเด็กนี่ฟรีๆอีกแล้วหรอ?” หนุ่มผมทองถามขึ้นเพราะไม่เข้าใจว่าภรรยาของเขาจะทำไปทำไมทั้งๆที่ไม่ได้อะไรกลับมามากกว่าคำว่า ขาดทุน

     

    เถอะน่าอี้ฝาน ให้เด็กมันไปนิดหน่อยเอง ใช่มั้ยจ้ะ...

     

    ใช่ครับแค่นี้ขนหน้าแข้งเฮียคงไม่ร่วงหรอกนะ....

     

    ไอ่เด็กนี่...ร่างสูงเตรียมเงื้อมมือขึ้นฟาดแต่ก็ถูกกันไว้ด้วยภรรยาแสนใจดี น้าเลย์ตะโกนให้คยองซูออกไปจากร้านก่อนพลางให้คำอวยพรว่าเดินทางปลอดภัยตามฉบับ คยองซูซึ่งยั่วโมโหลุงใจร้าย(?)สำเร็จก็เดินออกมาพร้อมคุกกี้ธัญพืชที่หยิบติดมือมาพลางยัดมันใส่ปากเคี้ยวมันตุ้ยๆอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร

     

     

    คยองซูผู้ซึ่งมั่นใจในตัวเองและเชื่อฟังพ่อแม่เฝ้าทบทวนคำพูดของแม่ที่กล่าวเอาไว้พลางมุ่งหน้าเข้าป่าไปอย่างไม่ยี่หระ

     

     

    จงตั้งใจและอย่าออกนอกเส้นทางเด็ดขาด

     

     

     

    ชั่วชีวิตของลู่หานตั้งแต่เกิดมาและจำความได้เขาก็ต้องถูกใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นซักผ้าตากผ้า ทำกับข้าว ให้อาหารสัตว์หรือแม้แต่ขัดรองเท้า ทุกๆอย่างที่สามารถและไม่สามารถเขาต้องทำมันให้ได้ทั้งหมด ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาจากความฝันก็ต้องพบกับชีวิตจริงอันสุดแสนจะโหดร้าย  ลู่หานผู้ซึ่งพยายามจะมองโลกในแง่ดีว่าเป็นการทำให้ตัวเองแข็งแรงและกระปี้กระเป่าซึ่งในบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองช่างโง่งมและอ่อนแอเสียเหลือเกิน

     

    อ่อนแอเกินกว่าจะดูแลบ้านที่เป็นสมบัติแต่บรรพบุรุษไว้ได้...

     

    ลู่หานเฝ้ารำพึงรำพันถึงงานเต้นรำในวังของพระราชา ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก คนใช้ก้นครัวที่ใฝ่ฝันจะไปงานเต้นรำนั่นสักครั้งในชีวิต

     

    งานเต้นรำที่ถูกจัดขึ้นตามประกาศทางพระราชวังจัดขึ้นกันทั้งหมดสามวันสามคืน เมื่อไม่กี่วันก่อนพอลู่หานรู้ข่าวจากการที่ไปเดินจ่ายตลาดมา  ภายในสามวันเจ้าชายจะหาคู่ครองของตนแล้วอภิเษกสมรส’  ข้อความดังกล่าวถูกถ่ายทอดไปให้ผู้เป็นแม่เลี้ยงฟัง เล่นเอานางถึงกับใช้ให้ลู่หานโทรไปสั่งตัดชุดเต้นรำให้ลูกสาวที่รักทั้งสองของเธอ

     

    ชีวิตมักโหดร้ายทารุณเสมอต้นเสมอปลาย ความร้ายกาจของแม่เลี้ยงที่ไม่สั่งตัดชุดให้เขาเลย แต่ถ้าหากต้องการลู่หานจำต้องถอนหญ้าข้างบ้านให้เสร็จก่อน

     

    ด้วยความหวังอันน้อยนิด ลู่หานไม่ลังเลที่จะนั่งกับพื้นดินโคลนเปียกๆที่อาจทำให้เสื้อลายทางตัวโปรดหมองลงไปอีก

     

    สายตาคมเหลืบไปเห็นคอกวัวกับกรงกระต่ายจากบ้านข้าง ความคิดดีๆผุดเข้ามาในหัวแบบฉับพลัน ลู่หานผิวปากเรียกมันทันทีที่ข้ามรั้วและเปิดกรงเรียบร้อย(แต่ละบ้านจะมีประตูแคบๆให้เดินผ่านถึงกันได้)พลางไล่พวกวัวกับกระต่ายไปฝั่งบ้านของตนเพื่อให้มันกินหญ้าโดยไม่ลืมขออนุญาตคุณป้าข้างบ้านที่เขาแอบไปสนิทกันโดยที่แม่เลี้ยงไม่รู้มาก่อน ซึ่งเธอก็บอกว่าเชิญตามสบายเลย

     

    เอ้า กินเลยๆลู่หานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขามีความเชื่อว่าสัตว์นั้นฟังภาษาของคนออกเพียงแต่มันไม่สามารถตอบโต้ได้ก็เท่านั้นเอง ดังเช่นตอนนี้ที่ทั้งพวกวัวและกระต่ายกำลังกินหญ้าในสวนกันอย่างเอร็ดอร่อย

     

    ลู่หานใช้เวลาอันน้อยนิดกับการนั่งพักในห้องครัวที่มีกลิ่นอับนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรหรอกเขาอยู่ที่นี่จนชินไปแล้วล่ะ   บ้านหลังนี้อันที่จริงแล้วเป็นบ้านของตระกูลลู่หาน แต่ด้วยความที่พ่อของเขาได้ไปรับแม่เลี้ยงที่เป็นหม้ายมาอยู่ด้วย ยังจำได้วินาทีที่พ่อมาขอที่จะพาแม่เลี้ยงมาอยู่ลู่หานยังคงตอบตกลงด้วยความตื่นเต้นและเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ

     

    จะมารู้สึกตัวอีกทีก็คงสายไปแล้ว ลู่หานถืออุดมคติที่แม่ของเขาสั่งสอนเอาไว้ก่อนจะสิ้นใจไปในยามที่คนตัวเล็กกำลังเยาว์วัย

     

     

    "จงกล้าหาญและมีเมตตา"

     

     

    แบคฮยอนรู้ตัวดีว่าตนอายุเท่าไหร่ รู้ตัวดีว่าตนไม่ใช่วัยที่จะต้องมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำอีกต่อไปแล้ว แต่ดูแม่ทูนหัวของเขายังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขากำลังจะสื่อ...

     

    ใช่แล้ว...แบคฮยอนต้องการเห็นโลกภายนอกด้วยตาจริงๆซักครั้ง ทุกวันเขาเพียงแต่โยนเชือกที่ทำจากเส้นผมของเขาลงให้คนล่างหอคอยปีนขึ้นมาก็เท่านั้น

     

    หลายคนที่ขึ้นมาได้แต่ก็ต้องตกลงไปดังเดิม เป็นเช่นนี้เรื่อยมา นานแสนนาน

     

    และมีหลายครั้งทีเดียวที่เขาจะพยายามใช้เชือกนั่นให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองบ้าง และในทุกๆครั้งมักจะประสบแต่ความล้มเหลวเสมอมา แม่ของเขาช่างเป็นผู้ที่รอบคอบเสกให้เชือกเส้นนั้นหายไปทันทีเมื่อรู้ว่าแบคฮยอนกำลังจะปีนลงไปและปรากฏขึ้นทันทีที่จะมีคนขึ้นมาบนหอคอยแห่งนี้

     

    ชีวิตในหอคอยอันแสนน่าเบื่อ แม้ว่าเขาจะมีซึ่งแล้วทุกอย่างๆไม่ว่าจะเป็น ข้าวของเครื่องใช้ หนังสือ หรือเตียงนุ่มๆซักกี่หลัง

     

    สิ่งที่เขาตองการมันที่สุดแต่กลับได้มายากที่สุด...

     

    ความอิสระ...

     

    ความอิสระที่ไร้ขอบเขตเหมือนนกน้อยที่บินไปท่ามกลางท้องนภาอันกว้างไกลหรือหมู่มัจฉาที่แหวกว่ายกลางธารา เหมือนที่แม่ของแบคอยอนชอบเล่าให้ฟัง

     

    แต่ไม่คิดจะให้เขาได้ไปเห็นและสัมผัสด้วยตัวเอง...

     

    แบคฮยอนเพียงแต่เฝ้าคอยว่าจะมีใครซักคนพาเขาลงจากหอคอยบ้าๆนี่ ในทุกๆวันทุกๆคืน แม้ว่าจะผ่านไปกี่ฤดู ก็ยังคงไม่มีใครกล้ามากพอที่จะมาช่วยเขาออกไป ในหอคอยซึ่งไร้ทางออก

     

     

     

    นี่! ใครอยู่บนนั้นหนะ...เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างล่างของหอคอย แบคฮยอนเชื่อสุดตัวว่าไม่ใช่เสียงของแม่เขาที่เรียกให้ส่งเชือกลงไปแน่

     

     

    หรือเขาจะเป็น...

     

     

    ทางออกของหอคอยนี้กัน...

     

     

     

     

    #ฟิคฟทดว

    เข้ามาจัดหน้าจ้า

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×