คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 10 Loading (50%)
ตุ้บ
เสียงกระเป๋ากระแทกกับโซฟาที่ยังอยู่ไม่ไกล ผมโยนมันลงก่อนจะเดินเอื่อยๆเข้าไปแดรกส์น้ำในครัว พอนึกถึงตาเหลือกๆนั่นทีไรก็อดที่จะร้อนใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุไม่ได้ ใช่แล้ว ผมทำอะไรมันไม่ได้เลยซักนิด
ทุกครั้งที่พยายามประทุษร้ายมัน สายตาอ้อนๆที่ชอบส่งมาเหมือนหมาขอร้องชีวิตตัวหนึ่งมันทำให้ผมแทบจะเป็นบ้าไปเสียตรงนั้น อยากรู้นักใครสั่งใครสอนไอเหลือกน้อยของผมให้ชอบทำตัวน่ารักอย่างนี้
สายตาพลันไปเห็นปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางอยู่ เพ่งมองไปซักพักรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก อีกแค่สามวันไอเหลือกก็จะย้ายมาอยู่กับผมโดยสมบูรณ์
นั่นอาจถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในรอบอาทิตย์เลยก็ว่าได้...
D.O. ::
“นายนี่ใช่ย่อยเลยนะ”
“แหะๆ” ได้แต่ฉีกยิ้มสุดๆไปให้คนตรงหน้า แบคฮยอนเหล่ตามองผมแล้วทำหน้าประหนึ่งรู้ความลับอะไรบางอย่าง
“หึๆๆ”
“อะไรของนายเนี่ยไปๆไปกินข้าวกันเถอะหิวแล้ว” ผมผลักไสให้เพื่อนตัวดีลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายท้วงติงอะไรไปมากกว่านี้ เขินเว้ย เข้าใจไหม
บรรยากาศในช่วงพักเที่ยงเป็นเหมือนในทุกๆวัน เราสองคนต้องเดินไปหาที่นั่งซึ่งดูจะเป็นปัญหาท้ายสุดที่ควรคำนึงถึง ผมเดินไปแลกคูปองอาหารกลางวันมาและให้แบคฮยอนทำหน้าที่ไปหาที่นั่งก่อนจะวางขวดน้ำหรืออะไรซักอย่างไว้บนโต๊ะเปรียบเสมือนการจับจองกรายๆ
มองไปรอบๆเห็นร้านอาหารละลานตานานาชนิดตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวยันข้าวราดแกง ผมเลือกที่จะเดินตรงเข้าไปยังร้านจาจังเจ้าโปรดก่อนจะสั่งจาจังแบบเผ็ดมาสนองความต้องการของกระเพาะที่ส่งเสียงเรียกอยู่นานแล้ว
ทันที่หย่อนก้นลงกับเก้าอี้ เจ้าเพื่อนตัวเล็กก็เปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง อ่า...นี่แบคฮยอนจะเอาให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย
“บอกมานะทีนายยังรู้เรื่องของฉันเลย”
“ขอกินข้าวก่อนได้ไหมล่ะ”
“ไม่ได้” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังเอื้อมมือมาคว้าตะเกียบออกไปจากมือผมเรียบร้อยโดยไม่ถามความสมัครใจซักคำ นี่ได้นิสัยเผด็จการนี้มาจากใครละเพื่อนเอ๋ย ผมคาดว่าคงไม่พ้นปาร์คชานยอลเจ้าของหัวใจแบคฮยอนอยู่วันยังค่ำ
“ก็ได้ๆ” ด้วยความหิวจึงตอบตกลงออกไป ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกฝืดคอแปลกๆ ใช่มันไม่ได้น่าอายซักหน่อยอย่าทำเวอร์ไปเลยน่าคยองซูย๊า
หายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะพรั่งพรูคำพูดออกมา
“ว่ามาสิ”
“นายกับจงอินนี่ไปได้กันตอนไหน ย๊าๆๆ” ผมฟาดเข้าที่ไหล่เพื่อนตัวเล็กไปทีหนึ่งได้กันบ้าบออะไรฮะ นอกจากจะเผด็จการแล้วถมยังกำกวมไม่เลิกอีกเดี๋ยวพอโบกให้
แบคฮยอนยกยิ้มมุมปาก เอาอีกแล้วทำท่าเหมือนตัวเองอยู่เหนือกว่าตลอด ผมโยกหัวไปมาก่อนจะจัดลำดับคำพูดในหัวให้ออกมายังไงไม่ทำร้ายตัวเองกับอัตราการเต้นของหัวใจมากจนเกินไป
“เมื่อสองสามวันก่อน”
“หื้ม...ข้าวใหม่ปลามันหรือนี่”
20%
เอ้ แบคฮยอนนี่ยังไงกันแน่ ณ เวลานี้ผมรู้สึกไม่มั่นใจว่าควรจะคบแบคฮยอนขี้แซะต่อไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่ แต่ก็เอาเหอะ ถึงจะปฏิเสธหัวชนฝาไปอย่างไร เพื่อนตัวเล็กก็คงรั้นจะแซวเอาให้ได้
ผมนั่งคุยกับแบคฮยอนไปซักพัก ระหว่างนั้นก็มีชายฉกรรจ์จงอินกับชานยอลเข้ามาขัดให้บันเทิงใจเล่น นี่สนุกกันมากไหมถามใจตัวเองดู
“ขอกินด้วย” เป็นคำสั้นๆที่คนตัวดำพูดออกมาก่อนจะสวาปามจาจังแบบเผ็ดไปเต็มสูบผมหันไปยิ้มแห้งๆให้แบคฮยอนที่เหล่มองอย่างจับผิด นี่กะจะมองมาอย่างงั้นทั้งวีทั้งวันเลยไหมเกลอเอ๋ย
“คยองต๋า”
“หะ...หา” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อเจ้าของผิวสีแทนเอ๋ยเรียกผมด้วยชื่อแปลกๆที่ไม่เคยได้ยินมาจากปากเขา แต่ไหนแต่ไรไคย่าก็ชอบทำให้ผมตกใจเล่นกับอะไรที่คาดไม่ค่อยถึงอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว สงสัยว่าผมคงต้องปรับตัวกับสภาพหัวใจไปเรื่อยๆแล้วละทีนี้
“วันนี้ไปกินติมกัน”
“เอาดิๆ...แบคฮยอนไปไหม” ผมตอบตกลงคนตรงหน้าก่อนจะหันไปถามเพื่อนสนิทที่นั่งยิ้มขำอยู่กับท่าทางเงอะๆงะเมื่อผมกับไคอยู่ต่อหน้าคนอื่น แบคฮยอนส่ายหัวเป็นเชิงว่า มึงจะไปสวีทกันสองต่อสองกูไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอพวงมึงหรอกกูรู้
คนตัวสูงไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะเดินห่างออกไป มิวายหันมามองผมอีกรอบจนลับสายตา
“แหนะๆๆ”
“บ้าน่า” ผมตีแขนเล็กๆของแบคฮยอนไปอีกทีจะหาว่าเขินก็ได้แต่คงต้องทนอย่างงี้สักอาทิตย์ละมั้งแหมก็แบคฮยอนนะร้ายยิ่งกว่าใครๆ
มีหวังผมได้ตอบคำถามจากเพื่อนตัวดีจนน้ำลายหมดปากแน่ๆ
การเรียนของวันนี้หมดลงไปสวนกับความรู้สึกตื่นเต้นไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แต่ก็ยังไม่ชินสักที
ว่าผมน่ะรอเวลาที่จะไปกินไอศกรีมกับไคย่ามากแค่ไหน
มือที่ปกติจะต้องห้อยลงข้างลำตัวตามแรงโน้มถ่วงของโลก วันนี้กลับถูกมือแกร่งของคนข้างๆประคองมันไว้ราวกับจะส่งต่อความอบอุ่นก็ไม่ปานเพราะทันทีที่เราเดินออกจากโรงเรียนไคย่าก็เอื้อมมือมาจับผมจนรู้สึกได้ว่าหน้าขึ้นสีแดง
ทุกๆย่างก้าวที่เคยโดดเดี่ยวถูกเติมเต็มมาตลอดทางที่เดินไปร้านไอศกรีมมีบ้างที่ผมจะหันไปมองสันกรามของคนข้างๆด้วยความขัดเขิน
คนบ้าอะไรมองกรามแล้วเขินวะ555
ผมนวดขมับตัวเองเบาๆ ยอมรับเลยว่าในหัวมีคำว่าไควนเวียนอยู่ไม่รู้จบและก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ความรู้สกแปลกๆทุกทีที่เราอยู่กันสองคน...
“รับอะไรดีคะ” พนักงานประจำร้านไอศกรีมเอ่ยพร้อมก้มหัวทักทายตามที่ได้ฝึกปฏิบัติมาก่อนลงงานจริง ผมยิ้มให้เขาก่อนจะเปิดดูเมนูไปเรื่อยเปื่อย
“เฮ้! ไม่สั่งอะ”
ผมสะดุ้งเมื่อนิ้วชี้กับนิ้วโป้งของคนตรงหน้าดีดขึ้นเรียกสติ ก่อนที่จะยิ้มละมุนออกมาให้ผมหายใจไม่ออกเล่น ก่อนจะพยักหน้ารับออกไปลวกๆ รีบหลบหน้าลงมองเมนูไปเรื่อยๆ ย่า นี่ไคจะเข้ามายึดพื้นที่ในหัวใจผมมาเกินไปแล้วนะ
“เก่งเนอะ...อ่านหนังสือกลับหัวรู้เรื่องด้วย” เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูกราวกับพิการไม่ก็อัมพาตไปชั่วขณะ ไคหยิบเมนูไปจากมือผมก่อนจะหมุนมันแล้ววางไว้ตรงหน้าดังเดิม
ไม่ไหวแล้วเขิน....
ผมลุกขึ้นท่ามกลางการเพ่งมองมาของคิมไคก่อนจะบอกไปเบาๆว่าขอไปเข้าห้องน้ำแปป นึงนั่นแหละไคถึงได้พยักหน้าหงึกๆให้แล้วกลับไปสนใจที่เมนูแทนที่จะเป็นเหง้าหน้าผมที่เห็นว่ามองอยู่นานนม
น้ำเย็นๆช่วยดึงสติที่หลุดไปไม่มากก็น้อย อ่าใช่ ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันที่เหนื่อยสุดๆแล้วล่ะ ทั้งบยอนแบคฮยอนที่ยิงคำถามไม่เลิกกับไอคนผิวดำที่นั่งมองผมยิ้มๆอยู่อย่างนั้น
หน้าผมมันตลกมากรึไง
ยิ้มอะไรนักหนาว่ะ
เขินวุ้ย!
ยืนตั้งสติสักครึ่งนาทีก่อนจะเดินทอดน่องไปที่เก้าอี้จะว่าไปร้านนี้มันก็น่ารักดีอยู่นะมองเผินๆแล้วมีแต่คู่รักเต็มไปหมด อะฮ้า คิมไคนี่มันร้าย
“ว่าไง” คนตรงข้ามเอ่ยขึ้นเมื่อผมหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้
“นิดหน่อย ปวดท้อง น่ะ” ก็ต้องโกหกกันบ้างปะครับถ้าจะให้บอกไคว่าไปยืนสงบสติอารมณ์มามันก็จะดูแปลกๆใช่ป่ะละ
“เฮ้ย!เป็นอะไรมากรึเปล่าหาหมอไหม”
แต่ดูรีแอคชั่นที่ได้รับกลับมาสิครับ โอยอะไรจะน่ารักขนาดนี้ ไหนจะสายตาที่ยังไงก็ดูเป็นห่วงผมสุดๆนั่นอีก ฮัลโหล ขอพื้นที่ให้คยองซูคนนี้หายใจที
“ป่าวๆไม่เป็นไร ฮุ้วววน่ากินจางงง”
ผมเปลี่ยนประเด็นก่อนจะทำหน้าทำตาตื่นเต้นสุดๆกับฮั่นนี่โทสตรงหน้า ใช่ๆผมรู้จักมันเพราะ #อร่อยไปแดก ในทวิตเตอร์ที่เขาชอบถ่ายลงกันยิ่งพอไปส่งตอนดึกๆนี่ท้องก็ร้องขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ซะงั้น
ผมกวาดสายตาไปรอบๆมองก้อนไอศกรีมที่วางไว้บนขนมปังราดน้ำผึ้งเยิ้มๆอย่างพินิจพิจารณาแล้วก็เผลอกลืนน้ำลายดังเอือก มันดูเป็นกริยาที่น่าเกลียดแต่ก็ยังดีกว่าให้ผมจ้องหน้าคนตัวดำนี่เป็นไหนๆ
ใครจะรู้ว่าไคย่าน่ากินกว่าฮันนี่โทสนี่หลายขุม
“อิ่มป่าว”
“อื้อ...อิ่มดินี่ดูๆๆ” ผมเอ่ยออกไปก่อนจะชี้พุงตัวเองเป็นท่าทางประกอบ ไคอมยิ้มน้อยๆอย่างที่ตัวเองชอบทำก่อนจะหันออกไปมองวิวทิวทัศน์เหลือทิ้งไว้แค่รอยแดงๆตรงแก้มฝาดของผมคนนี้
หลังจากเราขอฝากท้องไว้กับร้านไอติมไคก็ชวนผมไปซัดราเม็งแถวๆนั้นอีกราวกับจะขุนกันให้อ้วนอย่างไรอย่างนั้น
รถเมล์เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆเท่าที่สังเกตดูคงไม่เกินสองป้ายเราทั้งคู่ก็ต้องลงกันแล้ว ผมสะกิดเรียกคนข้างตัวให้ลุกขึ้นตามก่อนจะพาร่างตัวเองไปกดกริ่งตรงประตูทางออก เนื่องจากเป็นเวลาที่ดึกมากพอทำให้คนที่รออยู่ตรงป้ายแทบจะไม่มี ผมกระโดดลงลดเมล์อย่างที่ชอบทำแต่กลับมีอะไรบางอย่างปัดหัวผมอย่างแรง
“โอ๊ย...ไคย่าตบหัวเค้าไม”
“ใครสั่งใครสอนให้กระโดดลงรถเมล์อย่างงั้น”
ที่แท้ก็เรื่องนั้นเอง อีกข้อที่ผมสัมผัสได้คือ ไคย่าจุกจิกเอาเรื่องแฮะ มีหลายเรื่องที่เขาคอยช่วยสั่งสอนผมอยู่ซึ่งผมก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับช้า ณ จุดๆนี้คือยอมใจ
“ก็...”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย มานี่มา...”ไม่พูดเปล่ามือแกร่งก็ตวัดโอบรอบคอสั้นๆของผมพลางก้าวเดินไปตามทางผมเลยจำเป็นที่จะต้องเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้
อากาศหนาวๆในยามค่ำคืนที่ไร้แสงดาวในเขตเมืองใหญ่กลับถูกทำให้อบอุ่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยร่างกายของคนข้างๆนี้ ผมลอบยิ้มกับความรู้สึกแบบนี้อยู่กับตัวเอง นานแค่ไหนที่จะต้องทนเดียวดายโดยไม่มีใครมาคอยกวนแบบนี้ นานแค่ไหนที่ต้องเดินกลับหอเก่าด้วยตัวคนเดียวกินข้าวคนเดียว อ่า ลืมไปหมดแล้ว
ว่ากันว่าคนเรามักจะเลือกเหตุการณ์ที่เหงาๆกลับมานั่งคิดให้ตัวเองเศร้าเล่นๆ ผมก็เป็นแบบนั้นนะในสมัยก่อน แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ยังเป็นอยู่ไหม ผมคงต้องตอบไปว่าไม่แล้วล่ะ นี่ก็ไม่รู้จะเอาเวลาไหนไปทำอะไรแบบนั้นเหมือนกัน
หลังจากได้เจอกับคนผิวดำคนนี้เท่านั้นที่ทำให้โลกใบนี้ของผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีน ใครๆอาจหาว่ามันเวอร์ก็ได้นะ แต่ผมไม่เคยรู้สึกอบอุ่นอย่างนี้มานานมากแล้ว
ทางเดินยังคงทอดยาวไปเรื่อยๆแขนของไคยังคงโอบผมเอาไว้อย่างนั้นทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่มันกลับทำให้ผมยิ้มได้ไม่หยุด
แสงจากเสาไฟฟ้าเป็นสิ่งเดียวที่ให้ความสว่างๆในตอนนี้ไคหยุดเดินทำให้ผมต้องหันไปมองใบหน้าที่ชวนให้ละลายใจอยู่ตลอดเวลา
“หยุดทำไมอ่ะ”
“เมื่อยแขน...” ตอบออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย 55555 เหตุผลนี้นี่มัน
น่ารัก...
“งั้นไม่ต้องโอบก็ได้...”
“อือว่างั้นแหละ”
“อื้อ...”ผมตอบออกไปด้วยใบหน้านิ่งที่สุด อันที่จริงก็หวังนะว่าไคจะพูดอะไรออกมาบ้างแต่ไม่อ่ะ คยองเฟลนะเนี่ย
“.....”
“.....”
“ขี้เกียจโอบแล้ว...”
“.....”
“จับมือแทนได้ไหม?”
ผมกระพริบตาปริบๆกับสิ่งที่ได้ยิน ทำไมล่ะ อย่างนี้มันจะน่ารักเกินไปแล้วนะไคย่า
“อื้อ”
ปากเจ้ากรรมนี่ก็อีกตัว จะปฏิเสธหน่อยก็ไม่มีใครว่าไหมคยองซู อะไรคือการครางอือในลำคอพร้อมกับมือที่ยื่นไปนั่นอีก ฮอล เกิดอะไรขึ้นกับผมไปแล้วเนี่ย
ความรู้สึกอุ่นๆยิ่งกว่าไมโครเวฟแล่นพล่านขึ้นมาจากปลายนิ้วมือไล่ไปทั่วร่างกาย ถ้ายังอยู่อย่างนี้ต่อไปอีกซักหน่อยมีหวังตัวแตกโต้มกันไปข้าง
“เขินหรอ?”
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแสงไฟนี่หรือเปล่าที่ทำให้ไคเห้นหน้าผมง่ายขึ้น สงสัยว่าคนจะขึ้นสีแดงแน่ๆเขาถึงถามออกมาอย่างนั้น
“.....”
“หื้ม?”
นี่ก็ย้ำจัง ขอเวลาคยองซูคิดก่อนสิครับว่าควรจะตอบยังไงให้รักษาสภาพหัวใจไว้ในการควบคุมให้มากที่สุด รีบจัง
“....”
“อือ”
“555555” ระเบิดหัวเราะอีกแล้วสะใจมากไหมแกล้งผมเนี่ย อุ้วววว ดาว่สนิๆไดสสอท่ฟ่ฟน่ทดเส่เด่าสเวดิ่ๆสวำๆทเดสวทอาฟหกด่สเว
ห้าฉิบเปอร์เซ็นต์
ขอโทษด้วยนะที่อัพช้ายังไงก็อย่าทิ้งฟิคเรื่องนี้ไปก่อนนะฮับ เริ้บ
ความคิดเห็น