คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กำเนิดฟางมุย
-1-
ราโชมง
“ใต้แผ่นดิน ไซอัน กว้างใหญ่
สวรรค์ประทานจักรามาให้
ผู้ใช้หินเพิ่มพลังวิญญาณในนาม จักรา
เป็นผู้รักษาแผ่นดินไซอัน”
เสียงของจือโซว หนึ่งในศิษย์ของสำนักจักรา “ฟางมุย” กำลังท่องบทเคนโต้ ให้อาจารย์ชางฮันยาฟัง นี่เป็นบทลงโทษของคนที่ฝ่าฝืนกฎที่นี่
“การที่เจ้าแอบหนีไปเล่นน้ำ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด จากฟุงคุฟุ (สัตว์ร้ายที่มาจากขุมนรก) นับว่าเป็นการทำผิดกฎของที่นี่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง ว่าห้ามเข้าไปในเทียนเหมินเด็ดขาด ที่ข้าห้ามเจ้าก็เพราะว่า นั่นเป็นดินแดนศักดิ์เต็มไปด้วยอสรพิษและฟุงคุฟุที่อันตราย ถ้าวันนี้เจ้าไม่ได้มินตูช่วยไว้ทัน ป่านนี้เจ้าคงกลายเป็นอาหารอันโอชะของฟุงคุฟุพวกนั้นแล้ว เพื่อเป็นการลงโทษ เจ้าจงท่องบทเคนโต้นี้ให้ขึ้นใจ 500 บท และงดกินอาหารเย็นวันนี้!”
อาจารย์ชางฮันยา เจ้าของสำนักจักราแห่งนี้พูดขึ้นขณะที่กำลังยืนมองศิษย์คนนี้อย่างเอือมระอา พร้อมทั้งถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เจ้านี่มันศิษย์นอกคอกจริงๆ ข้าพร่ำบ่นวิชาการใช้จักราให้เจ้ากำซาบเข้าสายเลือดแต่เจ้ากลับไม่เคยปฏิบัติตามคำสอนของข้าเลยสักนิด เฮ้อ”
“โธ่! อาจารย์ ข้าเห็นว่าท่านสอนข้ากับมินตูแค่นั่งสมาธิ กำหนดลมปราณ วิชาดาบอีกนิดหน่อย ข้าต้องการรู้วิธีการใช้ดาบราโชมง จากคัมภีร์ที่ท่านอ้างว่าท่านมีอยู่ อย่างน้อยท่านก็น่าจะสอนวิธีการใช้จักรา ( หินเพิ่มพลัง) ที่ทำให้ข้าเก่งขึ้นบ้าง แล้ววันนี้ข้าต้องการทดสอบวิชาดาบที่ท่านสอนข้าแต่มินตูไม่ว่างข้าจึง...”
“เจ้าจึงลอบเข้าไปในเทียนเหมินเพื่อลองวิชาดาบกับพวกฟุงคุฟุ”
ชางฮันยาพูดแทรกขึ้นมา พร้อมกับงอมือเป็นรูปมะเหงก แล้วรวบรวมลมปราณไปที่ข้อนิ้ว เล็งกะให้ถูกกลางกระหม่อมของจือโซว
โป๊ก !
“ โอ๊ย ! ข้าเจ็บนะอาจารย์”
“ก็ข้าต้องการให้เจ้าเจ็บ เจ็บแล้วจำไว้ซะ หากข้าไม่เอาเรื่องเจ้าวันนี้ ภายหลังเจ้าก็ทำอีก ในอดีตที่ข้าลงโทษเจ้าให้หาบน้ำแทนเวรของมินตูเป็นเวลา 1 ปี เจ้าก็ไม่สำนึก ให้เจ้าวิ่งขึ้นลงเขาฮ่องจิ๋นทั้งวันทั้งคืนกลับทำให้เจ้าแข็งแรงและได้ใจมากขึ้นไปอีก จนข้าไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเจ้าดีแล้ว”
“ท่านอาจารย์ก็พูดเกินไป ข้าแค่...”
“ข้าสั่งให้เจ้าพูดแล้วรึ”
“โธ่! ท่านอาจารย์”
“เพิ่มเป็น 1000 บท”
“อาจารย์!” จือโซว ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
“1500 บท”
“อาจารย์”
“2000 บท”
“กำหนดใจให้เป็นหนึ่งเดียว
ดึงพลังของจักรามารวมกับพลังวิญญาณ
เรียกตัวเองว่า จอมจักรา
ชำระจักราให้บริสุทธิ์”
จือโซว จำใจท่องบทเคนโต้ต่อไป เขาชำเลืองดูอาจารย์บางคราว เขาชำเลืองดูทีไรก็พบกับสายตาที่แข็งกร้าวของอาจารย์ทุกที
อาจารย์ชางฮันยามองไปยังนอกหน้าต่าง นึกถึงวันเวลาที่ผ่านล่วงเลยมา นานเท่าใดแล้วที่จอมจักราไร้แผ่นดินต้องระหกระเหินตนเองมาอยู่ที่ภูเขาฮ่องจิ๋น มาสร้างโรงฝึกบนภูเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 5000 เมตรเมื่อ 12 ปีก่อน
ช |
างฮันยา จอมจักราที่พร้อมจะหักหลังต่อแผ่นดินไซอัน นั่นเป็นฉายาที่จอมยุทธ์ทั่วหล้าขนานนามให้เขา เขาคือผู้ที่เป็นกบฏ คิดแย่งชิงราชบัลลังก์ พร้อมกันนั้นก็ได้ขโมย 1ใน 4 คัมภีร์
จักราในตำนาน ที่มีอานุภาพทำลายล้างโลกจากวังหลวงมาอยู่ในมือ เมื่ออยู่ที่ใดก็ถูกหมายหัว ทุกตารางนิ้วของไซอันจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาทั้งสิ้น เขาจึงเนรเทศตนเองมาอยู่ในแดนเถื่อน ทั้งสัตว์ร้ายและสิ่งลึกลับที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ สถานที่นี้ถูกขนานนามว่า “หุบผานรก” หรือที่ทางการเรียกว่า “ภูเขาฮ่องจิ๋น” ที่นี่ช่างเงียบสงบเหมาะแก่การฝึกฝนการใช้จักราจริงๆ
“ลุง! เก็บฉันไปเลี้ยงที่เถอะ” จือโซวเมื่อ 12 ปีก่อนร้องเรียกชางฮันยา ชางฮันยามองเด็กน้อยด้วยความสนใจและสงสัย ทั้งๆที่ป่านี้เต็มไปด้วยสิ่งประหลาดน่าหวาดกลัวมากมายแต่ทำไมเด็กน้อยวัย 7 ขวบจึงอยู่ที่นี่ได้ รอยแผลเป็นทั้งเก่าและใหม่ปรากฏตามใบหน้าและตัวของเด็กคนนี้มากมายอันเกิดจากรอยคมเขี้ยว และศาสตราวุธ! เสื้อผ้าสีซีดที่ขาดรุ่งริ่งเป็นตัวที่บ่งบอกว่าเด็กคนนี้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง
“เจ้าชื่ออะไรล่ะ แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”ชางฮันยาเป็นฝ่ายถามก่อน
“ข้าชื่อ จือโซว ข้าอยู่ที่หมู่บ้าน เดิมโซเง พวกฟุงคุฟุชั้นต่ำมันมาถล่มหมู่บ้าน เพื่อรักษาหมู่บ้านไว้ หัวหน้าหมู่บ้านได้นำเด็กมาสังเวยมันทุกๆ 7 วัน เมื่อเดือนก่อนมันก็เป็นเวรของข้า”
“โฮ่ เจ้าอยู่ที่นี่ตั้ง 1 เดือนคนเดียวได้ยังไง แล้วพ่อแม่ของเจ้าล่ะ”
“ข้า....”
แซ่ก...แซ่ก...แซ่ก...
เสียงพุ่มไม้สั่นไหวอยู่ข้างๆจือโซว เขานำนิ้วชี้จุ๊ปากเป็นสัญญาณบอกให้ชางฮันยาเงียบให้มากที่สุด ส่วนตัวเขาค่อยๆย่องเข้าไปใกล้พุ่มไม้
โฮก!
ฟุงคุฟุในร่างของเจ้าหมีสีน้ำตาล เขาสีดำสนิท โผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้พร้อมทำเสียงขู่คำราม มันใช้เขี้ยวยาวโง้วที่ลากดินพุ่งเข้าใส่จือโซว จือโซวใช้การหลบการโจมตีที่คล่องแคล่วว่องไวหลบหลีกเขี้ยวของฟุงคุฟุ เพียงชั่วพริบตาฟุงคุฟุใช้อุ้งเท้าขนาดใหญ่ตบเข้าที่ใบหน้าของจือโซว ทำให้เขาเซไปทางชางฮันยา เลือดเป็นลิ่มพุ่งออกมาจากกะโหลกของเขาแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกลับเดินเข้าหาฟุงคุฟุอย่างไม่เกรงกลัว เขาใช้ดาบที่สลักชื่อ ราโชมง ที่ปลายด้ามจับออกมาพร้อมกับฟาดฟันสะเปะสะปะไปที่ฟุงคุฟุ พลันนั้นเองดาบราโชมงได้ฟันถูกลำคอของฟุงคุฟุตัวนี้ เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกจากร่างของฟุงคุฟุ มันดิ้นพราดๆก่อนที่จะล้มตัวลงนอนแน่นิ่งกับพื้น
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก ชั้นเจ๋งใช่มั๊ย” จือโซวถามชางฮันยาขณะที่เอามือยันพื้นไว้
“เจ้าจะลำพองตนตอนนี้คงจะเร็วไปมั้ง”ชางฮันยาตอบอย่างมีเลศนัยปล่อยให้จือโซวยังงงกับคำตอบ
โฮก!
เจ้าฟุงคุฟุตัวเดิมมันยืนคำรามขึ้น ดวงตาของมันเบิกโพลง แววตาไร้ความปรานีของมันทำให้จือโซวหวาดกลัวเล็กน้อย ในสายตาของชางฮันยาสิ่งที่น่าแปลกใจไม่ใช้สัตว์ร้ายที่สามารถใช้จักราหายนะได้แต่กลับเป็นเด็กวัย 7 ขวบอย่างจือโซวที่สามารถสู้กับฟุงคุฟุได้อย่างสูสีขนาดนี้นับว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะดาบที่เขาถืออยู่ในมือเป็นดาบที่จอมจักราทุกคนต่างค้นหา มันคือดาบเลือกเจ้าของ ดาบราโชมง
อั๊ก!
เจ้าฟุงคุฟุจับขาของจือโซวฟาดกับผาหินบริเวณนั้น เลือดที่คั่งจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ได้พุ่งกระฉูดออกทางปากของเขา ร่างกายของจือโซวสั่นระริกด้วยความโกรธ เขาจึงรวบรวมกำลังทั้งหมดพุ่งเข้าหาฟุงคุฟุ เขาเงื้อดาบสุดแขนหมายจะฟันคอฟุงคุฟุ พริบตานั้นเอง! เจ้าฟุงคุฟุก้มตัวหลบอย่างว่องไว มันใช้อุ้งเท้าดีดตัวขึ้นแล้วตบเข้าที่สีข้างของจือโซว
ร่างของจือโซวกระเด็นไปติดต้นบาคุระ ยางเหนียวๆของมันยึดตัวจือโซวให้อยู่กับที่ เลือดสีแดงสดของจือโซวไหลลงสู่เบื้องล่างเป็นสาย เขามองไปยังเจ้าฟุงคุฟุ มันกำลังวิ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง เขาหลับตาลงแต่มือยังกำดาบราโชมงไว้แน่น
ชางฮันยาวิ่งเข้ามาขวางจือโซวไว้ เขาชูดาบ เคนโย ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ดาบที่ฮันเบตะหรือเทพเจ้าแห่งการต่อสู้สร้างไว้ มันเปล่งแสงสีขาวนวล หลังจากที่ชางฮันยาสัมผัสมัน เขาใช้จักราสีเขียวที่ชื่อว่า วาวาระ ติดไว้ที่ปลายดาบด้านด้ามจับ ดาบและจักรารวมเป็นหนึ่งเดียว มันเปล่งรัศมีเรืองรองออกมา
“ปีศาจร้ายที่ผุดขึ้นมาจากนรก ทำร้ายผู้คนไร้ความปรานี จักราของจักชำระบาปนั้นเอง”ชางฮันยาพุ่งเข้าไปหาฟุงคุฟุเป็นเส้นตรง เขาปักดาบลงยังกลางหน้าผากของฟุงคุฟุ ตอนนั้นเองจักราสีดำของฟุงคุฟุตัวนี้ก็กระเด็นออกมา
โฮก!
เจ้าฟุงคุฟุร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด จักราสีดำที่โดนปลายของเคนโยแทงเข้าไปมันเริ่มปริออกและระเบิดเป็นผุยผง หน้าผากของเจ้าฟุงคุฟุกลายเป็นแผลเล็กๆที่ไม่ทำให้บาดเจ็บอะไรมากมาย จากนั้นมันก็วิ่งเข้าป่าไป
“จือโซว เจ้าเห็นแล้วใฃ่มั๊ยว่าชัยชนะที่แท้จริงคือการเปลื้องทุกข์ให้ผู้อื่น หาใช่การทำลาย”ชางฮันยาหันมาบอกจือโซวที่อาการบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้
“ลุงรู้วิธีใช้จักรางั้นรึ? ท่านช่วยสอนข้าให้เป็นยาซาริ (จอมจักราที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน) ทีเถอะนะ...อั๊ก!”จือโซวกระอักเลือดออกมาขณะที่เขากำลังพูด
“หนุ่มน้อย เจ้ายังไม่ควรพูดอะไรตอนนี้ เรื่องของเจ้าข้าไม่อาจรับปากได้ หากเจ้าต้องการติดตามข้าก็จงทำตามที่ข้าสั่งทุกประการ”
“อื้อ”จือโซวรับปากขณะที่เขาค่อยๆปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้า ภายในอ้อมแขนของชางฮันยา
“เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย แผ่นดินไซอัน นั้นกว้างใหญ่กว่าที่เจ้าคิดมากนะ เด็กน้อยเช่นเจ้าต้องฝ่าฟันการนองเลือดในยุทธภพอีกยาวไกล”ชางฮันยาคิดในใจ
ต |
อนนี้ผู้ครอบครองดาบราโชมง ซึ่งถือว่าเป็นดาบที่ดีที่สุดของฮันเบตะกลับกลายเป็นเด็กหนุ่มวัย 19 ปีที่ชื่อจือโซว เขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่าดาบที่เขาครอบครองอยู่คือดาบที่จอมจักราทุกคนยอมหลั่งเลือดเพื่อได้มันมา
“อาจารย์! แย่แล้วฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ทางต้นน้ำมันกำลังอาละวาดใหญ่แล้ว”เสียงตื่นตระหนกของมินตูร้องเรียกชางฮันยา
“อะไรกัน! ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้?”ชางฮันยาตะโกนถามออกไปพร้อมกับรีบวิ่งไปทางเทียนเหมิน
จือโซวรีบวางเคนโต้ทันที เขาวิ่งไปจับดาบราโชมงคู่กายมุ่งตรงไปยังต้นน้ำในเทียนเหมินทันที
ระหว่างทางทั้ง 3 คนคือ ชางฮันยา จือโซว และมินตู ต้องพบกับจ้าวเวหาทุกครั้ง ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับทั้ง 3 คนมานานตั้งแต่ชางฮันยามาอยู่ที่นี่ จ้าวเวหาต้องการลิ้มรสมนุษย์ ตาแดงก่ำของมันมีจุดมุ่งหมายคือเหยื่อ 3 คนที่กำลังเดินทางเข้ามาในเทียนเหมิน
จ้าวเวหากางกรงเล็บขนาดใหญ่ มันลู่ปีกลงไปข้างเพื่อทำการขยุ้มเหยื่อที่อยู่เบื้องล่าง จังหวะนั้นเอง! มินตูใช้เชือก นาคุระ ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของเขาถักเป็นรูปใยแมงมุมแล้วเหวี่ยงมันไปที่จ้าวเวหา
“บ่วงทลายมาร”
ก๊าซซซซซซซซซ์ !?
จ้าวเวหาทั้งตะลึงทั้งตกใจที่ขาและปีกถูกตรึงด้วยเชือกนาคุระ ซึ่งทำมาจากสาหร่ายนาคุระที่มีความเหนียว ความคม และความยืดหยุ่นสูง สำหรับใช้จับปลาวาฬเท่านั้น! ยิ่งมันดิ้นเท่าไหร่เชือกนาคุระก็มีแต่จะรัดตัวมันมากขึ้นเท่านั้น ทั่วทั้งร่างกายของจ้าวเวหาล้วนเป็นแผลอันเกิดจากความคมของเชือกนาคุระทั้งสิ้น
“เพลงดาบปลดวิญญาณ!”จือโซวใช้ดาบราโชมงตัดเชือกนาคุระทั้งหมดให้ขาดออกจากกัน ปลายเชือกนาคุระสะบัดพลิ้วตามสายลมก่อนที่จะทิ้งตัวลงมาอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นเอง จ้าวแห่งเวหาก็รีบกางปีกโผบินหนีไปด้วยอาการอ่อนแรง
มินตูหันมามองจือโซวด้วยอาการโกรธเคือง เขามองจือโซวด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“จือโซว เจ้าตัดเชือกนาคุระของข้าทำไม? อีกนิดเดียวจ้างแห่งเวหาก็จะตายแล้ว”มินตูตะคอกใส่จือโซวที่ทำหน้าตาเรียบเฉย
“หากมันสมควรตาย อาจารย์คงจะฆ่ามันตั้งนานแล้ว”จือโซวตอบขณะที่เก็บดาบเข้าฝัก
“มินตู จือโซว มัวชักช้าอยู่นั่นแหละ เจ้าจะให้แท่นศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายก่อนหรือไง”อาจารย์ชางฮันยาตะโกนร้องเรียกมินตูกับจือโซว ทั้ง 2 คนรีบเร่งฝีเท้าตามอาจารย์ ก่อนที่จะวิ่งตามไป มินตูหันมาทางจือโซวพร้อมกับพูดว่า
“ศิษย์เอกของฟางมุยต้องเป็นข้า เรื่องนี้มันไม่จบแค่นี้หรอก” มินตูพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองจนกระทั่งสายลมจากฝีเท้าของจือโซวพัดมันสาบสูญไปในอากาศที่ว่างเปล่า
ช |
างฮันยา ยืนอยู่ตรงหน้าของฟุงคุฟุที่ใช้จักราสีขาวบนหน้าผาก ดูเหมือนว่าฟุงคุฟุตัวนี้มีลักษณะเหมือนกวางมูส มีปีกสีขาวเฉกเช่นนกนางนวล มีขนสีทองทั่วตัว กำลังยืนแผดเสียงด้วยความเกรี้ยวกราดอยู่ข้างๆแท่นศักดิ์สิทธิ์ มันใช้เขา 12 แฉกดันแท่นศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาอะไรบางอย่าง ชางฮันยามองมันอย่างแปลกใจ โดยปกติแล้วฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยทำเช่นนี้
“บ่วงทลายมาร”มินตูใช้เชือกนาคุระรูปใยแมงมุมพุ่งตรงไปยังแท่นศักดิ์สิทธิ์พร้อมกันนั้นเขาได้ใช้จักราสีแดงเพิ่มพลังวิญญาณให้นาคุระแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ดิ้นรนขัดขืน จนในที่สุดเชือกนาคุระที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งระดับหนึ่งได้ขาดสะบั้นลง ฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์วิ่งเข้าใส่จักราสีแดง มันใช้เขา 12 แฉกงัดจักราสีแดงขึ้นมาบนหน้าผาก ทันใดนั้นเองจักราสีแดงและสีขาวก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวฝังอยู่บนหน้าผากของฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ มันมองมินตูด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว มันใช้เท้าหน้าตะกุยดินพร้อมยอบตัวลงตั้งท่าโจมตี เมื่อใดที่มินตูขยับมันก็พร้อมพุ่งเข้าใส่ทันที
“บ่วงทลายมาร”มินตูใช้เชือกนาคุระอีกครั้งแต่คราวนี้ฟุงคุฟุได้เตรียมตัวอย่างดี ในหลบเชือกนาคุระได้อย่างคล่องแคล่ว ชั่วพริบตาเขา 12 แฉกอันแหลมคมได้มาจ่อที่พุงของมินตูแล้ว! มันย่อขาหลังลงเพื่อถ่ายกำลังทั้งหมดไปที่เขา 12 แฉก
ปึ้ก!
เขา 12 แฉกของฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ชนเข้ากับต้นฮาเกะอย่างจัง ทำเอาต้นฮาเกะอย่างจัง ทำเอาต้นฮาเกะต้นใหญ่หักสะบั้นลง ใบแห้งรูปสามเหลี่ยมปลิวหล่นลงมาตามแรงลมวน กิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่เหลือหักลงบนเขา 12 แฉกซึ่งคอยรับไว้อยู่แล้ว กิ่งไม้เหล่านี้หากเทียบกับฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์แล้วมันเป็นเพียงแค่เศษไม้เล็กๆที่ไร้พิษสงเท่านั้น
ฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ยังงงกับเหตุการณ์เล็กน้อย ทั้งๆที่มันคิดว่าเหยื่อไม่น่าจะมีหนทางหนีได้อีก ฟุงคุฟุหันไปมองทางด้านหลังของมัน เห็นมินตูนั่งตัวสั่นด้วยความตกตะลึงอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ ส่วนชางฮันยากำลังเก็บเคนโยที่ติดจักราสีฟ้าเข้าฝัก
ฟุงคุฟุรู้ว่าชางฮันยาใช้เคนโยทำให้เกิดลมวนจนมินตูกระเด็นออกไป แต่ทำไมชางฮันยาจึงไม่ใช้จักราสีแดงใส่ลงไปในสายลมเพื่อฆ่าตน มันมองไปยังมินตูทึ่กำลังพรั่นพรึงแล้วพุ่งตรงไปยังมินตูอีกครั้งหมายปลิดชีพ
“จิตใจที่หม่นหมองและปองร้าย เต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา ทำให้เหล่าจักราทั่วพิภพต้องแปดเปื้อน”เสียงของจือโซวพูดขึ้นขณะที่เขากำลังยืนขวางมินตูไว้
ชำระวิญญาณ!
จือโซวใช้ดาบราโชมงพุ่งตรงไปยังจักราบนหน้าผากของฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ จักราสีดำที่หลอมรวมกับจักราสีขาวแตกละเอียดเป็นผุยผงด้วยพลังทำลายของดาบราโชมงทำให้เกิดพลังระเบิดรุนแรงจนต้นฮาเกะอีกต้นหนึ่งหักลง
ตุ๊บ!
ทั้งฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์และจือโซวต่างก็กระเด็นตามแรงระเบิดทั้งคู่ ร่างของฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์กระแทกกับซากต้นฮาเกะส่วนร่างของจือโซวไถลไปตามพื้น ชางฮันยารีบเข้ามาดูฟุงคุฟุว่าได้รับบาดเจ็บอะไรไหม เขาจับชีพจรของฟุงคุฟุและใช้สมุนไพรรักษาแผลฟกช้ำที่ติดตัวมาทาตามตัวของฟุงคุฟุพร้อมกับพันแผลให้ด้วย
จือโซวพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วฉีกเสื้อของตน พันแผลที่เกิดจากแรงระเบิดไปพลางๆ
“เจ้าทำถูกแล้วล่ะจือโซว เจ้าเห็นได้อย่างไรว่าหน้าผากของฟุงคุฟุตัวนี้มีจักราสีดำติดอยู่”ชางฮันยาหันมาถามจือโซว
“ข้าเก่งกว่าอาจารย์ไงล่ะ”จือโซวตอบ
“เจ้าเลือกที่จะไม่ฆ่ามันงั้นรึ?”ชางฮันยาถาม
“มันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จักราสีดำนั้นเกิดจากจิตใจที่เศร้าหมองหาใช่หินจักราของแท้ไม่”
“งั้นรึ”
“แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่า ทำไมฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ที่แสนจะรักสงบกลับอาละวาดทำลายแท่นบูชาเช่นนี้”จือโซวสงสัย
“มันไม่ได้คิดทำลายแท่นบูชา เพียงแต่หาสิ่งที่ควรจะมีบนแท่นบูชานี้เท่านั้น จริงไหมล่ะ
มินตู”ชางฮันยาหันไปถามมินตูที่ตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย มินตูกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อเห็นสายตาของชางฮันยา”ทั้งที่ข้าขัดขวางการต่อสู้ของฟุงคุฟุกับเจ้า ช่วยเจ้าจากคมเขาของมัน แต่มันก็ไม่ได้มองข้าเป็นศัตรูสักนิด ต่างกับเจ้าที่เจ้าเพิ่งเห็นมันครั้งแรก เจ้ากลับใช้เชือกนาคุระทันทีหมายจะฆ่ามัน เจ้าว่ามันไม่แปลกไปหน่อยรึ”ชางฮันยาหันมาถามมินตู
“เอ่อ...เอ่อ...”มินตูอ้ำๆอึ้งๆที่จะตอบ
“เจ้าว่าแปลกไหม? ฟุงคุฟุศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาแท่นบูชาพยายามหาเทวรูปทองคำที่หายไปจากเจ้าน่ะ”
“อ่า...เอ่อ...”
“เจ้าจงนำของที่ขโมยมาไปคืนซะ”ชางฮันยาตะคอกใส่มินตู
ด้วยความกลัวลนลานในตัวอาจารย์ มินตูรีบนำเทวรูปทองคำที่ขโมยมาไปวางบนแท่นบูชาเหมือนเดิม ฟุงคุฟุมองตามมินตูด้วยสายตาอาฆาตแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายใคร เขารีบวิ่งลงมาจากแท่นบูชาพร้อมทั้งเอาจักราสีแดงกลับคืนมาด้วย
“เพื่อเป็นการลงโทษเจ้าจงงดอาหาร 3 วันและหาบน้ำแทนจือโซวเป็นเวลา 3 ปี!”ชางฮันยาบอกกับมินตูก่อนที่จะรีบกลับสำนักพร้อมจือโซว
มินตูยืนกำหมัดแน่น เขาขบฟันจนเห็นกรามเป็นสันนูน เขามองตามหลังอาจารย์และ
จือโซวอย่างเคียดแค้น
ข |
ณะที่จือโซวกำลังท่องกวีเคนโต้ต่อเขาหันไปมองอาจารย์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนชางฮันยารู้สึกว่าจือโซวกำลังจ้องอยู่
“มีอะไรรึ จือโซว”
“อาจารย์ ทั้งๆที่ข้าช่วยมินตู ช่วยชำระจักราให้เจ้าฟุงคุฟุตัวนั้น แล้วทำไมท่านจึงไม่ลดโทษให้ข้าบ้างล่ะ”จือโซวลากเสียงยาวเพื่อขอความเห็นใจ
“การที่เจ้าช่วยมินตูและการที่มินตูช่วยเจ้าก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน ส่วนโทษของข้ามันก็ยังคงอยู่จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องลดโทษให้เจ้า”
“โหย”
“เจ้าจะโหยทำอะไร ข้าชักเริ่มรู้สึกแล้วว่า ทำไมราโชมงจึงเลือกเจ้า”ชางฮันยาหันไปบอกจือโซว
“หา”จือโซวยังงงๆกับคำพูดของชางฮันยา
“ข้าให้เจ้าหยุดท่องเคนโต้แล้วรึ?”
“หา”
“ยังจะหาอีก หรือว่าเจ้าอยากท่องเคนโต้เพิ่ม”
“จอมจักราคือผู้รักษาแผ่นดิน....”
ชางฮันยามองไปที่จือโซวเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าดาบราโชมงจะมาอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ หากจือโซวเป็นคนดีจริง ความหวังของยุคแห่งการโค่นล้มทรราชคงจะเป็นจริงสักวัน ความยิ่งใหญ่ของจอมจักราคงจะเป็นจริงได้ เพราะจือโซวคือคนที่ชางฮันยาฝากความหวังเอาไว้และเป็นคนที่ชางฮันยาตั้งใจมอบคัมภีร์ฮานาเซมะให้!
ย |
ามกลางคืนของภูเขาฮ่องจิ๋น เสียงหวีดร้องของฟุงคุฟุและสัตว์กลางคืนนานาชนิดที่เล็กแหลม เยือกเย็นเสียดแทงลึกเข้าไปในจิตใจของผู้ที่หวาดกลัว ชางฮันยาจุดเทียนขึ้นในห้องท่อง
หนังสือ เขาเรียกจือโซวให้เข้ามา ชางฮันยาทำสีหน้าเคร่งเครียดบ่งบอกความจริงจังของตน ชางฮันยานำกระดาษที่ซีดเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาวางตรงหน้าของจือโซว
“นี่มันอะไรกัน อาจารย์”จือโซวถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“มินตูอยู่ไหนล่ะ”ชางฮันยาถามสิ่งที่ตนข้องใจก่อน
“มินตูกำลังหาบน้ำอยู่ ท่านก็รู้ว่าจากสำนักของเราถึงแม่น้ำช่างห่างไกลนัก”
“ดีแล้วล่ะ นี่คือ 1 ใน 4 คัมภีร์ต้องห้ามตระกูลอูฮิโดกะ ชื่อของมันคือ ฮานาเซมะ”
“ท่านนำมันออกมาทำไม?”
“มันถึงเวลาที่ต้องมีผู้สืบทอดแล้ว นี่คือต้นเหตุนองเลือดในยุทธภพ เป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์เกิดความโลภต้องการเป็นใหญ่ในแผ่นดินผู้เดียว เพราะมีมันอยู่แผ่นดินไซอันจึงตกอยู่ในอันตราย”
“ท่านทำลายมันไปก็ได้นี่”จือโซวแสดงความคิดเห็น
“ตราบใดที่ยังมีคนอ่านคัมภีร์นี่ออก มันก็ยังเป็นอันตรายอยู่ ผู้ทีอ่านมันออกต้องเป็นซายาริ หรือผู้มีจักราสีทองเท่านั้น ข้าอยากให้เจ้าเก็บคัมภีร์นี่ไว้ เพราะตัวคัมภีร์นี้จำเป็นต้องคานอำนาจของเหล่าคนชั่วพวกนั้น”
“ทำไม? ท่านจึงมอบคัมภีร์นี้ให้ข้า ทำไม?ท่านจึงไม่ให้มินตู”
“เพราะจักราบอกข้าให้ทำเช่นนั้น”ชางฮันยาหยุดพักสักครู่ ท่าทางของเขาแลดูเหนื่อยมาก”ถ้าวันหนึ่งข้าไม่สามารถรักษาลมหายใจของตนเองไว้ได้ จงจำชื่อ คาคุริน ไว้ นั่นเป็นชื่อของผู้มีจักราสีทอง แต่ยอมขายจิตใจให้พวกคนชั่ว”
“ทำไมท่านถึงพูดเช่นนั้น?”
“เจ้าดูจักราเป็นใช่มั๊ย”
“อื้อ”
ชางฮันยาหยิบจักราประจำตัวออกมา จักราสีเหลืองอำพันของชางฮันยาเริ่มหมองลงเรื่อยๆ ประหนึ่งว่ามันไร้พลังวิญญาณที่จะเปล่งแสง จือโซวมองมันอย่างตกใจ เขาอ้าปากค้าง เพราะจักราที่อยู่เฉยๆกลับมีรอยร้าวเพิ่มขึ้นทุกวินาที
“อาจารย์ ! นี่มัน”จือโซวตกใจกับสิ่งที่เห็น
“ใช่ จักราบอกข้าว่ากำลังจะตาย”
“ฮ่ะ...ฮ่า...ฮ่า...ท่านล้อเล่นใช่มั๊ย ท่านอยากให้ข้าตั้งใจเรียน ท่านจึงล้อเล่นเช่นนี้”จือโซวฝืนหัวเราะ
“...........”
“อาจารย์ ท่านบอกข้าทีสิว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น ท่านโกหกข้า”
“ชีวิตของคนเราก็มีเพียงแค่นี้แหละจือโซว วันที่ข้าคิดที่จะทิ้งชีวิตของตัวเอง ข้ากลับเจอเจ้า เจ้าช่วยฉุดข้าขึ้นมาจากจิตใจที่จมปลักกับความผิดหวัง เจ้ากับข้าต่างก็มีความฝัน ที่เหมือนกัน ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าต้องเป็นซายาริที่ดีแน่ๆ”
จือโซวก้มหน้านิ่ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอาจารย์ วันคืนที่ผ่านมา เขามีความสุขกับการฝึกวิชาที่นี่ เมื่อรู้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีกแล้ว ชางฮันยา อาจารย์ที่เขารักมากที่สุดต้องจากเขาไป เขาทำได้แต่เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมนั้นน้ำตาอุ่นๆไหลลงมาหยดลงมาหยดบนมือที่กำดาบราโชมงไว้แน่น เขาไม่อยากเชื่อว่าตนเองต้องมาเจอกับการพลัดพรากที่ยากจะรับได้เช่นนี้
“อาจารย์ ท่านอย่าทิ้งข้าไปไม่ได้เหรอ!!!”จือโซวตะโกนขึ้นมาต่อหน้าชางฮันยา เสียงของเขากลบเสียงอื่นๆในภูเขาลูกนี้ ความรักและเสียงนี้จะยังคงอบอวลอยู่ในห้องนี้และโสตประสาทของชางฮันยาตลอดไป
“การที่มีลูกศิษย์เช่นเจ้า ถึงตายข้าก็ไม่เสียดายชีวิต”ชางฮันยาพูดกับจือโซวอย่างเอ็นดู ทำให้จือโซวปล่อยโฮออกมาต่อหน้าชางฮันยา ต่อหน้าดาบราโชมง และต่อหน้าจักราสีอำพันของชางฮันยาที่กำลังแตกเป็น 2 เสี่ยง!!!
|
ความคิดเห็น