คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บททดสอบที่ 4 : การปะทะกันของศิวะและฉกาจ
ก่อนที่ฉกาจจะก้าวถึงตัวศิวะก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ในท่าเตรียมพร้อม หมัดซ้ายสาวมาแต่ไกลศิวะเอี้ยวคอเพียงเล็กน้อยก็หลบพ้นแต่ลูกที่ตามมาติดๆคือเข่าขวาที่กระแทกไปที่ท้องเขาอย่างจังทำให้เสียการทรงตัว ชั่วพริบตาหมัดขวาที่ว่างอยู่ของฉกาจก็ตรงเข้าจับที่ฝบหน้าของศิวะอย่างจังเรียกเลือดออกมาทันที
ศิวะเซหลุนๆไปข้างหลัง ฉกาจสาวเท้าตามทันที เมื่อเข้าถึงตัวก็เฉียงศอกขวาลงในแนว 45 องศาหวังจะให้กระทบที่ปลายคิ้ว ศิวะใช้มือขวาจับเข้าที่ศอกข้างนั้นก่อนกระชากอย่างแรงทำให้ฉกาจเสียหลัก ก่อนจะถอยฉากออกมายืนห่างจากฉกาจ
ศิวะถ่มเลือดออกจากปากยืดตัวตรงสายตามองจับมายังฉกาจที่กำลังจับข้อศอกตัวเองอยู่ มีหลายคนที่เริ่มมามุงดูการต่อสู้ในครั้งนี้
“ได้ข่าวว่าแกฆ่าจรเข้ด้วยมือเปล่าได้ ข่าวโคมลอยมากกว่ามั้ง!” ฉกาจยิ้ม
ศิวะปวดหัวตึบ เขาใช้มีดฆ่าจรเข้แท้ๆแต่ทำไมกลายเป็นว่าเขาฆ่ามันด้วยมือเปล่าไปซะได้ ถึงว่าสิว่าทำไมเขาถึงบอกกันว่าอย่าเชื่อข่าวที่มันบอกกันมาแบบปากต่อปาก มันมักจะผิดเพี้ยนไปจากความจริงเสมอ
ผู้คนรอบข้างเริ่มจะส่งเสียงอื้ออึง หลายคนแทนที่จะมาห้ามกลับยุให้พวกเขาห้ำหั่นหัน ดูเหมือนพวกเขาอยากจะเห็นฝีมือของคนที่ปราบจรเข้ได้ด้วยมือเปล่ากระมัง ศิวะขบขันในใจ
ฉกาจเริ่มย่างกลายเข้ามาอีกครั้งแต่ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ปะทะกับอีกผู้ที่ร่วมชะตากรรมกับเขาเมื่อคืนก็มาปรากฎตัวข้างๆเขาพร้อมลูกน้อง
“อะไรกันพี่ฉกาจ จะรังแกน้องๆปีหนึ่งที่น่ารักอย่างเราหรือไง” ศาสตราพูดออกมาดังๆท่ามกลางพวกที่มามุงดู
“เปล่า ฉันแค่มาบอกเรื่องที่ ผอ. ให้ฉกาจไปพบ แล้วก็เลยถือโอกาสทดสอบฝีมือตามที่เขาเล่าลือกันสักหน่อย…แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ ก็ว่าอยู่คนที่ไหนจะไปสู้กับสัตว์ร้ายอย่างจรเข้ได้” ฉกาจยักไหล่กล่าวเยาะ
ศิวะไม่กล่าวโต้อะไรออกไปผิดกับศาสตราที่เริ่มโกรธเดินตรงเข้าไปไกล้กับรุ่นพี่ปากดีที่เขาเพิ่งจะพ่ายแพ้มาเมื่อวาน
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าผมโกหกด้วยสินะครับ เพราะผมก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย” ศาสตราจ้องมองไปยังดวงตาของรุ่นพี่อย่างเอาเรื่อง
ฉกาจยักไหล่เบาๆไม่พูดอะไร ศาสตราเห็นดังนั้นก็หันหลังทำท่าจะเดินออกไป
“แล้วใครบอกว่าแกไม่โกหกละวะ! ไอเด็กเลี้ยงแกะเอ๊ย! เหอๆๆๆ” ฉกาจกล่าวเสียงดังและหัวเราะดังกังวาลตบท้าย
ศาสตราหันขวับมาทันทีแต่สิ่งที่เขาพบคือฝ่าเท้าที่ลอยเข้ามาเต็มใบหน้าจนทำให้เขากระเด็นลงไปนอน
“เจ้าพวกปีหนึ่งจำไว้ อย่าหันหลังให้กับศัตรูเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกแกจะเป็นแบบนี้” ฉกาจชี้ไปที่ร่างที่เอามือกุมหน้าอยู่ ตวาดไปทางบรรดาลูกน้องของศาสตราที่กำลังจะดาหน้ากันเข้ามาหา
“ไม่เห็นจะเข้าใจ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ตัวต้นตอของเรื่องทั้งหมดจะค่อยๆเดินออกมาข้างหน้ากลุ่มลูกน้องของฉกาจ
“หมายความว่าคุณเป็นศัตรูกันกับพวกผมหรือไง?” ศิวะกล่าวออกมาด้วยแววตาที่เริ่มจะเย็นชามากกว่าเดิม ตัวเขาไม่รู้สึกอะไรหรอกกับการที่ต้องถูกต่อยจนเลือดกลบปาก เพียงแต่เขารู้สึกไม่ชอบใจที่คนที่เข้ามาช่วยเขาจะพลอยถูกทำร้ายไปด้วย
ฉกาจชะงักไปกับคำพูดนั้น ก่อนจะกล่าวโต้ใดๆบรรดาเพื่อนและลูกน้องของเขาก็ทยอยกันเดินออกมาเสริมที่รอบๆตัวเขา
“ไอ้ปีหนึ่ง! ระวังคำพูดคำจาหน่อยนะโว้ย! แกเพิ่งเข้ามาอย่าริมาทำซ่าดีกว่า” เจ้าแสบลูกน้องร่างบึกของฉกาจก้าวเข้ามาพร้อมกับชี้หน้า
“ยังไม่ได้ตอบคำถามที่ผมถามไปเลยนะครับ ตกลงเราเป็นศัตรูกันหรือเปล่า?”
เจ้าแสบพุ่งตัวเข้าหาทันทีราวกับกระทิงเห็นผ้าสีแดง เป้าหมายของมันคือการปะทะเป้าหมายตรงหน้าให้ล้มก่อนแล้วค่อยอัดให้อ่วม
แต่นั้นเป็นเพียงความคิดเท่านั้น
ศิวะพุ่งเจ้าหาทันที ศอกสั้นตรงเข้าที่บริเวณหน้าผากที่ว่างอยู่ เสียงมันดังเบาๆราวกับเวลาใช้ของมีคมปาดกับอะไรบางอย่าง
ร่างใหญ่โตของเจ้าแสบล้มลงแทบจะพร้อมกับเสียงนั้น สมองมึนงงไปหมด รู้แต่เพียงเขาถูกอะไรบางอย่างทำร้าย
ศิวะมองร่างที่ล้มลงไปคุกเข่านิ่งอยู่จึงทิ้งศอกขวาไปอีกครั้งที่กลางศีรษะ ปั๊ก! เสียงหนักดังถูกทุบด้วยของแข็งเรียกเลือดให้ไหลออกมาจากแผลที่เกิดใหม่ทันที ร่างใหญ่นั้นกระตุกเพียงไม่กี่ครั้งก่อนนิ่งเงียบ
เสียงรอบบริเวณเงียบกริบดังไม่มีผู้ใดอยู่ทั้งที่แทบจะทั้งศูนย์ฝึกคงมาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ก่อนที่ทั้งหมดจะทันได้สติศิวะก็ก้มมองร่างที่แน่นิ่งนั้นอีกครั้ง และชักมีดที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา
ทุกคนขนลุกวาบเมื่อมองไปยังวัตถุสีเงินที่ตอนนี้ส่องแสงกระทบกับดวงอาทิตย์เป็นมันวาวบอกถึงความดูแลเอาใจใส่อย่างดีของเจ้าของ
ก่อนจะมีใครทันได้คิดต่อ ศิวะก็จ้วงแทงไปยังกลางหลังของเจ้าแสบทันที…เพียงแต่ว่าก่อนที่มีดเล่มนั้นจะกระทบเข้ากับแผ่นหลังได้มีมือเข้ามาคว้าจับข้อมือของเขาไว้และยึดจนแน่น!
“เฮ้ยพวก…จะเอากันถึงตายเลยหรือไง?” ฉกาจจับมือนั้นค่อยดันออกจากเป้าหมาย เหงื่อเขาผุดซึมรอบใบหน้า หัวใจเขาเต้นแรงอย่างตื่นเต้นและตกใจ
‘ไอ้หมอนี่มันคนบ้า’ เสียงในใจของฉกาจตะโกนออกมา
ศิวะขมวดคิ้วก่อนจะใช้กำลังข้อมือของตัวเองสลัดจนมือของฉกาจที่คว้าจับอยู่หลุด
“ตกลงแล้งพวกคุณเป็น ‘พวกเดียวกัน’ หรือ ‘ศัตรู’ กันแน่” ศิวะปามีดลงไปปักบนพื้นกวาดสายตาไปยังผู้คนที่มองอยู่โดยรอบ
“ผมไม่เคยปล่อยให้ศัตรูผมรอดไปได้” ศิวะประกาศออกมาเบาๆ แต่ทุกคนทั่วบริเวณได้ยินแล้วต่างก็กลืนน้ำลายแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“พวกแกไม่ใช่ศัตรูกันแน่นอน” เสียงห้าวแหบดังออกมาจากผู้คน ก่อนต้นเสียงจะเดินกระย่องกระแย่งเข้ามา
บุรุษที่เข้ามามีอายุประมาณ 60 ปี ตัวระดับเพียงหน้าอกของเขา แววตาที่มองลอดออกมาจากแว่นรูปร่างกลมนั้นทอประกายเมตตาและอ่อนโยนแต่แฝงแววบางอย่างที่ผู้ที่มองเข้าไปรู้สึกได้ถึงอำนาจ หยุดยืนอยู่ข้างศิวะยกไม้เท้าขึ้นโขกหัวเขาเบาๆ ศิวะพยายามจะหลบไม้เท้าทีชายชราผู้นี้ตีมาแต่ดูเหมือนชายชราจะรู้ว่าเขาจะหลบไปในทิศทางใดอย่างไรอย่างนั้นเพราะเขาตีมายังศิวะสามครั้งก็จะกระทบกับศีรษะของศิวะอยู่ทุกครั้ง จากนั้นชายชราผู้นั้นก็หันมาตีไม้เท้าไปที่ศีรษะของฉกาจเช่นกันเพียงแต่ชายชราผู้นั้นไม่ได้ตีเบาๆเช่นเดียวกับที่ทำกับศิวะ
เพียงวืดแรกของจังหวะการตีศิวะรับรู้ถึงสายลมร้อนที่ส่งออกมาจากร่างชราที่ยืนอยู่ข้างกายเขา เสียงดังผัวะ!! เมื่อไม้เท้าด้ามนั้นกระทบกับศีรษะของฉกาจจนหัก เลือดค่อยๆไหลซึมออกมาจากบาดแผล
“ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่า ศัตรูของพวกเรามีเพียงอย่างเดียว และเป็นศัตรูร่วมกันของทั้งศูนย์ฝึก นั่นคือผู้ที่มันมาบ่อนมาทำลายประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ในเมื่อเขาถามทำไมแกถึงไม่ให้คำตอบกับเขาไป”
และอีกวืดหนึ่งในขนาดที่สั้นกว่า ไม้เท้าอันเดิมปะทะเข้ากับศีรษะของฉกาจอีกครั้งและเช่นเดิมมันหักอีก!
“แกเป็นถึง S คลาส แค่เรื่องแค่นี้ทำไมยังไม่เข้าใจ หากในหมู่พวกเราเองยังไม่มีความรักความสามัคคีกัน แล้วแกจะเอากำลังที่ไหนไปต้านทานศัตรู ไปสู้กับศัตรู” ชายชรากล่าวอย่างหนักแน่นก้องกังวาลไปทั่วทั้งพื้นที่
“พวกแกก็เหมือนกัน” ชายชราผู้มาใหม่ชี้กราดไปยังหมู่คนที่มามุงดู ซึ่งบางคนเริ่มหลบฉากออกไปอย่างคนรู้งาน
“ทำไมพวกแกถึงไม่ห้าม เห็นเป็นของสนุกหรือยังไง? ไปจะไปไหนก็ไป!”
ผู้ที่มุงอยู่โดยรอบแตกฮือดั่งฝูงผึ้ง เพียงไม่กี่วินาทีบริเวณโดยรอบก็เหลือเพียงตัวการหลักๆที่ก่อเรื่องเท่านั้น
ชายชราก้มลงดึงมีดโยนไปทางศิวะก่อนจะคว้าตัวเจ้าคนที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมาด้วยแขนบอบบางเพียงข้างเดียว ร่างใหญ่โตของลูกสมุนฉกาจเหมือนปลิวมาอยู่บนบ่าของชายชราก่อนจะชี้หน้าทุกคนที่ยืนตะลึงอยู่โดยรอบ
“ถ้าฉันเห็นคราวหน้าอีก รับรองพวกแกถูกขังเดี่ยวในคุกหลังเขาแน่ เข้าใจไหม!” อย่างไม่รอคำตอบชายร่างเล็กก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วราวกับไม่ได้แบกสิ่งใดไว้ที่บนบ่า
กลุ่มชายที่เหลือทั้งหมดมองหน้ากันสลับไปมา ก่อนที่ศิวะจะแยกตัวออกไปอย่างเงียบๆและศาสตรากับเหล่าลูกน้องที่เหลือจึงตามศิวะไป ทิ้งไว้แต่กลุ่มของฉกาจ
“เฮ้ย! มีอะไรวะกาจ ปกติแกไม่เคยไปยุ่งกบปีหนึ่งนี่หว่าหากมันไม่มาวอแวอะไรกับแกก่อน” เปลวแตะบ่าเพื่อนของเขาขณะที่ทั้งหมดแยกเดินไปอีกทาง
ฉกาจยิ้มๆในใบหน้าก่อนเดินตัดสนามหญ้าสีเขียวที่ส่งกลิ่นความสดจนหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ
“ก็…ไม่มีอะไรนี่ ฉันก็แค่อยากหาเรื่องใครแก้กลุ้มบ้างเท่านั้น” ฉกาจตอบและกระโดดข้ามคูน้ำ ตรงไปยังอาคารพยาบาล
“ฝีมือหมอนั่นไม่ใช่เล่นเลย” เปลวกล่าวออกมาขณะสายตายังจับอยู่ยังใบหน้าของเพื่อนรัก
ฉกาจเลิกคิ้วคล้ายจะให้บุรุษที่เดินอยู่ข้างเขาขณะนี้กล่าวต่อ
“ฉันพูดจริง มันลงมือถึงสามครั้งเชียวนะ สามครั้ง! แต่พวกเราที่ยืนอยู่ใกล้ๆมันกลับยืนเฉยแน่นิ่งเหมือนเด็ก โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย หากไม่ได้แกมีหวัง…”
ฉกาจโบกมือคล้ายให้เงียบเสียงเพราะขณะนี้ตรงหน้าเขามีร่างใหญ่ที่ถูกทำร้ายจนสลบศีรษะมีเลือดไหลเป็นทางยาว มีคุณหมอสาวกำลังทำแผลให้อยู่ใกล้ๆ เมื่อคุณหมอเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเหล่าบรรดาผู้มาใหม่ก็เกิดอาการเหม็นเบื่อขึ้นมาทันที
“โธ่ หมอทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ผมมาเยี่ยมเพื่อน” ฉกาจยิ้มกรุ้มกริ่มให้คุณหมอสาวที่ลุกขึ้นถอดถุงมือและปาลงไปในถังขยะ
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกก่อเรื่องวุ่นวายซักที! มีกี่คนแล้วที่ต้องเจ็บมาจากฝีมือคุณ ที่นี่เป็นศูนย์ฝึก แค่บาดแผลจากการฝึกนี่มันไม่พอหรือไง? ถึงได้ดั้นด้นจะหาแผลใหม่กันอยู่เรื่อย” สายตาที่คมดุนั้นจ้องมาอย่างเอือมระอา
ฉกาจและพวกได้แต่หัวเราะกันเบาๆ
“แล้วน้องผมเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับหมอหน่อย?” ฉกาจถามไปยังคุณหมอสาวที่ขณะนี้กำลังล้างมออยู่ที่อ่าง
หมอหน่อยเช็ดมือก่อนอ้อมตัวไปนั่งกับโต๊ะที่มุมห้อง
“ยังไม่ตายหรอก มีสองแผลหน้าผากสี่เข็ม กลางกระหม่อมอีกห้า แต่คงจะได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรงจนไปอีกเดี๋ยวก็คงฟื้น ว่าแต่…” หมอหน่อยก้มลงเขียนอะไรยุกยิกบนกระดาษขณะถาม
“คราวนี้ฝีมือใครอีกล่ะ? เอริก? หรือแฟลงค์?”
“ไม่ใช่ครับหมอ คราวนี้ฝีมือของเด็กที่เข้าใหม่”
หมอหน่อยเงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้าขมวดคิ้ว
“โดนเด็กใหม่ซ้อมมาเนี่ยนะ แปลก เดี๋ยวต้องไปให้รางวัลซักหน่อย” คุฯหมอสาวกล่าวยิ้มๆก่อนไม่สนใจอีกก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานการวิจัยที่ตอนนี้หล่อนสนใจต่อไป
ร่างใหญ่ปานยักษ์ที่นอนอยู่บนเตียงร้องเบาๆดึงความสนใจของเหล่าชายหนุ่มทั้งหมด ฉกาจและพวกจึงเดินเข้ามาหา
“เป็นไงเจ้าแสบ?” ฉกาจหัวเราะก่อนจะจิ้มนิ้วไปที่กลางหน้าผากที่เป็นแผลเรียกเสียงร้องจากเจ้าของร่างเบาๆและรองเท้าแตะที่ปลิวมากระทบหลังอย่างเร็ว
“นายจะทำอะไรคนไข้ฉัน นั่น! เห็นมั้ยเลือดซึมอีกแล้ว เป็นอะไรของนายนี่ ชอบความซาดิสต์หรือไง?” หมอหน่อยแหวขึ้นอย่างเหลืออด ฉกาจยักคิ้วให้ก่อนจะตอบกลับ
“อันที่จริงถ้าได้ลองซักหน่อยก็ดีนะครับ แต่ตอนนี้ขาดคู่ลองน่ะหมอ ถ้าไง…” ฉกาจต้องรีบก้มหัวหลบเมื่อรองเท้าอีกข้างที่เหลือลอยตรงมายังตรงหน้าเขา ก่อนเจ้าของรองเท้าจะผลุดลุกขึ้นเดินออกนอกห้องไป
“เกิดอะไรขึ้นนี่ลูกพี่ ผมมึนไปหมด ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือกำลังจะวิ่งเข้าไปรวบไอ้หนูนั่นมาอัดซะให้หนำใจ” แสบครางอู้รับน้ำจากเปลวมาดื่มอย่างกระหาย
“ไม่มีอะไรมากหรอก แกก็แค่ถูกเฉาะกบาลสองครั้งกับเกือบถูกมีดจิ้มก็แค่นั้นแหละ” ฉกาจหัวเราอย่างอารมณ์ดี แต่คนที่นั่งอยู่บนเตียงกลับหน้าซีดขึ้นมาทันที
“ฉันน่ะจะบอกกับแกหลายครั้งแล้ว แกน่ะมีดีที่ตัวใหญ่ก็จริง เพียงแต่สิ่งที่แกขาดอยู่อย่างมากก็คือการมองคู่ต่อสู้ให้ออก ไม่ใช่เห็นว่าตัวแกใหญ่กว่าหนากว่าแล้วจะฟัดเลย บางครั้งมันต้องดูให้ออกถึงภายในและลักษณะนิสัยด้วย อย่างไอคนที่แกเพิ่งจะไปโซ๊ยด้วยเมื่อกี้น่ะ แม้แต่ฉันพูดตามตรงก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะชนะมัน”
ฉกาจพิงพนักของเตียงขณะพูด ทุกสายตาคอยจับอยู่ที่เขาคล้ายดังเตือนให้พูดต่อ
“ฉันผ่านเรื่องนี้มาพอควร ไม่ว่าจะเป็นชกต่อยด้วยมือเปล่าหรือการรบด้วยอาวุธ พวกแกรู้ใหมว่าพวกไหนที่น่ากลัวที่สุดในความคิดฉัน” ฉกาจถามบรรดาลูกน้อง ซึ่งแต่ละคนก็ส่ายหน้ากันพัลวัน มีเพียงเปลวที่นิ่งคิดก่อนแล้วส่ายหน้าตามมาอีกคน
“พวกที่น่ากลัวที่สุดสำหรับฉันคือพวกที่สามารถจะนิ่งและเยือกเย็นได้ในทุกสถานะการณ์ คนแบบนี้ดูออกยากมากและส่วนมากจะเป็นพวกที่เคยเจอกับอะไรที่แย่ๆมาแล้ว เบื้องนอกบางครั้งจะดูเหมือนไม่มีอะไร เพียงแต่ที่มองเห็นบางครั้งก็เป็นเพียงหนังแกะที่ถูกห่อหุ้มไว้ให้ศัตรูตายใจ พอแกมารู้ตัวอีกครั้งท้องไส้แกอาจจะถูกกัดถูกกินไปเรียร้อยแล้วก็ได้ นี่แหละที่น่ากลัว” ฉกาจถอนใจจ้องมองไปยังทุกคน
“นายกำลังจะบอกว่าไอ้หมอนั่นเป็นคนแบบที่นายว่า?” เปลวเอ่ยถามเพื่อนรัก
ฉกาจไม่ทันตอบพอดีกับคุณหมอสาวกลับมาเห็นคนไข้ของตนลุกขึ้นยืนได้แล้วตรวจอาการอีกครั้งก็ไล่ทั้งหมดออกไปจากห้อง
ศิวะผละหนีจากพวกศาสตราเพื่อมายังห้องผอ.ตามที่ถูกเรียก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปเมื่อมีเสียงขานรับดังออกมาแผ่วๆ
ศิวะเห็นผอ. กำลังยืนดูรูปอะไรบางอย่างอยู่มีเสียงกระซิกแผ่วเบาดังมาเป็นระยะ ก่อนร่างอ้วนนั้นจะรีบเช็ดคราบน้ำตาแล้วหันกลัมาทางศิวะแววตาที่มองมาเศร้าสร้อย
“อ้อ มาแล้วเหรอ” น้ำเสียงที่กล่าวมีอาการสั่นเล็กน้อย
“ศิวะเผลอมองไปยังรูปที่ผอ. มองอยู่เมื่อครู่ก็ผงะเล็กน้อย มันเป็นรูปของท่านผอ.ที่ถ่ายคู่กับจรเข้”
ผอ.เห็นสายตาของศิวะก็ถอนใจ ปวดจี๊ดขึ้นมาในหัวทันที
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้เรื่องแล้ว ฉันผิดเองแหละ พอดีเมื่อวันก่อนฉันเผลอเรอไปหน่อยลืมใส่กุญแจสระน้ำของ ‘ขอนลอย’ ฉันพยายามตามหามันอยู่นานในที่สุดก็พบเมื่อเช้า เพียงแต่…เอาเป็นว่าฉันต้องขอโทษด้วยที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เสียงยังสั่นน้อยๆแต่มีสำเนียงแห่งความเมตตาแฝงอยู่ดังเดิมก่อนจะส่งกระดาษบางหนึ่งแผ่นมาให้
“การสอบเราจะเริ่มขึ้นครั้งแรกในอีกสองเดือนที่จะถึงและใบนี้จะแสดงวิชาที่เธอต้องทำการสอบทั้งหมดครั้งที่แล้วลืมให้ไป และฉันมีบางอย่างจะขอแนะนำเธอ หนึ่งคือการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น เธอต้องสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ฉันกังลในข้อนี้มากเพราะจากประวัติที่ฉันรู้มาเธออยู่กับตนเองเสมอ ฉันกลัวว่าเธอจะไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับใครได้พยายามเปิดใจหน่อยนะศิวะ…ส่วนเรื่องที่สองคือการป้องกันตัว ฉันต้องยอมรับนะว่าที่ศูนย์แห่งนี้มีปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่พอควร มีการแยกก๊กแยกเหล่าที่เป็นท็อบๆอยู่ตอนนี้ก็มีก๊กของเจ้าฉกาจ เจ้านี้ฝีมือดีแต่ติดตรงที่บางครั้งก็ใจร้อนเกินไป สองคือก๊กของเอริกเป็นอเมริกันชนที่สหรัฐส่งมารับการฝึกเจ้านี้ร้ายกาจมากเธอเจอก็พยายามหลบๆมันไว้ก็แล้วกัน เอาล่ะไปเรียนได้แล้ว”
ศิวะจึงรับตารางสอบมาไว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ในตารางสอบมีเขียนถึงวันเวลาและสถานที่สอบบางแห่งต้องออกไปต่างจังหวัดอย่างการสอบรบในที่มืดสถานที่ก็เป็นป่าของจังหวัดกาญจนบุรี หรือการสอบกระโดดร่มก็จะเป็นกองบินหนึ่งในแถบจังหวัดภาคใต้ ศิวะอ่านคร่าวๆอย่างไม่สนใจนักเป้าหมายของเขาคือเรียนให้จบจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
ภาพถ่ายเด็หญิงอายุ 15 ที่มีวงหน้าคมคล้ายเด็กผู้ชายที่เขาพกไว้ในกระเป๋าเสมอเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่เขาต้องปกป้องคุ้มครองเธอผู้นี้เพื่อที่จะตอบแทนคุณของนายท่าน ตอนนี้อำนาจของท่านยังคงล้นเหลือจึงไม่น่าหวาดหวั่นสิ่งใด แต่สิ่งที่ท่านกังวลคือหากท่านสิ้นบุญเมื่อใด ศัตรูจะต้องจู่โจมเด็กหญิงผู้นี้แน่
แค่เด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งทำไมถึงมีคนที่ประสงค์ร้ายด้วย? นี่เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในสมองตลอดเวลาตั้งแต่ที่เขาได้รับมอบหมายหน้าที่มาให้เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาจะออกเดินทางมายังศูนย์ฝึกแห่งนี้
ระฆังประจำศูนย์ตีบอกเวลาบอกเริ่มชั่วโมงในภาคเรียนตอนเช้า
หลายคนทยอยไปยังวิชาเรียนต่างๆที่เรียนไว้ตามความสมัครใจ จะยกเว้นก็เพียงปีหนึ่งเท่านั้นที่ต้องเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานเหมือนกันหมดทุกคน
หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาวันนี้เป็นวันแรกที่พวกเขาจะได้เรียน โรงฝึกกว้างใหญ่ขณะนี้มีคนนั่งอยู่หกคนพร้อมหน้า เขาเป็นคนท้ายสุดที่มาถึง ร่างเล็กคุ้นตานั่งอยู่ตรงกันข้ามพวกเขาหลับตาสูดลมหายใจอย่างหนักแน่นดังผู้ทำสมาธิ ทันทีที่ศิวะนั่งลงสัมผัสพื้นดวงตาที่ชราคู่นั้นก็เปิดขึ้นจับมาที่เขา
“ห้ามมาสายในชั่วโมงเรียนของฉัน ไปวิ่งรอบโรงฝึกจนกว่าฉันจะบอกให้หยุด”
เสียงเย็นชาที่เขาได้ยินเมื่อเช้าดังออกมาจากริมฝีปากที่แทบจะไม่ขยับ ศิวะลุกขึ้นและไปวิ่งตามที่ได้รับคำสั่ง ไม่นานนักเสียงเดิมก็ดังกังวาลขึ้นมาอีกครานี้ก้องสะท้อนออกไปทั้งโรงฝึก
“ที่พวกแกจะเรียนวีนนี้คือยูยิตสู เป็นวิชาป้องกันตัวด้วยมือเปล่าของประเทศญี่ปุ่นที่กำเนิดขึ้นมาในยามสงคราม ปัจจุบันพวกแกคงรู้จักกันในชื่อของยูโด ยูยิตสูเป็นวิชาอันตรายเพราะเป้าหมายแรกสุดที่มีวิชานี้ขึ้นมาคือเพื่อสยบและสังหารเหล่าศัตรูในยามสงครามเช่นเดียวกับแม่ไม้มวยไทยของประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้นหน้าที่ของฉันคือสอนให้พวกแกใช้ศาสตร์นี้ได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ ใครที่ขี้เกียจหรืออ่อนแอในชั้นเรียนของฉัน…ฉันไม่เอาไว้แน่!” คำพูดเหมือนดังขู่ให้กลัว แต่ดูจากสีหน้าและแววตาของผู้พูดบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น
“อาจารย์ชื่ออะไรครับ?” ศาสตราถามขึ้นเพื่อจะสร้างบรรญากาศที่เป็นกันเองมากขึ้น
ร่างเล็กนั้นลุกขึ้นทันทีพยักหน้าให้ผู้ถามลุกขึ้นเช่นเดียวกัน
“หากแกทำให้ฉันออกจากวงกลมนี้ได้ ฉันจะบอกแกและแกจะผ่านวิชานี้โดยไม่ต้องเข้าอีกต่อไป” ชายชราเจ้าของวิชาเก่าก้มลงขีดเส้นด้วยชอร์คสีแดงรอบตัวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร
ศาสตราอึ้งไปกับคำพูดของชายแก่คราพ่อของเขา หากมองเพียงภายนอกเขาน่าจะสามารถหักชายตรงหน้านี้หักเป็นสองส่วนได้อย่างสบายเพียงแต่เหตุการณ์เมื่อเช้าที่เห็นกับตาว่าชายชราผู้นี้เป็นผู้แบกเจ้าแสบขึ้นไหล่เพื่อไปยังห้องพยาบาลทำให้เขาไม่อาจประเมิณฝีมือของชายคนหน้าให้ต่ำไปได้
ชายชราเลิกคิ้วเมื่อไม่มีคำตอบจากปากศาสตราก่อนถอนหายใจออกมาดังๆ
“ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ กลับขี้ขลาด ฉันจะบอกให้ว่าหากเป็นไอ้เจ้าฉกาจล่ะก็มันพุ่งมาตั้งแต่ฉันพูดจบแล้ว ปีหนึ่งปีนี้ดูท่าจะไม่ค่อยได้เรื่อง” ชายชราบิดคอไปมาจนกระดูกลั่นมองมาทางปีหนึ่งที่นั่งกันหน้าสลอนด้วยสายตาที่ดูแคลน
ศาสตราค่อยย่างกายเข้าไปจนใกล้แค่สัมผัส ชายชรายังทำตัวตามสบายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ศาสตราตัดสินใจคว้าจับชายเสื้อที่เป็นแบบเดียวกับยูโดเพียงแต่มีสีดำตลอดแทนสีขาวทันทีและออกแรงเหวี่ยงเพียงแต่ยังไม่สุดกำลังนัก
ตูม!!!
ศาสตราลอยละลิ่วไปตกห่างจากชายชราเกือบสองเมตร ทั้งห้องที่ดูอยู่ต่างตะลึงกับภาพที่เห็น
ชายชราแทบไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย!
ศาสตราส่ายหน้าอย่างมึนๆใช้แขนดันกายให้ลุกขึ้น
“แรงดีเหมือนกันนี่ แต่แค่นี้เกาให้ฉันยังไม่ได้เลย กลับไปฝึกมาใหม่ดีกว่ามั้ง” ชายชรายกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาวที่มีสีดำแซมอยู่เพียงบ้างเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางปีหนึ่งที่เหลือ
“ฉันยื่นข้อเสนอนี่ให้แก่พวกแกทุกคนนะ อยากลองดูก็เข้ามาได้จนกว่าจะหมดคาบนี้!”
ความคิดเห็น