ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศิวาราษฎร์

    ลำดับตอนที่ #4 : บททดสอบที่ 4 : การปะทะกันของศิวะและฉกาจ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 52


    />

                    ก่อนที่ฉกาจจะก้าวถึงตัวศิวะก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ในท่าเตรียมพร้อม หมัดซ้ายสาวมาแต่ไกลศิวะเอี้ยวคอเพียงเล็กน้อยก็หลบพ้นแต่ลูกที่ตามมาติดๆคือเข่าขวาที่กระแทกไปที่ท้องเขาอย่างจังทำให้เสียการทรงตัว ชั่วพริบตาหมัดขวาที่ว่างอยู่ของฉกาจก็ตรงเข้าจับที่ฝบหน้าของศิวะอย่างจังเรียกเลือดออกมาทันที

                    ศิวะเซหลุนๆไปข้างหลัง ฉกาจสาวเท้าตามทันที เมื่อเข้าถึงตัวก็เฉียงศอกขวาลงในแนว 45 องศาหวังจะให้กระทบที่ปลายคิ้ว ศิวะใช้มือขวาจับเข้าที่ศอกข้างนั้นก่อนกระชากอย่างแรงทำให้ฉกาจเสียหลัก ก่อนจะถอยฉากออกมายืนห่างจากฉกาจ

                    ศิวะถ่มเลือดออกจากปากยืดตัวตรงสายตามองจับมายังฉกาจที่กำลังจับข้อศอกตัวเองอยู่ มีหลายคนที่เริ่มมามุงดูการต่อสู้ในครั้งนี้

                    ได้ข่าวว่าแกฆ่าจรเข้ด้วยมือเปล่าได้ ข่าวโคมลอยมากกว่ามั้ง!” ฉกาจยิ้ม

                    ศิวะปวดหัวตึบ เขาใช้มีดฆ่าจรเข้แท้ๆแต่ทำไมกลายเป็นว่าเขาฆ่ามันด้วยมือเปล่าไปซะได้ ถึงว่าสิว่าทำไมเขาถึงบอกกันว่าอย่าเชื่อข่าวที่มันบอกกันมาแบบปากต่อปาก มันมักจะผิดเพี้ยนไปจากความจริงเสมอ

                    ผู้คนรอบข้างเริ่มจะส่งเสียงอื้ออึง หลายคนแทนที่จะมาห้ามกลับยุให้พวกเขาห้ำหั่นหัน ดูเหมือนพวกเขาอยากจะเห็นฝีมือของคนที่ปราบจรเข้ได้ด้วยมือเปล่ากระมัง ศิวะขบขันในใจ

                    ฉกาจเริ่มย่างกลายเข้ามาอีกครั้งแต่ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ปะทะกับอีกผู้ที่ร่วมชะตากรรมกับเขาเมื่อคืนก็มาปรากฎตัวข้างๆเขาพร้อมลูกน้อง

                    อะไรกันพี่ฉกาจ จะรังแกน้องๆปีหนึ่งที่น่ารักอย่างเราหรือไง ศาสตราพูดออกมาดังๆท่ามกลางพวกที่มามุงดู

                    เปล่า ฉันแค่มาบอกเรื่องที่ ผอ. ให้ฉกาจไปพบ แล้วก็เลยถือโอกาสทดสอบฝีมือตามที่เขาเล่าลือกันสักหน่อยแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ ก็ว่าอยู่คนที่ไหนจะไปสู้กับสัตว์ร้ายอย่างจรเข้ได้ ฉกาจยักไหล่กล่าวเยาะ

                    ศิวะไม่กล่าวโต้อะไรออกไปผิดกับศาสตราที่เริ่มโกรธเดินตรงเข้าไปไกล้กับรุ่นพี่ปากดีที่เขาเพิ่งจะพ่ายแพ้มาเมื่อวาน

                    ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าผมโกหกด้วยสินะครับ เพราะผมก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ศาสตราจ้องมองไปยังดวงตาของรุ่นพี่อย่างเอาเรื่อง

                    ฉกาจยักไหล่เบาๆไม่พูดอะไร ศาสตราเห็นดังนั้นก็หันหลังทำท่าจะเดินออกไป

                    แล้วใครบอกว่าแกไม่โกหกละวะ! ไอเด็กเลี้ยงแกะเอ๊ย! เหอๆๆๆ ฉกาจกล่าวเสียงดังและหัวเราะดังกังวาลตบท้าย

                    ศาสตราหันขวับมาทันทีแต่สิ่งที่เขาพบคือฝ่าเท้าที่ลอยเข้ามาเต็มใบหน้าจนทำให้เขากระเด็นลงไปนอน

                    เจ้าพวกปีหนึ่งจำไว้ อย่าหันหลังให้กับศัตรูเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกแกจะเป็นแบบนี้ ฉกาจชี้ไปที่ร่างที่เอามือกุมหน้าอยู่ ตวาดไปทางบรรดาลูกน้องของศาสตราที่กำลังจะดาหน้ากันเข้ามาหา

                    ไม่เห็นจะเข้าใจ เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ตัวต้นตอของเรื่องทั้งหมดจะค่อยๆเดินออกมาข้างหน้ากลุ่มลูกน้องของฉกาจ

                    หมายความว่าคุณเป็นศัตรูกันกับพวกผมหรือไง?” ศิวะกล่าวออกมาด้วยแววตาที่เริ่มจะเย็นชามากกว่าเดิม ตัวเขาไม่รู้สึกอะไรหรอกกับการที่ต้องถูกต่อยจนเลือดกลบปาก เพียงแต่เขารู้สึกไม่ชอบใจที่คนที่เข้ามาช่วยเขาจะพลอยถูกทำร้ายไปด้วย

                    ฉกาจชะงักไปกับคำพูดนั้น ก่อนจะกล่าวโต้ใดๆบรรดาเพื่อนและลูกน้องของเขาก็ทยอยกันเดินออกมาเสริมที่รอบๆตัวเขา

                    ไอ้ปีหนึ่ง! ระวังคำพูดคำจาหน่อยนะโว้ย! แกเพิ่งเข้ามาอย่าริมาทำซ่าดีกว่า เจ้าแสบลูกน้องร่างบึกของฉกาจก้าวเข้ามาพร้อมกับชี้หน้า

                    ยังไม่ได้ตอบคำถามที่ผมถามไปเลยนะครับ ตกลงเราเป็นศัตรูกันหรือเปล่า?”

                    เจ้าแสบพุ่งตัวเข้าหาทันทีราวกับกระทิงเห็นผ้าสีแดง เป้าหมายของมันคือการปะทะเป้าหมายตรงหน้าให้ล้มก่อนแล้วค่อยอัดให้อ่วม

                    แต่นั้นเป็นเพียงความคิดเท่านั้น

                    ศิวะพุ่งเจ้าหาทันที ศอกสั้นตรงเข้าที่บริเวณหน้าผากที่ว่างอยู่ เสียงมันดังเบาๆราวกับเวลาใช้ของมีคมปาดกับอะไรบางอย่าง

                    ร่างใหญ่โตของเจ้าแสบล้มลงแทบจะพร้อมกับเสียงนั้น สมองมึนงงไปหมด รู้แต่เพียงเขาถูกอะไรบางอย่างทำร้าย

                    ศิวะมองร่างที่ล้มลงไปคุกเข่านิ่งอยู่จึงทิ้งศอกขวาไปอีกครั้งที่กลางศีรษะ ปั๊ก! เสียงหนักดังถูกทุบด้วยของแข็งเรียกเลือดให้ไหลออกมาจากแผลที่เกิดใหม่ทันที ร่างใหญ่นั้นกระตุกเพียงไม่กี่ครั้งก่อนนิ่งเงียบ

                    เสียงรอบบริเวณเงียบกริบดังไม่มีผู้ใดอยู่ทั้งที่แทบจะทั้งศูนย์ฝึกคงมาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ก่อนที่ทั้งหมดจะทันได้สติศิวะก็ก้มมองร่างที่แน่นิ่งนั้นอีกครั้ง และชักมีดที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา

                    ทุกคนขนลุกวาบเมื่อมองไปยังวัตถุสีเงินที่ตอนนี้ส่องแสงกระทบกับดวงอาทิตย์เป็นมันวาวบอกถึงความดูแลเอาใจใส่อย่างดีของเจ้าของ

                    ก่อนจะมีใครทันได้คิดต่อ ศิวะก็จ้วงแทงไปยังกลางหลังของเจ้าแสบทันทีเพียงแต่ว่าก่อนที่มีดเล่มนั้นจะกระทบเข้ากับแผ่นหลังได้มีมือเข้ามาคว้าจับข้อมือของเขาไว้และยึดจนแน่น!

                    เฮ้ยพวกจะเอากันถึงตายเลยหรือไง?” ฉกาจจับมือนั้นค่อยดันออกจากเป้าหมาย เหงื่อเขาผุดซึมรอบใบหน้า หัวใจเขาเต้นแรงอย่างตื่นเต้นและตกใจ

                    ไอ้หมอนี่มันคนบ้าเสียงในใจของฉกาจตะโกนออกมา

                    ศิวะขมวดคิ้วก่อนจะใช้กำลังข้อมือของตัวเองสลัดจนมือของฉกาจที่คว้าจับอยู่หลุด

                    ตกลงแล้งพวกคุณเป็น พวกเดียวกันหรือ ศัตรู กันแน่ ศิวะปามีดลงไปปักบนพื้นกวาดสายตาไปยังผู้คนที่มองอยู่โดยรอบ

                    ผมไม่เคยปล่อยให้ศัตรูผมรอดไปได้ ศิวะประกาศออกมาเบาๆ แต่ทุกคนทั่วบริเวณได้ยินแล้วต่างก็กลืนน้ำลายแทบจะพร้อมเพรียงกัน

                    พวกแกไม่ใช่ศัตรูกันแน่นอน เสียงห้าวแหบดังออกมาจากผู้คน ก่อนต้นเสียงจะเดินกระย่องกระแย่งเข้ามา

                    บุรุษที่เข้ามามีอายุประมาณ 60 ปี ตัวระดับเพียงหน้าอกของเขา แววตาที่มองลอดออกมาจากแว่นรูปร่างกลมนั้นทอประกายเมตตาและอ่อนโยนแต่แฝงแววบางอย่างที่ผู้ที่มองเข้าไปรู้สึกได้ถึงอำนาจ หยุดยืนอยู่ข้างศิวะยกไม้เท้าขึ้นโขกหัวเขาเบาๆ ศิวะพยายามจะหลบไม้เท้าทีชายชราผู้นี้ตีมาแต่ดูเหมือนชายชราจะรู้ว่าเขาจะหลบไปในทิศทางใดอย่างไรอย่างนั้นเพราะเขาตีมายังศิวะสามครั้งก็จะกระทบกับศีรษะของศิวะอยู่ทุกครั้ง จากนั้นชายชราผู้นั้นก็หันมาตีไม้เท้าไปที่ศีรษะของฉกาจเช่นกันเพียงแต่ชายชราผู้นั้นไม่ได้ตีเบาๆเช่นเดียวกับที่ทำกับศิวะ

                    เพียงวืดแรกของจังหวะการตีศิวะรับรู้ถึงสายลมร้อนที่ส่งออกมาจากร่างชราที่ยืนอยู่ข้างกายเขา เสียงดังผัวะ!! เมื่อไม้เท้าด้ามนั้นกระทบกับศีรษะของฉกาจจนหัก เลือดค่อยๆไหลซึมออกมาจากบาดแผล

                    ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่า ศัตรูของพวกเรามีเพียงอย่างเดียว และเป็นศัตรูร่วมกันของทั้งศูนย์ฝึก นั่นคือผู้ที่มันมาบ่อนมาทำลายประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ในเมื่อเขาถามทำไมแกถึงไม่ให้คำตอบกับเขาไป

                    และอีกวืดหนึ่งในขนาดที่สั้นกว่า ไม้เท้าอันเดิมปะทะเข้ากับศีรษะของฉกาจอีกครั้งและเช่นเดิมมันหักอีก!

                    แกเป็นถึง S คลาส แค่เรื่องแค่นี้ทำไมยังไม่เข้าใจ หากในหมู่พวกเราเองยังไม่มีความรักความสามัคคีกัน แล้วแกจะเอากำลังที่ไหนไปต้านทานศัตรู ไปสู้กับศัตรู ชายชรากล่าวอย่างหนักแน่นก้องกังวาลไปทั่วทั้งพื้นที่

                    พวกแกก็เหมือนกัน ชายชราผู้มาใหม่ชี้กราดไปยังหมู่คนที่มามุงดู ซึ่งบางคนเริ่มหลบฉากออกไปอย่างคนรู้งาน

                    ทำไมพวกแกถึงไม่ห้าม เห็นเป็นของสนุกหรือยังไง? ไปจะไปไหนก็ไป!”

                ผู้ที่มุงอยู่โดยรอบแตกฮือดั่งฝูงผึ้ง เพียงไม่กี่วินาทีบริเวณโดยรอบก็เหลือเพียงตัวการหลักๆที่ก่อเรื่องเท่านั้น

                    ชายชราก้มลงดึงมีดโยนไปทางศิวะก่อนจะคว้าตัวเจ้าคนที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมาด้วยแขนบอบบางเพียงข้างเดียว ร่างใหญ่โตของลูกสมุนฉกาจเหมือนปลิวมาอยู่บนบ่าของชายชราก่อนจะชี้หน้าทุกคนที่ยืนตะลึงอยู่โดยรอบ

                    ถ้าฉันเห็นคราวหน้าอีก รับรองพวกแกถูกขังเดี่ยวในคุกหลังเขาแน่ เข้าใจไหม!” อย่างไม่รอคำตอบชายร่างเล็กก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วราวกับไม่ได้แบกสิ่งใดไว้ที่บนบ่า

                    กลุ่มชายที่เหลือทั้งหมดมองหน้ากันสลับไปมา ก่อนที่ศิวะจะแยกตัวออกไปอย่างเงียบๆและศาสตรากับเหล่าลูกน้องที่เหลือจึงตามศิวะไป ทิ้งไว้แต่กลุ่มของฉกาจ

                    เฮ้ย! มีอะไรวะกาจ ปกติแกไม่เคยไปยุ่งกบปีหนึ่งนี่หว่าหากมันไม่มาวอแวอะไรกับแกก่อน เปลวแตะบ่าเพื่อนของเขาขณะที่ทั้งหมดแยกเดินไปอีกทาง

                    ฉกาจยิ้มๆในใบหน้าก่อนเดินตัดสนามหญ้าสีเขียวที่ส่งกลิ่นความสดจนหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ

                    ก็ไม่มีอะไรนี่ ฉันก็แค่อยากหาเรื่องใครแก้กลุ้มบ้างเท่านั้น ฉกาจตอบและกระโดดข้ามคูน้ำ ตรงไปยังอาคารพยาบาล

                    ฝีมือหมอนั่นไม่ใช่เล่นเลย เปลวกล่าวออกมาขณะสายตายังจับอยู่ยังใบหน้าของเพื่อนรัก

                    ฉกาจเลิกคิ้วคล้ายจะให้บุรุษที่เดินอยู่ข้างเขาขณะนี้กล่าวต่อ

                    ฉันพูดจริง มันลงมือถึงสามครั้งเชียวนะ สามครั้ง! แต่พวกเราที่ยืนอยู่ใกล้ๆมันกลับยืนเฉยแน่นิ่งเหมือนเด็ก โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย หากไม่ได้แกมีหวัง…”

                    ฉกาจโบกมือคล้ายให้เงียบเสียงเพราะขณะนี้ตรงหน้าเขามีร่างใหญ่ที่ถูกทำร้ายจนสลบศีรษะมีเลือดไหลเป็นทางยาว มีคุณหมอสาวกำลังทำแผลให้อยู่ใกล้ๆ เมื่อคุณหมอเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเหล่าบรรดาผู้มาใหม่ก็เกิดอาการเหม็นเบื่อขึ้นมาทันที

                    โธ่ หมอทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ผมมาเยี่ยมเพื่อน ฉกาจยิ้มกรุ้มกริ่มให้คุณหมอสาวที่ลุกขึ้นถอดถุงมือและปาลงไปในถังขยะ

                    เมื่อไหร่คุณจะเลิกก่อเรื่องวุ่นวายซักที! มีกี่คนแล้วที่ต้องเจ็บมาจากฝีมือคุณ ที่นี่เป็นศูนย์ฝึก แค่บาดแผลจากการฝึกนี่มันไม่พอหรือไง? ถึงได้ดั้นด้นจะหาแผลใหม่กันอยู่เรื่อย สายตาที่คมดุนั้นจ้องมาอย่างเอือมระอา

                    ฉกาจและพวกได้แต่หัวเราะกันเบาๆ

                    แล้วน้องผมเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับหมอหน่อย?” ฉกาจถามไปยังคุณหมอสาวที่ขณะนี้กำลังล้างมออยู่ที่อ่าง

                    หมอหน่อยเช็ดมือก่อนอ้อมตัวไปนั่งกับโต๊ะที่มุมห้อง

                    ยังไม่ตายหรอก มีสองแผลหน้าผากสี่เข็ม กลางกระหม่อมอีกห้า แต่คงจะได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรงจนไปอีกเดี๋ยวก็คงฟื้น ว่าแต่…” หมอหน่อยก้มลงเขียนอะไรยุกยิกบนกระดาษขณะถาม

                    คราวนี้ฝีมือใครอีกล่ะ? เอริก? หรือแฟลงค์?”

                ไม่ใช่ครับหมอ คราวนี้ฝีมือของเด็กที่เข้าใหม่

                    หมอหน่อยเงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้าขมวดคิ้ว

                    โดนเด็กใหม่ซ้อมมาเนี่ยนะ แปลก เดี๋ยวต้องไปให้รางวัลซักหน่อย คุฯหมอสาวกล่าวยิ้มๆก่อนไม่สนใจอีกก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานการวิจัยที่ตอนนี้หล่อนสนใจต่อไป

                    ร่างใหญ่ปานยักษ์ที่นอนอยู่บนเตียงร้องเบาๆดึงความสนใจของเหล่าชายหนุ่มทั้งหมด ฉกาจและพวกจึงเดินเข้ามาหา

                    เป็นไงเจ้าแสบ?” ฉกาจหัวเราะก่อนจะจิ้มนิ้วไปที่กลางหน้าผากที่เป็นแผลเรียกเสียงร้องจากเจ้าของร่างเบาๆและรองเท้าแตะที่ปลิวมากระทบหลังอย่างเร็ว

                    นายจะทำอะไรคนไข้ฉัน นั่น! เห็นมั้ยเลือดซึมอีกแล้ว เป็นอะไรของนายนี่ ชอบความซาดิสต์หรือไง?” หมอหน่อยแหวขึ้นอย่างเหลืออด ฉกาจยักคิ้วให้ก่อนจะตอบกลับ

                    อันที่จริงถ้าได้ลองซักหน่อยก็ดีนะครับ แต่ตอนนี้ขาดคู่ลองน่ะหมอ ถ้าไง…” ฉกาจต้องรีบก้มหัวหลบเมื่อรองเท้าอีกข้างที่เหลือลอยตรงมายังตรงหน้าเขา ก่อนเจ้าของรองเท้าจะผลุดลุกขึ้นเดินออกนอกห้องไป

                    เกิดอะไรขึ้นนี่ลูกพี่ ผมมึนไปหมด ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือกำลังจะวิ่งเข้าไปรวบไอ้หนูนั่นมาอัดซะให้หนำใจ แสบครางอู้รับน้ำจากเปลวมาดื่มอย่างกระหาย

                    ไม่มีอะไรมากหรอก แกก็แค่ถูกเฉาะกบาลสองครั้งกับเกือบถูกมีดจิ้มก็แค่นั้นแหละ ฉกาจหัวเราอย่างอารมณ์ดี แต่คนที่นั่งอยู่บนเตียงกลับหน้าซีดขึ้นมาทันที

                    ฉันน่ะจะบอกกับแกหลายครั้งแล้ว แกน่ะมีดีที่ตัวใหญ่ก็จริง เพียงแต่สิ่งที่แกขาดอยู่อย่างมากก็คือการมองคู่ต่อสู้ให้ออก ไม่ใช่เห็นว่าตัวแกใหญ่กว่าหนากว่าแล้วจะฟัดเลย บางครั้งมันต้องดูให้ออกถึงภายในและลักษณะนิสัยด้วย อย่างไอคนที่แกเพิ่งจะไปโซ๊ยด้วยเมื่อกี้น่ะ แม้แต่ฉันพูดตามตรงก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะชนะมัน

                    ฉกาจพิงพนักของเตียงขณะพูด ทุกสายตาคอยจับอยู่ที่เขาคล้ายดังเตือนให้พูดต่อ

                    ฉันผ่านเรื่องนี้มาพอควร ไม่ว่าจะเป็นชกต่อยด้วยมือเปล่าหรือการรบด้วยอาวุธ พวกแกรู้ใหมว่าพวกไหนที่น่ากลัวที่สุดในความคิดฉัน ฉกาจถามบรรดาลูกน้อง ซึ่งแต่ละคนก็ส่ายหน้ากันพัลวัน มีเพียงเปลวที่นิ่งคิดก่อนแล้วส่ายหน้าตามมาอีกคน

                    พวกที่น่ากลัวที่สุดสำหรับฉันคือพวกที่สามารถจะนิ่งและเยือกเย็นได้ในทุกสถานะการณ์ คนแบบนี้ดูออกยากมากและส่วนมากจะเป็นพวกที่เคยเจอกับอะไรที่แย่ๆมาแล้ว เบื้องนอกบางครั้งจะดูเหมือนไม่มีอะไร เพียงแต่ที่มองเห็นบางครั้งก็เป็นเพียงหนังแกะที่ถูกห่อหุ้มไว้ให้ศัตรูตายใจ พอแกมารู้ตัวอีกครั้งท้องไส้แกอาจจะถูกกัดถูกกินไปเรียร้อยแล้วก็ได้ นี่แหละที่น่ากลัวฉกาจถอนใจจ้องมองไปยังทุกคน

                    นายกำลังจะบอกว่าไอ้หมอนั่นเป็นคนแบบที่นายว่า?” เปลวเอ่ยถามเพื่อนรัก

                    ฉกาจไม่ทันตอบพอดีกับคุณหมอสาวกลับมาเห็นคนไข้ของตนลุกขึ้นยืนได้แล้วตรวจอาการอีกครั้งก็ไล่ทั้งหมดออกไปจากห้อง

     

                    ศิวะผละหนีจากพวกศาสตราเพื่อมายังห้องผอ.ตามที่ถูกเรียก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปเมื่อมีเสียงขานรับดังออกมาแผ่วๆ

                    ศิวะเห็นผอ. กำลังยืนดูรูปอะไรบางอย่างอยู่มีเสียงกระซิกแผ่วเบาดังมาเป็นระยะ ก่อนร่างอ้วนนั้นจะรีบเช็ดคราบน้ำตาแล้วหันกลัมาทางศิวะแววตาที่มองมาเศร้าสร้อย

                    อ้อ มาแล้วเหรอ น้ำเสียงที่กล่าวมีอาการสั่นเล็กน้อย

                    ศิวะเผลอมองไปยังรูปที่ผอ. มองอยู่เมื่อครู่ก็ผงะเล็กน้อย มันเป็นรูปของท่านผอ.ที่ถ่ายคู่กับจรเข้

                    ผอ.เห็นสายตาของศิวะก็ถอนใจ ปวดจี๊ดขึ้นมาในหัวทันที

                    ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้เรื่องแล้ว ฉันผิดเองแหละ พอดีเมื่อวันก่อนฉันเผลอเรอไปหน่อยลืมใส่กุญแจสระน้ำของ ขอนลอยฉันพยายามตามหามันอยู่นานในที่สุดก็พบเมื่อเช้า เพียงแต่เอาเป็นว่าฉันต้องขอโทษด้วยที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เสียงยังสั่นน้อยๆแต่มีสำเนียงแห่งความเมตตาแฝงอยู่ดังเดิมก่อนจะส่งกระดาษบางหนึ่งแผ่นมาให้

                    การสอบเราจะเริ่มขึ้นครั้งแรกในอีกสองเดือนที่จะถึงและใบนี้จะแสดงวิชาที่เธอต้องทำการสอบทั้งหมดครั้งที่แล้วลืมให้ไป และฉันมีบางอย่างจะขอแนะนำเธอ หนึ่งคือการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น เธอต้องสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ฉันกังลในข้อนี้มากเพราะจากประวัติที่ฉันรู้มาเธออยู่กับตนเองเสมอ ฉันกลัวว่าเธอจะไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับใครได้พยายามเปิดใจหน่อยนะศิวะส่วนเรื่องที่สองคือการป้องกันตัว ฉันต้องยอมรับนะว่าที่ศูนย์แห่งนี้มีปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่พอควร มีการแยกก๊กแยกเหล่าที่เป็นท็อบๆอยู่ตอนนี้ก็มีก๊กของเจ้าฉกาจ เจ้านี้ฝีมือดีแต่ติดตรงที่บางครั้งก็ใจร้อนเกินไป สองคือก๊กของเอริกเป็นอเมริกันชนที่สหรัฐส่งมารับการฝึกเจ้านี้ร้ายกาจมากเธอเจอก็พยายามหลบๆมันไว้ก็แล้วกัน เอาล่ะไปเรียนได้แล้ว

                    ศิวะจึงรับตารางสอบมาไว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

                   

                    ในตารางสอบมีเขียนถึงวันเวลาและสถานที่สอบบางแห่งต้องออกไปต่างจังหวัดอย่างการสอบรบในที่มืดสถานที่ก็เป็นป่าของจังหวัดกาญจนบุรี หรือการสอบกระโดดร่มก็จะเป็นกองบินหนึ่งในแถบจังหวัดภาคใต้ ศิวะอ่านคร่าวๆอย่างไม่สนใจนักเป้าหมายของเขาคือเรียนให้จบจากที่นี่โดยเร็วที่สุด

                    ภาพถ่ายเด็หญิงอายุ 15 ที่มีวงหน้าคมคล้ายเด็กผู้ชายที่เขาพกไว้ในกระเป๋าเสมอเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่เขาต้องปกป้องคุ้มครองเธอผู้นี้เพื่อที่จะตอบแทนคุณของนายท่าน ตอนนี้อำนาจของท่านยังคงล้นเหลือจึงไม่น่าหวาดหวั่นสิ่งใด แต่สิ่งที่ท่านกังวลคือหากท่านสิ้นบุญเมื่อใด ศัตรูจะต้องจู่โจมเด็กหญิงผู้นี้แน่

                    แค่เด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งทำไมถึงมีคนที่ประสงค์ร้ายด้วย? นี่เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในสมองตลอดเวลาตั้งแต่ที่เขาได้รับมอบหมายหน้าที่มาให้เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาจะออกเดินทางมายังศูนย์ฝึกแห่งนี้

                    ระฆังประจำศูนย์ตีบอกเวลาบอกเริ่มชั่วโมงในภาคเรียนตอนเช้า

                    หลายคนทยอยไปยังวิชาเรียนต่างๆที่เรียนไว้ตามความสมัครใจ จะยกเว้นก็เพียงปีหนึ่งเท่านั้นที่ต้องเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานเหมือนกันหมดทุกคน

                    หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาวันนี้เป็นวันแรกที่พวกเขาจะได้เรียน โรงฝึกกว้างใหญ่ขณะนี้มีคนนั่งอยู่หกคนพร้อมหน้า เขาเป็นคนท้ายสุดที่มาถึง ร่างเล็กคุ้นตานั่งอยู่ตรงกันข้ามพวกเขาหลับตาสูดลมหายใจอย่างหนักแน่นดังผู้ทำสมาธิ ทันทีที่ศิวะนั่งลงสัมผัสพื้นดวงตาที่ชราคู่นั้นก็เปิดขึ้นจับมาที่เขา

                    ห้ามมาสายในชั่วโมงเรียนของฉัน ไปวิ่งรอบโรงฝึกจนกว่าฉันจะบอกให้หยุด

                    เสียงเย็นชาที่เขาได้ยินเมื่อเช้าดังออกมาจากริมฝีปากที่แทบจะไม่ขยับ ศิวะลุกขึ้นและไปวิ่งตามที่ได้รับคำสั่ง ไม่นานนักเสียงเดิมก็ดังกังวาลขึ้นมาอีกครานี้ก้องสะท้อนออกไปทั้งโรงฝึก

                    ที่พวกแกจะเรียนวีนนี้คือยูยิตสู เป็นวิชาป้องกันตัวด้วยมือเปล่าของประเทศญี่ปุ่นที่กำเนิดขึ้นมาในยามสงคราม ปัจจุบันพวกแกคงรู้จักกันในชื่อของยูโด ยูยิตสูเป็นวิชาอันตรายเพราะเป้าหมายแรกสุดที่มีวิชานี้ขึ้นมาคือเพื่อสยบและสังหารเหล่าศัตรูในยามสงครามเช่นเดียวกับแม่ไม้มวยไทยของประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้นหน้าที่ของฉันคือสอนให้พวกแกใช้ศาสตร์นี้ได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ ใครที่ขี้เกียจหรืออ่อนแอในชั้นเรียนของฉันฉันไม่เอาไว้แน่!” คำพูดเหมือนดังขู่ให้กลัว แต่ดูจากสีหน้าและแววตาของผู้พูดบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น

                    อาจารย์ชื่ออะไรครับ?” ศาสตราถามขึ้นเพื่อจะสร้างบรรญากาศที่เป็นกันเองมากขึ้น

                    ร่างเล็กนั้นลุกขึ้นทันทีพยักหน้าให้ผู้ถามลุกขึ้นเช่นเดียวกัน

                    หากแกทำให้ฉันออกจากวงกลมนี้ได้ ฉันจะบอกแกและแกจะผ่านวิชานี้โดยไม่ต้องเข้าอีกต่อไป ชายชราเจ้าของวิชาเก่าก้มลงขีดเส้นด้วยชอร์คสีแดงรอบตัวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร

                    ศาสตราอึ้งไปกับคำพูดของชายแก่คราพ่อของเขา หากมองเพียงภายนอกเขาน่าจะสามารถหักชายตรงหน้านี้หักเป็นสองส่วนได้อย่างสบายเพียงแต่เหตุการณ์เมื่อเช้าที่เห็นกับตาว่าชายชราผู้นี้เป็นผู้แบกเจ้าแสบขึ้นไหล่เพื่อไปยังห้องพยาบาลทำให้เขาไม่อาจประเมิณฝีมือของชายคนหน้าให้ต่ำไปได้

                    ชายชราเลิกคิ้วเมื่อไม่มีคำตอบจากปากศาสตราก่อนถอนหายใจออกมาดังๆ

                    ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ กลับขี้ขลาด ฉันจะบอกให้ว่าหากเป็นไอ้เจ้าฉกาจล่ะก็มันพุ่งมาตั้งแต่ฉันพูดจบแล้ว ปีหนึ่งปีนี้ดูท่าจะไม่ค่อยได้เรื่อง ชายชราบิดคอไปมาจนกระดูกลั่นมองมาทางปีหนึ่งที่นั่งกันหน้าสลอนด้วยสายตาที่ดูแคลน

                    ศาสตราค่อยย่างกายเข้าไปจนใกล้แค่สัมผัส ชายชรายังทำตัวตามสบายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ศาสตราตัดสินใจคว้าจับชายเสื้อที่เป็นแบบเดียวกับยูโดเพียงแต่มีสีดำตลอดแทนสีขาวทันทีและออกแรงเหวี่ยงเพียงแต่ยังไม่สุดกำลังนัก

                    ตูม!!!

                    ศาสตราลอยละลิ่วไปตกห่างจากชายชราเกือบสองเมตร ทั้งห้องที่ดูอยู่ต่างตะลึงกับภาพที่เห็น

                    ชายชราแทบไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย!

                ศาสตราส่ายหน้าอย่างมึนๆใช้แขนดันกายให้ลุกขึ้น

                    แรงดีเหมือนกันนี่ แต่แค่นี้เกาให้ฉันยังไม่ได้เลย กลับไปฝึกมาใหม่ดีกว่ามั้ง ชายชรายกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาวที่มีสีดำแซมอยู่เพียงบ้างเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางปีหนึ่งที่เหลือ

                    ฉันยื่นข้อเสนอนี่ให้แก่พวกแกทุกคนนะ อยากลองดูก็เข้ามาได้จนกว่าจะหมดคาบนี้!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×