ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศิวาราษฎร์

    ลำดับตอนที่ #2 : บททดสอบที่ 2 : การทดสอบดำน้ำ

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 52


    /> /> />

    ห้องทำงานอันประดับประดาไปด้วยปืนแขวนอยู่อย่างเรียงรายไม่ได้ทำให้ผู้มาใหม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เขาก้าวเข้าไปนั่ยังเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ตรงข้ามกับโต๊ะที่มีตัวหนังสือเขียนบอกสถานะไว้ว่า “ผู้อำนวยการ”

                    นอกจากนั้นส่วนของมุมห้องยังยังเรียงรายไปด้วยแมกไม้พรรณต่างๆที่มีทั้งแบบกระถางและที่แขวนห้อยอยู่กับเพดานบ่งบอกถึงความชื่นชอบส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี

                    “อ้าวมาแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง ปรับตัเข้ากับศูนย์ของเราได้แล้วยัง?” คำถามออกมาจากร่างอ้วนที่ออกจะเตี้ยของผู้ที่ก้าวออกมาจากประตูในห้องข้างเคียง

                    “ครับก็ยังไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ” ศิวะตอบอย่างเฉยชา ขณะที่ดวงตาจับไปยังภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้า มันเป็นรูปของชายหนุ่มร่างเล็กที่มีมัดกล้ามที่สมบูรณ์แบบในลักษณะกำลังยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ล้มลงนอนอยู่บนพื้น ในมือถูกคาดด้วยสิ่งที่มีลักษณะคล้ายดังเชือก

                    เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆในลักษณะอบอุ่นก่อนที่ชายคนเดิมจะพาร่างอันตุ้ยนุ้ยมานั่งปุ๊กลงบนเก้าอี้ตรงหน้า

                    “ที่นี่สนุกนะฉันรับประกันเลย ฉันก็เคยฝึกอยู่ที่นี่เหมือนกัน” ผู้อำนวยการร่างท้วมยังคงพูดต่อไปในขณะที่หยิบเหล้าขี้นรินและส่งมันเข้าปากไปอย่างกระหาย

                    “ฮ้าชื่นใจ จะเอาซักหน่อยมั้ย?

                    ศิวะปฎิเสธก่อนจะเอ่ยคำถาม

                    “ท่านผู้อำนวยการมีเรื่องอะไรครับถึงเรียกผมมาพบ”

                    ผู้อำนวยการผลักแก้วที่มีน้ำสีอำพันมาทางชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ย

                    “ศิวะ ฉันรู้ว่านายมีอดีตอย่างไร อาจารย์หยางก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งที่นี่ ฉันอยากจะให้นายปรับความคิดซะใหม่ ที่นี่ไม่มีศัตรูสำหรับนาย ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ที่มีร่วมกันก็คือ ไอ้พวกคนชั่วทั้หลายที่มันบ่อนทำลายชาติเรา’” เสียงที่ดังออกมาหนังแน่นเป็นกังวาลบ่งบอกให้รู้ถึงความตั้งจริง

                    สายตาของศิวะมีแวววาบขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเลือนหายไป

                    “เมื่อครู่ที่โรงอาหารผมเห็นคนตีกัน”

                    ผู้อำนวยการร่างท้วมขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะจุดหัวเราะขึ้นมา

                    “อ้อนั่นก็เป็นหนึ่งในนโยบายของเราเกี่ยวกับความปรองดอง”

                    “งั้นผมว่าความปรองดองรวมถึงความสามัคคีของท่านคงจะมความหมายผิดเพี้ยนไปจากตัวผมอย่างมาก”

                    ผู้อำนวยการยังคงหัวเราะต่อไปเบาๆ ก่อนจะหยุดแล้วเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่อ่อนโยน

                    “ไม่ผิดหรอก เดี๋ยวอยู่ไปนายก็จะรู้เอง เพียงมุมมองที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยบางทีภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับต่างกันโดยสิ้นเชิง”

                    ศิวะไม่กล่าวตอบโต้ใดๆมีเพียงแต่แววตาเท่านั้น่ฉายคำตอบ เช่นเดียวกับทางผู้อำนวยการร่างท้วมที่เพียงแต่ยิ้มๆไม่กล่าวใดๆอีก กลับหันไปช่วเขาคุยเรื่องปืนและต้นไม้ ครู่หนึ่งศิวะก็ขอตัวออกจากห้อง

                    “เป็นไง?” ชายชราเดินออกมาจากที่เดียวกับที่ผู้อำนวยการเพิ่งก้าวผ่าน ยกแก้วเหล้าที่ศิวะไม่แตะกระดกหายไปในลำคอ

                    “แสบใช่เล่นเลยครับ ท่าทางจะหัวรั้นน่าดู อาจารย์เลี้ยงมายังไงนี่?

                    หยางหัวเราะแหบห้าวก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะและหมุนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับที่ศิวะเพิ่งลุกออกไป

                    “ฉันไม่ได้เลี้ยงมันหรอก ฉันสอนเพียงแต่ศิลปะการป้องกันตัวและการสังหารเท่านั้น ที่เลี้ยงมันมาน่ะคือตัวของมันเอง”

                    “ถ้าอาจารย์หยางสอนมาเองกับมือคงจะเก่งน่าดูสินะครับ”

                    หยางเอนตัวพิงไปยัพนักเก้าอี้ มือซ้ายลูบท้ายทอย ส่วนอีกข้างหมุนแก้วเหล้าในมือเล่น

                    “ถ้าเทียบกับฉันตอนอายุเท่ามันต้องยอมรับว่ามันเก่งกว่าด้วยซ้ำ”

                    ผู้อำนวยการทำตาโตคล้ายไม่อยากจะเชื่อ ชะโงกหน้ามาถามเพื่อความแน่ใจ

                    “จริงเหรออาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะได้มือดีอีกคนมาช่วยเราแล้วซิ”

                    “แต่เพราะไออารมณ์ของมันนี่แหละที่ฉันกลัว มันอยู่กับตัวเองอญุ่กับเลือดอยู่กับการเข่นฆ่าสังหารมาตั้งแต่ยังไม่ทำบัตรด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้มันไม่อาจลบเลือนไปจากใจใครซักคนได้ง่ายๆหรอก แม่แต่กับฉันฉันยังจำคนที่ฉันสังหาทั้งหมดได้ทุกคนและเชื่อว่าชั่วชีวิตนี้ก็คงจะไม่มีวันลืม!

                    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบมีแต่เสียงเครื่องปรับอากาศที่คราเคล้าไปกับเสียงเพลงสากลที่ดังออกมาจากข้างห้องอย่างแผ่วเบา

                   

                    อากาศภายนอกเริ่มเย็นตัวลงหลังจากที่อาทิตย์ลาลับขอบฟ้าเสียงนกดังกังวาลสอดประสานรับกันอื้ออึงไปทั้งป่าช่วยขับให้บรรยากาศรอบศูนย์ดูเปล่าเปลี่ยวมากยิ่งขึ้น

                    ศิวะออกจากตึกผู้อำนวยการตรงไปยังสระว่ายน้ำเพื่อจะทำการฝึกตามตาราง ซึ่งนักเรียนปีแรกจะต้องมาทำการว่ายน้ำที่เย็นเฉียบปานน้ำแข็งทุกๆวันโดยมีรุ่นพี่ปีสูงขึ้นมาคอยคุมการฝึก

                    ศิวะเคยผ่านการลอบสังหารโดยที่บางครั้งเขาตั้งซุ่มอยู่ในน้ำเย็นเป็นวันเพื่ออาศัยจังหวะเดียวในการสังหารมาแล้ว การฝึกนี้จึงไม่ยากสำหรับเขานัก ผิดกับเพื่อนอีก 6 คนที่ทำเก่งกล้าสามารถเหลือเกินในวันแรก แต่พอแช่น้ำได้ไม่ถึงชั่วโมงก็สั่นเป็นเจ้าเข้า

                    เขาไม่เคยได้รับการเรียนจากโรงเรียนที่เด็กปกติธรรมดาเรียนกัน การเรียนของเขาอาศัยการเชิญอาจารย์ที่เก่งทางด้านต่างๆมาสอนภายในบ้านธรรมฤทธิ์ เพื่อนของเขาก็คือเหล่ามือสังหารที่คนในตระกูลเลี้ยงดูมาเพื่อใช้ประโยชน์

                    “เฮ้! เหม่ออะไรอยู่วะศิวะ?” ศาสตราพาร่างอันใหญ่โตและลูกน้องที่ติดสอยห้อยตามมายังที่ๆเขายืนอยู่ รอบคอยังแสดงให้เห็นถึงรอยนิ้วมือที่รุ่นพี่ฝากไว้

                    “เปล่ากำลังมองหาพวกแกอยู่พอดี”

                    “เก่งว่ะไอฉกาจนั่น เก่งสมคำล่ำลือจริงๆ” ศาสตราพูดพร้อมกับเอื้อมมือมากอดคอเขา

                    ศาสตรานั้นความจริงเป็นคนที่มีความจริงใจกับเหล่าเพื่อนฝูงเป็นอย่างมาก เพียงแต่ติดจะขี้โอ่ตัอยู่สักหน่อย ในวันแรกที่เข้ามายังศูนย์ฝึกนี่พร้อมกับเขาประกาศตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มทันทีและรับคำท้าทุกคนหากมีใครไม่เห็นด้วย

                    อีก 5 คนที่เหลือต่างคนต่างก็พกดีกรีความถือดีมาจึงได้มีการปะทะกัน เริ่มจากเจ้าแก้วที่หุ่นและอายุพอๆกับศาสตรา ต่อมาเป็นมูฮัมหมัด สร้อย สิงหา และ ปัญญาเป็นคนสุดท้าย

                    ศาสตราใช้เวลาพอสมควรกว่าจะล้มทุกคนลงได้และทั้งหมดก็ยอมรับให้เขาเป็นหัวหน้าของพวกมัน มีเพียงศิวะเท่านั้นทีไม่ได้แสดงอาการใดๆ แต่กลับกลายเป็นว่าศาสตรามาคบเขาอย่างเพื่อนสนิทแทน

                    “ไอ้ฉันน่ะมันคนใจร้อน ไอพวกนี้มันก็ร้อนเหมือนกันถ้าไม่เอาให้อยู่เดี๋ยวก็จะมีปัญหา” นั่นคือเหตุผลของมัน

                    รุ่นพี่ร่างยักษ์ 3 คนเดินมาถึงหลัจากพวกเราไม่นานในมือแบกถังออกซิเจนมาคนละถัง พร้อมด้วยชุดสำหรับการดำน้ำ รวมถึงตีนกบ

                    “วันนี้เราจะให้พวกแกฝึกดำน้ำกัน เป็นหลักสูตรของหน่วยราชนาวี เพราะฉะนั้นอาจมีการตายเกิดขึ้นได้ทุกนาที ขอให้เข้าใจและระวังตัวตามนั้น”

                    ศูนย์ฝึกแห่งนี้ให้อำนาจรุ่นพี่ในการฝึกฝนเต็มที่ เรียกว่าทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบปีหนึ่งทั้งหมดตกอยู่ในมือของพวกที่รุ่นสูงขึ้นไป

                    หากปีหนึ่งคนใดขัดขืนรุ่นพี่ขณะที่ทำการเรียนการสอนจะเสมือนกับไม่เชื่อฟัวอาจารย์และมีโทษหนัก

                    เด็กใหม่ปีนี้มีอยู่ 7 คนสำหรับการฝึกนี้มีอุปกรณ์อยู่ทั้งหมด 3 ชุดจึงให้อีกคนที่เหลือคู่ไปกับรุ่นพี่ที่ฝึกสอน

                    ศิวะได้จับคู่กับศาสตราโดยเป้าหมายในการฝึกครั้งนี้คือการฝึกการดำน้ำเป็นคู่ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยให้ทำการดำน้ำไปยังก้นสระซึ่งจะมีลูกกรงเหล็กกั้นอยู่ ทำการสะเดาะกุญแจออกแล้วผ่านไปยังอุโมงค์ไปออกยังสระน้ำใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปกว่า 1 กิโลเมตรโดยให้ไปเปลี่ยนถังอ๊อกซเจนที่นั้นรวมทั้งหิ้วถังใหม่ที่จะต้องนำมาให้คู่ต่อไปที่ต้องฝึก วนอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนครบทุกคน

                    “เอาล่ะใครจะไปก่อน?” รุ่นพี่ชื่อกาญถามมาไล่สายตาไปยังเด็กใหม่ทุกคนคล้ายอยากหาผู้ที่อาสา

                    ศิวะลุกขึ้นยืนทันทีทำให้ศาสตราสะดุ้งวาบ

                    “เฮ้ย! แกจะรีบไปไหนวะ ให้คนอื่นก่อนก็ได้”

                    “ไม่เอา รีบๆทำจะได้รีบกลับ” ศิวะก้มลงคว้าถังพร้อมกับชุดสูทและตีนกบใส่อย่างชำนาญ ก่อนจะกระโดดตูมลงไปในสระ

                    “ตกลงตูคิดผิดรึเปล่าวะนี่ที่จับคู่กับมัน” ศาสตราส่ายหน้าและกระโดดตามลงไป

                    “อ้อฉันลืมบอก ฉันให้เวลาในการไปและกลับครึ่งชั่วโมง ใครมาช้ากว่านั้นจะถูกทำโทษ รับทราบโดยทั่วกันด้วย” รุ่นพี่อีกคนที่ยืนถือนาฬิกาอยู่ขอบสระตระโกนออกมา

                    “เริ่ม!

                    ศิวะกระชากคอศาสตราดิ่งลงก้นสระทันทีก่อนทำสัญญาณให้เขาเป็นผู้สะเดาะกุญแจ ผ่านไป 3 นาที เมื่อเห็นท่าว่าเจ้านักลเงใหญ่ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำได้จึงผลักมันออกล้วงเอาเข็มกลัดขึ้นมาก่อนจะงัดกุญแจเพียง 2 – 3 ครั้งสลักก็คลายออก ศาสตรามองอย่างตะลึกก่อนจะรีบว่ายตามศิวะเข้าไปยังอุโมงค์อันมืดมิด

                    ไฟฉายในมือถูกเปิดขึ้นพร้อมกันแล้วก็แทบผงะเมื่อพบโครงกระดูกนอนพิงอยู่ข้างอุโมงค์ ศิวะไม่มีท่าทีใดๆกลับนอกจากผงกศีรษะให้ศาสตราว่ายตามเขาไป

                    ภายในอุโมงค์คดเคี้ยวและมืดแทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า ไฟฉายสามารถบอกได้เพียงจุดที่อยู่ใกล้ๆเท่านั้น ความมืดมิดที่โอบล้อมอยู่ทุกขณะอาจจะสามารถทำให้คนจิตไม่แข็งเสียสติไปได้ในไม่ช้าไม่นาน รวมถึงการมองไม่เห็นทางข้างหน้าก็ดูเหมือนกับเราไม่สามารถจะหาจุดหมายให้กับสิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไป

                    แต่เพียงไม่นานทั้งสองก็ผุดขึ้นมากลางสระน้ำใหญ่ท่รายล้อมด้วยป่าทึบ ศิวะขึ้นฝั่งไปหยิบอุปกรณ์ทั้งหมดที่เตรียมสำหรับว่ายกลับไปยังศูนย์ฝึก ศาสตรานั่งหอบหายใจอยู่ริมน้ำ เขารู้แล้วว่าทำไมความรู้สึกแรกที่เขาพบศิวะถึงอยากเป็นมิตรมากกว่าเป็นศัตรู

                    คนที่เก่งจริงๆเท่านั้นที่จะไม่อวดดีและโอ้อวด

                    มาถึงตอนนี้เขาเริ่มยอบรับแล้วว่าชายตรงหน้านี้เก่งจริง!

                    ศิวะเดินลากอุปกรณ์ในส่วนของศาสตราเข้ามาโยนให้เขา ทันใดนั้นศิวะก็กระชากร่างของศาสตราออกมาจากริมน้ำ เงาใหญ่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนน้ำแตกกระจายตรงไปยังที่ๆศาสตรานั่งอยู่เมื่อครู่

                    “มีใครบอกมั้ยนี่ว่าให้เราเอาหมอนี่กลับไปกับเราด้วย” ศิวะกล่าวขณะที่ดึงมีดปลายแหลมยาวประมาณแขนออกมาพาดขวางไว้เบื้องหน้า

                    ร่างใหญ่ที่คราคร่ำไปด้วยตระใคร่แสยะเขี้ยวขาวยาว ดวงตาแดงก่ำแสดงถึงสัญชาติญาณของสัตว์กินเนื้อ หางแหวกน้ำและตีอย่างแรงจนน้ำแตกกระจาย

                    “ทำไมมีจรเข้มาอยู่แถวนี้วะ!” ศาสตราใบหน้าซีดปากสั่นขณะนั่งแหมะอยู่กับที่

                    “อืมบางทีอาจมีใครแอบมาเลี้ยงไว้ดูเล่นก็ได้” ศิวะถอยช้าๆ เมื่อร่างใหญ่ยาวค่อยย่างกลายเข้ามา

                    “เราอาจจะไปสายนะเนี่ย!

                    “โถ่ไอ้คุณศิวะ ฉันว่าเรามีเรื่องใหญ่กว่านั้นให้คิดนะ วิ่งกันเถอะ” ศาสตรากระตกแขนเสื้อศิวะที่อยู่ข้างหน้า

                    “แล้วเราจัวิ่งไปไหน นี่มันในป่านะ ฉันว่าง่ายสุด จัดการมันซะแล้วกลับไปทางเดิม” ศิวะกล่าวจบก็พุ่งตัวไปยังเจ้าชาระวันที่มันแสยะยิ้มรออยู่

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×