ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศิวาราษฎร์

    ลำดับตอนที่ #1 : บททดสอบที่ 1 : ศิวาราษฎร์

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 52


    /> /> />

    “เมื่อไหร่ฝนถึงจะหยุดตกซะที” ชายชราบ่นขณะก้าวเดินผ่านเศษไม้ที่ไหม้ไฟหลังจากการประกอบอาหาร

                    ร่างในชุดพรางสีออกเขียวขี้ม้าดูกลมกลืนกับสภาพป่าเขตร้อนชื้นรอบบริเวณมีลายตัดสลับสีดำ ใบหน้าถูกทาด้วยสีอำรางเป็นแนวทอดยาวจากขมับขวาพาดผ่านดวงตามาจนถึงโหนกแก้มซ้าย เดินนำกลุ่มที่อยู่ในชุดเดียวกันตัดเข้าไปยังป่าทึบด้านหน้าอย่างเข้มแข็ง แม้ว่าร่างชรานั้นน่าจะถึงวัยที่เกษียณอยู่บ้านแล้ว แต่ท่าทางภายนอกดูแข็งแกร่งไม่ผิดอะไรกับชายหนุ่มอายุ 20

                “เฮ้ย เดินเป็นผู้หญิงไปได้เร็วหน่อยซิ เดี๋ยวเราก็ไปไม่ทันหรอก” เสียงตวาดดังแผ่วเบามายังลูกกลุ่มที่เดินตามหลังทั้งหมดทำให้ทุกคนต้องรีบจรดฝีเท้าตามร่างเบื้องหน้าที่ไวปานผีป่า ก่อนจะหยุดกึกโดยพร้อมเพรียงเมื่อเห็นสัญญาณมือ

                    ภาพตรงหน้าปรากฎเป็นชายหลายคนมีปืนกลพาดอยู่บนหน้าขากำลังนั่งล้อมวงกินอาหาร และพูดคุยกัน ได้ยินเพียงแต่เสียงที่แว่วมากับสายลมในบางครั้ง ทั้งหมดอยู่ในชุดพรางกายคล้ายพวกเขาเพียงแต่ผิดแผกกันที่สีสรรค์เพียงเล็กน้อย

                    ชายผู้น้ำทำสัญญาณมือให้ทั้งหมดโอบล้อมและเพียงไม่นานกระสุนปืนก็ลั่นออกมาจากปากกระบอกปืนของเขาตรงจับเข้าที่หัวของผู้ที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟที่สุดอย่างแม่นยำ ก่อนที่กระสุนที่เหลือจะระดมออกมาจากพวกของเขา เพียงไม่นานกลุ่มข้างหน้าก็หมดความเคลื่อนไหว

                    “เก็บและทำลายหลักฐานให้หมด ภารกิจเราเสร็จแล้ว”

     

                    สถานที่กว้างใหญ่ติดชายเขาทางภาคตะวันออกของประเทศไทยคือเป้าหมายที่ทั้งหมดเดินทางกลับ หลังจากฝังศพไว้ในป่ารวมถึงการนำเอายาเสพย์ติดที่ยึดได้กลับมา

                    “เดี๋ยวแยกย้ายไปพักผ่อนหนึ่งวัน พรุ่งนี้เช้ามืดเราจะทำการฝึกกันต่อ” ชายชรากล่าวจบก็สั่งเลิกตัวเองเคลื่อนเข้าไปยังตึกของผู้อำนวยการ

                    เพื่อนหลายคนกรูเข้ามาล้อมกลุ่มที่เพิ่งเสร็จภารกิจกลับมาแย่งถามอย่างเมามัน

                    “เฮ้ยเป็นไงบ้างวะฉกาจ?

                    “เอ็งจะเอาเรื่องไหนก่อนล่ะ” นำเสียงยียวนตอบขณะเดินไปยังห้องพักพร้อมพรรคพวก

                    “โถ่ลูกพี่เล่าให้ฟังบ้างซิครับ ครานี้ไปกันตั้งเป็นเดือน พวกผมคิดว่าพี่จะไม่ได้กลับมาแล้วซะอีก” ชายร่างใหญ่ผิวเกรียมแดดที่ไม่น่าจะเป็น ลูกน้องใครได้ถามมาอย่างกระตือลือล้น

                    ฉกาจหัวเราะครืนอย่างชอบใจก่อนจะเอื้อมมือไปล็อกคอ

                    “ก็หนักน่าดูเหมือนกันล่ะ ครานี้งานใหญ่จะถล่มสายของขุนบังให้หมดเลยต้องค่อยๆเก็บมันทีละสาย ก็เลยเสียเวลาอยู่พอควร”

                    “ดีพี่ พวกขุนบังนี่น่ากลัว ตอนนี้มันขยายบริเวณส่งยาไปเรียกว่าเกือบทั่วประเทศแล้ว” บุรุษหนุ่มอีกคนกล่าวมาจากด้านหลังสนับสนุนไปถึงการกระทำของพวกเขา

                    “เราจะพึ่งตำรวจอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะมีส่วยเยอะเหลือเกินคนที่ดีก็ใช่ว่าไม่มี แต่ถ้าเทียบแล้วก็ยังต่างกันราวฟ้ากับเหวส่วนใหญ่ก็พวกคนใหญ่คนโตทั้งนั้นแหละ” เปลวผู้เป็นเพื่อนของเขาตอบมาจากใกล้ๆตัว

                    “ถึงต้องมีพวกเรายังไงล่ะ” ฉกาจสรุปเสร็จสรรพก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาหารที่หรู้หราไม่เข้ากับชุดขมุกขมอมของเขา

                   

                    โต๊ะหรูหราประดับประดาไปด้วยไฟสีส้มและดวกไม้ จานชามและอาหารถูกวางเรียงไว้อย่างเรียบร้อยราวกับอยู่ในภัตตาคารชั้นดี ทั้งหมดเลือกได้โต๊ะตัวใหญ่ตัวหนึ่งจึงพากันสั่งบริกรให้ตักข้าวมาให้          

                    “นายไม่อยู่ซะเป็นเดือนตอนนี้มีเด็กใหม่ซ่าๆเต็มเลย” เปลวพูดขณะตักข้าวเข้าปาก และกระดกน้ำป่าวเต็มแก้วที่หายไปในลำคออย่างรวดเร็ว

                    ฉกาจเลิกคิ้วเหมือนคิดอะไรได้หัวเราะออกมาเต็มเสียงทำให้โต๊ะข้างๆหันมามองเล็กน้อย พอรู้ว่าใครต่างก็พากันหลบตาและจัดการอาหารของตนเองต่ออย่างไม่สนใจ

                    “อ้อนั่นซินะ นี่มันถึงฤดูของน้องใหม่แล้วนี่ ปีนี้เข้ามากี่คนล่ะ?

                    7 คนพี่”

                    “แล้วไง?

                    “มาวันแรกก็มีเรื่องกับกลุ่มเอริกเลย”

                    ฉกาจตาโตก่อนหัวเราะอีกครั้งอย่างชอบใจ

                    “เออมันแน่แฮะ ซัดกับกลุ่มไอกันเลยเหรอ ใครวะเป็นหัวหน้า?

                    “อืมน่าจะเป็นไอศาสตราจากหน่วยเหนือน่ะ ไอหมอนี่มีชื่อไม่เบาเมื่อก่อนเคยถูกส่งไปรบในสงครามกลางเมืองของพวกเพื่อนบ้านเราบ่อยๆ” เปลวกล่าวอย่างเรียบๆ

                    “อืมแล้วเป็นไงล่ะ ใครวิน?

                    “ไอเอริกถูกซัดซะปากเจ่อเลย ส่วนไปศาสตราก็คิ้วแตกอีก 4-5 คนที่ตามมันมาก็ตะลุมบอลกับพวกไอกันแต่ละคนสภาพยับเยิน พวกครูฝึกต้องออกมาตะเพิดให้กลับไปอยู่ในตึกของตัวเอง ไม่งั้นคงได้มีตายกันบ้างล่ะ”

                    ทั้งหมดเงียบเสียงลงเมื่อมีผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร เปลวพยักหน้ากับฉกาจให้หันไปมองก็พบกับดวงตาที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว

                    “มันล่ะ ศาสตรา” ลูกน้องตัวล่ำของเขาที่ชื่อแสบกระซิบมา

                    บุรุษที่ผูกกล่าวถึงเดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องอีก 5 คนก่อนหยุดยืนมองหน้าฉกาจซึ่งฉกาจก็ยิ้มให้อย่างใจเย็น

                    “คุณหรือรุ่นพี่ฉกาจ?” เสียงโทนต่ำที่ชัดเจนเปล่งออกมาจากคางที่ใหญ่และหนาของร่างที่ยืนค้ำเขาอยู่

                    ฉกาจหันมามองเต็มตัวร่างที่กำลังพูดกับเขาอยู่นี่หนาอย่างกับนักมวยปล้ำ ร่างกายแข็งแกร่งสังเกตุได้จากลำแขนที่มีกล้ามถักทออยู่เป็นมัด และลำคอที่ต้องฝึกมาอย่างหนักเท่านั้นถึงจะมีกล้ามเนื้อได้แบบนี้

                    “แม่นแล้วน้องเอ๋ยพี่นี่แหละฉกาจ ประกาศศักดิ์” ฉกาจกล่าวด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้ม

                    5 คนที่เดินตามเขามากระจายตัวเรียงกันเป็นหน้ากระดานทำให้กลุ่มผู้นั่งอยู่เกร็งตัวขึ้นมาทันทีผิดกับลูกพี่ของเขาที่ยังนั่งอยู่อย่างสบายใจ

                    “ผมได้ข่าวมาว่าพี่คุมศูนย์ฝึกแห่งนี้อยู่”

                    ฉกาจขมวดคิ้วก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะพร้อมกับตอบคำถามนั้น

                    “จะบ้าเหรอ ฉันจะคุมที่นี่ได้ยังไง ต้องเป็นพวกครูซิที่คุมที่นี่!” ใบหน้านั้นยียวนขณะตอบคำถาม

                    ร่างที่ยืนตระหง่านเกร็งขึ้นมาทันที ก่อนจะกล่าวเสียงรอดไรฟันออกมา

                    “ไม่ต้องเล่นลิ้น ที่ฉันต้องการคือล้มแกและครองที่นี่ซะ!

                    ฉกาจเฉยเหมือนไม่ได้ยินค่อยๆลุกขึ้นยืนเต็มส่วนพร้อมเหล่าลูกน้องประกายตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันที

                    “แกเนี่ยนะจะครองที่นี่ ฉันว่าแกกลับไปที่ๆแกอยู่ดีกว่าวะ แกน่ะยังเป็นแค่เด็กอ่อนเท่านั้น อย่าริบังอาจมาผยองแถวนี้เลย!

                    จบคำขวดน้ำก็ปลิวมากระทบศีรษะของฉกาจทันทีด้วยฝีมือจากคนที่ยืนอยู่เบื้องขวาของศาสตรา ก่อนที่หมัดที่หนักหน่วงของรุ่นน้องจะพุ่งตามมากระทบฉกาจก็คว้าหมับเข้าที่ลำคอพร้อมกับบับอย่างรุ่นแรง ร่างรุ่นน้องที่กร่างตาเหลือกทันที พยายามจะใช้มือและข้อลำที่ใหญ่โตปานหมีควายผลักออกแต่ก็ไม่ได้ผล เป็นเหตุการณืเดียวกับที่ลูกน้องของเขาทั้ง 2 และเพื่อนอีกหนึ่งคนตรงเข้าเล่นงานลูกน้องของชายในอุ้งมือของลูกพี่และเพื่อนของเขา

                    เวลาเพียงไม่นานต่อจากนั้นทั้งหมดก็อยู่ในความสงบ ฉกาจคลายมือออกจากลำคอของศาสตรา ร่างนั้นนั่งลงบนพื้นอย่างไม่มีแรงดวงตาทอปรกายหวาดหวั่นให้กับบุรุษตรงหน้าที่มีเลือดเปรอะอยู่เต็มศีรษะ

                    “แกยังโชคดีนะที่วันนี้ฉันหมดแรง ไม่อย่างงั้นแกอาจเป็นผีไปแล้ว” พูดจบก็ยกเท้าขึ้นมากระทืบลงบนยอดอกก่อนจะเตะไปยังท้องอีกครั้งทำให้รุ่นน้องผู้ผยองตัวงอพร้อมทั้งอาเจียนออกมา

                    ฉกาจหยิบทิชชูบนโต๊ะมาซับเลือดบนหัวเขาอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะนำทุกคนเดินผ่านร่างที่ลงไปดิ้นและร้องโอดโอยอีกหลายร่างไปยังประตูทางเข้า ฉับพลันสายตาของบุรุษผู้คุมศูนย์ฝึกก็ไปปะทะเข้ากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ประตูทางออก

                    แววตาสีน้ำตาลนั้นเยือกเย็นจนทำให้เขาขนลุก เกิดมาเขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน พวกเวียดกงในสงครามเวียดนามที่ว่าน่าหวาดหวั่นยังไม่สามารถทำให้เขาหนาวยะเยือกได้เหมือนกับบุรุษหนุ่มผู้นี้

                    ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสบกับฉกาจเพียงแค่ครู่เดียวก็เมินหลบไปยังหนังสือที่อยู่ตรงหน้าดังเดิมเหมือนดังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                    ฉกาจชะงักเท้าก่อนจะถามไปยังเจ้าแสบลูกน้องคนสนิท

                    “ไอ้แสบ หมอนั่นใครวะ?

                    แสบมองไปยังทิศทางของสายตาลูกพี่ก็ร้องอ๋อเบาๆก่อนจะให้คำตอบ

                    “ก็เด็กใหม่นั้นแหละครับ เอชื่ออะไรหว่าศิวา หรือศิวะนี่ปหละครับซักอย่าง แต่ออกจะเป็นคนนิ่งๆ ไม่รวมกลุ่มกับใคร ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับศาสตราหรอกครับ ลูกพี่ถามทำเหรอ?

                    “เปล่าหรอก ฉันคงคิดมากไปเอง” แล้วทั้งหมดก็เดินออกจากห้องอาหารไป

                   

                    ศิวะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หลังจากเขารับปากกับ ท่านว่าจะรับใช้ประเทศ ไม่นานก็ถูกส่งมาฝึกยังที่นี่ น่าจะเป็นศูนย์ฝึกอะไรซักอย่าง ในครั้งแรกเขาได้พบกับพวกรุ่นเดียวกันอีก 6 คนที่ตอนนี้กำลังนอนครางอยู่ที่พื้น พวกนั้นชวนให้เขายึดครองศูนย์ฝึกบ้าบออะไรกับพวกมันด้วยแต่เขาก็ไม่ตอบรับ พวกนั้นเลยจัดการกันเองสภาพก็อย่างที่เห็น

                    ชายคนที่บีบคอเจ้าศาสตราถ้าดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร แต่หากดมจากกลิ่นแล้วมีกลิ่นอายที่เขาคุ้นเคยตรบอบอวนออกมาจากชายผู้นั้น

                    กลิ่นของนักฆ่า

                เพราะฉะนั้นเขาเลยทายตอนจบได้ตั้งแต่เห็นเจ้าศาสตราเข้ามาแล้วว่าเรื่องจะเป็นยังไง

                    แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เป็นนักฆ่าแหละวะเสียงในใจกังวาล ไม่มีผู้ใดได้ยินยกเว้นเจ้าตัว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×