คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
“ยังไงเขาก็พ่อเรานะลูก จำคำของป้าไว้ให้ดี อย่าได้ถืออคติ ป้าไม่อยากเห็นหนูเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต อดีตที่มันบั่นทอนจิตใจ หากลืมได้ก็ลืม ๆ มันไปเถอะ เพื่อความสุขของเราในวันนี้และวันข้างหน้า แม่เราจะได้ไม่ต้องคอยห่วง”
“จ้ะป้าพิณ ป้าพิณเองก็ไม่ต้องคอยห่วงช่ออีกแล้วนะคะ ช่อกลับไปครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะเป็นเด็กดีของพ่อ จะไม่ก่อความวุ่นวายให้พ่อต้องเดือดร้อนอีก ช่อคิดถึงพ่อ ช่อรักพ่อค่ะ ไม่มีประโยชน์ที่ช่อต้องไปโกรธแค้นชิงชังใครให้ใจมีแต่ความทุกข์และทำให้หลงผิดอีก ถ้าพวกเขาคือความสุขของพ่อ ช่อก็จะทำใจยอมรับและอยู่ร่วมกับพวกเขาให้ได้”
“ดีแล้วลูกที่หนูคิดได้ ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจให้โทร.หาป้านะ ช่ออย่าลืมว่ายังมีป้าพิณคนนี้ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างหนู”
ช่อแก้ว หวนนึกถึงคำสอนของ พิณนภา พี่สาวแท้ ๆ เพียงคนเดียวของมารดาด้วยรอยยิ้ม หากเมื่อห้าปีที่แล้วไม่มีพิณนภาเป็นที่พึ่งก็อาจจะไม่มีเธอในวันนี้
เด็กสาววัยเพียงสิบเจ็ดปีในวันนั้นต้องเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายที่สุดในชีวิต จนต้องหนีเอาชีวิตรอดไปอยู่ไกลถึงต่างแดนทั้งที่ไม่เคยห่างอกบิดาไปไหน หญิงสาวรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างจนมองไม่เห็นหนทางสว่าง เป็นพิณนภาคนนี้ที่ยื่นมือเข้ามาโอบกอดประคองไว้ให้อบอุ่น คอยอบรมบ่มเพาะแต่สิ่งดี ๆ ให้เจริญงอกงามขึ้นในใจ หากไม่ได้ญาติผู้ใหญ่คนนี้คอยเยียวยาก็ไม่รู้นกน้อยปีกหักอย่างเธอจะถลาลงสู่หุบเหวไปตอนไหน ในวันนี้ช่อแก้วกลับมาพร้อมกับการเติบโตขึ้นทั้งร่างกายและวุฒิภาวะทางจิตใจ เชื่อว่าต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเผชิญกับสิ่งเลวร้ายแค่ไหน เธอจะอดทนและก้าวข้ามมันไปให้ได้ด้วยสติ
“ขอบคุณมากค่ะป้าพิณ ช่อจะคิดถึงคำสอนของป้าเสมอ” หญิงสาวรำพึงถึงคนแดนไกลที่เพิ่งจากมา เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก นั่นเป็นสัจธรรมของชีวิต ตั้งแต่วันนี้ต่อไป ถึงแม้จะไม่มีผู้เป็นป้าคอยดูแลให้กำลังใจและสั่งสอนชิดใกล้ แต่เธอจะจดจำถ้อยคำสอนอันทรงค่าเหล่านั้นไว้หล่อเลี้ยงหัวใจตลอดกาล
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดึงความคิดของหญิงสาวให้กลับมาสู่ปัจจุบัน มือบางรีบล้วงเข้ากระเป๋าค้นหาจุดกำเนิดของเสียง เมื่อรู้ว่าเป็นใคร ริมฝีปากฉ่ำบางก็คลี่ยิ้มอย่างดีใจและไม่รีรอที่จะกดรับสาย
“ค่ะพ่อ ใกล้ถึงหรือยังคะ ลูกสาวรอกอดพ่อจะไม่ไหวอยู่แล้ว” เสียงออดอ้อนส่งไปตามสาย อีกไม่นานเธอจะได้พบกับบิดาที่เฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ วันนี้จึงเป็นวันที่ตื่นเต้นและมีความสุขที่สุดในรอบหลายปี ท่านบอกจะมารับเธอด้วยตัวเอง ท่านยังรักและเห็นความสำคัญเสมออย่างที่ป้าพิณบอก พ่อไม่เคยเกลียดเธอ
หญิงสาวคะนึงคิดด้วยใจพองโต จากนี้ไปเธอจะไม่ทำให้พ่อต้องเดือดร้อนและไม่สบายใจอีกแล้ว จะทำให้พ่อภูมิใจในลูกสาวคนนี้ให้ได้
สิ้นเสียงตอบกลับไปสักพัก เสียงคุ้นหูหากเจือไปด้วยความลำบากใจก็ตามมา
“ช่อ พ่อต้องขอโทษลูกจริง ๆ พ่อไปรับลูกไม่ได้ ตอนนี้หนูปรายปวดท้องหนักอยู่โรงพยาบาล ยังไม่รู้เลยว่าอาการจะเป็นยังไง”
“ถ้างั้นช่อกลับเองก็ได้ค่ะ คุณพ่อดูแลทางนั้นเถอะ ไม่ต้องห่วงช่อ” แม้จะตอบกลับบิดาด้วยน้ำเสียงไร้แววแห่งปัญหาหรืออารมณ์น้อยใจใด ๆ เจือปน หากแต่แววตาที่เคยสดใสยิ้มแย้มกลับหม่นลงชัดเจน ความผิดหวังและความน้อยใจที่ไม่อาจปฏิเสธกำลังวิ่งวนผลัดกันเข้ามาบีบคั้นหัวใจดวงน้อยให้รู้สึกวูบโหวงเปลี่ยวเหงา
สิ่งที่บิดาทำเหมือนยิ่งตอกย้ำเตือนใจว่าท่านเห็นคนอื่นสำคัญกว่าลูกสาวแท้ ๆ ชั่วขณะหนึ่งของความคิดบอกเธออย่างนั้น แต่เมื่อเริ่มรู้ตัวก็รีบดึงสติกลับมาพลางถอนหายใจขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้จางหาย ก่อนที่มันจะทำร้ายหัวใจให้บอบช้ำจนไร้ทางเยียวยา เปลี่ยนใบหน้าหมองเศร้าให้กลับมามีรอยยิ้มจาง ๆ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง ไม่จริงหรอก พ่อยังเห็นเธอสำคัญเสมอ แต่ที่เลือกทางโน้นก็คงเป็นเพราะอีกคนเจ็บป่วย ซึ่งตามความถูกต้องเหมาะสมและลำดับความสำคัญแล้วคนเจ็บก็ต้องมาก่อน
“พ่อให้ไอ้ก้านไปรอรับหนูแล้ว ป่านนี้คงใกล้ถึง” นั่นเป็นประโยคสนทนาท้ายสุดของบิดาที่ได้ฟังผ่านโทรศัพท์ก่อนที่เธอจะกล่าวขอบคุณและวางสายไป
รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากสนามบินมาได้กว่าชั่วโมง หากแต่หญิงสาวก็ยังนั่งพินิจมองออกไปตามข้างทาง ดูบรรยากาศบ้านเมืองที่เคยคุ้นอย่างไม่เหนื่อยหน่าย ถึงแม้ตอนนี้หลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ตึกรามบ้านช่องดูหนาตาแออัดขึ้น ต้นไม้เขียวขจีที่เคยเห็นบ้างก็เริ่มบางตาจนแทบไม่มีเหลือ ในขณะเดียวกันก็ยังมีบางอย่างที่คงไว้ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือการจราจรที่ติดขัดอยู่เป็นนิจ ไม่ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมานานแค่ไหน แต่ปัญหานี้ก็ยังมีให้เห็นไม่ยิ่งหย่อนผ่อนลง รังแต่จะเพิ่มขึ้นเสียมากกว่า หากกระนั้นไม่ว่าสิ่งที่เห็นจะดีขึ้นหรือเลวลงแค่ไหนก็ตาม มันกลับไม่มีผลบั่นทอนความรู้สึกอิ่มเอมและอบอุ่นหัวใจของเธอเลยสักนิด แผ่นดินนี้ยังเป็นที่ที่ให้ความรู้สึกวิเศษและอบอุ่นที่สุดสำหรับเธอเสมอ
“ก้าน”
หลังจากที่นั่งเงียบมาตลอดทาง เสียงเรียกของหญิงสาวก็ทำให้นายก้านคนขับรถของบ้านอสิตานันท์หันมาให้ความสนใจเธออีกครั้ง
“ครับคุณช่อ”
“พาฉันแวะไปที่วัด...ก่อนนะ แล้วค่อยกลับบ้าน”
“ได้ครับ” นายก้านรู้ดีว่าวัดที่หญิงสาวหมายถึงคือที่ไหน
วัดแห่งนี้นับเป็นสถานที่เก็บบันทึกความทรงจำอันเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอมากถึงสองหน หนแรกคือการจากไปของผู้หญิงที่รักมากที่สุด อีกหนคือการจากไปของคนที่ทำให้รู้สึกผิดจนอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขทุกครั้งที่นึกถึง การสูญเสียบุคคลทั้งสองเป็นเหตุการณ์ที่พลิกชีวิตเธอให้พานพบกับความโหดร้ายที่สุดของโลกใบนี้
ร่างบางนั่งลงตรงหน้าเจดีย์บรรจุอัฐิของมารดา สายตาจับจ้องไปยังตัวอักษรที่สลักชื่อผู้เป็นเจ้าของ พิมพกานต์ อสิตานันท์ มือที่สั่นระริกพนมไหว้สัญลักษณ์อันเป็นตัวแทนของผู้ล่วงลับอย่างนอบน้อม
“แม่พิมพ์จ๋า ช่อแก้วของแม่กลับมาแล้วนะ ช่อมากราบแม่และสัญญาว่าต่อจากนี้ไปช่อจะเข้มแข็งอย่างที่แม่อยากให้ช่อเป็น ช่อจะยืนอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้ จะเป็นตัวแทนของแม่ จะทำให้พ่อเห็นว่าเราสองคนก็มีตัวตน มีหัวใจและรักพ่อไม่น้อยกว่าใคร ช่อมั่นใจว่าสักวันพ่อจะกลับมารักเราเหมือนเดิม แม่คอยเป็นกำลังใจให้ช่อด้วยนะคะ”
นัยน์ตาสวยคมวูบไหวเมื่อจับจ้องไปยังภาพใบหน้าสวยแย้มยิ้มของมารดา เธอยื่นมือไปลูบคลำภาพในกรอบสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั้นอย่างโหยหา หากเมื่อหลายปีก่อนมารดาเข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดต่อสู้กับความท้อแท้ผิดหวัง หญิงสาวคงไม่ต้องทนอยู่กับความโหดร้ายบนโลกใบนี้เพียงลำพัง แม่คงคอยโอบกอดปลอบโยนให้คลายเหงาและเดียวดายทุกครั้งที่ต้องการ
ความอาลัยในแววตามากล้นจนมิอาจปกปิด แต่ก็ไม่อาจนำพาคนลาลับให้คืนกลับมา หญิงสาวจำต้องตัดใจลาลุกขึ้นจากหน้าเจดีย์ของมารดา และเดินมาหยุดอยู่อีกฝั่งไม่ไกลกันนัก มองไปยังรูปถ่ายผู้เป็นเจ้าของเจดีย์นั้น ชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาคมคายราวสวรรค์สรรค์สร้าง มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวที่ยากจะมีใครเหมือน นั่นคือดวงตาสีสนิมเปล่งประกายคมกล้าอยู่ภายใต้คิ้วเข้มดกดำ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ไม่แปลกใจที่ครั้งหนึ่งชายผู้มีรูปโฉมงดงามคนนี้จะเคยกระชากหัวใจสาว ๆ ไปครอบครองได้กว่าครึ่งค่อนประเทศ
ภูวิชญ์ อัคราธร เขาคืออดีตดาราดาวรุ่งหนุ่มอนาคตไกลหากชีวิตไม่มาจบลงเสียก่อนจากอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดฝันด้วยวัยเพียงแค่ยี่สิบห้าปี การสูญเสียบุคคลสำคัญที่กำลังโลดแล่นเด่นดังอยู่ในวงการมายาอย่างฉับพลันครั้งนี้คงหนีไม่พ้นเป็นข่าวที่ดังครึกโครมไปทั่วทั้งประเทศ ทุกคนต่างถามหาสาเหตุที่มาที่ไปและเฝ้าขุดคุ้ยหาความจริง บ้างก็คาดเดากันไปต่าง ๆ นานาโดยไม่รู้ข้อมูลความจริง หากแต่ทุกครั้งที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ก็มักมีชื่อเธอติดมาด้วยเสมอ
ช่อแก้ว อสิตานันท์ หรือที่ผู้คนต่างรู้จักดีในฉายา ‘อสรพิษนอกจอ’ ลูกสาวคนเดียวของเจ้าของบริษัทค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ผู้ผลิตภาพยนตร์ไทยและนำเข้าภาพยนตร์โด่งดังจากทั่วโลก เธอคนนี้ที่สังคมตราหน้าด่าทอว่าเป็นต้นเหตุให้ดาราหนุ่มในสังกัดของค่ายบิดาต้องถึงแก่ความตาย
เด็กสาววัยสิบเจ็ด นิสัยก้าวร้าว ขี้วีน เอาแต่ใจ ชอบตามไปเกะกะระรานและวางตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของดาราหนุ่มอยู่แทบทุกที่ ทั้งที่ในยามนั้นฝ่ายชายก็ประกาศตัวชัดเจนว่ากำลังคบหาดูใจอยู่กับดาราดาวรุ่งสาวที่เคยเล่นหนังโด่งดังมาด้วยกัน หากกระนั้น เธอก็ใช่ว่าจะเลิกตามราวี จนเหล่าแฟนคลับที่ตามลุ้นตามเชียร์สองดาราหนุ่มสาวเกิดความไม่พอใจ อสรพิษนอกจออย่างเธอจึงมีศัตรูกระจายตัวอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง
คำพูดของผู้คนที่กล่าวถึงช่อแก้วในตอนนั้นแม้จะมีใส่สีตีไข่ลงไปมากบ้างน้อยบ้างตามแต่จะสรรหา แต่ก็นับว่ามีเค้าความจริงอยู่ไม่น้อย แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถเอาผิดได้ในทางกฎหมาย แต่เธอก็รู้ตัวเองดีว่ามีส่วนทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น เป็นสิ่งที่สร้างรอยตราบาปให้ฝังแน่นอยู่ในใจจนไม่อาจลืมลง ภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญในวันนั้นยังคงตามหลอกหลอนให้หวั่นผวาอยู่ทุกค่ำคืน
“พี่วิชญ์ ห้าปีแล้วนะคะที่เราไม่ได้เจอกัน ช่อมาเยี่ยมค่ะ ขอโทษพี่อีกครั้งที่ทำให้อนาคตของพี่ต้องจบลงแบบนี้ ช่อเสียใจ หากวันนั้นย้อนกลับไปได้ ช่อจะไม่ทำ จะไม่จุ้นจ้าน จะไม่บอกพี่ พี่ต้องจากไปก็เพราะช่อ ช่อรู้แล้วว่าตัวเองนิสัยแย่แค่ไหน เพราะความอิจฉาริษยา ความเคียดแค้นชิงชังแท้ ๆ ที่ทำให้พี่ต้องมาติดร่างแหไปด้วย ต่อไปนี้ช่อจะไม่เอาความเลวร้ายเหล่านั้นเข้ามาสุมในใจอีกแล้ว พี่ไม่ต้องห่วง ช่อสัญญาว่าจะไม่รังแกผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว หลับให้สบายนะคะ”
หญิงสาวพร่ำบอกต่อสิ่งที่เป็นตัวแทนของชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า หากในยามนี้เขายังอยู่ คงดีใจที่เธอจะไม่วุ่นวายกับเขาและคนรักอีก
ช่อแก้วยังจำได้แม้ในวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ เขายังห่วงใยผู้หญิงคนนั้นไม่จืดจาง แม้ความจริงที่เห็นกับตาในวันนั้นจะเลวร้ายต่อจิตใจแค่ไหน แต่เขาก็ยังเลือก ปวิตรา วรรณกาญจน์
แม้ภาพใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นจะผ่านเข้ามาในความคิด แต่ไม่มีแล้วซึ่งความเกลียดชังเหมือนเมื่อก่อน พอแล้วกับความเคียดแค้น ชีวิตที่เหลือจะขอก้าวเดินบนเส้นทางที่สวยงามด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยคำว่า อภัย สิ่งนี้ที่พิณนภาผู้เป็นป้าเฝ้าย้ำเตือนอยู่เสมอ คำว่า อภัย เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ เธอเข้าใจความหมายของคำนี้ได้ลึกซึ้งที่สุดก็เมื่อถึงคราวที่ตัวเองต้องการและเฝ้ารอที่จะได้รับมันจากคนบางคน บางคนที่นึกถึงขึ้นมาทีไรก็ทำให้ใจผวาหวาดหวั่นทุกครั้ง บางคนที่เธอยังจำภาพดวงตาคู่นั้นได้ไม่เคยเลือน
ดวงตาพิมพ์เดียวกันกับภูวิชญ์ก็จริง แต่มันกลับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความเคียดแค้นชิงชัง มันน่ากลัวจนทำให้เธอต้องจมอยู่กับฝันร้ายแทบทุกคืน
จนป่านนี้แล้วดวงตาคู่นั้นจะยังลุกโชติช่วงราวเปลวเพลิงแห่งอเวจีอยู่หรือเปล่า ในยามนี้มันมอดดับลงแล้วหรือยัง
เขาจะยอมให้อภัยเธอได้บ้างสักนิดไหม
ความคิดเห็น