NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงเงาลวง (ฉบับพิมพ์เล่ม)

    ลำดับตอนที่ #9 : ๔ สาวน้อยเริงราตรี 1/2

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 67


     

    สาวน้อยเริงราตรี

     

    “ไอ้ช่อ ไอ้นก” ทันทีที่เห็นสองเพื่อนสาวเดินเข้ามา ม่านไหมก็รีบลุกขึ้นสวมกอดทั้งสองอย่างดีใจ กับกรกนกยังพอได้เจอกันบ้างแต่ช่อแก้วนี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปี ทั้งสามดูจะตื่นเต้นและยินดีอย่างมากที่ได้กลับมารวมตัวกันครบทีมอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะต่างคนก็มีเรื่องให้กลุ้มใจ มันคงจะน่ายินดีกว่านี้มาก

    “เปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันเหมือนเดิมนะไอ้ช่อ”

    “ใครเขาจะหมวยหน้าจืดเหมือนแกล่ะ ส่วนไอ้นกก็เป็นคุณป้าทั้งปี ฮ่า ๆ” ช่อแก้วทักม่านไหมกลับก่อนส่ายศีรษะให้พลางหัวเราะขบขัน รู้ดีว่าแท้จริงแล้วทั้งสองสาวมีสไตล์การแต่งตัวไม่ต่างจากตัวเธอนัก สำหรับเธอดีหน่อยที่บิดาไม่ค่อยวุ่นวายกับเรื่องการแต่งตัว แต่ถึงจะห้ามก็แหกอยู่ดี ไม่เหมือนกรกนกกับม่านไหมที่จำต้องอยู่ในกรอบของมารดา จะมีแอบแหกกันบ้างก็เวลาที่หนีเที่ยวด้วยกันแค่นั้น

    “เพิ่งออกจากบ้านมา กลัวม้าตกใจ เฮ้อ! พูดถึงม้าขึ้นมาแล้วก็กลุ้ม” 

    ม่านไหมยกมือกุมขมับเมื่อพูดถึงมารดา บ้านที่กล่าวถึงก็ใช่บ้านของตัวเองเสียเมื่อไร มารดาเพิ่งพาเธอมาอยู่ที่บ้านเพื่อนเมื่อวาน บอกเธอแค่ว่าอยากจะพามาเยี่ยมเยือนเพื่อน แต่ไม่รู้เยี่ยมเยือนกันท่าไหน จู่ ๆ ก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับคู่หมั้นคู่หมายที่เธอเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ามีก็วินาทีนั้น และที่ช็อกยิ่งกว่าก็ตอนที่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร

    “ไหน…ใครมันทำเพื่อนฉันขวัญเสียได้ขนาดนี้วะ ไอ้คนนั้นมันเป็นใครบอกมาซิ” กรกนกวางมาดเหมือนนักเลง หากอยู่ในภาวะปกติ ทุกคนคงจะขำออก แต่ไม่ใช่ยามที่มีปัญหาให้หนักใจเช่นนี้

    “ถ้าพวกแกรู้ต้องช็อกเลยละ ฉันอยากจะบ้าตายมันตรงนี้ ฮือ ๆ”

    “ใครวะ ว่าที่เพื่อนเขยฉัน ไอ้นี่มันแน่จริงที่ทำเพื่อนฉันอาการหนักได้ขนาดนี้” ช่อแก้วมองหน้าเหมือนอยากตายจริง ๆ ของเพื่อนอย่างสงสัย

    “ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย ถ้าเป็นแกคงกัดลิ้นตัวเองตายไปนานแล้ว”

    “บอกมาสักทีเถอะว่ามันเป็นใคร พวกฉันจะอกแตกตายแล้ว แกยังจะอ้ำอึ้งอยู่นั่นแหละ” กรกนกเริ่มทนไม่ไหว ผู้ชายคนนั้นต้องมีอะไรที่สำคัญกว่าที่จะเป็นคู่หมั้นคู่หมายธรรมดา ไม่อย่างนั้นม่านไหมคงไม่ทำหน้าเซ็งโลกถึงขนาดนี้

    “พวกแกทำใจร่ม ๆ ก่อนนะ ตั้งสติดี ๆ รู้แล้วห้ามส่งเสียงดังเด็ดขาด” คนถูกคาดคั้นทำเสียงราวกระซิบ

    เออ!” ช่อแก้วและกรกนกเปล่งเสียงดังขึ้นพร้อมกันอย่างคนอยากรู้เต็มทน

    “คุณชนวีร์” ม่านไหมตอบเสียงเบาพร้อมทำหน้าขยะแขยงเหมือนไม่อยากเอ่ยชื่อเขาเท่าใดนัก

    ฮ้า! ชนวีร์ เป็นไปได้ยังไงไหม”

    “ชู่ว์...พวกแกจะตะโกนกันทำไมวะ”

    “ก็มันคาดไม่ถึงนี่” กรกนกตอบเสียงเบาลง ใบหน้าเธอซีดเผือดไม่ต่างจากเพื่อนสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน นั่นยิ่งทำให้ม่านไหมหน้าเสียไปกันใหญ่

    “ฮือ ๆ ฉันต้องทำยังไงไอ้ช่อ ไอ้นก ฉันไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น มันเท่ากับตกนรกดี ๆ นี่เอง ยี้! คิดแล้วขยะแขยงที่สุด”

    “บอกม้าแกสิ ว่าแกไม่อยากแต่ง ม้าแกตามใจแกจะตาย” กรกนกปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อให้กำลังใจเพื่อน

    “ก็เพราะท่านตามใจฉันไง ฉันไม่กล้าปฏิเสธหรอก บุญคุณท่านท่วมหัว” ม่านไหมพูดออกไปตามความจริง เธอจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร หากไม่มีดารณีชุบเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ป่านนี้เด็กกำพร้าอย่างเธอคงตกระกำลำบากอยู่ไหนสักแห่ง คงไม่มีโอกาสได้มีชีวิตที่สุขสบายเช่นทุกวันนี้

    บุญคุณที่ดารณีมีให้นั้นอีกกี่ภพกี่ชาติเธอถึงจะชดใช้ได้หมด ความรักความเมตตาที่มารดาบุญธรรมมีให้มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะกล้าปฏิเสธ

    “ชีวิตแกทั้งชีวิตเลยนะไหม แกจะทนอยู่กับเขาได้ทั้งชีวิตเหรอ แกว่าไหมช่อ”

    กรกนกหันมาถามคนที่นั่งเงียบไม่แม้แต่จะไหวติง คนถูกถามถึงกับสะดุ้งสุดตัว

    “ฉะ ฉันเห็นด้วยกับไอ้นก” ช่อแก้วตอบอึก ๆ อัก ๆ

    “ช่อ แกเป็นไร มือแกเย็นเฉียบเลย” ม่านไหมถามด้วยความเป็นห่วง ขณะที่วางมือลงสัมผัสมือของช่อแก้วแล้วรับรู้ถึงอุณหภูมิที่ต่ำมากจนน่าตกใจ อาการแบบนี้เหมือนตอนที่เธอเห็นหน้าคู่หมั้นหนุ่มครั้งแรกไม่มีผิด ตอนนั้นจำได้ว่าขาไร้เรี่ยวแรงจนแทบทรุดลงกับพื้นทีเดียว

    “ปละ...เปล่า”

    “เรื่องวันนั้นใช่ไหม แกยังเก็บมาคิดอีกหรือช่อ มันผ่านมานานแล้วนะ” 

    กรกนกมองในดวงตาหวาดหวั่นของเพื่อนแล้วก็เริ่มใจคอไม่ดี

    “ฉันไม่เชื่อหรอกไหม นก ว่าพวกแกลืมมันได้ ฉันขอโทษนะที่ดึงพวกแกมาแปดเปื้อนไปกับฉัน ยิ่งแก ไอ้ไหม หากเขาจำแกได้ล่ะ...!” 

    ช่อแก้วมีแวววิตกจนเห็นได้ชัด นึกห่วงเพื่อนก็ห่วง อีกทั้งจิตใจวันนี้ไม่รู้เป็นอะไรมันรู้สึกวูบโหวงสั่น ๆ ตั้งแต่เช้าเหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น

    “แกไม่ต้องหากหรอก เขาจำฉันได้ แม่นเลยด้วย”

    “แล้วเขาไม่โกรธเหรอ เขาไม่ทำร้ายแกนะ” ยิ่งได้ฟังเพื่อนพูดคนถามก็ยิ่งกังวลหนัก เรื่องทั้งหมดเพราะเธอแท้ ๆ เป็นสาเหตุ ไม่เช่นนั้นม่านไหมคงไม่ต้องมาเดือดร้อนไปด้วย

    “ฉันไม่รู้ เพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้เองนะ รู้แค่ว่าเขาก็คงไม่อยากแต่ง ก็เขาไม่ได้รักฉันนี่ พวกแกก็รู้ว่าเขารักใคร”

    “ถ้าอย่างนั้นแกก็ร่วมมือกับเขาสิ ให้เขาเป็นฝ่ายดื้อ แกอยู่เฉย ๆ” กรกนกให้ความเห็นอย่างชาญฉลาดที่ไม่ต้องให้เพื่อนลงแรงมีแต่ได้กับได้

    “ถ้าเขาทำได้คงทำไปนานแล้ว ไม่มีกำหนดการออกมาหรอก อีกเดือนเดียวเท่านั้น ฉันจะตกนรกแล้วไอ้ช่อ ไอ้นก”

    “พวกฉันเห็นใจแก”

    กรกนกและช่อแก้วพูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง แววตาทั้งสองส่งให้ม่านไหมด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ชนวีร์นิสัยใจคอเป็นอย่างไร หากฝ่ายนั้นเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นและยังโกรธเคืองเรื่องราวในอดีตที่ทั้งสามก่อไว้ ม่านไหมมิต้องตกนรกจริง ๆ หรอกหรือ

    “ไม่เป็นไร พวกแกไม่ต้องห่วง แต่งได้ฉันก็หย่าได้ ว่าแต่แกเถอะไอ้ช่อ มาวันแรกแกโดนยำเลยหรือวะ” ไม่อยากให้เพื่อนต้องมากังวลเรื่องของเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

    “พ่อไม่เคยต้องการฉันเลย ช่างเถอะ ฉันยังโอเค”

    “แกจะเอาไงต่อ”

    “พิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าฉันไม่ใช่แค่เด็กไม่เอาไหน ไม่ใช่แค่ตัวก่อเรื่อง สักวันพ่อต้องกลับมารักฉันเหมือนเดิม ฉันไม่ยอมแพ้หรอก”

    “ทำไงวะ”

    “ทำงานสิ งานเท่านั้นที่จะพิสูจน์ตัวฉันได้ คุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน พวกแกไม่เคยได้ยินเหรอ”

    “แกจะทำอะไร”

    “กลับไปทำงานที่บริษัทกับพ่อ พ่ออยากให้ฉันสืบทอดกิจการทำหนังต่อจากท่าน”

    “แกไม่ชอบไม่ใช่เหรอ”

    “ไม่ชอบ แต่เพื่อพ่อฉันทำได้ ทำได้อยู่แล้ว ช่อแก้วซะอย่าง”

    “แล้วร้านเสื้อแกล่ะ ความฝันแกเลยนะ”

    “ถ้าฉันช่วยงานพ่อได้สักระยะหนึ่ง ประจบพ่อสักหน่อยแล้วค่อยขอตังค์เปิดร้าน เปิดเล็ก ๆ ก็ได้ พ่อคงไม่ว่าหรอก ฉันจะไม่ให้กระทบงานที่บริษัท”

    “แล้วแม่เลี้ยงแกกับลูกสาวเขาล่ะ แกคงไม่...”

    “ไม่หรอก พวกแกสบายใจได้ ฉันเบื่อกับความแค้น เบื่อที่ต้องหาเรื่องคนอื่น มันไม่เคยทำให้ฉันมีความสุขเลย ถ้าพ่อรักที่จะอยู่กับพวกเขา ฉันจะไปทำอะไรใครได้ ต่างคนต่างอยู่ ถ้าไม่มาหาเรื่องฉันก็คงอยู่กันได้”

    “แล้วที่มีเรื่องวันนี้...”

    “ฉันพยายามแล้ว แต่พวกเขาทำฉันก่อน” ช่อแก้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังทั้งหมด

    “ขนาดนั้นเลยหรือวะ ยัยเด็กอ่อนนั่นก็เอาด้วยกับแม่เหรอ” ม่านไหมกล่าวถึงปวิตราด้วยความชินปาก ทั้งที่อีกคนอายุมากกว่าพวกเธอเกือบห้าปี แต่ด้วยความที่เมื่อก่อนปวิตราค่อนข้างอ่อนแอ ไม่สู้คน จึงถูกตั้งฉายาเอาแบบนั้น หากไม่ใช่เพราะปวิตราเกิดเป็นลูกของปัทมาคงไม่ต้องถูกรังแกให้เจ็บตัว

    “ฉันเองก็งง กลับมาครั้งนี้เหมือนลูกจะเอาเรื่องกว่าแม่อีกนะ ไม่ใช่เด็กอ่อนเหมือนเมื่อก่อนแล้วละ”

    “จริงเหรอไอ้ช่อ! หรือยัยนั่นจะเกิดแค้นแกขึ้นมาวะ ถ้างั้นแกก็งานเข้าแล้วสิ” กรกนกมีสีหน้าตกใจ

    “ฉันทำกับเขาไว้เยอะ ไม่แปลกหรอกที่เขาคิดจะเอาคืน ฉันคงยอมเท่าที่ยอมได้ ถือเสียว่าไถ่บาป หวังว่าพี่วิชญ์คงจะเข้าใจ ฉันสัญญาว่าจะไม่รังแก แต่ก็อย่าคิดมารังแกฉันก่อนก็แล้วกัน ถ้าเยอะมาก ฉันก็จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”

    “เฮ้อ! พอ ๆ ๆ ไม่พูดแล้วเรื่องชวนปวดหัว หาที่ฉลองให้ลืมปัญหาเน่า ๆ 

    พวกนี้ดีกว่าว่ะ วันนี้ไปไหนกันดี” ม่านไหมกล่าวขึ้นทำลายความเหม่อลอยในแววตาของเพื่อน

    ช่อแก้วรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวแล้วหันไปส่งยิ้มให้ม่านไหมที่พูดได้ถูกใจ

    “ถ้างั้นช็อปก่อน เดี๋ยวค่อยคิด เปลี่ยนโฉมยัยเฉิ่มหมวย กับยัยคุณป้าแสนเชยให้มันเจริญตาเสียก่อน ดีไหมจ๊ะ”

    “ได้เลยเพื่อน” สองเสียงประสานกันตอบรับ

    เมื่อราตรีกาลเริ่มมาเยือน เหล่าภมรหนุ่มและดอกไม้งามที่หลงใหลในแสงสียามราตรีก็เริ่มทยอยเข้าสู่สถานที่แสนอึกทึก จนในที่สุดผับไฮโซชื่อดังก็แลดูคับแคบและแออัดขึ้นถนัดตา จุดประสงค์ของการมาที่นี่ของแต่ละคนคงไม่ต่างกันนัก ไม่มาเพื่อเลี้ยงฉลองหาความสนุกสนานใส่ตัว ก็มาเพื่อหาที่ผ่อนคลายและปลดปล่อยความทุกข์เศร้าออกไปจากหัวใจ เช่นเดียวกันสามสาวที่ปัญหารุมเร้าหนักอยู่ในขณะนี้ก็เลือกใช้ที่นี่เป็นที่ปลดปล่อยสิ่งเลวร้ายออกไปจากความรู้สึก

    ร่างที่แลดูบางระหงหากพิศมองจะรู้ว่าแท้จริงแล้วอวบอิ่มน่าสัมผัสแค่ไหน ความเย้ายวนนั้นถูกปกปิดไว้ไม่มิดด้วยเดรสเกาะอกสีแดงเพลิงตัวกระจิด มันช่วยขับผิวเนียนให้ยิ่งขาวนวลผุดผ่องชวนสัมผัส กระโปรงที่ยาวไม่ถึงสองคืบทำให้เรียวขาขาวโผล่พ้นออกมาล่อตาเหล่าเสือร้าย นักล่าแห่งราตรีกาลที่กระหายใคร่สัมผัส ร่างสุดเสน่หานั้นกำลังร่อนกายส่ายสะโพกร้อนเร่าอยู่กลางฟลอร์อย่างไม่สนใจสิ่งใด ราวกับกลางผับที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนแห่งนี้มีแค่เธอเพียงคนเดียว เธอหวังเพียงจะสลัดความทุกข์ระทมที่เข้ามาอิงแอบอยู่ในใจให้เลือนหายไปกับเสียงเพลงและน้ำเมาที่กำลังออกฤทธิ์วูบวาบวิ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×