NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงเงาลวง (ฉบับพิมพ์เล่ม)

    ลำดับตอนที่ #2 : ๑ คืนรัง 1/2

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 67


    คืืนรัง

     

    เพราะมัวแต่ยืนเหม่อลอยคิดถึงเรื่องราวในอดีต ช่อแก้วจึงไม่รับรู้แม้กระทั่งว่ามีร่างแกร่งฉกรรจ์ของบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนซ่อนกายอันบึกบึนอยู่ข้างต้นโพธิ์ใหญ่ด้านหลังไม่ไกล เขาติดตามเธอมาตั้งแต่ออกจากสนามบินและคอยทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้เป็นนายไม่ขาดตกบกพร่อง ยังคงจับจ้องและจดจ่ออยู่กับเป้าหมายไม่ให้คลาดสายตา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทร.รายงานความคืบหน้าต่อเจ้านาย

    “เธอมาที่วัดครับนาย มาหานายวิชญ์ด้วยครับ” เสียงลูกน้องหนุ่มรายงานผู้เป็นนายมาตามสาย

    “ตามต่อไป เย็น ๆ ฉันคงไปถึง” ปลายสายสั่งกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

    ทันทีที่วางสายจากลูกน้อง ใบหน้าคมคร้ามที่รายล้อมด้วยหนวดเครารกหนาก็ขบฟันเข้าหากันแน่นจนกรามขึ้นสันนูน

    “ฮึ เธอยังกล้าเสนอหน้าไปหานายวิชญ์อีกเรอะ! ยัยเด็กระยำเอ๊ย!”

    ลำคอแกร่งเค้นเสียงออกมาลอดไรฟัน กอปรกับดวงตาสีเปลวเพลิงที่มีแต่ความเคียดแค้นดุดันบรรจุอยู่ภายในยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูน่ากลัวไม่ต่างจากอสูรร้าย ความร้อนระอุแผ่กระจายไปทั่วทุกมุมห้อง แก้วน้ำสีอำพันถูกนิ้วแกร่งกำบดบี้สุดแรง หากมันไม่แข็งพอคงแหลกละเอียดไม่เหลือดี เมื่อไม่ได้ดั่งใจ มันจึงถูกเขวี้ยงออกไปด้วยแรงมหาศาล เสียงแก้วกระทบกับพื้นดังสนั่น แตกกระจายไปทั่วสารทิศ 

    คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่รีบหลบแทบไม่ทัน หวุดหวิดเพียงเสี้ยวเท่านั้น หากไม่ว่องไวมากพอก็คงโดนเข้าเต็ม ๆ ให้ได้เจ็บตัว

    “โอ๊ย! นาย ลมบ้าอะไรเข้าสิงอีกครับ” พินัยทำทีเป็นเอ่ยเย้านายทั้งที่ก็รู้ดีว่าอารมณ์เขาตอนนี้ไม่ควรเล่นด้วยแม้แต่น้อย แต่เพราะเป็นคนสนิทรู้ใจมานานทำให้เขาไม่ได้หวั่นเกรงต่อท่าทีอีกคนนัก ถ้าหากเป็นคนงานคนอื่น ๆ ที่บังเอิญเข้ามาเห็นแบบนี้คงเผ่นกระเจิงหนีแทบไม่ทัน 

    ดวงตาที่ดุดันจริงจังคู่นั้นไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าสาเหตุมาจากสิ่งใด มีแค่เรื่องเดียวที่ทำให้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟได้ถึงขนาดนี้ แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าห้าปี แต่ความเคียดแค้นที่เคยมีกลับไม่มีท่าทีจะลดลง เขายังคงเฝ้ารอที่จะทำร้ายเธออยู่ทุกลมหายใจ คิดแล้วก็นึกหวั่นแทน ไม่รู้จะหาสิ่งใดมาดลใจให้เขายอมอภัยให้หญิงสาวเสียที

    “ไอ้นพ มาได้เวลาพอดี ฉันจะขึ้นกรุงเทพฯ ตอนนี้ ฝากดูแลงานทางนี้สักอาทิตย์ แล้วจะรีบกลับ”

    “เธอมาถึงแล้วหรือนาย”

    “เออสิวะ แล้วงานที่ฟาร์มที่ให้ไปจัดการเป็นไงบ้าง”

    “เรียบร้อยดีครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดี แกไม่ต้องบอกพ่อนะว่าฉันจะไปทำอะไร”

    “แล้วถ้านายภูมิถามล่ะครับ”

    “โธ่เว้ย! เรื่องแค่นี้แกคิดเองไม่ได้หรือไงวะ”

    “คิดไม่ได้ครับ”

    “ไอ้เวร! อย่ามากวนประสาทฉันตอนนี้ได้ไหม แกอยากตายนักหรือไง”

    “ไม่ละครับ แต่ก็น่าสงสารเธออยู่นะครับ นี่นายคิดจะเอาจริงเหรอ ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงนะครับ ชื่อเสียงก็มีไม่น้อย หากทำแบบนั้นเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ผู้หญิงที่ไหนจะรับได้ ทั้งคนในครอบครัวเธออีก”

    “นั่นแหละที่ฉันต้องการ อยากสะเออะก่อเรื่องเองนี่หว่า ทำคนตาย โทษฐานมันก็สมควรตายไปตาม ๆ กันไม่ใช่หรือไง แค่นั้นมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

    “แต่ที่นายคิดจะทำมันไม่น้อยเลยนะนาย...”

    “ไอ้นพ! หยุดพล่ามได้แล้ว นี่แกจะอยู่ฝ่ายไหนฮะ ไม่ทันไรแกก็เอนเอียงไปทางยัยเด็กปีศาจนั่นแล้วเหรอ ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยมันแน่ มันเป็นญาติแกหรือไงถึงได้ออกโรงปกป้องมันนัก ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็รีบไปไกล ๆ เลย ไป๊!”

     

    ตั้งแต่ดวงตาราวเพลิงอเวจีคู่นั้นสะท้อนเข้ามาในหัว จิตใจที่เคยผ่องแผ้วก็เริ่มมีแววขุ่นมัวอย่างไม่อาจห้าม หรือเธอจะคิดมากไปเอง บางทีเขาอาจเลิกคิดอาฆาตพยาบาทไปนานแล้วก็ได้ แม้จะพยายามคิดไปในทางที่ดี หากแต่ความรู้สึกตอนนี้กลับไม่สนองตอบ ความหวาดหวั่นยังคงเกาะกินหัวใจไม่สร่างซา เหตุการณ์เมื่อวันนั้นยังคงชัดเจนในความรู้สึก ทำให้เธอหวาดผวาทุกครั้งที่นึกถึง หากแต่วินาทีนี้ทำไมมันรุนแรงกว่าทุกครั้งอย่างกับตอนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นไม่ผิดเพี้ยน หัวใจดวงน้อยกำลังสั่นสะท้านวูบโหวงจนกลัวว่ามันจะสูญเสียการทำงานลงดื้อ ๆ

    เมื่อห้าปีก่อน กลางศาลาวัดที่ใช้ประกอบพิธีฌาปนกิจศพของภูวิชญ์

    ช่อแก้วเดินเข้าไปในศาลาพร้อมกับอภิชาติผู้เป็นบิดาด้วยความรู้สึกผิดมากล้นในหัวใจ เธอรอเวลาให้ผู้คนรวมทั้งนักข่าวที่มาร่วมงานทยอยกลับออกไปหมดเสียก่อนเพราะอภิชาติไม่อยากให้ตกเป็นข่าว

    ร่างที่แทบสิ้นไร้เรี่ยวแรงทรุดกายลงตรงหน้าโลงศพของชายหนุ่มผู้ล่วงลับ ดวงตายังไม่คลายรอยหมองเศร้าและหยาดน้ำแห่งความเสียใจ มือบางสั่นเทากำลังจะยื่นไปหยิบธูปเพื่อจะไหว้ขออโหสิกรรม หากแต่ไม่ทันได้ทำตามที่ใจต้องการ เสียงดุดันเคียดแค้นก็ตวาดขึ้นจากด้านหลังจนเธอสะดุ้งสุดตัว

    “ยัยเด็กนรก! เพราะเธอคนเดียว นายวิชญ์ถึงต้องตาย ยังจะกล้าเสนอหน้ามาที่นี่อีกนะ ที่นี่ไม่ต้อนรับฆาตกร ออกไป

    ท่าทางคุกคามและใบหน้าถมึงทึงกอปรกับดวงตาแดงเดือดคู่นั้นยังไม่น่ากลัวพอหรืออย่างไร ร่างแกร่งกำยำถึงได้พุ่งเข้ามาหาเธอรวดเร็วราวพายุ ไม่รอให้ร่างบางได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ มือหนาก็กระชากต้นแขนเล็กให้ลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงออกไปสุดแรง คนไร้เรี่ยวแรงแทบตัวปลิว ร่างเล็กเซถลาล้มลงไปกองกับพื้นแข็งจนเจ็บจุกและบอบช้ำไปทั้งตัว

    คืนนั้นเธอนึกว่าทุกคนกลับกันหมดแล้วเสียอีก บิดาถึงได้พาเข้าไป แต่สองพ่อลูกตระกูลอัคราธรกลับยังไม่ไปไหน ทั้งสองได้แต่เฝ้าอาลัยอาวรณ์ชายหนุ่มผู้ล่วงลับด้วยไม่อยากเชื่อสายตา เพราะไม่ทันระวังภัยเหตุการณ์สะเทือนขวัญและน่าสะพรึงกลัวถึงได้เกิดขึ้นกับเธอ หากไม่ได้บิดาของเขาและบิดาของเธอห้ามเอาไว้ทัน ชีวิตของช่อแก้วอาจดับสูญไปแล้วตั้งแต่วันนั้น

    แค่ที่วัดยังไม่พอ เขาได้ตามมาเอาเรื่องเธอต่อถึงที่บ้าน หลังจากที่กลับจากวัดไม่ทันจะได้ก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน รถยนต์อีกคันก็เปิดไฟสูงพุ่งตรงเข้ามาหาเธอสุดแรง

    เอี๊ยดดด...

    “กรี๊ดดด

    หญิงสาวตกใจกรีดร้องสุดเสียง เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นก็จะปะทะเข้ากับร่างของเธอเต็ม ๆ หากเขาไม่หักหลบไปหวุดหวิดเสียก่อน 

    วินาทีถัดมา เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเองยังมีลมหายใจ ร่างสั่นสะท้านไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับตัวไปไหน ได้เพียงยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนคนไร้สติ

    ใบหน้าของอภิชาติผู้เป็นบิดาก็ตกใจไม่แพ้กัน ด้วยสัญชาตญาณของคนเป็นพ่อ เมื่อเรียกสติคืนได้ก็รีบวิ่งไปคว้าตัวบุตรสาวมาหลบอยู่ด้านหลัง

    “ลูกระยำแบบนี้ยังจะปกป้องมันอีกหรือไง...”

    ทันทีที่เปิดประตูรถลงมา เขาก็พุ่งเข้าหาเป้าหมาย แต่เมื่ออภิชาติออกโรงปกป้องร่างเล็กเอาไว้ คนพาลจึงตวาดไม่เลือกหน้า

    มือหนากำลังจะพุ่งเข้าผลักอภิชาติให้พ้นทางเพื่อลงโทษร่างสั่นเทาด้านหลัง หากแต่เสียงกัมปนาททรงพลังของผู้เป็นพ่อของเขาก็ตวาดห้ามไว้ได้ทันเสียก่อน

    “ไอ้วินท์! พอซะทีเถอะ กลับบ้านได้แล้ว แกตามมาอาละวาดคนอื่นเขาแบบนี้ มันน่าสมเพชยิ่งกว่าหมาบ้าเสียอีก!”

    ภูมิไทยที่ไม่เห็นบุตรชายตามกลับบ้านก็รีบบึ่งรถมาบ้านหญิงสาวทันที เขาคิดไว้แล้วไม่มีผิด มาถึงก็เจอกับคนบ้าคลั่งที่กำลังเอาเรื่องเจ้าของบ้านอยู่พอดี นึกสงสารก็แต่เด็กสาวที่ยืนตัวสั่นร้องไห้สะอึกสะอื้นหลบอยู่ข้างหลังบิดา

    ภูวินท์หันมองตามเสียงดุดันคุ้นหู ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นพ่อกำลังตรงปรี่เข้ามาทางเขา

    “พ่อเข้าข้างมันเหรอ มันฆ่าลูกชายพ่อนะ ฆ่านายวิชญ์ นายวิชญ์ตายแล้ว ได้ยินไหมว่านายวิชญ์ตายแล้ว” ภูวินท์กระชากเสียงตวาดลั่นราวกับคนเสียสติ หยาดน้ำตาลูกผู้ชายร่วงหล่นจากดวงตาแดงก่ำเมื่อนึกถึงคนที่เพิ่งจากไป

    คนที่ยืนหลบภัยอยู่ก็สะอื้นไห้ตัวสั่นไม่หยุด มือของเธอจับยึดเสื้อของบิดาเอาไว้แน่น

    “พ่อไม่ได้เข้าข้างใคร แต่พ่อเข้าข้างความถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ และหนูคนนี้ไม่ได้จงใจทำให้เจ้าวิชญ์ต้องตาย ไม่มีใครอยากให้เรื่องเลวร้ายนี้มันเกิดขึ้น เข้าใจอะไรบ้างสิ เลิกพาลได้แล้ว”

    “มันนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุให้นายวิชญ์ต้องตาย พ่อจะไปรู้อะไร ก็พ่อไม่เคยเห็นยัยนี่อาละวาด ยัยเด็กปีศาจนี่นรกส่งมาเกิดชัด ๆ...”

    เผียะ! 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×