NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงเงาลวง (ฉบับพิมพ์เล่ม)

    ลำดับตอนที่ #12 : ๕ ความอ่อนแอ 2/2

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 67


    ความอ่อนแอ

    มือบางทั้งตีทั้งจิกทั้งข่วนพลางดิ้นสุดชีวิต ใบหน้างามก็ส่ายสะบัดหลบหนีใบหน้าของคนที่หวังจะคุกคาม แต่แล้วก็ไม่อาจสู้แรงที่เหนือกว่าของบุรุษเพศได้ ริมฝีปากแสนร้ายของเธอถูกเขาฉกไปครอบครองได้สมใจ หญิงสาวถึงกับตาเบิกโพลงตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงเรียวลิ้นร้อนที่ชอนไชเข้าดูดดึงเรียวลิ้นนุ่ม นี่เธอกำลังเสียจูบแรกให้ผู้ชายที่น่าขยะแขยะที่สุดอย่างนั้นหรือ

    ยี้! ไม่นะ มันไม่จริงใช่ไหม ! ?

    คนที่ได้กลั่นแกล้งหญิงสาวสมใจอยาก เหมือนจะรับรู้ถึงอาการนิ่งงันของเธอ แม้ไม่อยากถอดถอนริมฝีปากออกห่างจากความหวานล้ำที่กำลังหลงใหล แต่ความที่อยากเย้ยหยันกลับมีมากไม่แพ้กัน เขาอยากเห็นสีหน้าคนอวดเก่งตอนนี้เหลือทน

    “เป็นไงล่ะคนเก่ง ถึงกับดิ้นไม่ออกเลยหรือไง” 

    เสียงเยาะหยันที่ดังขึ้นคลอเคลียอยู่กับริมฝีปากสั่นระริก เรียกสติหญิงสาวให้กลับมาอีกครั้ง

    “ยี้! แหวะ!”

    มือบางรีบยกขึ้นถูไถริมฝีปากตัวเองจนแดงเถือกและผลักตัวเธอออกห่างจากเขาพัลวัน ซึ่งอีกคนก็ยอมปล่อยแต่โดยดี หากแต่สายตาอันพึงพอใจก็ไม่ยอมละจากใบหน้านวลแดงของเธอ

    “กรี๊ด แกกล้า...ทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง น่าขยะแขยงที่สุด”

    หญิงสาวโมโหคนที่แสดงสีหน้าสะใจจนแทบอยากฆ่าเขาให้ตาย แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้คนอันตรายอีก ได้เพียงยืนกระทืบเท้าเร่า ๆ กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ

    “หึ จำไว้ม่านไหม เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเธอ อย่าคิดอวดดีมาวิจารณ์ฉันอีก โดยเฉพาะสิ่งไหนที่ไม่รู้อย่าพูด ไม่อย่างนั้นเธอโดนยิ่งกว่านี้แน่” 

    ชายหนุ่มดึงร่างเล็กเข้ามากระซิบชิดใบหูอีกครั้ง หญิงสาวที่เลี่ยงไม่ทันถึงกับยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าดิ้นรน ดวงตาสวยหลับปี๋เบี่ยงหน้าหลบจนคอแทบเคล็ด

    “ปะ ปล่อยนะ ยี้! อย่านะ” ริมฝีปากเล็กปล่อยเสียงออกมาอย่างหวาดหวั่น ใจก็เต้นตึกตัก กลัวว่าเขาจะทำอุกอาจทำกับเธอเหมือนครั้งที่แล้ว

    “ขยะแขยงฉันมากนักใช่ไหม” อาการของหญิงสาวทำให้เขาเริ่มโมโหปนหมั่นไส้ขึ้นมาอีกครั้ง อยากสั่งสอนขึ้นมาครามครัน ใบหน้าคมโน้มเข้าหาริมฝีปากแสนหวานจนเกือบจะได้แนบชิด หากไม่ทันจะได้สัมผัส เสียงที่ดังขึ้นจากตัวบ้านกลับหยุดทุกอย่างลงพร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบของหญิงสาว

    “อาชน อาไหม!”

    “ม้า!” สองเสียงของหนุ่มสาวดังขึ้นพร้อมกันอย่างตกใจ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ทั้งสองเห็นเหตุการณ์ คงไม่ใช่ตั้งแต่...! 

     

    กว่าจะพาคนเมามาส่งถึงห้องได้ก็ทุลักทุเล ด้วยขนาดรูปร่างที่ไม่ต่างกัน กรกนกผู้ทำหน้าที่พยุงเพื่อนขึ้นมาถึงกับเมื่อยไปทั้งตัว

    “ยัยช่อ เฮ้ย! แกไหวไหมวะ” เมื่อวางร่างอ่อนระทวยลงบนโซฟาได้สำเร็จ มือบางก็ยื่นไปตบแก้มคนเมาเพื่อเรียกสติเบา ๆ

    “ฉานไหวน่า ช่อแก้วซะอย่าง” ช่อแก้วเบี่ยงศีรษะหลบพลางใช้มือปัดป้องมือของเพื่อนอย่างรำคาญ ในขณะที่ดวงตาคู่สวยไม่มีความสามารถแม้แต่จะปรือมอง

    กรกนกส่ายศีรษะให้คนที่นอนหมดสภาพอย่างเหนื่อยหัวใจ ช่อแก้วดื่มหนักกว่าม่านไหมตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ไปถึง จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนออกจากผับ มือยังไม่อยากวางแก้วเหล้า ได้เห็นถึงผลลัพธ์ของฤทธิ์แอลกอฮอล์ชัด ๆ ก็ยามนี้นี่เอง หญิงสาวลุกขึ้นนำผ้าขนหนูไปชุบน้ำหมาด ๆ มาเช็ดหน้าให้เพื่อน เผื่ออาการเมามายจะสร่างลง ได้เพียงหวังลึก ๆ ว่าพรุ่งนี้อะไร ๆ คงจะดีขึ้น

    “พ่อ ไม่ รัก ช่อกับแม่พิมพ์แล้ว พ่อลืมแม่พิมพ์ ลืมช่อแล้ว ฮึก!...”

    เสียงพร่ำเพ้อส่งออกมาด้วยความน้อยใจ แววตาเศร้ายังคงหลับนิ่งไม่ยอมเปิดขึ้นให้ใครได้เห็น หากความอ่อนแอจากข้างในก็นำพาให้น้ำตาเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจฝืน เธอกำลังพ่ายแพ้ให้กับมันอีกเช่นเคย 

    กรกนกละผ้าขนหนูหมาดน้ำออกจากใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาของเธอที่จับจ้องดวงหน้าคนเมามีแววเศร้าปนห่วงใย สงสารที่เพื่อนต้องเจอแต่เรื่องร้าย ๆ ไม่รู้จักจบสิ้นสักที ตอนนี้ปัญหาของเธอคงน้อยนิดนักเมื่อเทียบกับเพื่อนสาวทั้งสองคน โดยเฉพาะช่อแก้วที่เผชิญกับปัญหาหนักอึ้งนี้มานาน 

    หากนับเวลาคงเกือบสิบปี ตั้งแต่มารดาของเพื่อนจากไป เป็นเวลามากกว่าที่ความเป็นเพื่อนของทั้งสามจะเริ่มต้นขึ้นเสียอีก มันมากเกินกว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะรับได้ด้วยซ้ำ แต่ช่อแก้วก็ทนเข้มแข็งเสมอมา

    “ไม่หรอกช่อ แกอย่าคิดมากสิ ยังไงพ่อก็รักแก เชื่อฉันสิ” กรกนกเอ่ยปลอบพลางก็ดึงร่างอ่อนล้าของเพื่อนขึ้นมากอด “ฉันรู้ว่าแกเจ็บ รู้ว่าแกกำลังแย่ แกร้องออกมาเถอะ มันคงช่วยให้แกดีขึ้น ไม่ต้องฝืนมันหรอก ตอนนี้แกอยู่กับฉัน ไม่ใช่คนอื่น”

    ในที่สุดคนที่ไม่อยากเห็นน้ำตาเพื่อนตั้งแต่แรกก็ต้องจำยอม เพราะนี่คงเป็นหนทางเดียวที่จะปลดปล่อยความอัดอั้นในหัวใจให้จางหาย ทั้งที่เธอก็รู้ดีว่าช่อแก้วนั้นหวงน้ำตายิ่งกว่าอะไรเสียอีก ไม่บ่อยครั้งนักที่เพื่อนสาวจะยอมให้ใครได้เห็นมัน เพราะน้ำตาสำหรับช่อแก้วมันคือสัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ ในขณะที่เธอพยายามต่อสู้กับมันมาทั้งชีวิต จึงไม่ยอมเสียมันง่าย ๆ

    “ฉันไม่เหลือใครแล้วนก พ่อไม่ต้องการฉันอีกแล้ว เขามีครอบครัวใหม่ พวกเขามีความสุขที่ไม่มีฉัน ฮือ ๆ” เมื่อไม่อาจฝืนความปวดร้าว คำพูดของคนเป็นพ่อช่างโหดร้ายยิ่งนัก บั่นทอนกำลังใจของคนที่เฝ้ารออ้อมกอดของท่านไปจนหมดสิ้น หญิงสาวปล่อยเสียงร่ำร้องออกมาอย่างไม่อาย ลำแขนเล็กกอดร่างของเพื่อนไว้แน่น ตอนนี้เธอต้องการเพียงใครสักคนที่เต็มใจให้เธอได้พักพิง

    “อย่าพูดว่าแกไม่เหลือใครสิช่อ อย่าพูดแบบนั้น แกยังเหลือฉันกับไอ้ไหมไง เราสองคนไม่มีวันทิ้งแก” กรกนกถึงกับน้ำตาซึมกับคำตัดพ้อของเพื่อน เธอรู้และเข้าใจความรู้สึกของอีกคนดี ภายใต้แววตาที่แข็งกร้าวอวดดี เย่อหยิ่ง และเข้มแข็งคู่นี้ หากมองให้ลึกลงถึงข้างในมันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนแอ ความบอบช้ำและความเดียวดาย มันเฝ้าโหยหาความรักความอบอุ่นอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่เปี่ยมล้น

    ช่อแก้วมักเล่าให้พวกเธอฟังถึงความอบอุ่นเมื่อคราวที่มารดายังมีชีวิตด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข หากสุดท้ายมักจบลงที่หยดน้ำเล็ก ๆ ตรงหางตาเสมอ เพราะเวลาแห่งความสุขนั้นไม่มีวันไขว่คว้าเอามันกลับมาได้อีกแล้ว มารดาของเพื่อนจากไปแล้วชั่วนิรันดร์ เพราะผู้หญิงใจร้ายคนนั้น...ผู้หญิงที่ชื่อ ปัทมา!

    “ขอบใจแกสองคน ขอบใจที่คอยอยู่เคียงข้างฉัน...”

    เมื่อรู้สึกดีขึ้น ช่อแก้วค่อย ๆ ดันร่างออกห่างจากเพื่อน รีบเช็ดน้ำตาตัวเอง

    กริ๊ง ๆ เสียงโทรศัพท์เรียกเข้า ทำให้ทั้งสองหันมองไปตามเสียง

    “รับสิ เสียงโทรศัพท์แก”

    “สงสัยแม่จะโทร.ตาม ไม่มีไรหรอก”

    “เหอะน่า เผื่อที่บ้านมีอะไรด่วน”

    กรกนกลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมกรอกเสียงไปตามสาย

    “สวัสดีค่ะ” แม้ไม่อยากรับแต่ในใจก็ยังรู้สึกพะวงเป็นห่วงมารดาอยู่ในที

    “คุณหนู รีบกลับเถอะค่ะ คุณหญิงรอคุณหนูข้าวปลาไม่ยอมกิน ตอนนี้เป็นลมล้มพับไปแล้วนะคะ” เสียงคนใช้สาวที่ส่งมาร้อนรนจนคนฟังก็ตกใจ

    “อะไรนะเหมียว เดี๋ยวฉันรีบกลับ ฝากดูแลแม่รอฉันด้วย” พูดจบก็รีบวางสาย

    “แม่เป็นอะไรนก”

    “รอฉันจนเป็นลมนะสิ แกไหวนะ ทำไมมันวุ่นวายแบบนี้วะ” กรกนกหันมาทางเพื่อนอย่างหนักใจ มารดาก็ห่วง เพื่อนก็ไม่อยากทิ้งเอาไว้ลำพัง

    “วุ่นวายอาราย ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า กลับไปดูแลแม่เถอะ ช่อแก้วซะอย่าง ดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว ไป ๆ กลับได้แล้ว” หญิงสาวโบกมือไล่แล้วล้มตัวลงนอนหลับตาทำทีไม่สนใจ

    “เดินยังไม่ไหว ปากดีอีกนะแก”

    “ฉันจะนอนแล้ว แกกลับเถอะ ไม่ต้องห่วง”

    “ไม่เข้าไปนอนในห้องล่ะ แกโอเคนะ ถ้ามีอะไรรีบโทร.หาฉัน” กรกนกเขย่าตัวเพื่อนหวังให้อีกคนลุกขึ้นไปนอนในห้องนอน

    “เอ๊ะ! ไอ้นี่ รีบไปเลยปาย แช่งเพื่อนหรือวะ บอกว่าไหวก็ไหวสิ” หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมาทำตาดุ ไม่อยากให้กรกนกต้องเสียเวลากับเธอนาน แค่ที่เห็นเพื่อนมีปัญหากับมารดาเพราะตัวเองเป็นสาเหตุก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว

    “เก่งจริ๊งแม่คุณ ถ้างั้นฉันไปล่ะ ดูแลตัวเองด้วย พรุ่งนี้เดี๋ยวมารับกลับบ้าน”

    “อื้อ!” เธอส่งเสียงครางออกไปราวกับรำคาญนักหนา หากเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องปิดลงเท่านั้น ศีรษะเล็กก็รีบผงกขึ้นมองตามเพื่อนทันที

    “ขอโทษนะนก ฉันมันตัวปัญหาจริง ๆ” หญิงสาวพึมพำออกมา ก่อนที่อาการพะอืดพะอมอันเกิดจากฤทธิ์น้ำเมาจะตามเข้าเล่นงาน ร่างบางรีบวิ่งโซเซเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน

     

    กรกนกเดินลงมาถึงรถ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “ว่ายังไงเหมียว”

    “พ่อเองนก ขอโทษที่โทร.มาดึกดื่นตอนนี้ยัยช่ออยู่กับลูกหรือเปล่า หายไปตั้งแต่เที่ยงยังไม่กลับเลย พ่อเป็นห่วง” เสียงเหนื่อยอ่อนของคนที่เที่ยวตามหาบุตรสาวมาตั้งแต่เย็นส่งมาตามสาย

    “อ้าว! คุณพ่อหรือคะ พอดีเลยค่ะ ตอนนี้ยัยช่ออยู่เพนต์เฮาส์ของยัยไหมค่ะ คุณพ่อแวะมาดูยัยช่อหน่อยก็ดีนะคะ นกเองก็ห่วง ตอนนี้ยัยช่ออยู่ที่ห้องคนเดียว นกเพิ่งจะลงมา ต้องรีบกลับบ้านแล้วค่ะ คุณแม่ไม่สบาย”

    “เดี๋ยวพ่อจะรีบไป ขอบใจมากลูก”

    อภิชาติรีบวางสายจากกรกนก รีบร้อนลุกขึ้นยืน กำลังจะก้าวพรวดพราดออกไปด้วยความกังวลใจและเป็นห่วงบุตรสาวจนลืมคนที่นั่งให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ

    ปัทมารีบลุกขึ้นเกาะแขนสามี ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

    “เป็นไงบ้างคะ เจอหนูช่อหรือเปล่า”

    “แกอยู่เพนต์เฮาส์ของเพื่อน ผมขอไปรับแกกลับก่อนนะ ไม่ต้องรอ เข้านอนก่อนได้เลย”

    “ให้ปัทม์ไปด้วยนะคะ ปัทม์เป็นห่วง ไม่อยากให้คุณขับรถค่ำมืดคนเดียว”

    ปัทมารีบเอ่ยขอติดตามสามี คนที่รีบอยู่แล้วก็ไม่รีรอปฏิเสธให้เสียเวลา ทั้งสองรีบบึ่งรถออกจากบ้านทันที จุดมุ่งหมายคือเพนต์เฮาส์ที่ช่อแก้วพักอยู่ ซึ่งคนเป็นพ่อรู้จักดีเพราะเคยไปตามบุตรสาวกลับบ้านหลายครั้งในคราที่เธอยังเรียนมัธยม

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×