ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บั้นปลายชีวิต
บั้นปลายชีวิต
ภายหลังที่พระเยซูได้ประกาศศาสนา ได้มีโอกาสสั่งสอนให้คนเป็นคนดีมีเมตตา มีความรักต่อกันและกัน รวมทั้งได้ อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้เจ็บป่วย ผู้ไม่มีที่พึ่งทางใจ กำลังประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจยิ่ง โดยใช้เวลามาเพียง 3 ปี ชีวิตของพระเยซูก็จะมาถึงซึ่งอวสาน การอวสานของพระเยซูได้เกี่ยวเนื่องกับพิธีกินเลี้ยง (ขนมปังไม่มีเชื้อ) ที่เรียกว่า เทศกาลปัสคาลส์ ( Pascals) เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงวันที่โมเสสพาชาวยิวหนีออกจากอียิปต์พ้นจากความเป็นทาสได้ อันเป็นอาหารมื้อสุดท้าย (the Last Supper) พระเยซูได้ประทับนั่งบนโต๊ะยาวพร้อมอัครสาวก 12 คน ดูเหมือนพระเยซู จะทรงรู้ล่วงหน้าด้วยวิญญาณว่าจะมีคนมาตามจับพระองค์ และมีสาวกคนหนึ่งจะเป็นผู้ทรยศต่อพระองค์ ในขณะรับประทาน อาหารกันอยู่นั้นพระองค์ได้ตรัสปรารภเรื่องนี้ให้สาวกฟัง สาวกจึงได้ทูลถามว่าจะเป็นใครในบรรดาพวกตน พระเยซูจึงได้รับสั่ง
ก็ผู้ที่เอาขนมปังจิ้มในชามเดียวกับพระองค์นั้นแหละจะเป็นทรยศ” ถึงกับรับสั่งต่อไปว่า “
คนเช่นนั้นเกิดมาก็เสียทีเกิด” ยูดาสาวกคนที่ 12 ได้ฟังเช่นนั้นคงจะรู้สึกตัวถึงกับถามพระเยซูว่า “
ท่านอาจารย์หมายถึงข้าพเจ้าหรือ” พรเยซูกับตรัสว่า “
ขนมปังนี้เท่ากับเนื้อร่างกายของพระองค์” แล้วทรงหยิบแก้วไวน์ขึ้นพร้อมกับรับสั่งว่า
“เท่ากับโลหิตของพระองค์เป็นโลหิตแห่งสัญญา ขอให้ทุกคนจงทานและดื่ม เราจะไม่ได้เสวยร่วมกันอีกจนกว่าได้ร่วมกันใหม่ในอาณาจักรแห่งพระเจ้า (Kingdom of god)” พอรับประทานเสร็จก็ได้พร้อมกันร้องเพลงสรรเสริญเกียรติคุณของพระเจ้า แล้วพระเยซูก็ได้เสด็จเดินทางพร้อมกับสาวกไปยังภูเขามะกอกเทศ (Mount of Olives) แต่ปรากฎว่าระหว่างทาง ยูดาสาวกผู้ทรยศได้แอบหนีไป พรเยซูจึงได้ตรัสเตือนสาวกที่เหลือ 11 คน ให้รักซึ่งกันและกันว่า
“เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นเหล่าสาวกของเรา ก็เพราะว่าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน” จากนั้นก็ได้ทรงพาสาวกเดินทางต่อไปยังตำบลเกธเซเมน (Gethsemane) ในระหว่างทางก็ได้ตรัสเล่าถึงการที่จะมีคนมาทำร้ายพระองค์ ซึ่งสาวกต่างพากันประกาศแข็งขันว่า จะยอมถวายชีวิต ถ้าตายก็ตายด้วยกันในขณะที่ทรงเจริญสมาธิอธิษฐานจิตหาความสงบ ณ บริเวณแห่งหนึ่งในตำบลนี้ พร้อมทั้งรับสั่งให้เฝ้ารักษาดูแลก็ได้มีพวกทหารโรมันโดยยูดาสาวกผู้ทรยศได้นำทางมา พร้อมทั้ง
ชี้ตัวพระเยซูให้พวกทหารโรมันได้เข้าจับพระเยซู ขณะนั้นปิเตอร์เปโตรอัครสาวกคนสนิทของพรเยซู ได้ชักดาบออกต่อสู้ป้องกัน มีผลทำให้ทหารโรมันคนหนึ่งหูขาดไปข้างหนึ่ง แต่พระเยซูห้ามว่า
“ผู้ที่ชักดาบจะพิจารณาเพราะดาบ”
พระเยซูก็เลยถูกจับโดยง่าย เพราะพระองค์ไม่ต่อสู้ป้องกันตัว ทั้งยังมีสติปล่อยให้จับด้วยดี ฝ่ายสาวกเล่าเห็นศาสดาของตนไม่ต่อสู้และยอมให้เขาจับไปแล้ว ก็พาหลบหนีไปด้วยความกลัว แม้ปิเตอร์หรือเปโตรก็กลัวอันตราย ได้แต่เดินติดตามไปในระยะที่ห่างไกล มีผู้ถามว่าเป็นสาวกของพระเยซูไม่ใช้หรือ ยังไม่กล้าตอบว่าใช่
ภายหลังที่พระเยซูได้ประกาศศาสนา ได้มีโอกาสสั่งสอนให้คนเป็นคนดีมีเมตตา มีความรักต่อกันและกัน รวมทั้งได้ อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้เจ็บป่วย ผู้ไม่มีที่พึ่งทางใจ กำลังประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจยิ่ง โดยใช้เวลามาเพียง 3 ปี ชีวิตของพระเยซูก็จะมาถึงซึ่งอวสาน การอวสานของพระเยซูได้เกี่ยวเนื่องกับพิธีกินเลี้ยง (ขนมปังไม่มีเชื้อ) ที่เรียกว่า เทศกาลปัสคาลส์ ( Pascals) เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงวันที่โมเสสพาชาวยิวหนีออกจากอียิปต์พ้นจากความเป็นทาสได้ อันเป็นอาหารมื้อสุดท้าย (the Last Supper) พระเยซูได้ประทับนั่งบนโต๊ะยาวพร้อมอัครสาวก 12 คน ดูเหมือนพระเยซู จะทรงรู้ล่วงหน้าด้วยวิญญาณว่าจะมีคนมาตามจับพระองค์ และมีสาวกคนหนึ่งจะเป็นผู้ทรยศต่อพระองค์ ในขณะรับประทาน อาหารกันอยู่นั้นพระองค์ได้ตรัสปรารภเรื่องนี้ให้สาวกฟัง สาวกจึงได้ทูลถามว่าจะเป็นใครในบรรดาพวกตน พระเยซูจึงได้รับสั่ง
ก็ผู้ที่เอาขนมปังจิ้มในชามเดียวกับพระองค์นั้นแหละจะเป็นทรยศ” ถึงกับรับสั่งต่อไปว่า “
คนเช่นนั้นเกิดมาก็เสียทีเกิด” ยูดาสาวกคนที่ 12 ได้ฟังเช่นนั้นคงจะรู้สึกตัวถึงกับถามพระเยซูว่า “
ท่านอาจารย์หมายถึงข้าพเจ้าหรือ” พรเยซูกับตรัสว่า “
ขนมปังนี้เท่ากับเนื้อร่างกายของพระองค์” แล้วทรงหยิบแก้วไวน์ขึ้นพร้อมกับรับสั่งว่า
“เท่ากับโลหิตของพระองค์เป็นโลหิตแห่งสัญญา ขอให้ทุกคนจงทานและดื่ม เราจะไม่ได้เสวยร่วมกันอีกจนกว่าได้ร่วมกันใหม่ในอาณาจักรแห่งพระเจ้า (Kingdom of god)” พอรับประทานเสร็จก็ได้พร้อมกันร้องเพลงสรรเสริญเกียรติคุณของพระเจ้า แล้วพระเยซูก็ได้เสด็จเดินทางพร้อมกับสาวกไปยังภูเขามะกอกเทศ (Mount of Olives) แต่ปรากฎว่าระหว่างทาง ยูดาสาวกผู้ทรยศได้แอบหนีไป พรเยซูจึงได้ตรัสเตือนสาวกที่เหลือ 11 คน ให้รักซึ่งกันและกันว่า
“เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นเหล่าสาวกของเรา ก็เพราะว่าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน” จากนั้นก็ได้ทรงพาสาวกเดินทางต่อไปยังตำบลเกธเซเมน (Gethsemane) ในระหว่างทางก็ได้ตรัสเล่าถึงการที่จะมีคนมาทำร้ายพระองค์ ซึ่งสาวกต่างพากันประกาศแข็งขันว่า จะยอมถวายชีวิต ถ้าตายก็ตายด้วยกันในขณะที่ทรงเจริญสมาธิอธิษฐานจิตหาความสงบ ณ บริเวณแห่งหนึ่งในตำบลนี้ พร้อมทั้งรับสั่งให้เฝ้ารักษาดูแลก็ได้มีพวกทหารโรมันโดยยูดาสาวกผู้ทรยศได้นำทางมา พร้อมทั้ง
ชี้ตัวพระเยซูให้พวกทหารโรมันได้เข้าจับพระเยซู ขณะนั้นปิเตอร์เปโตรอัครสาวกคนสนิทของพรเยซู ได้ชักดาบออกต่อสู้ป้องกัน มีผลทำให้ทหารโรมันคนหนึ่งหูขาดไปข้างหนึ่ง แต่พระเยซูห้ามว่า
“ผู้ที่ชักดาบจะพิจารณาเพราะดาบ”
พระเยซูก็เลยถูกจับโดยง่าย เพราะพระองค์ไม่ต่อสู้ป้องกันตัว ทั้งยังมีสติปล่อยให้จับด้วยดี ฝ่ายสาวกเล่าเห็นศาสดาของตนไม่ต่อสู้และยอมให้เขาจับไปแล้ว ก็พาหลบหนีไปด้วยความกลัว แม้ปิเตอร์หรือเปโตรก็กลัวอันตราย ได้แต่เดินติดตามไปในระยะที่ห่างไกล มีผู้ถามว่าเป็นสาวกของพระเยซูไม่ใช้หรือ ยังไม่กล้าตอบว่าใช่
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น