ชีวิตของผมมันไม่มีความยุติธรรม... - ชีวิตของผมมันไม่มีความยุติธรรม... นิยาย ชีวิตของผมมันไม่มีความยุติธรรม... : Dek-D.com - Writer

    ชีวิตของผมมันไม่มีความยุติธรรม...

    ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน?? สำหรับเด็กกำพร้าอย่าง แทน ความยุติธรรมมันตายไปตั้งแต่เขาเขาลืมตาดูโลกแล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    108

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    108

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 ก.ย. 55 / 20:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ชีวิตของผมมันไม่มีความยุติธรรม...

                      ผมไม่เคยเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นเลยในชีวิตของผม ผมไม่รู้เหมือนกันว่าต้องโทษใครหรืออะไรที่ทำให้ชีวิตผมเป็นเช่นนี้ ผมเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิด อย่าว่าแม้แต่ชื่อพ่อแม่เลย แม้แต่ตัวผมเองเป็นใครผมก็ยังไม่รู้ ผมอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่จำความได้ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวผม มีแต่ชื่อที่ครูเจี๊ยบตั้งให้ว่า แทน เพราะผิวของผมเป็นสีแทน ดวงตาก็ยังเป็นสีน้ำตาลอ่อนอีกเช่นกัน ผมคอยมองดูเพื่อนๆในสถานที่แห่งนี้ออกไปเที่ยว ไปรับขนมที่มี”ผู้ใจบุญ”เอามาให้ น่าแปลกที่เพื่อนๆผมกลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม ชื่นมื่น ทั้งๆที่สิ่งที่”ผู้ใจบุญ”ทำนั้น มันยิ่งทำให้ผมได้รู้สึกถึงความอยุติธรรมของชีวิตมากขึ้น ทำไมต้องเป็นผมที่ต้องอยู่ที่นี่ ไม่มีญาติ ไม่มีใครให้คิดถึง แล้วต้องได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขาด้วย เขาเหล่านั้นยิ่งทำให้ผมเห็นชัดมากขึ้นระหว่างความไม่เท่าเทียมกันของผมและพวกเขา

                      ผมอยู่ที่นั่นจนอายุครบสิบสองปี ถ้านับตามวันเกิดที่ครูเจี๊ยบบอก แล้วผมต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวอุปการะ ครูและเพื่อนๆทุกคนต่างก็ดีใจกับผม แน่นอน ตอนผมรู้เรื่อง แวบแรกหัวใจผมก็พองโต เพราะผมเบื่อที่นี่เต็มที ผมดีใจกับข่าวนี้ แต่ก็เป็นอย่างนั้นได้เพียงไม่กี่วัน เมื่อตระหนักได้ว่า ผมเป็นเพียงสิ่งที่ทำหน้าที่ได้ดีกว่าเครื่องจักร ในการรับรู้บุญคุณและต้องตอบแทนโดยการยกชีวิต จิตใจให้กับเจ้าของที่รับเอาชีวิตผมไป ผมรู้สึกเหมือนผมมีค่าแค่สุนัขตัวหนึ่ง ที่ต้องเชื่องและรักในตัวเจ้าของเท่านั้นเอง

                      บ้านที่อุปการะผมไปเป็นบ้านของหญิงม่าย อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เธออาศัยอยู่กับแม่ผู้มีอายุย่างเจ็ดสิบห้าแล้ว ในบ้านหลังค่อนข้างใหญ่และมีบริเวณ เท่าที่ผมเห็นนอกจากคนสวนหรือคนขับรถซึ่งเป็นคนๆเดียวกัน ก็มีผมเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย แม่ใหญ่หรือคนที่อุปการะผม บอกกับผมว่าเธอจะส่งเสียผมเรียนสูงๆ และเธอก็ต้องการให้ผมช่วยสอดส่องดูแลบ้าน รวมถึงคุณน้อยผู้เป็นมารดาของแม่ใหญ่ด้วย เปล่าหรอกครับ เธอไม่ได้บังคับให้ผมเรียน เพียงแต่แม่ใหญ่บอกกับผมว่าเธออยากจะให้มีแพทย์สักคนอยู่ในบ้าน เพราะเธอเองและแม่เธอก็แก่แล้ว ต้องการคนดูแล เธอมักจะพูดว่า

      “แม่กับยายน้อยก็แก่ขึ้นทุกวัน บ้านนี้มันไม่มีใครที่ไว้ใจได้สักคน ถ้าหากมีใครสักคนมาดูแลแม่ได้ แม่ก็หายห่วง”

      “โอ๊ยยย ไปเรียนอย่างอื่นทำมั๊ย เรียนหมอนี่กลับมาจะได้ดูแลแม่ได้”

      “ถ้าลูกโตขึ้นแล้วเป็นหมอ แม่คงจะดีใจมาก”

      และเธอก็พูดอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ผมเริ่มเข้าโรงเรียนมัธยม แม่ใหญ่จะคอยตรวจสอบคะแนนผมตลอด หากมีวิชาไหนที่ผมทำได้ไม่ดี เธอก็แค่ดุผมและให้ผมขึ้นไปทบทวนความผิดในห้อง ห้ามไปเล่น ห้ามดูโทรทัศน์ ต้องอยู่ในห้องที่มีแต่หนังสือที่แม่ใหญ่ซื้อมาให้เท่านั้น นานจนกว่าเธอจะลืมและหายหงุดหงิดเรื่องคะแนนของผม เธอจึงเรียกคนไปตามผมลงมาพบเธอ

      ทุกคนในบ้านค่อนข้างเกรงใจผม ในฐานะลูกชายคนเดียวของเจ้าของบ้าน แต่ก็ไม่ถึงกับนอบน้อม เพราะแม่ใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้คนในบ้านรู้สึกว่าผมเป็นนายคนหนึ่งในบ้านนี้เหมือนกัน หลายๆครั้งที่แม่ใหญ่ดุผมต่อหน้าคนใช้ในบ้าน หรือก็ให้ผมไปทำโน่นทำนี่ไม่ต่างจากคนใช้คนหนึ่งเหมือนกัน นอกจากนั้นแล้วคุณน้อยหรือแม่ของแม่ใหญ่ ก็ไม่ยอมรับผมเช่นกัน

      “ใหญ่ แกไปเอามาทำมั้ย ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ ไม่รู้เชื้อรู้สาย พวกนี้น่ะไว้ใจได้ซะที่ไหน เดี๋ยวสักวันมันจะแว้งกัดเข้าให้”

      “ไม่หรอกค่ะแม่ บ้านยัยคุณนายชูตาก็เลี้ยงไว้ ตอนนี้เด็กมันก็กตัญญูจะตายไป ทำอะไรให้หมด แถมยัยชูตายังคอยเอาเรื่องนี้ไปอวดชาวบ้านเขาว่าตัวเองน่ะใจบุญ อีโธ่เอ๊ยยย กะอีแค่เด็กสองสามคน ใหญ่ก็เลี้ยงได้ อีกอย่าง เด็กคนนี้ครูที่โน่นเขารับรองแข็งขันว่าเรียนดี ไม่ซน ต่อไปจะได้ดูแลเราไงคะ”

      ผมยังจำบทสนทนาเมื่อวันแรกที่ผมเข้ามาในบ้านนี้ได้ ผมได้แต่นั่งจ้องผู้ใหญ่สองคนที่พูดกันไปมา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอะไรสักอย่างที่อยู่ในกำมือของพวกเขา จะทำอย่างไรกับผมก็ได้ ผมเห็นคุณน้อยมองผมด้วยสายตาดูถูกและรังเกียจแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างเสียไม่ได้ว่า “หึ ก็หวังว่ามันจะไม่อกตัญญู ทางที่ดีก็อย่าเอามันไปจดเป็นบุตรละกัน”

      “ค่ะ” ผมได้ยินแม่ใหญ่ตอบเช่นนั้น

      เมื่อเรียนจบมัธยม ผมก็สอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้สมใจแม่ใหญ่ แม่ใหญ่ดีใจมาก ถึงขนาดจะพาผมไปเที่ยวต่างจังหวัด ผมจึงจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมไว้ ใจอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้ออกไปพ้นจากบ้านหลังนี้บ้างเสียที แต่จู่ๆความหวังของผมก็ดับลง เมื่อพียงประโยคสั้นๆของแม่ใหญ่ว่า

      “เรื่องไปเที่ยวเอาไว้ก่อนนะ ยัยวิ หลานแม่เขาจะมาเย็นนี้”

      ผมเคยได้ยินชื่อรวิกานต์มาก่อน ผมรู้แค่ว่าเธอเป็นลูกสาวของน้องชายแม่ใหญ่เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆก็เป็นเรื่องที่ผมไม่สมควรจะรู้ ก็ผมมันไม่ใช่ลูกจริงๆนี่นา ผมจะไปรู้เรื่องญาติของแม่ใหญ่ได้อย่างไร เย็นวันนั้นผมก็ได้เจอรวิกานต์ เธอนั่งรอที่โต๊ะอาหารพร้อมแม่ใหญ่อยู่แล้ว ท่าทางของเธอยิ้มแย้มแจ่มใส และแม่ใหญ่เองก็ดูจะเอ็นดูเธอมาก

      “ยัยวิ นี่พี่แทนนะ เขาแก่เดือนกว่าแน่ะ” แม่ใหญ่แนะนำผมเพียงเท่านั้น แล้วก็หันไปคุยกับรวิกานต์ต่อ รวิกานต์หันมายิ้มให้ผมและก็หันไปฟังแม่ใหญ่พูดต่อไป อาหารเย็นวันนั้นจบลงอย่างน่าเบื่อที่สุด

      รวิกานต์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้นับตั้งแต่วันนั้น เธอมาแสดงความยินดีกับผมเมื่อรู้ว่าผมสอบได้คณะแพทย์ศาสตร์ เพราะเธออยากเรียนแพทย์ แต่ว่าสอบไม่ได้ เธอจึงเข้าเรียนในวิชาเทคนิคการแพทย์ มหาลัยเดียวกับผมแทน แต่เท่าที่ผมดูจากสีหน้าเธอในตอนนั้นแล้วก็ไม่ได้เห็นวี่แววความเสียใจเหลืออยู่ใบหน้าเธอเลย

      คณะของเราอยู่ใกล้กัน เพราะฉะนั้นป้าใหญ่อนุญาตให้ผมใช้รถพาวริกานต์ไปเรียนที่มหาลัยพร้อมกันเสียเลย ดังนั้น ใครเลิกก่อนก็ต้องรอจนกว่าอีกคนหนึ่งจะเลิกด้วย รวิกานต์มักจะเลิกช้า ดังนั้นผมจึงมักจะไปสังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกเรียนเสียก่อน แล้วจึงค่อยตามมาเจอรวิกานต์หลังเธอเลิกเรียนแล้ว เป็นแบบนี้อยู่สองเดือนเต็ม จนกระทั่งวันหนึ่ง คะแนนสะสมรายวิชาหนึ่งของผมออก อาจารย์ประจำวิชาต้องเรียกผมไปพบ เพื่อแนะนำให้ผมถอนรายวิชานี้ เนื่องจากมีโอกาสสูงมากที่ผมจะติดเอฟ ผมยอมรับว่าผมเครียด ก็เลยออกไปเที่ยวกับเพื่อน จนลืมเวลานัดที่นัดกับรวิกานต์ไว้ พอรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท และมีสายที่ไม่ได้รับหลายสิบสาย ผมรีบขับรถกลับไปยังมหาลัยทันที แต่ก็ไม่พบใครอีกแล้ว จึงได้กลับไปที่บ้านอย่างหนักใจ

      เมื่อถึงบ้าน ก็พบว่าแม่ใหญ่ยืนรอผมอยู่แล้ว พร้อมกับรวิกานต์ที่มีสีหน้าไม่ดีนัก

      “แกไปไหนมา เจ้าแทน ทำไมกลับเอาป่านนี้ แล้วทิ้งยัยวิเอาไว้ บอกมานะ!” แม่ใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงเกรี๊ยวกราดตั้งแต่ผมก้าวเข้าไปในบ้าน

      “ผมไปกับเพื่อนมาครับ”

      “ไปไหนมา มันสำคัญกับแกมากถึงขนาดทิ้งหลานชั้นไว้เลยงั้นหรอห๊ะ”

      “ขอโทษครับแม่ใหญ่”

      “แกจำไว้นะว่าอย่าทำตัวแบบนี้อีก พรุ่งนี้แกไม่ต้องเอารถไป ชั้นจะให้คนขับรถขับไปส่งหลานชั้นเอง เสียแรงที่ชั้นไว้ใจแก เลี้ยงแกมาจนโต กับอีเรื่องแค่นี้ แกก็ยังทำไมได้ ไปเลยนะ ไปคิดดูเอาเองว่าวันนี้แกทำอะไรลงไป” ผมเดินผ่านแม่ใหญ่ไปยังห้องทันที ไม่สนใจอาการหายใจถี่ๆของแม่ใหญ่เมื่อพูดจบ หึ ตอนนี้แม่ใหญ่มีหลานแท้ๆแล้ว ไอเด็กที่เก็บมาเลี้ยงอย่างผมก็คงหมดประโยชน์

      ผมไม่ได้ลงไปกินข้าวมื้อเย็น เพราะผมไม่รู้ว่าจะมีข้าวให้ผมกินอีกรึเปล่า จึงได้แต่นั่งขบกรามแน่นอยู่ในห้อง สักใหญ่ต่อมา ก็มีเสียงเคาะประตูห้อง แล้วก็มีเสียงของรวิกานต์ลอดเข้ามา

      “พี่แทน เปิดหน่อย วิเอง” ผมหยิบหูฟังขึ้นมาครอบหูไว้ พยายามไม่สนใจเสียแว่วๆของรวิกานต์อีก แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมแพ้ เพราะยังคงเคาะประตูห้องผมต่อไป ผมจึงถอดหูฟังออกอย่างเสียไม่ได้ แล้วเดินไปเปิดประตูห้องออกไปอย่างโมโห

      “มีอะไรนักหนาวะ” ผมลดเสียงพยางค์ท้ายประโยคให้เบาลงอย่างอดกลั้น

      “นี่อาหารเย็น เหลือไว้ให้” เธอยัดถาดอาหารไว้ในมือผมแล้วจึงถามต่อเสียงอ่อนๆว่า “ทำไมวันนี้ไม่มา มีอะไรรึเปล่า”

      “....”

      “วิรออยู่ตั้งนาน รอจนมืด โทรไปพี่แทนก็ไม่รับสาย ก็เลยโทรมาถามป้าใหญ่ว่าพี่แทนกลับมารึยัง ก็รู้ว่ายังไม่กลับมา ป้าใหญ่เลยให้วินั่งแท็กซี่กลับมาเลย ถ้าเกิดติดธุระอะไรก็น่าจะบอก...”

      “แค่นี้ยังไม่พอใจเธออีกหรอก อยากรู้หรอว่าทำไมฉันถึงไม่ได้ไป อ๋อ เพราะฉันเกิดติดเอฟไง มันดีใจมากก็เลยไปฉลองพอใจไหม ทีนี้ก็รีบแจ๊นไปบอกแม่ใหญ่เลยนะ หึ ตอนนี้เธอก็มาแล้ว ไอเด็กอย่างฉันก็จะได้ไปเสียทีไง”

      “...” รวิกานต์ยืนนิ่ง สีหน้าเธอเริ่มซีด ก่อนหยาดน้ำตาจะไหลลงมาอาบแก้ม ผมลังเลใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยวาจาเผ็ดร้อนออกไปด้วยโทสะ

      “ร้องทำไม จะหาคดีให้ฉันเพิ่มใช่ไหม เอาซิ ไปฟ้องแม่ใหญ่ด้วยหน้าตาแบบนี้ เอาเล้ยย เธอมันหลานแท้ๆนี่ ทำอะไรก็ดีไปหมดอยู่แล้ว มันไม่มีหรอกความยุติธรรมสำหรับฉันน่ะ” ผมโพล่งออกไปแล้วก็เห็นร่างเธอสั่นเทา ไม่รู้เพราะความกลัวหรือความโกรธกันแน่ ก่อนเธอจะโพล่งบางสิ่งบางอย่างออกมาเหมือนระเบิดฉนวนถูกกดปุ่มแล้ว

      “แล้วพี่ยุติธรรมกับวิแล้วหรอ ที่พี่ด่าว่าวิมันเพราะอะไรน่ะ? วิทำไม่ดีกับพี่ตอนไหน วิไม่เคยฟ้องคุณป้าไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น แต่พี่...พี่ก็ยังมองวิในแง่ร้าย ทั้งๆที่วิก็พยายามแล้ว ตอนนี้วิรู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร ก็เพราะพี่มันเป็นคนเห็นแก่ตัว! พี่คิดที่จะได้ อยากมีอยากได้เหมือนคนโน้นคนนี้ พอพี่ได้ไม่เท่าเขา พี่ก็โทษว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรม พี่เคยมองดูตัวเองบ้างไหม ว่าที่พี่เป็นอยู่ทุกวันนี้น่ะ มันดีขนาดไหนแล้ว หนูน่ะอิจฉาพี่ ได้ยินไหมๆ  ไม่มีใครจะดูถูกพี่ได้หรอกนะ ถ้าพี่ไม่ดูถูกตัวเองน่ะ“”

      รวิกานต์จากไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ผมที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ผมน่ะหรอไม่ยุติธรรมกับวิ? คำพูดของรวิกานต์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเห็นช่องทางที่สาม ที่อยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาบนทางแยก ทำให้รู้ว่าโลกนี้ก็เหมือนกระจกหลายๆด้าน อยู่ที่เราจะเลือกมอง รู้ที่เราจะเลือกเชื่อ บางที...ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่ทำให้ชีวิตผมไม่ยุติธรรมมากที่สุด...อาจะเป็นตัวผมเองก็ได้


       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×