ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ━☏゙EXO/SF▯◦by.HUNDREDPERX!━

    ลำดับตอนที่ #4 : [SF] CHANBAEK - B̲̅ŶUŅ ĠUẶRDļẪŊ

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 58


     

     

     

    “บรื๊นนนนนนนนนนนน”

     

     

    เสียงเครื่องยนต์ดังลั่นไปทั่วทั้งท้องถนน ดูคาติคันหรูที่บัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนเลี้ยวปาดวงแคบเข้าที่หัวมุมตึกอย่างน่าหวาดเสียว ฝ่ามือขาวที่สวมทับด้วยถุงมือหนังบิดคันเร่งเข้าเต็มสูบ เสียงอึกทึกคึกโครมที่ตามมานั้นเรียกความสนใจจากทั่วทุกสารทิศ ชาวเมืองต่างออกมาชะโงกหน้าดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

     

    ใบหน้าขาวเนียนที่ถูกปิดทับด้วยหมวกกันน็อคแบบเต็มหัวสีเขม่าหันกลับมามองด้านหลังเพียงครู่ ก่อนลำตัวบอบบางจะโน้มเอียงจนแผ่นอกแนบลงไปกับตัวถัง ริมฝีปากสีสดเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก บิดคันเร่งให้แรงขึ้นไปอีกจนฝุ่นตลบอบอวลไปหมด บริเวณนั้นกลายเป็นหมอกควันสีทึบ ทั้งดินทราย ไอทมิฬเข้าครอบงำเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ เขาต้องสลัดให้หลุด

     

    ขี่รถคู่ใจผ่าเข้าที่กลางลานที่จัดงานบังเทิงรื่นเริงอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้หญิง ผู้ชาย เด็กและคนแก่ยืนกันขวักไขว่เต็มไปหมด ซุ้มที่จัดตั้งไว้ถูกพังกระจายระเนระนาดเพียงแค่เด็กหนุ่มดีดนิ้ว ทั้งจัตุรัสวุ่นวายโกลาหลไปหมด หลายคนกรีดร้องและวิ่งโร่เพียงแค่หันไปเห็นกลุ่มเงาดำมืดที่คืบคลานเข้ามาหลังจากดูคาติคันนั้น จากที่อากาศแจ่มใสกลายเป็นพายุฝนเข้าปกคลุมพัดพาทุกอย่างหมุนคว้างขึ้นไปในอากาศ หากแต่นั่นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด พวกมันต้องได้ตัวเขาก่อนฟ้าสางของวันรุ่งขึ้น

     

    ไม่มีอาการหวั่นกลัวใดๆแม้จะเร่งความเร็วจนสุดแล้วก็ตาม เสียงลมอัดเข้ามาจนหูอื้อไปหมดแม้เจ้าตัวจะสวมหมวกกันน็อค เสื้อแจ็คเก็ตหนังและกางเกงยีนส์สีทึบขาดวิ่นเพียงแค่สัมผัสถูกควันมืดเหล่านั้น และนี่เป็นสิ่งที่เขาต้องหนี เม็ดดินและไอฝุ่นที่มากับลมพายุทำลายผิวขาวซีดนั้นจนขึ้นรอย

     

    อีกไม่กี่ไมล์ข้างหน้าจะถึงเท็กซัส และนั่นยังมีหวังว่าเขาจะรอด พายุมทิฬก่อตัวขึ้นเป็นขนาดใหญ่และทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องหากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้หวั่นใจ กลุ่มเมฆในพายุฝนอัดแน่นจนถึงขีดจำกัด สายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาเฉียดมอเตอร์ไซค์คันเก่งกับเจ้าของมันไปเพียงไม่กี่หลา พื้นถนนบริเวณนั้นแตกละเอียด สะเก็ดดินกระเด็นและถูกพัดขึ้นไปรวมกับก้อนพายุ คล้ายเจ้าพายุนั่นจะมีชีวิต

     

    “โว้ย!

     

    หันกลับไปตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าร้อง ราวกับว่าเจ้าพายุนั่นจะฟังเสียงของเขารู้เรื่อง แต่เปล่าเลย มันต้องการเพียงแค่ร่างกายและชีวิตของเด็กหนุ่มเท่านั้น พวกอาเดรียน (มาจากคำว่า adrianus ในภาษาละตินอเมริกันแปลว่า มองคล้ำดำมืด) ไม่มีความรู้สึกนึกคิด หรือแม้กระทั่งจิตสำนึก ร่างกายและชีวิตทุกส่วนของพวกมันถูกสร้างเพื่อรับใช้ในหน้าที่ และหน้าที่ในตอนนี้ของพวกมันคือฆ่าเขา

     

    ไม่บ่อยนักที่คนอย่างเขาจะต้องมาหนีหัวซุกหัวซุนเป็นเนื้อสดที่ถูกล่าเหมือนในครานี้ แต่ก็ใช่ว่าชีวิตของเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุข เขาทำมาแล้วเกือบทุกอาชีพ แต่อย่าเพิ่งคิดไปในแง่นั้น เขาไม่ได้เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ หรือเด็กแบกถุงแป้งในร้านเบเกอรี่หรอก ทุกอาชีพของเขาที่ว่าคืออาชีพที่ให้ค่าตอบแทนสูงเกินกว่าที่มนุษย์ปกติทั่วไปควรจะได้ และนั่นก็มักจะไม่ใช่เงินเสียด้วยสิ และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมเขาต้องมาเสี่ยงตายอย่างในตอนนี้

     

    เห็นวัวกระทิงสองสามตัวที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้อันร้างใบ อยากจะตะโกนแข่งกับเสียงฝนให้มันหลบไป แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามันคงฟังเขาไม่รู้เรื่อง ดูคาติคันงามเลี้ยวปาดหลบพวกมันไปได้อย่างเฉียดฉิว ไม่ได้ตั้งใจจะคร่าชีวิตของพวกมันไปเลยจริงๆ ลมพายุตามเขามาติดๆ พัดดูดเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในเกลียวคลื่นนั้น ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งวัวและต้นไม้

     

    แต่มีหรือความเร็วเครื่องยนต์จะสู้ความเร็วลม กลุ่มก้อนสีทึบเคลื่อนใกล้เข้ามาจนโอบล้อมรอบกาย แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมตายง่ายๆ ปาดซ้ายปาดขวาจนลมหมุนคว้างไปหมด กลุ่มเงาอาเดรียนแตกกระจายไปหลายทิศ ไอหมอกระเหิดหายไปทีละนิดเมื่อสู้กับแสงสีทองจากปลายนิ้วเรียว ถึงจะไร้สมองแต่ทรงพละกำลัง กลุ่มก้อนสีดำรวมตัวกันอีกครั้งและพุ่งเข้าใส่ เล่นเอารอบทิศมืดไปหมดจนแทบจะมองข้างหน้าไม่เห็น แสบร้อนทุกอณูผิวที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุม เด็กหนุ่มไอคลั่ก สำลักควันเข้าไปเต็มปอด

     

    “เฮือก!

     

     

    จนกระทั่งหมอกควันนั้นจางหายไป ภาพตรงหน้าปรากฏให้เห็นเด่นชัด เบื้องหน้าเป็นโรงนาขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าปกคลุมไปด้วยเศษฟาง ม่านใสเบิกกว้างด้วยความตกใจ ฝ่ามือชื้นเหงื่อกำเบรกแน่นจนท้ายรถเสียหลัก ล้อหลังหมุนปัดไปด้านข้าง ก่อนจะชนโครมเข้าอย่างจังที่หน้าประตูจนทะลุเข้าไปด้านใน

     

    โครม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

     

     

    ควันขโมงคลุ้งไปหมดจากเศษหญ้าและแผ่นไม้ที่ถูกเผาเนื่องจากแรงเสียดสี ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไปทั่วทั้งโรงนา รถดูคาติคันงามบัดนี้จอดตะแคงล้อหมุนอยู่ตรงรางน้ำ ในขณะที่ร่างเล็กๆของเด็กหนุ่มจมมิดอยู่ในกองฟาง เสียงอึกทึกด้านนอกค่อยๆเงียบลง พายุค่อยๆจางหายไป

     

     

    เสียงดังโครมครามเมื่อครู่ทำให้เด็กหนุ่มอีกคนที่แอบหลับคุดคู้อยู่ที่ชั้นบนของโรงนาตื่นจากฝันดี เขาจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยหากไม่ได้กลิ่นควันที่ลอยขึ้นมาตามลม ปาร์คชานยอลลุกขึ้นจากโซฟาหนังเก่าๆที่ถูกเจ้าของเดิมทิ้งร่าง ถอดเฮดโฟนที่เปิดเพลงเสียงดังอัดหูออกแล้วชะโงกหน้าออกไปดูที่ด้านล่าง

     

    “ชู่ว! .. บรอนชู ไม่มีอะไร แค่ของหล่น”

     

    ปีนบันไดไม้ลงไปแล้วรีบปรี่เข้าไปหาเจ้าม้าในคอกที่กำลังอาละวาดอย่างไว สองเท้าหน้าของเจ้าบรอนชูยกขึ้นตะกุยประตูรั้วให้เปิดออกด้วยสองกีบ รีบคว้าแผงคอมันไว้ไม่ให้วิ่งหนีไปไหนไกล ฝ่ามืออบอุ่นบรรจงลูบแผ่วเบาที่ข้างแก้มและอานหลัง เสียงทุ้มนุ่มบรรจงปลอบประโลมจนเจ้าม้าสงบลง

     

    และก่อนที่ไฟจะไหม้โรงนาให้มอดไปทั้งหลัง เด็กหนุ่มปิดรั้วขังเจ้าม้าบรอนชูไว้ในคอก ก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบถังน้ำถังใหญ่ที่ใส่น้ำจากรางอาหารสัตว์สาดเข้าที่กองฟางที่กำลังลุกไหม้ในทันที มอเตอร์ไซค์คันใหญ่บัดนี้จอดแน่นิ่งอยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้หรอกว่าของใคร แต่สิ่งที่เขาควรทำคือดับไฟนี้ก่อนที่เจ้าของโรงนาจะมาเจอเข้า ไม่งั้นล่ะซวยแน่ๆ

     

    “ซ่า!!!!

     

    “แค่ก!!

     

    สาดน้ำไปสองถัง ไฟที่ลุกโชนก็ดับมอดจนหมด หากแต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เสียงอะไรบางอย่างที่ดังแว่วมาจากกองฟางนั้นเรียกให้เด็กหนุ่มต้องค่อยๆเดินย่องเข้าไปหาด้วยความสงสัย คิ้วเรียวขมวดมุ่นพร้อมกับง้างถังเหล็กในมือขึ้นเหนือหัว และหากมันเป็นตัวอะไรที่ทำอันตราย เขาจะใช้ถังนี้แหละทุบมันให้หมอบไปเลย

     

    “ทำอะไรของเจ้าวะเนี่ย!!!

     

    จู่ๆก็มีชายแปลกหน้าลุกพรวดขึ้นมาจากกองฟาง ดูจากส่วนสูงแล้วไม่น่าจะเกินร้อยเจ็ดสิบห้า ทั้งตัวสวมเสื้อผ้าที่ทำจากหนังสีดำสนิท หากแต่มันดูหลุดลุ่ยและขาดวิ่นไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่นัก ผิวขาวๆที่โผล่พ้นเสื้อผ้าเห่อแดงเป็นรอยไหม้ แม้แต่หน้ากากสีทึบของหมวกกันน็อคที่สวมใส่อยู่ก็แตกละเอียดเนื่องจากแรงกระแทก มือเรียวถอดมันออก ก่อนจะทุ่มลงกับพื้นด้วยโทสะ

     

    “คะ .. คุณ เข้ามาในนี้ได้ยังไง”

     

    “รถตะแคงคาตาอยู่ขนาดนี้ ข้าขี่เรือแจวเข้ามามั้ง!!

     

    ถอดเสื้อแจ็คเก็ตและเสื้อกล้ามออกมาบิดน้ำที่เปียกชุ่มออกด้วยความหงุดหงิด เขาไม่ชอบน้ำเอาเสียเลย ไม่บ่อยนักที่เขาจะยอมให้ตัวเองเปียกน้ำ แล้วไอ้หมอนี่เป็นใคร มีสิทธิอะไรเอาน้ำกินสกปรกๆของสัตว์มาราดตัวเขา อยู่กับไฟยังจะอุ่นซะกว่า

     

    “แล้วนั่นคุณเป็นอะไรมากรึเปล่า ?”

     

    “นั่นมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า ไม่ต้องมายุ่งเลย”

     

    อยู่ๆก็จุดไฟเผาเสื้อตัวเองเสียอย่างนั้น เล่นเอาปาร์คชานยอลถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจที่อยู่ๆเปลวไฟก็ลุกขึ้นตรงหน้า ไม่มีแม้แต่ไฟแช็กหรือไม้ขีด เพียงนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่ถูเข้าหากันก็ทำให้เกิดประกายไฟได้อย่างง่ายดาย มือเรียวแขวนเสื้อหนังที่ลุกโชนปกคลุมไปด้วยลูกไฟไว้กับตะขอเหล็กที่ยื่นลงมาจากคานไม้ ก่อนนั่งลงตรวจดูอาการเจ้ารถมอเตอร์ไซค์คู่ใจทั้งๆที่เปลือยท่อนบน ร่างสูงโปร่งขยับหนีความร้อนจากตรงนั้นเพียงเล็กน้อย ความอยากรู้สงสัยทำให้เขาตื้อที่จะถามต่อ

     

    “แต่ผมเพิ่งช่วยชีวิตคุณนะ ไม่งั้นคุณโดนไฟคลอกตายไปแล้ว”

     

    “นั่นแหละที่ทำให้ข้าอยากฆ่าเจ้า”

     

    “คิดว่าผมเป็นทัดดาวบุษยาหรือไง เจ้าฮะๆอยู่นั่น”

     

    “ปัญญาอ่อน”

     

    ตอบไปเท่านั้นทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้ามองคู่สนทนา เด็กหนุ่มปริศนายังคงยุ่งง่วนอยู่กับรถของตัวเอง นั่งยองๆลงแล้วเปิดตัวถังรถออกเพื่อหยิบเครื่องมือซ่อมแซม ในขณะที่ปาร์คชานยอลเขยิบเข้าไปใกล้เรื่อยๆจนบัดนี้ร่างสูงโปร่งยืนกอดอกค้ำคนตัวเล็ก มองอีกคนที่มีท่าทางและคำพูดประหลาดนั่นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนเอ่ยคำพูดกวนประสาทเล่นๆ

     

    “ใช่ คุณนั่นแหละ”

     

    “ใช่ ข้าเอง”

     

    มือเรียวใช้ไขควงอย่างชำนาญ ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับเขาไปมากกว่ารถคันนี้อีกแล้ว และนั่นยิ่งทำให้ปาร์คชานยอลหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีกกับอาการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกคน

     

    “ฟังนะ คุณต้องบอกผมว่าคุณคือใคร ไม่งั้นถ้านายจ้างผมเข้ามาเจอคุณ ผมลำบากแน่ และจะขอร้องให้คุณช่วยออกไปเร็วๆด้วย”

     

    “บายอนด์ บี ทหารรบจักรวรรดิโรมัน 1806 นิคมอิสระตะวันตก รับจ้างหิ้วของจิปาถะ”

     

    “หิ้วของจิปาถะนี่ อย่างเช่น รองเท้าไนกี้ กระเป๋าหลุยส์ ?”

     

    “เสาวิหารคาทอลิก ผนังโบสถ์ลือชื่อ คัมภีร์ อัญมณีและอาวุธหายาก”

     

    เสียงเนือยเอ่ยตอบ เคล้าคลอไปกับเสียงก๊อกแก๊กกึกกักของเครื่องมือเหล็ก ฝ่ามือขาวซีดเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าและน้ำมัน แต่คนตัวเล็กไม่ได้สนใจ ยกตัวเครื่องขึ้นแล้วค้ำมันไว้ด้วยขาตั้งเหล็ก ก่อนจะนอนหงายราบขนาบไปกับตัวรถ มุดใบหน้าเสี้ยวหนึ่งเข้าใต้ท้องเครื่อง กลิ่นเหม็นไหม้คลุ้งเคล้าจนฉุนจมูก

     

    “อ่อ โอเค ผมเข้าใจในความแฟนตาซีของคุณแล้ว ตอนนี้ช่วยดับไฟที่เสื้อคุณและออกไปจากที่นี่ได้หรือยัง”

     

    ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาที่จะเชื่อเรื่องไร้สาระที่แต่งขึ้นมาของใครง่ายๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ได้ทุนมาเรียนต่อถึงประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ เพียงแต่เขาไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นเท่านั้น เขาไม่ใช่เด็กสองขวบที่ใครจะมาหลอกอะไรแล้วก็เชื่อไปซะหมด ยิ่งเป็นเรื่องแบบนี้แล้วยิ่งไม่เข้าเค้าเข้าไปใหญ่ แต่นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา ฝ่ามือใหญ่วางถังน้ำลงที่พื้น ก่อนเอ่ยเชิญบุคคลแปลกหน้าให้ออกไปอย่างสุภาพ

     

    ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงไขควงกระทบเหล็ก เด็กหนุ่ม(ที่อายุไม่หนุ่มแล้ว)ยังคงยุ่งง่วนอยู่กับการซ่อมรถ ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย ปาร์คชานยอลถอนหายใจแล้วค้อมตัวลงต่ำ ตอนนี้เขาควรจะกลับไปทำงานที่ฟาร์มได้แล้ว เพียงแต่เขาไม่ไว้ใจให้คนๆนี้อยู่ที่นี่

     

    “บี คุณกำลังจะทำให้ผมถูกหักเงินเดือนนะ และเสื้อตัวนั้นของคุณกำลังจะทำให้โรงนาไหม้ทั้งหลัง”

     

    “ถ้าเจ้าเรียกข้าด้วยนามนั้นอีก เจ้าจะเป็นเหมือนเสื้อตัวนั้นที่ข้าแขวนไว้”

     

    เสียงฟ้าร้องครืนอีกครั้ง กลุ่มเมฆสีเทาเข้มก่อตัวเคลื่อนอยู่เหนือพื้นดิน ไอหมอกทมิฬเริ่มกลืนกินและคืบคลานเข้ามาด้านในอีกครั้ง ลอดผ่านเข้าทางช่องหน้าต่างและประตูที่เด็กหนุ่มเพิ่งทะลุเข้ามา หากแต่บยอนบียังไม่ทันสังเกต มีเพียงชานยอลเท่านั้นที่รู้สึกว่ามันแปลกประหลาดไป สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหดหู่และขาดอากาศหายใจขึ้นมาเสียดื้อๆ

     

    “ชาร์ล!!

     

    เสียงตะโกนเรียกด้วยสำเนียงท้องถิ่นดังแว่วเข้ามาด้านใน เจ้าของชื่อหันกลับไปที่ต้นเสียงสลับกับคนที่นอนเช็คอาการรถอยู่ตรงหน้า นายจ้างของเขาเรียกแล้ว เขาคงจะหนีเข้ามาแอบหลับนานจนเกินไป เมื่อเห็นว่าการเจรจาดังกล่าวไร้ซึ่งประโยชน์ก็ยอมแพ้ เดินเอาถังน้ำไปเก็บที่เดิมก่อนจะเดินออกไปที่หน้าประตู

     

    “ถ้าออกไป เจ้าเป็นศพแน่”

     

    เอ่ยเตือนด้วยความหวังดีทั้งที่ยังสนใจอยู่กับตัวเครื่อง เขาไม่อยากให้ใครที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาตายเพราะเขานักหรอก แต่ดูเหมือนว่าไอ้เด็กนี่จะดื้อแพร่งไปซักหน่อย

     

    “ติงต๊อง”

     

    เจ้าของเสียงทุ้มห้าวหันมาตอบเท่านั้นแล้วปีนออกทางประตูที่เป็นรูโหว่ออกไปด้านนอก ฉับพลันเสียงอึกทึกครึกโครมดังตามมาจนบายอนต้องละความสนใจจากตัวเครื่องรถออกมาดู เงยหน้าขึ้นมาอีกทีไอ้เด็กเวรนั่นก็หายไปแล้ว ในโรงนาว่างเปล่าหากแต่เสียงลมพายุยังดังเข้ามาเป็นระลอก บ่งบอกว่าปาร์คชานยอลได้ออกไปจากที่นี่แล้ว

     

    “เวร ไอ้โง่เอ้ย!

     

    ลุกพรวดขึ้นแล้วรีบคว้าเสื้อแจ็คเก็ตหนังที่ลุกโชนไปด้วยไฟขึ้นมาสะบัดสองสามครั้ง ลูกไฟหายวับไปกับตา เสื้อหนังที่เคยเปียกชื้นบัดนี้กลับมาแห้งสนิทและเงาวับเช่นเดิม แต่เขาคงไม่มีเวลาจะใส่มันตอนนี้ ดวงตาเรียวรีที่ใช้เขม่าสีกรีดหนาจนดูเฉี่ยวกลอกไปมาอย่างเอือมระอา ถอนหายใจให้กับความเหนื่อยเบื้องหน้าที่ต้องเจอ ถึงเด็กนั่นจะตายมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาหรอก แต่เขาคงเห็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาตายเพราะเขาไม่ได้ คิดได้ดังนั้นก็ต้องออกไปบู๊อีกรอบ มือเรียวตวัดเสื้อตัวใหญ่พาดบ่าก่อนจะเท้ามือไว้กับผนังแล้วกระโดดลอดออกจากช่องประตูไปในทันที

     

     to be continue

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×