ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO PERIOD FANTASY] KING HEART - and the recret city of the well

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter 1 - crowd in town

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.พ. 62


     

     


    KING HEART
    CHAPTER1
    crowd in town


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

     





              “แกร๊ง!

     

     

    เสียงคมดาบเฉือนกระทบกันดั่งแว่วมาจากลานกว้างของท้องพระโรง เจ้าชายคริสวัยสิบเอ็ดปีกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามระเบียงทางเดินหลังจากได้สารจากแม่นมว่าท่านราชครูเรียกพบ ขาเรียวก้าวไปหยุดยืนอยู่ตรงบันไดพร้อมกับกระแอมไอเป็นเชิงเรียกความสนใจจากบุคคลทั้งสองที่ยืนอยู่กลางลาน

     

    “หลานข้า เข้ามาซิ กำลังสอนกลศึกให้เจ้าตัวแสบอยู่พอดี “

     

    ผู้เป็นอาพ่วงด้วยตำแหน่งราชครูเอ่ยกล่าวทักทาย พร้อมกับรอยยิ้มที่เห็นเมื่อไหร่ก็รู้สึกอบอุ่น มือกร้านผายมาข้างหน้า รับเอาแผ่นหลังกว้างของเด็กชายเข้ามาอยู่ในวงสนทนา คริสจ้องมองไปที่น้องชายของตนที่กำลังฝึกเพลงดาบอยู่อย่างมุมานะ ไม่มีแม้แต่คำกล่าวทักทาย ดวงตาคมทั้งสองคู่สบกันเพียงเสี้ยววินาที เป็นอันรู้กันว่าเจ้าชายองค์เล็กนั่นจริงจังกับการร่ำเรียนวิทยายุทธ์มากเพียงใด

     

    “หยุดเสียก่อน คาโร แสดงให้อาดูหน่อยซิ ตอนนี้เจ้าเก่งพอจะสู้พี่ชายของเจ้าได้หรือยัง “

     

    ประโยคหลังที่ไม่ได้มีเจตนาจะพูดดูแคลนของผู้เป็นอาเรียกให้เด็กชายผิวเข้มหันกลับมาอย่างไม่ต้องสงสัย ฝ่าเท้าเล็กของเจ้าชายวัยแปดปีค่อยๆก้าวเข้ามาตรงกลางลานกว้าง คริสหันไปรับเอาดาบจากผู้เป็นอาก่อนจะเดินเข้ามาสมทบอย่างจำใจ

     

    ดวงตานิ่งเรียบไร้อารมณ์สบเข้ากับดวงตาคู่คมที่บัดนี้ฉายแววมุ่งมั่นอย่างต้องการเอาชนะ  คริสเพียงแค่พ่นลมหายใจออกยาวๆ อัตราการเต้นของหัวใจยังคงดำเนินไปอย่างปกติ ต่างจากน้องชายต่างสายเลือดที่ตอนนี้กำลังหอบหนักด้วยความเหนื่อย

     

    “วืด”

     

    เป็นคาโรที่เข้าหาก่อน เด็กชายพุ่งเข้าหาผู้เป็นพี่พร้อมกับหวดดาบตวัดลงที่บ่าซ้ายของพี่ชายอย่างแรง แต่คริสหลบได้อย่างเฉียดฉิว ขาเรียวก้าวถอยหลังเพียงนิด ความสงบนิ่งของอารมณ์และสติเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาแกร่งกล้าเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีการฟาดคมดาบตอบโต้กลับไป ด้วยเกรงว่าจะพลาดเหมือนเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ รอยแผลเป็นบนแผ่นอกอันเปลือยเปล่าของผู้เป็นน้องยังคงปรากฏให้เห็นเด่นชัด

     

    “สู้เซ่!

     

    ตวัดดาบเข้าหวังจะฟันคอผู้มีศักดิ์สูงกว่าให้หลุดลงจากบ่า ไม่อาจเดาได้ว่าเจ้าชายคนเล็กต้องการจะปลิดชีพของเขาจริงๆหรือไม่ คริสค้อมตัวหลบได้อย่างสบายๆ คำสบประมาทต่างๆนานาของน้องชายไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นมัวแต่อย่างใด กลับกัน คำพูดเหล่านั้นทำให้เขาใจเย็นขึ้นกว่าเดิม เพราะรู้ว่าเจ้าน้องชายตัวดีกำลังอารมณ์ร้อนจนแทบจะลุกเป็นไฟ

     

    “ขี้ขลาด!

     

    ถ้อยคำดูถูกต่างๆนานาตะโกนใส่หน้าของผู้เป็นพี่ให้สมกับที่ใครๆพากันดูถูกและเปรียบเทียบเขากับพี่ชายผู้ซึ่งไม่มีอะไรวิเศษวิโสไปมากกว่าเขาเลยสักนิด เหล็กแหลมยังคงฟาดเฉือนไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ คริสเดินก้าวถอยหลังไปเรื่อย ไม่คิดแม้แต่จะใช้ดาบนั้นปกป้องเรือนกายอันเลอค่าของตัวเอง เขาเพียงแค่หลบไปมาเท่านั้น นั่นยิ่งสร้างความสงสัยให้กับผู้เป็นครูที่ยืนดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและสร้างความโมโหให้กับผู้เป็นน้องเป็นอย่างมาก

     

    “หวืด ฉึบ!

     

    จนกระทั่งแผ่นหลังกว้างประชิดเข้ากับกำแพงหินทางด้านหลัง จนมุมแล้ว เส้นผมสีทองยาวสลวยถูกเหล็กคมตัดฉึบหล่นร่วงลงบนพื้นในขณะที่เอี้ยวตัวหลบแล้วมุดออกทางสีข้างด้านขวาของน้องชาย คาโรคว้าเอวของพี่ชายไว้พร้อมกับเหวี่ยงอัดเข้าอย่างแรงจนแผ่นหลังของคริสกระแทกกับกำแพงอย่างจัง ดาบเล่มใหญ่ร่วงหล่นจากมือลงสู่พื้น เสียงโลหะกระทบกับพื้นแข็งจนเกิดเสียง ฝ่าเท้าเล็กยกกระทืบเข้ากลางอกของคนที่ร่วงลงไปนอนอยู่ที่พื้นอย่างแรงจนคริสต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บจุก

     

    “อั๊ก!

     

    งอตัวด้วยความเจ็บ แต่ไม่มีเวลาให้เขาได้พักไปมากกว่านั้น ปลายแหลมคมของดาบโลหะแทงลงมาที่กลางหัวจนต้องหันหน้าหลบ ได้ยินเสียงหินและทรายบริเวณนั้นแตกกระจายด้วยแรงจากคมดาบ คริสตวัดปลายเท้าเตะรวบขาให้คนบนร่างเสียหลักล้มลงบนพื้น ก่อนที่ฝ่าเท้าเล็กจะเตะดาบนั้นให้กระเด็นออกไปไกล

     

    “แฮ่ก!

     

    เมื่อไม่มีอาวุธ เจ้าของผิวสีแทนอันงดงามลุกขึ้นคร่อมเหนือร่างของพี่ชาย คาโรไม่เหลือสติอีกต่อไปแล้ว สองมือเล็กคว้าหมับเข้าที่ลำคอสวยก่อนจะออกแรงบีบมันอย่างแรงราวกับจะช่วงชิงลมหายใจ ร่างน้อยด้านบนหอบแฮ่ก แก้วตาคู่คมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีนิฬเข้มทั้งดวงตา ไอหมอกสีดำทะมึนเริ่มแผ่กระจายทั่วเรือนร่างอย่างไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป คริสเพียงแค่จับมือร้อนที่กำลังบีบคอของเขาไว้ ฟันคมขบกรามแน่นพร้อมกับยื้อมันออกแต่ไร้ผล

     

    “หลานข้า .. เย็นไว้ก่อน เย็นไว้ “

     

    เป็นท่านอาที่เข้ามาห้ามเอาไว้ เพียงฝ่ามืออบอุ่นแตะเบาๆที่สองมือน้อย แรงบีบรัดก็คลายออก คาโรลุกออกไปจากร่างของเขาแล้ว เด็กชายหอบหนักพร้อมกับกำมือแน่น นัยน์ตาคู่คมค่อยๆกลับคืนสู่ปกติอย่างช้าๆ ไอสีหม่นค่อยๆจางลงจนหายไปในที่สุด

     

    “แฮ่ก .. “

     

    คริสลุกขึ้นนั่ง ฝ่ามือเย็นลูบลำคอตัวเองป้อยๆ รู้สึกปวดแสบปวดร้อนจนหายใจได้ลำบาก ผู้เป็นอานั่งลงข้างๆ ก่อนจะใช้กริชเล่มเล็กเฉือนข้อมือตัวเองเบาๆ เลื่อนไปจ่อริมฝีปากหยักได้รูปของหลานชายคนโต

     

    “ดื่มซักหน่อย จะได้ดีขึ้น”

     

    “แต่ .. แฮ่ก ..ข้าไม่กินเลือดมนุษย์หรอกนะท่านอา “

     

    พูดไปก็หอบไป เด็กชายปรายตามองข้อแขนของผู้เป็นอาที่บัดนี้ชุ่มไปด้วยเลือด โลหิตสีแดงข้นกำลังหยดลงพื้นอย่างน่าเสียดาย กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนกำลังลอยฟุ้งในความรู้สึก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถห้ามความอยากของร่างกายตัวเองได้ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงขณะที่เจ้าตัวกลืนน้ำลาย

     

    “เวลานี้จะให้ข้าไปฆ่านกสักตัวมาให้เจ้าหรือ ? “

     

    “...”

     

    “เร็วเข้า เปลืองเลือดข้านะ “

     

    ข้อแขนแกร่งจ่อจนประชิดริมฝีปาก จนเด็กหนุ่มต้องค่อยๆอ้าปากรับมันไปอย่างจำยอม รสชาติน่าสะอิดสะเอียนถูกกล้ำกลืนผ่านลงไปในลำคอ ความขมคาวแผ่ซ่านไปทั่วริมฝีปากจนแทบจะสำลักเสียให้ได้ เขาไม่ได้ต้องการแบบนี้ ชีวิตที่ถูกสาปนั้นราวกับตายทั้งเป็น เพียงแค่เขาเป็นบุตรที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา กับมารดาซึ่งเป็นนางไม้ผู้ต้องมนต์ ต้องดื่มเลือดเพื่อประทังชีวิต ประคองวิญญาณอันอ่อนแอให้คงอยู่กับร่างกายที่ไม่มีวันสูญสิ้น

     

    ริมฝีปากหยักฉ่ำวาวไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม เขาอยากจะหยุดดื่มเสียเดียวนี้แต่ก็ติดที่ว่าข้อแขนแกร่งของผู้เป็นอายังไม่ละออกไป ของเหลวข้นเหนียวทะลักออกมาเรื่อยๆจนเขาต้องดูดกลืนเข้าไปอย่างฝืนทน จะเป็นอย่างไรหากเขาฝืนไม่ยอมดื่มมันเข้าไปตามกำหนดเวลา คริสยังจำมันได้ดี วันที่เขานอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงกว้างในห้องชั้นบนสุดของหอคอย วิญญาณอันบริสุทธิ์กำลังต่อต้านร่างกายที่เป็นบาปของตัวเอง ราวกับมีเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทงไปทั่วร่างไม่มีหยุดหย่อน

     

    คาโรนั่งมองพี่ชายของตัวเองที่กำลังดื่มเลือดจากท่านอาด้วยสีหน้าพะอืดพะอมเต็มทน ทั้งรู้สึกสงสารและสมเพชพี่ชายของตัวเองไปในเวลาเดียวกัน ดวงตาคมหลุบลงมองสองมือของตัวเองที่เกือบคร่าชีวิตผู้เป็นพี่ไปเสียแล้ว เขากำลังสับสน .. สับสนและหวาดกลัว ทั้งความรู้สึกรักและนับถือ อิจฉาและเกลียดชังกำลังตีกันมั่วไปหมดจนไม่รู้จะทำอย่างไร

     

    สองมือเล็กกำเข้าหากันแน่นอีกครั้ง เขาไม่ต้องกินเลือดทุกๆวันเหมือนพี่ชายของเขา ไม่ต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างทั้งๆที่อายุยังน้อย ไม่ต้องนอนฝันร้ายเกือบทุกคืน ไม่ต้องเก็บงำความรู้สึกใดๆเอาไว้เหมือนที่พี่ชายของเขาทำ เขาเป็นอิสระ

     

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้ในสิ่งที่ควรจะได้ เขาควรจะได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดราชสมบัติเป็นคนแรก แทนที่จะเป็นคริสซึ่งเกิดมาจากความพลาดพลั้งของพระบิดา ในขณะที่เขาเป็นบุตรชายที่ถูกต้องตามจารีตประเพณีทุกอย่าง บัลลังก์ควรเป็นของเขา .. ไม่ใช่คริส

     

    หลายคำจากหลายคนที่พูดบั่นทอนความรู้สึกของเขา มีสิ่งใดหรือที่เขาไม่ทัดเทียม มีอะไรที่คริสทำได้แล้วเขาทำไม่ได้ แค่ความพยายามก็ต่างกันมากโขแล้ว คริสไม่มีความทะเยอทะยานอะไรสักอย่าง แต่กลับได้ทุกอย่างมาง่ายๆ  

     

     

    นี่หรือเซนทิเวเนียเมืองแห่งความรักและความยุติธรรม ?

     

     

    ไม่มีความยุติธรรมใดๆที่เขาควรจะได้รับ .. ไม่มีเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เห็นนี่ไหม “

     

    เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกให้เด็กชายสองคนละความสนใจจากตำราเล่มโตก่อนจะวิ่งเข้าไปหา หนังสือเล่มใหญ่เกินกว่าเด็กสองคนจะถือไหวถูกวางอยู่บนแท่นไม้ขนาดพอดีกับความสูง คริสและคาโรชะโงกหน้าเข้าไปดู ภาพต้นไม้อะไรสักอย่างที่พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นปรากฏชัดเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือที่ทำจากแผ่นหนัง ลำต้นใหญ่ยักษ์ถูกห่อหุ้มด้วยมอสและเฟิร์นสีเขียวตั้งตระหง่านอยู่กลางหน้ากระดาษ

     

    “มันคืออะไรหรือท่านอา “

     

    เจ้าชายองค์เล็กตรัสถามด้วยความสงสัย สองตาคมจับจ้องไล่ไปตามอักขระแปลกประหลาดที่เขาเองก็อ่านไม่ออก เช่นเดียวกันกับคริส เด็กชายตัวสูงกว่ากำลังยืนซ้อนหลังน้องชายพร้อมกับจ้องมันอย่างสงสัยใคร่รู้ แม้ว่าสีหน้าหรือท่าทางจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยก็ตาม

     

    “ของวิเศษ “

     

    เอ่ยบอกพร้อมกับรอยยิ้มปริศนา มือกร้านของชายวัยกลางคนเลื่อนไปพลิกหน้าหนังสืออีกหน้าให้สองหลานชายดูภาพที่ใหญ่ขึ้นและอธิบายมันอย่างคร่าวๆ เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักแม้จะไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่นัก ของวิเศษที่ว่านี้มันคืออะไรกัน

     

    “ถ้าเจ้าทั้งสองอยากได้รางวัลจากอา จงไปนำรากของต้นไม้นี้กลับมาให้อา ตกลงไหม ?“

     

     

     

     

     

     

    “แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันอยู่ไหน “

     

    เสียงที่ยังไม่แตกหนุ่มบ่นไปตลอดทาง ส่งมีดเล่มยาวฟันฉึบไปตามกิ่งไม้ที่กำลังขวางทางพวกเขาทั้งสองอยู่ในตอนนี้ คริสเดินตามหลัง จ้องมองแผนที่ที่ถูกสลักลงบนแผ่นหนังในมือ คลี่มันออกทั้งหมดก่อนจะทำความเข้าใจกับมันคร่าวๆ ไม่มีอะไรบอกตำแหน่งได้เลยว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน พวกเขาเริ่มจากชายป่าทางเหนือติดกับกำแพงเมืองด้านหลังสุดของปราสาท จนตอนนี้ก็เดินกันมาได้ไกลพอสมควรแล้ว น่าแปลกที่ท่านอาให้พวกเขาทั้งคู่เข้ามาในป่านี้ตามลำพัง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ห้ามนักห้ามหนาไม่ให้เข้าไป

     

    “ข้าว่า กลับเถอะคาร์ล ถ้าท่านพ่อกับท่านแม่รู้คงไม่ดีเท่าไหร่ “

     

    “ถ้าเจ้ากลัวนักก็กลับไปเถอะ แต่ข้าจะไป “

     

    ยังคงรั้นตามนิสัย คริสทำได้แค่เพียงถอนหายใจแล้วเดินตามผู้เป็นน้องชายต่างสายเลือดไปอย่างเงียบๆเท่านั้น รู้สึกไม่ชอบมากลเท่าไหร่นักเมื่อทางที่พวกเขากำลังเดินอยู่เริ่มมืดครึ้มและรกชัฏมากขึ้นเรื่อยๆ รากต้นไม้ใหญ่ปกคลุมผืนดินจนดำทะมึน ไร้ซึ่งเสียงนกและแมลงใดๆรบกวน ไอเย็นปกคลุมไปทั่วพื้นที่จนรู้สึกขนลุก ต้นไม้หนาทึบจนแทบจะหาที่เดินเข้าไปลำบาก

     

    “เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามันต้องไปทางนี้ “

     

    “ความรู้สึกข้ามันบอก “

     

    ทั้งคู่เดินไปตามความรู้สึกของเจ้าชายองค์เล็กมาเป็นเวลากลายชั่วโมง จากป่าที่รกชัฏและมืดทะมึนเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หญ้ามอสสีเขียวสดเริ่มขึ้นประปรายจนปกคลุมไปทั่วผืนดินในที่สุด ได้ยินเสียงน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ให้เดาคงเป็นน้ำตกขนาดเล็กที่ผุดจากตาน้ำบริเวณหน้าผาทางด้านหน้าที่พวกเขาเห็น ต้นไม้นานาพันธุ์หลากสีสันเรืองแสงสว่างวาบขึ้นมาราวกับยินดีในผู้มาเยือน

     

    “ฮี่ “

     

    เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นภูติจิ๋วไม่กี่ตนกำลังบินว่อนอยู่เหนือหัว บ้างตัวสีแดงอมส้ม บ้างตัวสีฟ้าน้ำทะเลดูสดใส บ้างตัวสีเขียวมรกตสวยงามยิ่งนัก ละอองสีม่วงอมชมพูจากถูกโปรยลงมาจนต้องกลั้นหายใจด้วยความฉุน คริสเบ้หน้าพร้อมกับปิดจมูกหนีกลิ่นรัญจวนเหล่านั้น ต่างกับคาโรที่ตอนนี้กำลังไล่ไขว่คว้าเจ้าตัวภูติที่ไม่ได้เห็นบ่อยเท่าไหร่นัก กลิ่นหอมของมันเย้ายวนเกินกว่าที่จะห้ามใจได้

     

    “คาร์ล เดี๋ยว..”

     

    เอ่ยเรียกชื่อเล่นของผู้เป็นน้องที่บัดนี้รีบเดินไปไกลเสียแล้ว เจ้าชายองค์โตเก็บดาบลงกับฝักแล้วรีบวิ่งตามไปให้ทัน ขาเรียวกระโดดข้ามโขดหินลื่นไปอย่างหวุดหวิด เกือบเหยียบหัวเจ้าเต่าน้อยที่กำลังเงยหน้ามองเขาเข้าเสียแล้ว ท่าทางมันจะนอนจำศีลอยู่ตรงนี้มานานเกินปี มอสและต้นไม้เล็กๆถึงได้ผุดขึ้นอยู่บนกระดองของมัน

     

    เดินเข้าป่าลึกเข้าไปเรื่อยๆ คริสหันกลับหลัง ป่าทมิฬที่พวกเขาเพิ่งจะเดินผ่านมานั้นห่างหายไปไกลจนลับตา เหลือเพียงป่าอันสวยงามที่เต็มไปด้วยเห็ดหลากสีและไม้นานนาพันธุ์ที่กำลังดึงดูดพวกเขาให้เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ

     

    “ได้ยินเสียงนั่นไหม “

     

    เจ้าชายองค์เล็กหันมาถาม พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ คริสเงยหน้าขึ้นด้านบนพร้อมกับเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงคล้ายๆเสียงสตรีเอื้อนเอ่ยขับร้องเป็นทำนองอันไพเราะคุ้นเคยเหมือนกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

     

    เดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ เลาะไปตามทางน้ำที่ไหลเอื่อยเลียบหินโทนสีอ่อน ทุกครั้งที่พวกเขาก้าวเหยียบไปตามหินเหล่านั้น ราวกับเครื่องดนตรีหลากชนิดบรรเลงเพลงไล่ไปตามโน้ตเสียงคลอกับเสียงขับกล่อมที่แว่วมา ดังชัดขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับว่าใกล้ถึงต้นเสียงนั้นเต็มที

     

    !!!

     

    แต่แล้วเจ้าชายทั้งสองก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความทึ่ง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นเหมือนกับในตำราเล่มยักษ์ที่เขาเห็นเมื่อเช้าไม่มีผิดเพี้ยน แต่ของจริงนั้นสวยกว่าในรูปหลายเท่านัก เจอเข้าแล้ว ..ต้นไม้ต้นยักษ์ที่ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวสดตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางป่าลึก เถาวัลย์เรืองแสงหลากสีเปล่งแสงในตนเองระโยงรยางค์เชื่อมกับต้นไม้เล็กทุกต้นโดยรอบ มันดูงดงามเหมือนซุ้มไฟในเทศกาลเฉลิมฉลองครบรอบวันเกิดขององค์ราชาก็มิปาน ดอกไม้หลากสีสันหลากชนิดผุดขึ้นเรียงรายคละกันสวยงามราวกับมีคนมาเสริมแต่งมันไว้ตั้งแต่ต้น ไอเย็นจากพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวขจีลอยขึ้นจนฟุ้ง หิ่งห้อยที่ไม่ได้มีแค่สีขาว หรือสีเหลืองกำลังบินเป็นกลุ่มอยู่เหนือพุ่มไม้ ทั่วทั้งบริเวณอบอวลไปด้วยควันหลากสีจากภูติตัวจิ๋วที่นำทางลอยละล่องอยู่เหนือกิ่งไม้ใหญ่

     

    เงยหน้าขึ้นด้านบน ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงจนเปลี่ยนเป็นม่วงอมฟ้าขับให้แสงสว่างจากต้นไม้หน้าตาประหลาดเหล่านั้นดูสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก เสียงปีกของแมลงและเสียงนกคลอไปกับเสียงน้ำไหล และที่เด่นชัดที่สุดคือเสียงขับร้องของหญิงสาวที่ดังชัดเหนือสิ่งอื่นใดราวกับมีใครมาบรรเลงดนตรีอันแสนไพเราะอยู่ข้างหู

     

    เดินก้าวเข้าไปช้าๆอย่างระมัดระวังไม่ให้ไปรบกวนสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนผืนหญ้าอย่างมีความสุข เจ้าชายพระองค์เล็กละสายตาจากความสวยงามเหล่านั้นก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับรากต้นไม้ใหญ่อันเลอค่า เพียงแค่นำมันกลับไป เท่านี้เขาก็จะได้รางวัลพร้อมกับคำชมจากท่านอาแล้ว

     

    เงยหน้าขึ้นไปอีกนิด ตรงกิ่งไม้ที่โค้งงอคล้ายกับเปลไกวที่สานด้วยเถาวัลย์สีอ่อน ปรากฏร่างหญิงสาวนั่งอยู่บนนั้น ปลายเท้าเปลือยเปล่าห้อยลงมาจากด้านบน ใบหน้าของนางงดงามยิ่งกว่าสตรีใดที่พวกเขาเคยพบเจอ เรือนกายขาวผ่องดุจหิมะแรกมีเพียงเส้นหญ้าแก้วที่ถักทอเป็นผืนพอให้ปกปิดส่วนโค้งเว้าต่างๆ ใบหน้ามนเชิดขึ้นต้องแสงจันทร์ ริมฝีปากสีสดฉ่ำวาวเอื้อนเอ่ยขับร้องท่วงทำนอง พร้อมกับดวงตาแวววาวกลมใสประหนึ่งลูกกวางที่กำลังจ้องมองมาทางนี้ นี่เองเจ้าของเสียงที่นำพวกเขามาที่นี่

     

    เสียงอันไพเราะนั้นราวกับเป็นมนต์สะกดที่เรียกสองเจ้าชายเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นทุกที คริสเดินเข้าไปถึงโคนต้นไม้ ละอองสีขาวจากภูติจิ๋วลอยฟุ้งอยู่ใกล้ๆ มือเรียวคว้ามันไว้ ดวงตาคมเหม่อลอยราวกับต้องมนต์เมื่อกลิ่นอันหอมหวนรัญจวนแตะปลายจมูก

     

    มือสวยยื่นออกมาตรงหน้า เด็กชายเดินเข้าไปหามือนั้นช้าๆอย่างไม่รู้สึกตัว ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายพระองค์โตถูกเกลี่ยสัมผัสเบาๆด้วยปลายนิ้ว ก่อนหญิงสาวจะคว้าเอาท้ายทอยของคริสดึงเข้าไปกอดช้าๆ ใบหน้าคมซุกอยู่กับเนินอกอิ่มตึงขาวผ่อง กลิ่นกายอันเย้ายวนกำลังมอมเมาเขาจนแทบสิ้นสติ

     

    “แกร๊ซ!!!!!!!!!!!!!!!

     

    แต่แล้วมนต์สะกดก็คลายออกเมื่อเจ้าชายพระองค์เล็กดึงกริชออกจากข้างเอวแล้วเฉือนเอาส่วนหนึ่งของรากต้นไม้ยักษ์นั้นมาใส่ห่อผ้า สตรีผู้งามเลิศบนเปลไม้สานผละออกจากอ้อมกอดของเด็กชายอีกคนก่อนที่เจ้าของเรือนร่างสวยงามนั้นจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ผิวกายขาวผ่องบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำและแห้งกร้านเหมือนกับเปลือกไม้ มือที่ฉาบไปด้วยเล็บยาวแหลมตวัดฟาดเข้าที่ใบหน้าของคริสอย่างจังด้วยโทสะ ริมฝีปากฉ่ำวาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำพร้อมกับอ้ากว้างและส่งเสียงร้องโหยหวน แก้วตาใสเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดปูดโปนเหลือกขึ้นดูน่ากลัว เส้นเลือดสีม่วงแดงนูนขึ้นเด่นชัดตามเรือนร่าง เจ้าชายองค์เล็กถอยผงะ ทั้งห่อผ้าและกริชในมือร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้า

     

     

    นางไม้ .. ไม่ผิดแน่ๆ นี่คือนางไม้..

     

     

     

    ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะหลงใหลนางในเวลาเพียงสั้นๆ ควันฟุ้งหลากสีที่สิ่งกลิ่นหอมของภูติตัวจิ๋มนั้นล่อลวงให้พวกเขามอมมายไร้สติ ความงดงามไร้ที่ติที่เห็นมาก่อนหน้าคือภาพลวงเพื่อล่อให้เหยื่อติดกับ เหมือนกับตามคำร่ำลือที่กล่าวขานกันมาว่าพวกนางไม้นั้นมากไปด้วยสเน่ห์และเล่ห์กล ชายใดที่เข้าใกล้จำต้องหลงใหลใคร่รักพวกนางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เช่นเดียวกับพระบิดาของเขา นับว่าเป็นโชคดีแค่ไหนขององค์ราชาที่รอดชีวิตจากเล่ห์เหลี่ยมของนางได้

     

    “เจ้า!!!!!

     

    นิ้วยาวที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกชี้หน้าเด็กชายพร้อมกับเสียงสั่นเครือแหบแห้งที่ตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว ต่างกับเสียงขับร้องอันแสนหวานเมื่อครู่ ผืนแผ่นดินไหวสะเทือนเสียจนใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว คริสค่อยๆคลานไปหาน้องชายแล้วคว้าข้อมือเล็กให้ออกวิ่ง แต่คาโรยังคงไม่ยอมลุกขึ้น เด็กชายพยายามเอื้อมมือไปหยิบห่อผ้าที่อยู่ตรงหน้าห่างไปไม่กี่คืบ

     

    เล็บยาวข่วนลงบนแผ่นอกของเจ้าชายพระองค์โตที่เข้ามายืนขวางจนล้มลง ฝ่ามือหยาบโลนเงื้อขึ้นอีกครั้ง เสียงหายใจฟึดฟัดพร้อมกับเสียงกรีดร้องของนางไม้ดั่งลั่นไปทั่วทั้งผืนป่า เด็กชายหลับตาลงอย่างยินยอม อย่างน้อยก็ยังพอถ่วงเวลาให้น้องชายของเขาหยิบห่อผ้านั้นแล้ววิ่งหนีไปได้ทันเวลา

     

    !!!

     

    ฉับพลันฝ่ามือกร้านค้างครึ่งกลางอากาศ คริสลืมตาขึ้นก็เห็นเด็กหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังจับข้อมือของนางไม้ตนนั้นไว้อยู่ เสียงเล็กตะโกนบอกให้เขากับจงอินรีบหนีไป ดวงตาคมจำต้องละออกจากใบหน้าอันแสนงดงามหมดจดนั้นอย่างเสียดายแม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เด็กชายรีบหยิบห่อผ้านั้นนั้นมาถือเอาไว้ก่อนคว้าข้อมือเล็กของน้องชายแล้วออกวิ่งกลับไปยังทางเดิมที่เข้ามาโดยไม่ลืมเหลียวหลังกลับมามองใบหน้างดงามนั้นอีกครั้ง

     

     

     

    สองสายตาประสานกัน เขายังจำภาพและความรู้สึกเหล่านั้นได้ดี แม้จะล่วงเลยผ่านวันที่สามมาแล้วที่เข้าไปในป่านั้น เจ้าชายพระองค์โตนั่งพิงอยู่บนขอบหน้าต่างที่ห้องชั้นบนสุดของปราสาท เหม่อมองออกไปในป่านอกกำแพงนั้นก่อนจะถอนหายใจแล้วหลับตาลงช้าๆ ภาพใบหน้าอันงดงามนั้นยังคงตราตรึงเด่นชัดอยู่ในความรู้สึก

     

     

     

     

     

    เจ็ดปีต่อมา ฤดูใบไม้ผลิล่วงเลยมาถึง พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทถูกจัดขึ้นที่พระราชวัง เหล่าประชาชนและข้าราชบริพารต่างร่วมเฉลิมฉลองแสดงความยินดีด้วยความปลื้มปิติแก่เจ้าชายทั้งสองพระองค์ ร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมสีขาวประดับอัญมณีสีเงินดูทรงสง่า ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้นมองตรงไปยังภาพในกระจกเบื้องหน้า เหล่าบริวารห้อมล้อมต่างช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องวุ่นวายไปหมด ผ้าสีขาวและริบบิ้นสีทองอ้อมหน้าอ้อมหลังดูสวยงามอลังการแต่กลับให้ความรู้สึกระเกะระกะให้แก่ผู้สวมใส่ยิ่งนัก เส้นผมสีทองสลวยถูกรวบก้าวไปด้านหลังด้วยริบบิ้นสีโทนเดียวกันกับเครื่องทรง

     

    เดินมาจนถึงกลางท้องพระโรงหลังจากกล่าวอะไรเล็กๆน้อยๆเป็นการทักทายเหล่าผสกนิกรแล้ว ไม่มีวี่แววของผู้เป็นน้องว่าจะโผล่มาในมงคลพิธี คาร์ลคงไม่อยากจะร่วมยินดีกับเขาสักเท่าไหร่นัก

     

    “ขอฤทธาของดาบอันศักดิ์สิทธิ์นี้ปกป้ององค์รัชทายาทแห่งเซนทิเวเนีย เจ้าจงตั้งมั่นอยู่ในความดี ปกครองเมืองแห่งนี้ด้วยความรักและความยุติธรรมในภายภาคหน้า”

     

    สรุเสียงอันทรงพลังขององค์ราชาไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของเจ้าชายสักเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อคมมองตรงไปยังด้านหน้าดูสง่าผ่าเผยยิ่งนักยามได้เห็น หันกลับไปสบตากับผู้เป็นอาที่ยืนอยู่เคียงข้างกับพระบิดาเพียงนิด ชายมีอายุเพียงแค่ยืนมองและพยักหน้าให้เขาเท่านั้น สันดาบไร้คมแตะแผ่วเบาที่ไหล่ทั้งสองข้าง พระหัตถ์อับอบอุ่นของพระบิดาสัมผัสผะแผ่วที่กลางหน้าผาก  คริสหลับตาลงรับสัมผัสนั้น มงกุฎประดับทองคำขาวที่สั่งทำจากช่างฝีมือดีที่สุดในเมืองถูกวางบนลงบนเรือนผมสีทองที่น้อมศีรษะรับ

     

    หันกลับมาตรงหน้ามณฑลพิธีอีกครั้ง เหล่าชาวประชาต่างปลาบปลื้มในตัวองค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก เสียงกู่ร้องปรบมือยินดีดังก้องไปทั่วทั้งโถงใหญ่ บรรดาหญิงสาวน้อยใหญ่ต่างหลงใหลใคร่รักในรูปโฉมที่งดงามไร้ที่ตินั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ทั้งความเก่งกล้าสามารถที่มิอาจมีใครเทียบเทียมได้ แต่ใครจะรู้ความลับที่ซ้อนอยู่ในดวงตาคู่คมคู่นั้น ..

     

    กวาดสายตามองไปโดยรอบทั้งที่กรอบหน้าคมยังคงเรียบนิ่ง จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เห็นมีวี่แววของผู้เป็นน้องชายอยู่ในพิธี ใบหน้าเรียวเชิดขึ้น คริสค่อยๆก้าวเดินไปตามผืนพรมแดงที่ปูทอดยาวลงไปเบื้องล่างช้าๆอย่างทรงสง่า สองข้างทางมีแต่กลีบดอกไม้ปูโรยไปทั่ว เสียงปรบมือยังคงดังก้องไปทั่วพระราชวัง

     

    “เฮือก!

     

    “ตุ่บ .. “

     

    แม้เสียงปรบมือยินดีของเหล่าผสกนิกรจะดังก้องเพียงเท่าใด แต่เสียงหนึ่งที่ดังก้องในโสตประสาททำให้คริสต้องหันกลับไปด้านหลัง ร่างขององค์ราชาล้มลงตรงหน้าเขา ดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มใหญ่ร่วงหล่นลงบนพื้นจนเกิดเสียง ขาเรียวยาวรีบก้าวปรี่เข้าไปหาในทันที สองมือประคองร่างไร้สติของพระบิดาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ออกแรงเขย่าเพียงนิด ปลายนิ้วเรียวอังบริเวณปลายจมูกพร้อมกับฝ่ามืออีกข้างที่ทาบลงบนลำคอของชายชรา

     

    “ท่านพ่อ!!

     

     

     

    องค์ราชา ..

     

    ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ฝ่าบาท ..“

     

    “.... “

     

    “ฝ่าบาทพะยะค่ะ ? ฝ่าบาท! “

     

    ส่งเสียงพร้อมกับเลื่อนมือไปโบกๆตรงหน้าพระราชาเป็นเชิงเรียกสติ คริสสะดุ้งเล็กน้อยราวกับหลุดจากภวังค์ก่อนจะหันกลับไปหาเจ้าของเสียง แววตาเรียบนิ่งจ้องมองคนสนิทพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

     

    “ขอประทานอภัยพะยะค่ะ แหะ ๆ “

     

    ยิ้มแหยๆเมื่อได้รับสายตานิ่งงันส่งกลับมา ที่ปรึกษาคนสนิทเก็บมือตัวเองลงกับหน้าตักก่อนจะรีบค้อมตัวด้วยความเกรงกลัวพระอาญาที่เผลอลืมตัวไปทำกริยาจาบจ้วงเมื่อครู่ เจ้าตัวหลุบตาลงพลางก้มหน้าต่ำ แค่นึกว่าหัวตัวเองจะย้ายออกจากบ่าลงไปอยู่ที่พื้นพร้อมกับเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วก็ขนลุกเกรียว

     

    “มีอะไร “

     

    “คือ! .. กระหม่อม จะทูลว่า.. กระหม่อมจะไปอาบน้ำนะพะยะค่ะ “

     

    ไร้ซึ่งน้ำเสียงใดๆตอบกลับ สองมือที่ประนมค้างไว้ก็เป็นอันต้องเก็บไปในที่สุด ขุนนางคนสนิทโค้งจนหัวแทบจะทิ่มดินแล้วรีบจรลีออกไปจากห้องทรงงานอย่างรวดเร็วเมื่อองค์ราชาอนุญาติ

     

     

     

     

     

    “บายอน ข้างนอกนั่นมีอะไรหรอ”

     

    เสียงที่ยังไม่แตกหนุ่มของเจ้าชายองค์เล็กเอ่ยถาม สองขาเล็กห้อยลงมาจากเตียงกว้างพลางแกว่งไปมา ก่อนจะชะเง้อดูตรงหน้าต่างบานโต ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ลุกขึ้นมาเหมือนว่าอยากจะรู้สักเท่าไหร่

     

    “ข้าก็ไม่รู้”

     

    เจ้าชายองค์โตตอบ ในขณะที่ใบหน้าสวยหวานราวกับอิสตรียังคงจ้องมองผ่านหน้าต่างไปยังเบื้องล่าง สองมือเรียวเร่งปลดชุดพิธีอันเกะกะออกจากเรือนกาย ริบบิ้นสีทองถูกใช้ผูกเส้นผมยาวที่รวบเก็บขึ้นมา

     

    “ถ้ารำคาญนักทำไมพี่ไม่ตัดซะล่ะ?”

     

    “ข้าก็ไม่รู้”

     

    “แล้วพี่รู้อะไรบ้าง”

     

    “รู้ว่าเจ้าควรอยู่ที่นี่”

     

    พูดจบก็ยกเท้าขึ้นเหยียบบนเตียงกว้างจนเจ้าชายองค์เล็กต้องรีบเขยิบหนี มือเรียวถูกส่งไปยีหัวน้องชายเบาๆก่อนจะเลื่อนมาผูกเชือกรองเท้าหนังให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ดวงตาเรียวรีกวาดมองไปทั่วห้องราวกับกำลังมองหาบางอย่าง

     

    “ดาบข้าอยู่ไหนเซฮัน”

     

    “ข้าก็ไม่รู้”

     

    “ย้อนข้าหรอเจ้าตัวแสบ ?”

     

    ดีดหน้าผากเข้าให้อีกทีจนคนที่นั่งอยู่บนเตียงต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ ริมฝีปากสีสดเบะคว่ำ มือขาวยกขึ้นมาลูบป้อยๆบริเวณหน้าผากของตัวเองเบาๆเพื่อบรรเทาความเจ็บ

     

    “โอ๊ยย นั่นพี่จะไปไหน “

     

    “ไปกู้เมืองของข้าน่ะสิ“

     

    “โถ่ ตัวก็แค่นี้จะไปสู้ใครเขาได้ “

     

    “อีกหน่อยข้าต้องเป็นราชานะเซบ จะให้ข้างอมืองอเท้าอยู่อย่างนี้หรือไง”

     

    “ให้ท่านพ่อดูแก่ลงกว่านี้สักนิดนึงก่อนเถอะ อยู่มาเป็นร้อยปีแล้วนะอย่าลืม”

     

    “เพราะเอาแต่คิดแบบนี้ไงเจ้าถึงยังไม่โตสักที อยู่นี่นะ คอยดึงความสนใจจากพวกทหารให้ข้าด้วย”

     

    หยิกแก้มนิ่มๆนั้นอย่างมันเขี้ยวไปหนึ่งที ก่อนที่เจ้าของแก้มใสจะกลอกตาขึ้นด้านบนอย่างหน่ายใจ ถอนหายใจยาวแล้วลุกออกจากเตียงไป ร่างเล็กๆวิ่งไปที่ประตูอีกด้านของห้องนอนกว้าง ก่อนจะทุ่มตะเกียงลงกับพื้น เสียงโหวกเหวกโวยวายของเจ้าชายองค์เล็กเรียกความสนใจจากเหล่าทหารและเหล่าบริวารที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ทั้งหมด

     

    จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่หน้าประตูอีกฟากในห้องชั้นบนสุดของหอคอยแล้ว ประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ถูกแง้มออกอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าน่ารักโผล่พ้นออกมาเพียงแค่ตากับจมูก ก่อนจะค่อยๆย่องลงไปทางบันไดทิศตะวันออกของปราสาทอย่างรวดเร็ว

     

    “แฮ่ก!

     

    เจ้าชายบายอนหอบฮัก เกือบสะดุดชายผ้าคลุมตัวเองล้มหน้าคะมำ เขาไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน สองมือเล็กดึงฮู้ดสีเข้มขึ้นมาปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้ก่อนจะค่อยเดินเลาะไปตามระเบียงปราสาท กว่าจะลงมาถึงชั้นล่างได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก

     

    สองขาเล็กก้าวไปเรื่อยๆอย่างเร็วจนแทบจะวิ่ง ที่โถงทางเดินมีทหารประจำอยู่เป็นจุดๆ การจะเดินท่อมๆออกไปโดยไม่ถูกหิ้วกลับขึ้นไปที่เดิมนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในตอนนี้ บายอนพรูลมหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย ค้อมตัวลงต่ำก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งคลานไปตามระเบียงแคบของชั้นลอยด้วยใจระทึก

     

    จนในที่สุดเจ้าชายแสนซนก็ข้ามไปอีกฟากของชั้นลอยได้สำเร็จโดยที่ไม่ถูกใครเห็นเข้า หยุดหอบที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ ด้านล่างเป็นบันไดเชื่อมลงไปด้านล่างเพื่อลงไปที่ห้องโถงใหญ่ หัวใจดวงน้อยหล่นวูบไปที่เท้าเมื่อเห็นหมวกเหล็กที่ทหารสวมใส่โผล่ขึ้นมาจากบันไดชั้นล่าง พร้อมกับร่างกำยำของทหารหนุ่มที่กำลังจะเดินขึ้นมาข้างบน

     

    แต่เจ้าชายองค์โตไม่โง่พอที่จะให้ทหารร่างยักษ์มาอุ้มเขาถึงที่ มือเล็กกระชากประตูไม้ด้านข้างออกอย่างแรงแล้วแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับปิดมันได้ทันเวลา บายอนถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

    “อ้าว ฝ่าบาท “

     

    “ท่านฌองแดร์?????”

     

    หันไปก็เห็นขุนนางที่ปรึกษาของพระบิดากำลังยืนประจันหน้ากับเขาพร้อมด้วยร่างกายที่แทบจะเปลือยเปล่า ขุนนางคนโปรดสบตาเข้ากับเขา กระพริบตาปริบๆ ในมือถือสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นผ้าสำหรับไว้เช็ดตัว และแน่นอน นี่เป็นห้องน้ำ

     

    “หม่อมฉันกำลังจะอาบน้ำนะพะยะค่ะ คิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าฝ่าบาทจะให้เวลาส่วนตัวกระหม่อมสักเดี๋ยว”

     

    “เอ่อ .. เรา .. เรา “

     

    ร่างเล็กตะกุกตะกัก มือน้อยยังคงจับที่จับบานประตูไว้แน่นอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี อยู่ในปราสาทมาตลอดสิบแปดปีเขาเองก็ยังจำไม่หมดด้วยซ้ำว่าห้องไหนเป็นห้องไหน ไม่น่าแปลกที่จะมาโผล่ห้องอาบน้ำชั้นล่างได้ 

     

    “แหม่ มองแบบนี้กระหม่อมก็เขินนะพะยะค่ะ”

     

    “เรา .. แหะๆ กำลังจะไป .. “

     

    “ว่าแต่อออกมาทำอะไรแถวนี้พะยะค่ะ? ตอนนี้นี่ฝ่าบาทควรจะอยู่ที่โถงใหญ่”

     

    “คือ .. ท่านพ่อเรา อยู่ .. อยู่ในนี้ไหม”

     

    เสียงเล็กพูดตะกุกตะกัก เบียดตัวเข้าหาประตูไม้บานใหญ่พร้อมกับส่งยิ้มแหยให้คนสนิทของพระบิดา ได้แต่ยิ้มแหยๆด้วยเกรงว่าอีกคนจะตะโกนเรียกทหารข้างนอกมาลากตัวเขาออกไปเมื่อไหร่ก็ได้

     

    “ไม่นี่ขอรับ.. “ 

     

    “ไม่อยู่หรอ งั้นเราไปล่ะ”

     

    พูดออกไปรัวๆก่อนจะรีบออกมาจากห้องอาบน้ำนั้นอย่างไว ร่างเล็กถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน ก่อนจะวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ไม่มีทหารอยู่แถวนี้แล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    !!!

     

    เสียงควบม้าทะยานออกไปจากประตูปราสาท อิศวินหนุ่มกระตุกข้อเท้าสะกิดเข้ากับสีข้างของเจ้าอาชาคู่ใจ ทหารทุกนายตื่นตัวพร้อมปฏิบัติหน้าที่ เสียงกู่ร้องกึกก้องและเสียงระฆังเป็นสัญญาณดังลั่นไปทั่วเมือง ก่อนประตูไม้บานยักษ์จะถูกปิดลงจากทั่วทุกสารทิศ

     

    “ใครน่าสงสัยเอาตัวมันมาให้ข้า!

     

    เสียงห้าวตะโกนสั่งอย่างกระฉับกระเฉง กระชากเชือกให้อาชาแกร่งเลี้ยววนกลับหลัง ถึงแม้จะปลดประจำการจากตำแหน่งหัวหน้าทหารไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงไม่ละทิ้งหน้าที่ ความปลอดภัยของเชื้อพระวงศ์และบ้านเมืองสำคัญเสมอ

     

    น่าแปลกที่เจ้าของลูกธนูนั่นบุกเข้ามาได้ถึงในเมืองแห่งนี้ เพราะมันไม่มีทางที่จะยิงเข้ามาจากด้านนอกได้อย่างแน่นอน เซนทิเวเนียถูกห้อมล้อมด้วยเกราะเวทย์ของพระราชินีองค์ก่อนเพื่อป้องกันเมืองจากทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก อย่าว่าแต่ลอบเข้ามาเลย เพียงแค่มองเห็นด้วยตาก็ยังไม่สามารถเสียด้วยซ้ำ

     

     

    หรือถ้าคนนอกเข้ามาไม่ได้ การก่อเหตุจลาจลครั้งนี้ก็เกิดจากคนในอย่างนั้นหรอ ?

     

     

    ไม่อยากจะคิดสภาพหากเจ้านั่นถูกจับได้ อาจจะโดนแขวนคอ ตัดหัว หรือเลวร้ายกว่านั้น เป็นอันรู้กันทั่วว่าองค์ราชาผู้เคยจิตใจดี ปกครองเมืองด้วยความรักและอบอุ่นนั้นเปลี่ยนไปเมื่อเก้าสิบปีให้หลังหลังจากการครองราชย์ พระองค์สูญเสียทั้งน้องชายและหญิงสาวอันเป็นที่รัก บัดนี้เหลือแต่บุรุษผู้มีจิตใจแข็งกระด้าง ไร้ความปราณีใดๆต่อผู้กระทำผิด

     

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความรักและเมตตาให้กับบุตรชายทั้งสองและประชาชนของพระองค์ แต่เจ้าชายทั้งสองก็ยังไม่เคยได้รับรู้ถึงมัน นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กษัตริย์แห่งเซนทิเวเนียเริ่มอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดก็เป็นได้

     

     

    เพียงแค่ได้ยินที่เขาร่ำลือกันมา ตามพันธสัญญาที่ว่าไว้ ..

    หัวใจหนึ่งดวงของพระบิดา แบ่งครึ่งเป็นสอง

    ครึ่งหนึ่งมอบแก่บุตรชายคนโต อีกครึ่งมอบแก่บุตรชายคนเล็ก

     

     

    ชาร์ลส์ถอนหายใจ เขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรเท่าไหร่นักหรอก เขาเพิ่งจะได้เข้ามาใกล้ชิดกับหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ นึกถึงชีวิตเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ ตีดาบ ตกปลา หาของป่าในแถบชานเมือง ไม่ต้องคิดมาก ห่วงมากถึงขนาดนี้

     

    หันย้อนกลับไปยังตัวปราสาท เจ้าชายทั้งสองได้รับการดูแลคุ้มกันอย่างใกล้ชิดจากทหารอีกหลายนาย อันที่จริงแล้วควรเป็นเขามากกว่าที่ควรจะเฝ้าพระองค์ทั้งสองอยู่ที่ชั้นบนสุดของปราสาท แต่เพราะเรื่องนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก เขาจึงไม่สามารถจะวางใจได้เท่าไหร่

     

    “พบกลุ่มคนน่าสงสัยบริเวณป่านอกกำแพงเมืองทางทิศใต้ขอรับ!

     

    หลังจากที่ทราบจากนายทหารคนหนึ่ง องครักษ์หนุ่มผู้เลือดร้อนก็รีบควบม้าย้อนกลับไปทางประตูเมืองด้านหลังในทันที เสียงกีบม้ากระทบกับพื้นดังก้องไปทั่วทั้งเมือง บ้านเมืองอันเคยสงบสุขบัดนี้กลับต้องถูกค้นทีละหลังอย่างจำใจ

     

    จนกระทั่งเสียงกีบม้าสงบลง ร่างสูงโปร่งยังคงสงบนิ่ง ดวงตาคมมองออกไปยังชายป่าที่อยู่ติดกับกำแพงเมืองเพื่อสังเกตการณ์ ประตูปิดลงแล้ว ทุกอย่างเงียบสงบไม่ไหวติง ได้ยินเพียงแค่เสียงหายใจจากเจ้าอาชาหนุ่ม

     

    ไม่มี..

     

    ไม่มีแม้แต่สรรพเสียงใดๆ ไม่ต้องหวังเลยว่าจะเจอเจ้าของสาสน์จากลูกธนู องค์รักษ์หนุ่มถอนหายใจยาว ส่งข้อเท้ากระตุกเจ้าม้าให้เดินลาดตระเวนไปตามกำแพงเมือง

     

     

    “แกร่บ..”

     

    หันขวับทันทีที่ได้ยินเสียง แม้เสียงนั้นจะเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเลยก็ตาม ดวงตาคมมองจ้องไปยังพุ่มไม้นั้นก่อนจะค่อยๆวาดขาลงจากอานม้าอย่างเงียบเชียบ มือหนากระชับด้ามดาบที่อยู่ในฝักไว้แน่น กะว่าถ้ามีใครที่ไม่ชอบมาพากลโผล่ออกมาจากตรงนั้นเขาจะฟันคอมันทิ้งซะ  

     

    “นั่นใคร ? “

     

    “...”

     

    เอ่ยถามแล้วก้าวเข้าไปช้าๆอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ องครักษ์หนุ่มชักดาบออกจากฝัก เสียงโลหะที่เฉือนกันยามที่ดึงด้ามดาบออกมาคงจะทำให้เจ้าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในพุ่มไม้นั้นหวั่นกลัวอยู่ไม่ใช่น้อย

     

    “ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในนั้น แสดงตัวออกมา หรือจะให้ข้าทิ่มพรวดเข้าไปในพุ่มไม้นั่นแล้วแทงเจ้าตายคาอยู่ในนั้น เจ้าว่าดีไหม“

     

    “...”

     

    “ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ “

     

    เอ่ยเสียงเรียบก่อนที่จะเดินเข้าไปจนประชิดกับพุ่มไม้นั้นแล้วใช้ดาบเล่มยาวแทงลงไปตรงกลางอย่างจังจนเกิดเสียง กิ่งไม้และใบไม้ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ไม่มีสิ่งใดอยู่ในพุ่มไม้นั้นนอกจากนกตัวหนึ่ง

     

    “เฮ้ย !

     

    สะดุ้งจนหลุดมาดองครักษ์ผู้หล่อเหลา ในจังหวะที่เจ้านกขนสีดำขลับบินโผออกจากพุ่มไม้ด้วยความตกใจ ดาบโลหะเล่มหนักหลุดมือหล่นลงบนพื้นหญ้า มือหนายกขึ้นมาทาบหน้าอกตัวเองที่กระเพื่อมขึ้นอย่างรุนแรง มองซ้ายมองขวาเมื่อไม่เห็นใครถึงได้เผลอยิ้มออกมาด้วยกลัวว่าจะเสียฟอร์ม

     

    “จุ๊ๆ ..ทหารเอก “

     

    หันหลังกลับไปก็เห็นว่าดาบของตนถูกใครคนหนึ่งเก็บขึ้นมาจากพื้นเสียแล้ว ฟังจากน้ำเสียงดูก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นของใคร ใบหน้าคมเบี่ยงหลบคมของโลหะแหลมจากคนตรงหน้าที่กำลังเหวี่ยงมันเล่นไปมาอย่างนึกสนุก

     

    “อาวุธไม่ใช่ของเล่น เจ้าชาย “

     

    “แล้วเห็นข้าก่อกองทรายอยู่หรือไง “

     

    “พระองค์ควรจะอยู่บนหอคอยในยามนี้ “ องครักษ์ไม่ตอบคำ ขายาวก้าวเข้าไปแย่งอาวุธคมมาจากมือเล็กแล้วเก็บมันลงฝักอย่างเดิม

     

    “... “

     

    “ยิ้มอะไร ? “

     

    เดินเข้าไปจับเชือกเจ้าอาชาคู่ใจก่อนจะหันมาถามองค์รัชทายาทตัวเล็กที่กำลังยืนขำอยู่อย่างนั้น นิ้วเรียวยกขึ้นถูปลายจมูกตัวเองเบาๆ คิ้วขมวดมุ่น เครียดตึงไปทั้งใบหน้า รู้สึกเสียฟอร์มที่รู้ว่าบายอนเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้ทั้งหมด

     

    “ทำไมข้าต้องตอบขี้ข้าอย่างเจ้าด้วยล่ะชาร์ล “

     

    เจ้าชายองค์โตยิ้มขำ แต่องครักษ์หนุ่มหาได้ตลกด้วยไม่ ขายาวก้าวประชิดร่างองค์รัชทายาทก่อนจะรวบเอวบางแล้วเหวี่ยงขึ้นบนหลังม้า ก่อนเจ้าตัวจะวาดขาขึ้นคร่อมด้านหลังอย่างถือวิสาสะ

     

    “ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ! สามหาวยิ่งนัก “

     

    “ปล่อยให้พระองค์ลงไปเดินเตาะแตะข้างล่างให้โดนหิ้วไปฆ่าทิ้งนอกเมือง ส่วนข้าก็โดนฝ่าบาทตัดหัวน่ะหรอ ฝันเหอะ “

     

    ตอบด้วยน้ำเสียงติดกวนประสาทเล็กน้อยก่อนจะโอบเอวคอดไว้แล้วเร่งให้เจ้าอาชาย่ำไปข้างหน้า เรียกเอาเสียงเล็กร้องแหวพร้อมกับดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมแขน

     

    “นี่! มีสิทธิ์อะไรมาแตะตัวเชื้อพระวงศ์อย่างข้าเนี่ย สามหาว!

     

    “วันนี้หลายหาวแล้วนะ ถ้าพระองค์ทรงพระง่วงก็ทนหน่อยแล้วกัน เสร็จภารกิจแล้วกระหม่อมจะพาไปส่งให้ถึงที่บรรทมเร็วๆนี้ “

     

    “ทรงพระง่วงบ้าอะไร! ศัพท์อะไรของเจ้า ปล่อยนะ ปล่อยโว้ย “

     

    ถองศอกเข้าใส่สีข้างของคนข้างหลังอย่างแรง หวังจะให้เจ้าของลำแขนแกร่งปล่อยเขาไป แต่สิ่งที่ได้มาคือความเจ็บปวดเพราะข้อแขนกระแทกเข้ากับเกราะเหล็กที่อีกคนสวมใส่อยู่อย่างแรง ริมฝีปากบางงองุ้มด้วยความเจ็บ มือน้อยลูบข้อศอกตัวเองป้อยๆ

     

    “ทีนี้จะมาโวยวายอะไร เมื่อก่อนท่านติดข้าแจอย่างกับอะไรดี “

     

    เอ่ยด้วยเสียงเรียบก่อนจะโน้มลงมากระซิบข้างใบหูในประโยคหลัง เรียกให้พวงแก้มใสขึ้นริ้วแดงๆได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ยังไม่ทันจะได้เคอะเขินอะไรไปมากกว่านั้น เสียงคล้ายพลุดังขึ้นด้านบนเรียกให้สองบุรุษบนหลังม้าเงยหน้าขึ้นดู

     

    “นั่นมันอะไร “

     

    ราวกับเกาะแก้วใสที่ครอบเมืองทั้งเมืองอยู่ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากำลังจะปริแตก รอยแยกสีม่วงปรากฏขึ้นเพียงครู่พร้อมกับเสียงประหลาดเสียงเดิมก่อนจะจางหายไป ท้องฟ้าโปร่งบัดนี้มีเมฆปกคลุมจนแทบจะขาวโพลน นกกาตัวใหญ่บนโฉบอยู่เหนือหลังคาชั้นบนสุดของปราสาท กรอบหน้าสวยหวานขององค์ชายเอี้ยวหันกลับไปหาองครักษ์ เงยหน้าถามอย่างต้องการคำตอบ

     

    “ครืนน!! หวืด ปัง!

     

    เสียงระเบิดดังขึ้นอีกระลอก ราวกับมีใครพยายามจะพังป้อมปราการตรงทางเข้าประตูใหญ่เข้ามา ลูกไฟขนาดยักษ์โผล่ขึ้นบริเวณป้อมทางทิศใต้ เสียงประหลาดของสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์กำลังร้องคำรามโหยหวนกึกก้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แผ่นดินไหวสะเทือนจนเจ้าม้าเสียขวัญ พยศโยกตัวขึ้นกระทันหันจนเจ้าชายร่างเล็กแทบจะร่วงลงไปที่พื้นถ้าไม่ติดว่าแขนแกร่งคว้าเอวเขาไว้เสียก่อน

     

    “จับแน่นๆ..

     

    “หะ ..หา!!?? “

     

    “ย่าห์!

     

    หันขวับไปทันทีที่เสียงทุ้มเอ่ยบอกยังไม่ทันจะได้คำตอบ ไม่มีเวลาให้เจ้าชายตัวเล็กได้งงไปมากกว่านั้น มือหนาตวัดเชือกในมืออย่างแรงพร้อมกับส่งแรงที่ข้อเท้ากระทุ้งเข้าที่สีข้างของเจ้าอาชาคู่ใจ เจ้าม้าขนสีน้ำตาลแดงออกวิ่งไปอย่างเร็วตามคำสั่ง มุ่งหน้าไปยังป้อมปราการที่หน้าประตูเมือง 


     

    ___________________________________




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×