คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [SF] KAIHUN - whitening love #รักนี้ขายครีม (new!) [3/3/17]
Whitening love
KIMJONGIN X OHSEHUN
#รักนี้ขายครีม
ให้เสียงภาษาไทยโดย พันธมิตร นปช กปปส กพอ และสอวน
ผู้เข้าชมกรุณาตรวจสอบที่นั่งของท่าน ว่ามีขี้นกเปรอะอยู่หรือไม่
ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการอ่านฟิคเรื่องนี้เลย (คือพิมพ์ให้ยาวไปงั้น)
ด้วยความปรารถนาดีจาก ยอลลี่ ปี้รองเท้าแตะ
นักเขียนสับปะรังเคในตำนาน ผู้มีสถิติดองฟิคมาเป็นเวลายาวนานกว่าสี่สิบปี
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ปิ๊นนนนนนนนนนนนนนนนน
เสียงแตรรถยนต์กว่าสิบคันดังก้องอยู่ในรูหู ผมขยับตูดแฉะๆอยู่บนเบาะไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลี่ยนท่าทุกๆสองนาที รถติดเนิ่นนานกินเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วบนทางด่วนสับปะรังเคแห่งนี้ ผมใช้เวลาว่างไปกับการนั่งโง่ๆบนรถ เอาหน้าไถกระจกฝั่งคนขับพร้อมกับเงี่ยหูฟังข่าวจส.ร้อยอันแสนจะน่าเบื่อหน่าย หน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบนคอนโซลหน้ารถบอกเวลาว่าผมกำลังไปสาย
ผมเลือกจะปิดวิทยุหนีเสียงหึ่งๆเหมือนผึ้งเหงารังนั่นซะแล้วหยิบโทรศัพท์มากดเล่น อิข้างหลังบีบแตรรัวกว่าจังหวะสามช่าเป็นทำนองสกาเร้กเก้ ถ้าขับมาเสยตูดรถกูได้ก็คงทำไปแล้ว ผมได้แต่กำโทรศัพท์แน่น กะว่าถ้าชนเมื่อไหร่กูเรียกประกันแน่นอน
ฟ้าเริ่มมืดลงทุกที ผมหันไปมองถุงกับข้าวถุงใหญ่ที่วางอยู่บนเบาะด้านข้างคนขับด้วยตาละห้อย ป่านนี้ไออ้วนต้องกำลังหิวอยู่แน่ๆ เพิ่งไปรับตัวอย่างครีมที่สั่งทำอยู่แถวสำเพ็งก่อนจะแวะตลาดซื้อของกินที่แฟนผมชอบมาเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็นึกถึงเค้าตลอด ฟังดูอาจจะดูเหมือนผมเป็นผู้ชายอบอุ่น แต่มันติดอยู่ที่situationที่แปลกไปนิดนึง ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงพลิกผันไปตามยุคโลกาภิวัฒน์ ข้าวยาก หมากแพง ทุกคนต้องการความอบอุ่นและได้รับการดูแลท่ามกลางโลกอันแสนโหดร้ายนี้ ไม่เว้นแม้แต่ชาย หรือหญิง.. นั่นแหละครับ แฟนที่ว่าคือผัวกูเอง
พอพูดถึงผัว ตอนนี้ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะพาอิมะลิออกไปวิ่งเล่นหรือยัง (อิมะลิคือลูกของเราเองครับ ขโมยมาจากวัด เห็นมันน่ารักดี) เอาข้าวให้ลูกกินรึยัง ณ จุดนี้ ไม่ได้ห่วงผัวเลย
“ฮัลโหล ตัวเอง พาลูกไปอึอึ๊นอกบ้านยังอะ”
“(เรียบร้อยแล้วครับ)”
ว่าแล้วก็กดโทรศัพท์หา ‘ผัว’ ที่ว่านั่นเลย เสียงทุ้มห้าวบาดใจดังลอดมาจากปลายสาย ชวนให้ละลายเยิ้มติดไปกับเบาะรถ ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังยิ้ม แล้วหน้าแม่งก็ต้องบานมากๆแน่ๆ แต่ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มน่าเกลียดออกมาได้เลยหลังจากได้ยินน้ำเสียงของปาร์คชานยอล ผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ฐานะ รูปร่าง หรือนิสัย อะไรๆมันก็เพอร์เฟคแมนแฮนด์ซั่มกายไปหมด เราเจอกันในวันสงกรานต์ที่สีลม ผมเป็นคนช่วยเขาให้รอดพ้นจากแก๊งค์ขุ่นแม่ที่ยืนกราดตั้งป้อมรอฉุดผู้อยู่หน้าซอยสี่ แล้วหลังจากนั้น เราก็เริ่มคบหาดูใจกัน ปาร์คชานยอลเป็นคนอบอุ่น บางทีก็อุ่นจนร้อน บางทีก็ร้อนจนรู้สึกเซ็กซี่ แค่คิดก็ขนลุกเกรียวไปหมด อ่าห์ ผมรักเขาจัง
“(เซฮุนน่า คิดถึงจังเลยครับ)”
เห็นไหม! แค่คิดเฉยๆ นางก็ส่งน้ำเสียงอ้อนมาตามสายแล้ว ผู้นี้คือสำเร็จรูปพร้อมใช้มากๆ จุดนี้อิคันข้างหลังจะบีบแตรอัดมากี่ชุดกูก็ไม่โกรธ ผมเงยหน้ามองแก้มแดงๆของตัวเองบนกระจกมองหลัง ซ้อมทำปากจู๋ให้ดูน่าจูบ ขยิบตาสองครั้งเหมือนคนเป็นต้อลมแล้วยังไม่ได้ผ่า ปั้นยิ้มให้ดูน่ารักน่าเอ็นดูและน่าดูเอ็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะกรอกเสียงหวานๆตอบกลับไปให้คุณแฟนได้ชื่นใจ
“เค้ากำลังไปหาแล้ว นี่อยู่บนทางด่วน ซื้อของกินที่ตัวเองชอบมาเยอะแยะเลยนะ”
“(เฮ้ย! แค่ก! .. อย่าเพิ่งมาเลยตัวเอง ลูกอึเต็มบ้านไปหมดเลย เดี๋ยวตัวเองเหม็นนะ)”
ดูท่าพี่ชานยอลจะมีปัญหากับโพรงชมูกนิดหน่อย เพราะจู่ๆน้ำเสียงก็กระท่อนกระแท่นเหมือนคนเป็นมะเร็งหลอดอาหารระยะสุดท้ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมขมวดคิ้วแรง ป่านนี้ไออ้วนของผมคงกำลังทำความสะอาดบ้านรอผมอยู่แน่ๆ โถ่ พ่อคนดี ไม่อยากให้เหนื่อยเลย
“ไม่เป็นไรตัวเอง ไม่ต้องเก็บนะ ลูกเค้าเค้าจัดการเอง โอ้ะ .. เดี๋ยวคุยกันที่บ้านนะ ลูกค้าโทรมา”
ผมชิงตัดสายไปก่อน ถึงแม้ว่ายังจะไม่ได้บอกรักนะจุ๊บๆก็ตาม สไลด์จอรับสายลูกค้าประจำที่โทรมาขัดแทรกจังหวะสวีดวิ๊ดวิ้วอย่างกระทันหัน คงจะโทรมาสั่งครีมเร่งผิวขาวกับสบู่ครอบจักรวาลเหมือนเคย ใช่แล้วครับ ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับไอ้พวกนี้มาสักพักแล้วล่ะ ตอนแรกๆมันก็ขายดีอยู่หรอก แต่พอใช้ไปเรื่อยคนก็คงรู้แล้วว่าโดนผมหลอกแดก แต่ก็นั่นแหละ ผมทำครีมตัวใหม่มาดักควายเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงทดลองใช้แล้วก็รอโปรโมท ครั้งนี้มันจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ๆ แค่คิดแล้วก็รู้สึกรวยและสวยมาก
…
กว่าจะถึงบ้านแฟนก็ปาไปสองทุ่ม ไฟในบ้านมืดสนิทประหนึ่งว่าไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ที่นี้มาก่อน ยิ่งกว่าดาวเคราะห์ร้างที่อยู่นอกระบบสุริยจักรวาล คือมืดและเงียบแรงจนอิแม่ใจบ่ดี ถ้าเกิดมีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้นที่นี่รับรองว่าตายแล้วหาศพไม่เจอแน่นอน ผมจอดรถไว้ข้างรั้วก่อนจะใช้กุญแจสำรองที่ปั้มเผื่อไว้ไขเข้าไปในบ้าน ใช้แผ่นหลังอันบอบบางดันประตูเข้าไปอย่างยากลำบาก สองแขนหอบพะรุงพะรังไปด้วยถุงกับข้าว ได้ยินเสียงฮึดฮัดหอบหายใจดังมาจากเหนียงของตัวเอง มันเหนื่อยมาก ขับรถก็เหนื่อย ยกของก็เหนื่อย อยากนอนราบกับเตียงนุ่มๆแล้วให้ผัวนวดให้ เอาน้ำแข็งถูหลังให้กูด้วย
“ตัวเอง อยู่เปล่าเนี่ย”
เอ่ยเรียกผัวด้วยน้ำเสียงสั่น สั่นยิ่งกว่ามารายแครี่ตอนขึ้นคีย์สูงสุดในรายการประกวดเดอะว๊อยซ์ในอเมริกา ไม่ใช่อะไรคือเหนื่อยและกลัวแรง ได้ยินเสียงหอบแฮ่กๆดังแว่วมาจากในห้องนั่งเล่น แน่นอนว่ามันไม่ใช่เสียงของผมแน่ๆเพราะตอนนี้กูอยู่ตรงชั้นวางรองเท้า กลิ่นเกิบเด่นมากจนต้องบีบจมูกแรง ผมตัดสินใจเดินฝ่าความมืดไปที่ห้องนั่งเล่น และหวังว่าพี่ชานยอลจะกำลังออกกำลังกายอยู่แถวๆนั้น
“ตัวเอง ทียี่บห้าอยู่หรอ..”
เสียงผมตอนนี้คือเบาหวิวยิ่งกว่าแม่นาคเรียกพี่มากที่ท่าน้ำนนท์ คือได้ยินเสียงหอบดังขึ้นเรื่อยๆจนต้องตะโกนถาม(ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา) ขนาดกูกูพูดเองกูยังไม่ได้ยินเลย กลัวมากจนต้องเอามือทาบอกแล้วทำหน้าปริ่ม คือบ้านมันมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น ได้ยินเสียงขลุกขลักอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี ผมเดินตามต้นเสียงนั้นไปก่อนจะเลี้ยวขวับตรงหัวมุมเข้าสู่ห้องนั่งเล่นด้วยท่าเดียวกับเจมส์บอนด์007 เพียงแต่กูไม่มีปืนเท่านั้นเอง
พรึ่บ!
“!!!!!!!!!!!!!!!!”
กระทั่งเดินคลำไปเรื่อยๆจนเจอสวิตซ์ไฟ ผมรู้สึกเหมือนพระโพธิสัตว์ชี้นำทางสว่างให้แก่ผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งบนโลกกว้าง ฝ่ามือเรียวเอื้อมไปตบสวิตซ์ไฟอย่างแรงจนมันสว่างโร่ไปทั่วทั้งห้อง แต่แล้วภาพตรงหน้าที่ผมเห็นก็ทำให้ผมช็อคซินีม่าหน้าหงายไปแปดบรรทัด ลมแทบจับ มีอิแง่งขิงที่ไหนไม่รู้กำลังโยกย้ายส่ายสะโพก ขย่มโยกอยู่บนตัก ผะ.. ผัว
“ไอสัสปาร์ค มึง!!!”
จุดนี้คือไม่มีเค้าตัวเองใดๆทั้งสิ้น เส้นเลือดดำจากฝ่าตีนไล่ปริ๊ดขึ้นมาถึงใบหน้า อยู่ๆก็รู้สึกโมโหขึ้นมากระทันหันอย่างหาสาเหตุไม่ได้ อยากเดินเข้าไปตบผัวะใส่หัวนังนั่นให้ลั่นเบ๊ะเหมือนลูกแตงโมที่หล่นลงมาจากตึกสิบแปดชั้น ไม่รู้นั่นผู้หรือนีหรือเก้ง แต่ผมรู้แน่ๆว่าวันนี้ ..ต้องมีการตายกันเกิดขึ้น!
“ตะ ..ตัวเอง!”
ผมสะบัดถุงกับข้าวทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี ตรงปรี่เข้าไปกระชากแง่งขิงนั่นออกจากตักของแฟนด้วยโทสะ ตอนนี้เส้นเอ็นขึ้นแขนปูดโนนยิ่งกว่าแมนนี่ปาเกียว กระชากฝ่ามืออรหันต์ฟาดหน้าโง่ๆนั้นไปหนึ่งทีเน้นๆ ก่อนจะขึ้นไปคร่อมร่างเปลือยๆที่ความจริงแล้วต้องเป็นกูคนเดียวที่จะได้เชยชมแล้วตบไม่ยั้ง
“ไอเหี้ยตัวเอง!!! มึงนอกใจเค้า!!!”
“โอ้ยๆๆ! ตัวเอง ใจเย็นๆ ฟังเค้าก่อน”
“กูไม่ฟัง! วันนี้นอกจากมึงจะเสียกูแล้ว มึงยังจะเสียชีวิตด้วย!!”
ฝ่ามือหนึบหนับนั่นพยายามจะรวบข้อมือผมให้หยุดทุบตี แต่อารมณ์คุกรุ่นที่ทะลุปรอทแล้วของผมไม่สามารถหยุดยั้งและพับเก็บไปโมโหต่อในวันพรุ่งนี้ได้ ได้ยินเสียงดังปั้กๆๆดังลั่นในโซนประสาท ไม่รู้ว่าผมซัดมันไปกี่ทีแล้ว แล้วพอถึงจุดที่ไอ้เวรนี่น่วมแล้ว บางทีผมอาจจะหันไปกระทืบอิแง่งข่านั้นด้วย
“โว้ย! เป็นบ้าไปแล้วหรือไง!”
“เออ! เค้ามันบ้า เค้าผิดหรอที่ทนเห็นตัวเองพาไอ้หน้าเงือกที่ไหนไม่รู้มาเอากันต่อหน้าต่อตาเค้า! มึงเห็นเค้าเป็นตัวอะไรไอ่เหี้ย!”
ผมสะบัดมืออีกฝ่ายอย่างแรง รู้สึกตอนนี้น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาคลออยู่บนเบ้า ปากสั่นพั่บๆไม่รู้เพราะโมโหหรือกำลังเสียใจ ผมผิดหวังในตัวมัน ไอหน้าฉี ผมเพิ่งจะชมมันไปว่ามันเป็นผู้ชายที่ดี ที่แท้แม่งเลวยิ่งกว่าหมา มันทำระยำกับผมแบบนี้ได้ยังไง!
“มันมีอะไรดีกว่าเค้าอะ! เค้าหุ่นดีขนาดนี้ ขาวก็ขาว แน่นก็แน่น ดูแลก็ดี เค้าให้ตัวเองทุกอย่าง ไอ้นี่ตัวก็สั้น หน้าก็เหมือนหมาปั๊ก แขนขาใหญ่เป็นเสาสะพานขนาดนี้ ตัวเองยังนอกใจเค้าไปเอามันหรอ!”
ผมหันไปชี้หน้าไอ้เด็กผู้ชายที่กำลังยืนแก้ผ้าอยู่ข้างหลัง ให้เดาว่าคงจะยังเรียนไม่จบมอปลายด้วยซ้ำ ก็เสื้อนักเรียนแม่งยังคาอยู่ที่แขนอยู่เลย
“…”
“เงียบทำไม! อมตีนไว้ไง๊! ไหนพูดมา ระหว่างเค้ากับมัน ตัวเองจะเลือกใคร! พูด!”
“เค้า .. ละ .. เลือกตัวเอง..”
มันติดอ่าง หูกางๆที่ส่ายไปมายามเจ้าตัวหันซ้ายหันขวากำลังทำให้ผมโมโหมากขึ้นกว่าเดิม ปากห้อยๆนั่นกำลังละล่ำละลักพูดออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ดูแล้วโคตรหงุดหงิด ไม่รู้ว่ากำลังแก้ผ้าอยู่เลยหนาวจนสั่นหรืออะไรกันแน่ แหนมที่แกว่งไปมาเป็นนาฬิกาโบราณนั่นกำลังทำให้ผมเสียสมาธิ อยากวิ่งไปคว้าอิโต้ในครัวมาสับแม่งให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้ทำไมผมถึงมองมันว่าดีไปหมด กูทนเห็นกงจักรเป็นดอกบัวอยู่ได้ตั้งนานหลายเดือน แต่ ณ จุดนี้หล่อจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว
“แต่กูไม่เลือกมึง ไอ่เหี้ย! เราเลิกกัน!”
ผมสะบัดหน้าไปตะโกนอัดหน้าหล่อๆนั่นจนน้ำลายแตกฟองแล้วเชิดหน้าเดินขึ้นบ้าน เอาให้มันรู้ไปเลยว่าคนอย่างกูก็เลือกได้ และผมจะไม่เสียศักดิ์ศรีไปง้อมันเด็ดขาด มึงอยากเอากับเสาสะพาน มึงเชิญ คอยดูนะ ผมจะไปหาควงฝรั่งหล่อๆมาเย้ยมันถึงหน้าบ้าน เอาให้มันเสียดายที่ทำระยำแบบนี้กับผม ให้มันรู้สึกผิดจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ โทรศัพท์เมมเต็ม กินอะไรก็เค็มไปถึงกระเพาะอาหาร ให้ไข่ยานจนหมันแดก คบกับใครก็ขอให้แยกจากกันไม่มีวันได้สมหวังเลยคอยดู! (แช่งแรงมาก)
“เดี๋ยวตัวเอง จะไปไหน .. นี่บ้านกู”
แต่แล้วเสียงทุ้มห้าวที่เคยอบอุ่นก็เบรกผมไว้ที่บันไดขึ้นที่สอง จิตใต้สำนึกในขันทสันดานกระพริบไหวสองครั้งถ้วน กระทั่งเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆบ้านและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง ฉับพลันได้ยินเสียงเหมือนแก้วแตก พร้อมกับเศษหน้าที่ร่วงกราวลงบนพื้นพรม แหลกละเอียดยิ่งกว่าใจดวงน้อยๆอันบอบช้ำของผมเสียอีก
“เออ! กูแค่จะขึ้นไปเอาของหรอก!”
ผมสะบัดหน้าไปพูดกับมันแรงๆก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบ้านไปเก็บของทุกอย่างที่เป็นของตัวเองใส่ย่ามใบใหญ่ทั้งน้ำตา ได้ยินซาวด์เพลงแทงข้างหลัง ทะลุถึงหัวใจของออฟปองศักดิ์ก็ดังรัวอยู่ในอก ทุกอย่างมันเร็วไปหมดจนผมเองก็ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับเข้ามานั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมสตาร์ทรถด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีจำนวนสองแคลอรี่ถ้วน บีบแตรแรงๆอัดรั้วบ้านมันสามครั้ง ครั้งที่หนึ่ง แทนคำด่าสำหรับการที่มันหลอกกู ครั้งที่สอง แทนถุงกับข้าวที่ยังไม่ทันจะได้แกะแดกก็ต้องโยนทิ้งพื้นไปอย่างน่าเสียดาย และครั้งสุดท้าย สำหรับตลอดห้าเดือนที่คบกันมา แม่งโคตรเสียเวลา จากนี้จะมีผัวฝรั่ง จากนี้จะมีผัวฝรั่ง จากนี้จะมีผัวฝรั่ง (ท่องเหมือนจงทำดีตอนเรียนลูกเสือ)
ผมปาดน้ำตาลวกๆก่อนจะชูนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อยใส่หลังคาบ้านมันหนึ่งทีแรงๆ
สำหรับอิแมงดาทะเลแคริเบียนนี่ พอกันที ลาก่อน!
…
“กึก ..โครม!”
ผมกำลังถอยรถเข้าอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง เป็นอู่ที่มาอยู่บ่อยกว่าอยู่บ้านเสียอีก อันที่จริงรถผมไม่ได้เสียอะไร แต่มันกำลังจะเสียแล้วเมื่อกี้ เสียงโครมครามของกระถางปูนเปล่าๆที่วางคว่ำอยู่พร้อมกับกะละมังสังกะสีพากันหล่นพรวดพราดลงมาทันทีที่ถูกชนด้วยท้ายรถของผม แต่ด้วยความที่ความโมโหมันมีมากกว่า ตอนนี้ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว
รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังตกมัน ผมลงจากรถแล้วหอบข้าวของลงมาตรงโซฟาตัวเก่าในโรงรถพร้อมกับกระแทกก้นลงไปนั่งแรงๆให้สะใจชีวิต แต่แล้วก็ต้องกุมสะโพกแน่น ทำหน้าเซ็กซี่ด้วยความเจ็บร้าวมายันลิ้นปี่ ทำไมไม่มีใครบอกเลยว่าโซฟาไม่ได้ยัดนุ่น ตูดกูอัดเข้าไม้ปาร์เก้แรงมากจนไข่สะเทือน เล่นเอาริดสีดวงแตกไปแปดเม็ด
“หงิดอะไรมาอีกล่ะทีนี้”
เสียงทุ้มห้าวของเพื่อนสนิทเอ่ยขึ้นทักทายทั้งๆที่ไม่ได้เสนอหน้าออกมาต้อนรับขับสู้ ร่างสูงโปร่งกำลังมุดอยู่ใต้ท้องรถคันใหญ่ ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กของเครื่องมือเหล็กกระทบกันชวนให้เสียสมาธิ ขาดำๆของมันยื่นออกมาข้างหนึ่ง ชี้ปลายรองเท้าช้างดาวที่กำลังสวมใส่อยู่มาทางหน้าผม
ทุกครั้งที่ผมหงุดหงิดหรือมีเรื่องไม่สบายใจ ที่นี่มักจะเป็นศาลาคนเศร้าให้ผมได้พักพิงใจเสมอ ถึงแม้ว่ามันจะบรรยากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหม็นน้ำมันเครื่องแถมอากาศก็ร้อนชิบหาย แต่คนใจเย็นข้างล่างก็ช่วยให้ผมสบายใจขึ้นได้ตลอดเลย ไม่ใช่อะไรหรอก มันไม่ค่อยพูดไง กูเลยได้พูดอยู่คนเดียว แค่รู้สึกว่ามีคนฟังก็พอใจแล้วครับ
“เลิกกับผัว”
“..กินข้าวมารึยัง”
ไอ้จงอินไม่ได้ต่อประเด็นนั้น มันคงรู้ดีว่าถ้าผมอยากจะเล่าก็คงพูดออกมาเอง เพราะแบบนี้ถึงทำให้ผมกับมันคบกันเป็นเพื่อนได้อย่างสนิทใจมาตั้งแต่ประถม พอแม่งพาถามออกอ่าวมาขนาดนี้ อารมณ์หงุดหงิดของผมก็เลยเหมือนโดนกระชากลงบนเบาะนุ่มๆที่เปื้อนขี้หมายังไงอย่างงั้น
“ยัง”
“งั้นรอแปป อีกนิดจะเสร็จ”
“เสร็จงานหรอ”
ผมถาม ก้มลงไปหามันที่ใต้ท้องรถ เห็นเหง้าหน้าดำๆชะเง้อขึ้นมามอง ซิคแพ็คเกร็งแน่นเป็นลูก
“หรือจะให้กูเสร็จอย่างอื่นกับมึงล่ะ อยากให้ตอบแบบนี้ไหม”
ผมไม่ตอบคำ ได้แต่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่มันด้วยความอาฆาตแค้น คนยิ่งหงุดหงิดยังจะมาเล่นมุกหน้าตายอีก ผมเตะขาดำๆนั่นไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเดินกลับมานั่งๆนอนๆที่โซฟาอีกครั้ง คราวนี้หย่อนตูดลงเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา
“มึง..”
“ว่า”
ผมเอ่ยเรียกคนที่มุดอยู่ใต้ท้องรถอีกครั้ง หลังจากที่เลื่อนเฟสบุ้คดูแล้วพบกับงานช้างชิ้นใหญ่ ลืมไปเสียสนิทเลยว่าเพิ่งทำครีมตัวใหม่มาล็อตเบ้อเร่อ จะให้ไออ้วน.. ไม่สิ ไอ้หูกางนั่น ช่วยโปรโมทเรียกลูกค้าให้ซักหน่อยก็คงจะไม่ได้แล้ว แถมเมื่อวานซืนที่อัดโซเชียลแคมไว้ว่าจะอวดแฟนซะดิบดีก็เสือกเลิกกันซะอย่างงั้น ฉับพลันสายตาหันไปป๊ะเข้ากับขาดำๆที่ยื่นออกมาจากใต้ท้องรถพอดิบพอดี ผมก็ปิ๊งไอเดียบางอย่างออก บางทีถ้าครีมของผมทำให้มันขาวได้ บนโลกนี้อาจจะไม่มีคนผิวดำอีกต่อไปแล้วก็ได้ แล้วทีนี้ครีมครอบจักรวาลของผมก็จะขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จากนั้นเอากำไรไปเที่ยวยุโรปสวยๆ เผื่อจะได้ผัวรวยที่นั่น ชีวิต ดี๊ย์ดี
“ช่วยขายครีมหน่อย”
“ได้ ที่ไหน เปิดท้ายคลองถมหรือจตุจักร”
ผมทำหน้าปริ่ม นิ่งและอึ้งและเอือมไปแปดวิ เม้มปากน้อยๆพร้อมกับกลอกตาสองสเต็ปด้วยความเซ็ง กูมองบนเลยไอ่สัส มันกล้าดียังไงเอาครีมไฮโซของผมไปเทียบกับตลาดโลวคอสแบบนั้น นี่ผมกล้าสาบานกับตัวเองเลยว่า ถ้าตอนนี้มันไม่ได้กำลังมุดอยู่ใต้ท้องรถล่ะก็ ผมจะเอาประแจอันใหญ่ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในกล่องเครื่องมือนั้นเขวี้ยงหน้ามันด้วยน้ำมือของผมเอง
“หยิบประแจอันใหญ่ๆในกล่องเครื่องมือสีส้มให้หน่อย”
ผมจิ๊ปากใส่มัน ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วปล่อยให้แม่งพูดคนเดียว โทษฐานที่เอาครีมผมไปเทียบกับตลาดชุมชนโอท็อปแบบนั้น นี่ไม่ใช่หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์นะไอ่สัส นี่คือ หนึ่งกระเทยหนึ่งผลิตภัณฑ์ต่างหาก
“เซฮุน..”
เมื่อเห็นผมเงียบไปนานกว่านาที เจ้าของร่างดำๆก็เลยสไลด์ตัวออกมาจากใต้ท้องรถ แต่หารู้ไม่ว่า กูถือประแจดักตีแสกหน้ามันแล้วเรียบร้อย ผมส่งยิ้มละมุนให้ก่อนจะกำเครื่องมือเหล็กในมือไว้แน่น เอียงคอน้อยๆให้ดูคิขุอาโนเนะ โทษฐานที่มันกวนตีนผมถึงสองครั้ง
“เอามาเร็วๆ นี่หิวข้าวนะเนี่ย ยังไม่ได้กินไรตั้งแต่เที่ยง”
มือดำๆที่เปื้อนคราบเขม่านั้นยื่นออกมาทั้งๆที่เจ้าตัวยังคงนอนอยู่บนบอร์ด ทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อแถมเสื้อผ้าก็เปื้อนคราบดำเป็นปื้นเต็มไปหมด
“บอกมาก่อนว่าจะช่วย”
“เออช่วย กูเคยปฏิเสธมึงได้ที่ไหน เอามาเร็วๆ”
“น่าร้าก ดำแล้วยังน่าร้าก”
ได้ยินแค่นั้นกูก็ดีดเหมือนคนซัดยาม้ามาแปดเม็ด ผมยิ้มหวานสุดใจ ก่อนจะเอาประแจอันใหญ่ยัดใส่มือให้เพื่อนเร็วๆจนมันแทบจะหลุดมือหล่นลงไปกระแทกใส่หน้า ไอ้จงอินหันมาทำหน้าดุใส่ผมทีนึงจนผมได้แต่ยิ้มแหยๆแล้วขอโทษมันยกใหญ่ ขืนถ้าร่วงลงไปใส่หน้ามันจริงๆล่ะก็ เละแน่นอน แต่ไม่เป็นไร ขี้เหร่อยู่แล้ว ไม่น่าจะเสียหายอะไรมากหรอก..มั้ง
…
“มาแกล้งเป็นแฟนให้หน่อย”
“พรวดดด!!!!!!!!!!”
เหมือนกูเพิ่งจะพูดจบประโยคได้ไม่ทันถึงสามนาโนวินาที จู่ๆมวลน้ำซุปจากในปากดำๆนั่นก็พ่นพรวดออกมาจนชุ่มไปทั้งหน้า ผมหลับตาปี๋ ตัวเกร็งนิ่งพร้อมกับหน้าปริ่มเอือมที่มักจะทำทุกๆสิบวินาทีเวลาอยู่กับมัน น้ำหยดติ๋งๆลงมาถึงคาง ไหลเรื่อยลงมายันร่องนม และเปียกร้องเท้าหนังเข้ของผมที่เพิ่งถอยมาสดๆเมื่อวานในที่สุด
“แค่กๆ!”
อีดำทำปางห้ามญาติแรงพร้อมกับไอโขลกออกมาเหมือนคนเป็นวัณโรค ณ จุดนี้ผมได้แต่นั่งกระพริบตารัวๆแล้วรีบหาทิชชู่มาเช็ดหน้าก่อนที่น้ำซุปเกาเหลาจะซึมเข้าไปในเหง้าหน้า โต๊ะอื่นหันมามองกันเป็นแถบแถว ตอนนี้พวกเราออกมาหาข้าวมื้อดึกกินอยู่แถวตลาดโต้รุ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากอู่ซ่อมรถ ลมเย็นๆในช่วงกลางคืนพร้อมกับเสียงรถแว๊นไปแว๊นมาให้อารมณ์โรแมนติกสุดๆ และมันจะโรแมนติกมากกว่านี้ถ้าไม่มานั่งพ่นน้ำซุปใส่หน้ากันโดยไม่เกรงอกเกรงใจแบบนี้
“อย่างอแงหน่า แค่น้ำมนต์เอง”
ทันทีที่อีกฝ่ายยื่นมือข้ามโต๊ะมาลูบหัว ผมก็สะบัดมือนั้นทิ้งอย่างแรงด้วยความเคือง รู้สึกมันลื่นไปทั้งใบหน้าจนต้องช้อนตาขึ้นไปมองค้อน ตะปู สิ่ว ขวานใส่หน้ามันไปสองทีด้วยความคับแค้นใจ อยากถอดรองเท้าที่เพิ่งไปเหยียบขี้หมาหน้าปากซอยออกมาแล้วเอาไปตีหน้ามันแรงๆ โทษฐานที่เล่นสงกรานต์ดีเลย์ไปครึ่งเดือน มึงไหลช้าไปไหม พระประแดงเค้าเล่นกันถึงวันที่สิบเก้าเองนะ
“เมื่อกี้ว่าอะไร ได้ยินไม่ชัด”
“บอกให้มาแกล้งเป็นแฟนกันหน่อย จะให้ช่วยขายครีม”
“พูดจริงปะเนี่ย…”
“หน้ากูมีคำว่าล้อเล่นแปะอยู่บนหน้าผากมั้ยอะ”
“ไม่มีอะ มีแต่เศษผักชี”
ผมแยกเขี้ยวยีฟันใส่มันหลังจากที่คำตอบกวนส้นตีนนั้นหลุดออกจากปาก หยิบเศษผักชีใบเขียวสดออกจากมุมปากตามที่อีกคนชี้ก่อนจะเฟวี้ยงใส่หน้ามันแรงๆ จุดนี้อยากงัดโต๊ะให้ล้ม แต่กลัวพี่เจ้าของร้านเอาตะหลิวตีบวกมาฟาดเข้าหน้า
“ทำไมต้องเป็นแฟนวะ หน้ากูเหมือนเกย์ขนาดนั้นเลยเอ่อะ”
“ก็เค้าไม่มีแฟนแล้ว ก็ตอนแรกเค้าจะให้ไอ้หูกางนั่นช่วยเค้า แต่ตอนนี้เค้าไม่เหลือใครแล้วนอกจากมึงงะ นะๆ มาแกล้งเป็นแฟนหน่อยนะ เดี๋ยวนี้นีชอบจิ้น จะได้เรียกเรทติ้ง ช่วยกันโปรโมทจะได้ขายได้เยอะๆไง น้าๆๆๆ น้าๆๆๆๆ น้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เมื่อไม้แข็งไม่ได้ผลก็ต้องงัดท่าไม้ตายที่เล่นประจำมาใช้ ผมยกมือไหว้ บีบเสียงที่คิดว่าน่ารักที่สุดในชีวิตแล้วหลับตาปี๋พร้อมกับโยกหัวไปมาแบบชาวรว็อคหลังจากที่ติดสินบนมันด้วยเกาเหลาและข้าวเปล่าสองถ้วย ไอ้จงอินเรออัดกลางโต๊ะ ทิ้งตัวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างแรงจนหลังเด้ง ขมวดคิ้วก่อนจะย่นคอแล้วพับเหนียงใส่ผมทั้งหมดสิบสองจีบถ้วน
“โอย ไม่เอาอะ มึงไม่เห็นหน้ากูไง๊ อย่างกะขวานฟ้า ดำขนาดนี้ให้ไปขายครีมหมาที่ไหนจะมาโง่เชื่อ เดี๋ยวพ่อมึงก็แห่มาจับทั้งสน. หรอก”
ไอ้จงอินหันมาทำหน้าเห่ยใส่ผม ก่อนนิ้วดำๆจะชี้หน้าเห่ยๆของตัวเองให้ดูเป็นภาพปลากรอบ ผมเบะปาก กูอ้อนขนาดนี้แล้วยังจะไม่รู้สึกห่าอะไรอีก นี่มึงไม่ได้ดำธรรมดาแล้วนะ แถวบ้านเรียกดำด้าน
“ก็ลองใช้ก่อนนนนนนนนนนน ถ้าขาวก็แปลว่าใช้ได้ผลไง จะได้ขายได้เยอะๆเลยไง นะๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ก็แล้วถ้ามันไม่ขาวละวะ จะทำไง กูไม่อยากจะติดคุกตอนนี้นะ กูยังมีพ่อกับลูกน้องและช่างอีกสี่คนให้ต้องเลี้ยงดู แล้วกูก็ไม่ชอบกินข้าวกล้องงอกด้วย”
“ก็ลองดูก่อนๆๆๆ แอพก็มีอะๆๆๆๆๆ นะๆๆๆๆ ไม่มีใครแสนดีกับกูได้เท่ามึงแล้วนะๆๆๆๆ”
“เฮ้อ ทำไมต้องอ้อนตลอดเลยอะ =_=”
จากที่แบ๊วน่ารักอยู่ก็เริ่มเสียฟอร์ม ให้อารมณ์เหมือนเครื่องซักผ้าที่กำลังปั่นหมาดอยู่แล้วมีหมามาสะดุดปลั๊ก ผมตบโต๊ะดังปัง ลุกขื้นยืนกอดอกมองหน้าแปะก๊วยของมันด้วยสายตาหาเรื่อง ไอ้จงอินเงยหน้ามองผมสลับกับพี่เจ้าของร้าน ลูกค้าโต๊ะอื่นหันมามองกันเป็นตาเดียว
“ก็พูดดีๆทำไมไม่ช่วยอะ!”
“ไอฮุน เบาๆดิ๊ นั่งลงก่อน คุยกันดีๆ”
เสียงทุ้มอ่อนลงจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ พร้อมกับมือดำๆที่เอื้อมมาคว้าแขนผมให้นั่งลงสงบสติ แต่ผมก็สะบัดมันทิ้งอย่างไม่ใยดี รู้สึกตัวเองอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสภาพอากาศวันฟ้าครึ้มในหมู่เกาะกาลาปากอส
“เออช่วยแล้วๆ นั่งก่อนอย่าโวยวาย เดี๋ยวเจ้าของร้านแม่งลุกมาตีไง ยังกินไม่เสร็จนะ”
พอได้ยินคำว่าช่วยแล้วเท่านั้นแหละ เหมือนเอาน้ำเย็นสาดกองไฟที่ลุกโชน รู้สึกเหมือนเป็นเก้งตัวสุดท้ายที่ได้ขึ้นเรือโนอาห์ก่อนน้ำท่วม ผมยอมสงบศึก หย่อนก้นลงบนเก้าอี้พลาสติกแล้วจกต้มเลือดหมูกินเงียบๆ
“กูไม่แปลกใจเลยทำไมผัวทิ้ง”
“ว่าไงนะ!”
ได้ยินเสียงเบาๆเหมือนลมตดหวิวมากับสายลม เห็นปากไอ้จงอินขมุบขมิบเล็กน้อย ฉับพลันสัญชาติญาณแม่ก็เรียกอารมณ์ขุ่นเคืองกลับคืนมาในทันใด ผมง้างตะเกียบในมือขึ้นเตรียมชาร์จ เอ่ยถามเสียงดังพร้อมกับเหลือกตาขึ้นจนแทบจะเหลือแต่ตาขาว อดรีนารีนพลุ่งพล่านจากซอกขาหนีบมาถึงจมูก
“เปล่าจ้า น่าร้าก”
“งั้นก็แล้วไป”
…
“นี่”
“หืม”
“รหัสอะไรอะ”
หลังจากที่กลับจากกินข้าวมื้อดึกแล้ว แทนที่จะจรลีกลับคอนโดไป ผมกลับมานอนจุ้มปุ๊กอยู่ในห้องแคบๆของไอ้จงอินด้วยความว่างเว่อวีวังแทน ความจริงเวลานี้ผมคงจะต้องนอนพิงโซฟา จับมือผัวดูรายการทีวีอะไรสักอย่างอยู่ที่บ้านหลังน้อยๆอันอบอุ่น แต่ด้วยความไม่ชินกับความเหงานี้ ผมพลิกตัวนอนคว่ำบนเตียง หันไปข้างๆแล้วชูโทรศัพท์ของเจ้าตัวที่เปิดหน้ารอให้ใส่รหัส ไอ้จงอินผงกหัวขึ้นมาขมวดคิ้วใส่ผม ถอนหายใจสองทีแล้วล้มตัวลงนอนต่อ
“มึงจะเล่นอะไรนักหนา นอนเงียบๆได้ไหม มาอาศัยบ้านคนอื่นละยังจะรบกวนเขาอีก”
“รหัสอะไรอะจงอิน” ผมถามย้ำ ยื่นโทรศัพท์ไปใกล้หน้ามันอีก
“จะเอาไปทำไม โทรศัพท์กูไม่มีอะไรนอกจากเบอร์โทรกับเกมกากๆไม่กี่เกม”
“รหัสอะไรอะจงอินครับ”
ผมมองหน้ามัน กระพริบตาปริบๆแค่ไม่กี่ครั้ง ฝ่ามือกว้างก็คว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นไปจากมือผมก่อนจะเคาะลงมาที่หน้าผากของผมหนึ่งที
“โอ้ย! อะไรเล่า!”
ไอ้จงอินไม่ตอบคำ เพียงแค่กดรหัสผ่านให้แล้วโยนแหมะคืนมาให้ผม หน้าดำๆนั่นหันมาทำหน้าเซ็งใส่ผมหนึ่งทีก่อนจะถอนหายใจใส่หน้าแล้วตะแคงหันข้างไปอีกทาง ผมเบะปากใส่แผ่นหลังกว้างนั่นหนึ่งที ก่อนจะเดินเครื่องเสือกเต็มที่
เลื่อนไปเลื่อนมาอยู่แปดนาที เข้าๆออกๆแม่งมันทุกแอพ โทรศัพท์อินี่มันไม่มีอะไรจริงๆด้วย นอกจากรูปหมาร้อยกว่ารูปและเกมกากๆสี่ห้าเกม ผมหันกลับไปมองอิเจ้าของโทรศัพท์ที่ตอนนี้กำลังเปิดโรงสีข้าวขนาดย่อมอยู่ริมเตียงให้แน่ใจว่ามันหลับสนิทดีแล้วจึงหันไปถ่ายรูปมันไว้มาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์สำหรับแอคเค้าท์เฟสบุ๊คที่ผมกำลังจะสมัครให้ ไอ้ตอนหลับมันก็ดูดีอยู่หรอก แต่กรนทีแม่งดังไปสามบ้านแปดบ้าน ขโมยคงไม่กล้าขึ้นบ้านเลยงี้ คงนึกว่าเจ้าของบ้านกำลังดูดฝุ่นอยู่
แชะ
ถือวิสาสะเขยิบเข้าไปใกล้ๆ พิงหัวกลมๆของตัวเองชิดกับใบหน้าของอีกฝ่าย หลับตาพริ้มแล้วกดถ่ายเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายเอง เรื่องเฟคๆนี่กูถัดนัก ผมซัดชัดเตอร์รัวๆไปประมาณแปดสิบกว่ารูป ใจเต้นเล็กน้อยยามได้ยินเสียงหายใจ(ฟืดฟาด)เข้าออกของอีกฝ่าย ยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ กลิ่นแป้งตรางูที่แม่งโบกไว้ตามซอกหลืบเร้นลับเหล่านั้นก็โชยออกมามากขึ้นเท่านั้น สำหรับผมมันไม่ใช่ความหอม สำหรับผมมันไม่ใช่ความเย็นสบาย แต่มันคือความเป็นหนุ่มโรงงานพม่าอย่างหาที่สุดมิได้
ผละออกมาเลื่อนดูรูปที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อครู่ด้วยความฉุน จมูกผมแทบบอดด้วยความเย็นจนแสบของแป้งตรางูนั้น เลือกรูปที่ตัวเองดูดีที่สุดมาหนึ่งรูป สาดฟิลเตอร์เข้าไปอย่างหนักจนแทบจะหาความจริงมิได้ กว่าจะทำให้ไอ้จงอินขาวได้คือหน้าผมแทบกลืนไปกับผ้าปูเตียงแล้ว ไอห่า หงุดหงิด เพื่อนกูกับถ่านนี่มีเส้นบางๆกั้นอยู่ นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าครีมของผมจะทำให้มันขาวได้ยังไง แต่ถ้าทำได้สำเร็จ วงการการขายครีมจะต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
จนกระทั่งสมัครโซเชี่ยลต่างๆนาๆให้ผัวกำมะลอเสร็จ ผมก็ได้ฤกษ์คืนโทรศัพท์ให้มัน(ในสภาพที่แบตหมดแล้ว)สักที ผมถอนหายใจ นั่งนิ่งๆมองเพื่อนตัวเองสลับกับโทรศัพท์ไปมา นี่น้ำก็ยังไม่ได้อาบ ไม่รู้ว่าผมควรจะนอนที่นี่ หรือหอบหัวใจอันบอบช้ำของตัวเองกลับคอนโดดีนะ
“มึง กูกลับละนะ”
เสียงกรนดังขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มจะเกรงใจบ้านข้างๆ ผมเอื้อมมือไปสะกิดไหล่เพื่อนเล็กน้อย จริงๆอยากจิ้มแรงๆโทษฐานที่กรนเสียงดังแต่ก็กลัวมันตื่น คนที่นอนอยู่บนเตียงเพียงแค่ขานรับเบาๆในลำคอ ผมค่อยๆเอื้อมแขนข้ามอีกฝ่ายไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ของตัวเองที่อยู่บนหัวเตียงมาถืออย่างระมัดระวัง เตรียมจะลุกออกไปช้าๆ แต่แล้วฝ่ามือกว้างนั่นก็คว้าหมับเข้าที่ลำแขนของผม ออกแรงดึงรั้งเบาๆให้ลงมานอนด้วยกันซะอย่างนั้น
“นอนนี่แหละ ดึกแล้ว”
“กูยังไม่ได้อาบน้ำเลย เหม็น”
ผมเอ่ยท้วง ในขณะที่ลำแขนแกร่งกำลังจะม้วนผมเข้าไปในอ้อมกอดนั่นแล้ว ผมเกร็งตัวแน่นเมื่อแผ่นหลังของตัวเองแนบชิดไปกับอกกว้างของอีกฝ่าย เบิกตากว้าง มองชั้นวางหนังสือที่อยู่ตรงหน้าด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูก
ฟืดดด
ฉับพลันปลายจมูกโด่งคมก็ซุกลงมาที่กลางหัว เสียงสูดหายใจนั้นกำลังจะทำให้ผมต้องหลับตาปี๋แล้วกริ๊ดออกมาดังๆ กูไม่ได้สระผมมาจะอาทิตย์อยู่แล้ว แล้วแม่งเสือกหายใจเข้าไปซะเต็มปอดขนาดนั้น คืนนี้ผมต้องได้นอนกับศพแน่ๆเลย
“อืม พอทน..”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาสั้นๆ แค่นั้น ก่อนจะเงียบไป กลายเป็นเสียงโรงสีข้าวดังแทรกขึ้นมาในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง ผมร้อนหน้าไปหมด ได้แต่นอนเกร็งอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ความรู้สึกและความคิดในหัวผมมันกำลังประดังประเดเข้ามาตีกันมากกว่าแปดอย่างอะที่แน่ๆ ไม่รู้จะเขินหรืออะไรก่อนดี
คร่อกกกกก..
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้ว ยังมีผู้ชายตัวควายๆสองคนนอนเบียดกันอยู่ที่มุมหนึ่งบนเตียงกว้าง คนนึงกรนดังเหมือนจะไปแข่งเอาโล่ห์โอลิมปิก ส่วนอีกคนนอนกระพริบตานิ่งๆ ทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยจิตใจที่สับสน และผู้ชายคนนั้น … คือกูเอง
สัดเอ้ย นอนไม่หลับ
ไม่รู้เพราะแม่งกรนดัง หรือเพราะเขินกันแน่
แต่ที่รู้ๆ กูฉุนแป้งตรางูโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!
...
เช้าวันเสาร์
ผมนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดในห้องนั่งเล่น สไลด์ไอแพดในมือไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน ปลายตีนมีครีมกระปุกเท่าสีทีโอเอวางเกลื่อนพื้นอยู่สามสี่ถัง กับกระปุกครีมตัวอย่างเป็นเซ็ตแปะโลโก้อย่างดีที่เพิ่งสั่งทำจากโรงงานวางแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะ ผมจัดวางข้าวของ ถ่ายรูปเฟคๆไว้สามสี่รูป แล้วอัพลงโซเชี่ยลด้วยความภาคภูมิใจ
ครีมครอบจักรวาล ขาวชาตินี้ยันชาติหน้า ขาวแสบตา ทาได้ทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่ซอกหูยันหลืบรักแร้ รักษาทั้งสิวฟ้ากลากเกลื้อน ไม่ว่าจะเป็นเป็นขี้เรื้อนหรือผิวแห้ง ทาตูดก็ขาว ทาหน้าก็สวย มีสรรพคุณช่วยแก้อาการดำคล้ำ ซื้อวันนี้ราคาพิเศษ กระปุกละห้าหมื่นวอนเราไม่ขาย เราขายกระปุกละห้าหมื่นห้าร้อยวอนกันเลยครับ
อ้อหอออออออออออออออออออออออ สรรพคุณเย่อเว่อ เอ้ะ เขียนไปเขียนมาเริ่มงงตัวเอง สรุปว่ามันแพงขึ้นหรือมันถูกลง แต่เขียนเหมือนถูกลงนะ ช่างมันเถอะ ยังไงผมก็จะขายกระปุกละห้าหมื่นห้าอยู่ดี จริงๆต้นทุนประมาณกระปุกละไม่กี่ร้อยวอนเองแหละ ค่ากระปุกแม่งยังแพงกว่าครีมเลย แต่เอาเถอะ เพื่อกำไร ผมจะต้องหล่อรวยและมีผัวฝรั่งให้ไอ้พี่ชานยอลรู้สึกเสียดายที่ทิ้งผมไปเลยคอยดู!
เสร็จแล้วก็แนบหน้าขาวๆของตัวเองที่ถ่ายคู่กับครีมลงไปด้วยพร้อมกับบรรยายสรรพคุณไปอีกประมาณสี่พารากราฟ จริงๆแล้วผมไม่เคยใช้ไอ้ครีมที่ผมขายเองเลยด้วยซ้ำ หน้านวลผ่องนี้ได้มาจากหมอล้วนๆเลยข่ะ เข้าคลินิกบ่อยกว่าเซเว่นหน้าปากซอยบ้านอีก เลเซอร์นะลูก โบทงโบท็อก ทรีตเม้นน่ะทำเข้าไป ครีมช่วยอะไรหนูไม่ได้หรอกค่ะจริงๆ
ตื่อดึ้ง!
ไม่นานก็มีคนมาหลั่งไหลกันเข้ามาให้ความสนใจมากมาย ประกอบไปด้วยคอมเม้นชมหน้าผม ชมครีม ล่าสุดมีถามราคา ถามมากันบาน เอ้ะอิเวน อยากเอื้อมมือทะลุจออกไปเอานิ้วจิ้มตาหล่อนซะจริง มีตาไว้กระพริบเล่นอย่างเดียวหรือไงไม่ทราบ ราคาก็บอกอยู่ใต้รูปไม่รู้จักหัดอ่านกัน ประเทศจะไม่เจริญก็เพราะชะนีพวกนี้แหละ
ยังยิ้มกรุ้มกริ่มกับคอมเม้นอวยได้ไม่ทันไร อยู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แต่ตดยังไม่ทันหายเหม็นมันก็ดับไป ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดู บนหน้าจอปรากฏชื่อของอิดำเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นผัวกำมะลออยู่โทรมาหนึ่งสาย ผมขมวดคิ้ว หนึ่งสายที่ไม่ได้รับหรอ จริงๆมันไม่น่าจะเรียกว่าหนึ่งสายด้วยซ้ำ จะเรียกว่าครึ่งสายกูยังเกรงใจเลย นี่ยิงมาเหมือนกลัวกูรับ ตัดสายเร็วเว่อ
“ฮัลโหล ยิงมาหาป้ามึงรึแงะ”
“(ตังหมด)”
ผมอยู่ในท่ามือนึงเท้าเอว มือนึงเอาโทรศัพท์แนบหู เบ้ปากแล้วกลอกตาขึ้นลงทั้งหมดสามชุดก่อนจะถอนหายใจใส่มันไปหนึ่งที อะไรคือตังหมด ป่านนี้ควรใช้รายเดือนได้แล้วไหม
“ตังหมดมึงก็ไลน์มาเส่ะ อินเตอร์เน็ตน่ะรู้จักแมะ”
“(สมัครไม่เป็น)”
นี่ถอนหายใจจนดั้งจะหลุดออกจากสันจมูกแล้ว โอ๊ยตุ๊ดเซ็ง อะไรคือเพื่อนจนแล้วเพื่อนก็โง่ ควรพัฒนาด่วน เดี๋ยวบึ่งไปสอนหลักสูตรเร่งรัดเดี๋ยวนี้
“โอ้ยมึงนี่มันปี2017แล้ว”
“(เออ บ้านมีปฏิทิน)”
“ว่าแต่โทรมามีอะไร ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา”
“(ตอนนี้งานเยอะมาก อยู่ร้านคนเดียว ลูกน้องลาสองคนเลย)”
ผมกระพริบตาปริบๆ อ้าปากค้างเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะตอบมันว่าอะไร ในหัวประมวลผลได้ใจความว่า
“เอ่อ ..แล้วมึงบอกกูเพื่อ อันนื้คืออัพเดทสเตตัสหรือว่าไง”
เป็นสเตตัสที่เหงามาก อ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวสุดลุกหูลุกตา เอ้ะ แต่ถ้ามันจะโทรมาเล่าแค่นี้ มึงควรจะโพสท์ลงบนเฟสบุ๊คถูกไหม หรือไม่ก็สมัครทวิตเตอร์ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป แต่นี่คือไม่รู้ว่ามันรู้รึเปล่าว่ามีสิ่งที่เรียกว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คละนะเดี๋ยวนี้ ผมยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่ามันรู้หรือยังว่าเขาเลิกใช้โทรเลขกันแล้ว
“(หิวข้าวไง บ่ายสามแล้วเนี่ย ไม่มีไรตกถึงท้องเลย ออกไปไหนไม่ได้ ลูกค้าเร่งกันใหญ่ ร้านซ่อมตรงหัวมุมก็ปิด)”
“อ๋อ คือจะให้ซื้อข้าวเข้าไปให้ ว่างั้น พอให้เป็นผัวให้หน่อยล่ะมึงเล่นซะเหมือนเลยนะแหม่”
“(เร็วๆเลยคุณ ไส้จะขาดแล้วเนี่ย)”
“ระ ..รู้แล้วน่า”
อยู่ๆก็ใจกระตุกตรงคำว่าคุณที่มันพูดมา ร้อยวันพันปีไม่เคยจะเรียกแบบนี้ ผมตบหน้าเด้งๆอมชมพูของตัวเองเบาๆสองสามทีด้วยความเคอะเขิน กรี๊ดใส่หมอนอีกหนึ่งทีแล้วก็ลุกขึ้นมาเต้นนิดหน่อย ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ว่า เอ้ะ กูควรมีผัวฝรั่งนี่นา แล้วนี่ทำไมต้องมาเขินกับอิดำซ่อมรถโลวเทคโนโลยีแบบนี้ด้วยนะ ฮวือ แม่ขา หรือสภาวะช็อคหลังอกหักจะทำให้สเปคหนูดิ่งลงเหวไปอย่างกู่ไม่กลับกันนะ
…
เสียงปิดประตูรถดังลั่นถัดไปอีกแปดซอย ผมหอบถุงกับข้าวพะรุงพะรังออกมาจากหลังรถ ก็รู้แหละว่าอิดำมันกินจุ แต่นี่คือเยอะไปจนมองเผินๆคงนึกว่าซื้อไปเลี้ยงพระฉันเพล นี่ฉันเปย์เยอะเกินไปรึเปล่าเนี่ย
เลี้ยวหัวมุมเข้ามาหน้าร้านก็ถึงกับตะลึงงัน คนเยอะจริงๆด้วย นี่ถ้าไม่บอกนึกว่าแจกอะไหล่ฟรี ตรงหน้าร้านมียืนอยู่ประมาณแปด ในร้านอีกสิบ ตรงเก้าอี้ข้างนอกอีกสิบสอง บนหลังคาอีกหก (พูดเล่น อันนี้ก็เกินไปๆ) ทุกคนกำลังจ้องมาที่เพื่อนของผมที่กำลังนั่งหน้าดำสูบลมใส่ล้อรถจักรยานอย่างเคร่งเครียดและกดดัน สีหน้าทุกคนดูกลัดกลุ้ม แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง กระทั่งจงอินเงยหน้าขึ้นมาจากล้อรถจักรยาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กวักมือเรียกชะนีตัวน้อยพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนเขม่าบนข้างแก้ม
“เอ้า เสร็จแล้วตัวเล็ก”
จักรยานแม่งคันเล็กม้าก เล็กจนอิดำสามารถใช้มือเดียวหิ้วลอยข้ามเครื่องสูบลมมาได้ ชะนีตัวน้อยวิ่งคลุกคลั่ก (จริงๆก็วิ่งดุ้กดิ้กแหละ แต่ด้วยความที่ผมรำคาญ เลยขอใช้คำนี้แทน) เข้ามาเอาจักรยานสุดที่รักของนางอย่างตื่นเต้น ร้องโย่วเย่โหวกเหวกสองสามที วิ่งไปก็กระโดดไปอย่างร่าเริง โอ้ยลำไย คือถ้าท่าเยอะกว่านี้อีกสเต็ปแม่จะเตะตัดขาให้หน้าฟาดพื้นปาร์เก้ตรงนี้จริงๆด้วย
อิน้องชะนีนรกขี่จักรยานออกไปจากร้านแล้ว ในขณะที่เพื่อนของผมยังยืนยิ้มอยู่ จงอินใช้หลังมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตัวเองเบาๆ แต่คราบเขม่าที่ตามมาคือเป็นพรืด ผมหลุดขำ ก่อนยื่นทิชชู่เปียกให้มันหนึ่งผืน
“ซื้อข้าวมาละ เดี๋ยวเอาไปเทใส่จานให้ หยุดทำละมากินก่อน”
“กินซะหน่อยละกัน”
หน่อยมาก ผมนั่งนิ่งหลังจากที่โดนมันเรออัดหน้าเหมือนทุกครั้ง สภาพจานบนโต๊ะสี่ห้าจานคือเกลี้ยงเกือบทุกจาน เหลือผักโง่ๆไว้ดูต่างหน้าสามสี่ก้าน กินซะหน่อยหรอ อันนี้แถวบ้านกูไม่เรียกหน่อยละอะ อันนี้แถวบ้านกูเรียกสูบแล้วหายวับไปกับตา นี่ท้องหรือหลุมดำ
“ขอบใจ รอหน่อยละกัน อีกชั่วโมงกว่าๆก็ปิดร้านแล้ว เดี๋ยวพาไปทำอะไร”
“ทำอะไรอะ”
ผมยืดตัวตรง เหลือกตาเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น พลางใช้มือล้วงคลำในกระเป๋าถือ ในหัวกำลังระลึกชาติว่าได้เอาถุงยางติดมาไว้ในรถรึเปล่า ไม่ได้คิดอกุศลเลยจริงๆ นี่เพื่อนไง จำไม่ได้หรอ
เป๊าะ!
“โอ้ย! อะไรเล่า”
อยู่ๆไอ้มือดำๆนั่นก็เอื้อมมาดีดหน้าผากผมซะงั้น ผมกุมหน้าผากก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บ แม่งดังเป๊าะเลย ดีดซะกะบาลกูเป็นลูกมะพร้าวไปได้ ฮือ เจ็บอะ
“รู้นะว่ามึงคิดอะไร หยุดเลย”
“คิดอะไรเล่า มึงรู้รึแงะ!”
ผมร้องแหว ก่อนจะปัดมือมันทิ้ง อิดำไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หันหน้ามาหาผม มือหนึ่งกำเป็นรู อีกมือเอานิ้วสอดเข้าสอดออก ยักคิ้วหลิ่วตาน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด
“ทะลึ่งนักนะมึงอะ”
“โว้ย! ไปเลย!”
ให้เดาว่าหน้าผมคงแดงเป็นตูดลิงไปแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่ามันจะทำแบบนั้นกับผมเหมือนกัน เหมือนหน้าแตกซ้อนหน้าแตกอีกที ผมเขวี้ยงทิชชู่ที่ใช้แล้วใส่หลังมันรัวๆ จงอินได้แต่หัวเราะแล้วก็เดินไปทำงานต่อ ร่างสูงโปร่งมุดลงไปใต้ท้องรถอีกครั้ง ก่อนจะสไลด์ตัวออกมาชี้หน้าผมอย่างคาดโทษ
“เขวี้ยงเล่นจนพอใจแล้วเก็บด้วย อย่าให้เลอะเทอะ ร้านเละกูตีแน่”
ผมแว้ดๆใส่มันไปสองสามที แต่จงอินไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มันคงข้ามไปอยู่อีกโลกแล้ว โลกที่มีแต่อะไหล่กับคราบน้ำมันรถ ผมนั่งเท้าคาง ดูอีกฝ่ายกำลังตั้งใจทำงานเงียบๆ .. จริงๆแล้วอิดำมันก็เท่ห์เหมือนกันนะเนี่ย
….
“อีกไกลปะเนี่ย”
ผมบ่นกระปอดกระแปด หลังจากช่วยที่อิเพื่อนตัวดำปิดร้านแล้วก็รอมันอาบน้ำ โปะแป้งเย็นกลิ่น(ที่มันเคลมว่า) หอมรัญจวน ออกมาเดินเลาะตามตรอกซอกซอยอยู่เกือบสิบนาที บอกจะเอารถมามันก็ไม่ให้เอามา แล้วก็ต้องมาเดินตากลมตากยุงให้ลำบาก หล่อไม่ไหวเลยจริงๆพับผ่า
“อีกประมาณสี่สิบกว่าโลอะ”
“น้ำหนักมึงที่เพิ่มขึ้นอะหรอ”
“อืม”
“เอาดีๆ พูดจริงปะเนี่ย มึงจะพากูมาวอล์คแรนลี่อะไรตอนนี้”
“พูดเล่น ข้างหน้าก็ถึงแล้วเนี่ย บ่นชิบหาย”
อิดำชอบว่าบ่อยๆว่าผมขี้บ่นเหมือนแม่มัน จริงๆนี่ผมเถียงเลยนะ บ่นเหมือนแม่ที่ไหน กูบ่นเยอะกว่าแม่มันอีก หลังจากนั้นผมก็บ่นต่ออีกสองสามคำ แต่จำไม่ได้ละว่าบ่นว่าอะไร เพราะตาไปสะดุดกับแสงไฟหลากสีสันตรงอีกฟากถนนข้างหน้า มีคนหลั่งไหลกันเข้าไปจากทั่วทุกสารทิศ มองเผินๆเหมือนแมลงเม่า
“อะไรอะ”
“งานเทศกาลห่าไรไม่รู้ เห็นจัดมาสองวันละ พาคนอกหักมาเที่ยวซะหน่อย มันจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”
“เอ้ะ คนอกหักคือกูถูกมะ”
“อืม มึงนั่นแหละ จะใครล่ะ ..มานี่”
ผมหยุดเดินเพื่อใช้ความคิด เอียงคอเล็กน้อยจนเหนียงพับเป็นจีบ ปลายนิ้วชี้มาที่หน้าตัวเองอย่างงงๆ อิดำพยักหน้า ก่อนวาดแขนโอบรอบคอผมแล้วพาเดินเข้าไปในงาน ผมตัวเกร็งทื่อ เพื่อนกันต้องทำกันเบอร์นี้เลยมะ
ในงานมีของน่าสนใจหลายอย่างมาก ทั้งของกิน เสื้อผ้า ของเล่น บลาๆ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เดินอะไรแบบนี้บ่อยเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นห้างซะมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองดีดเบอร์ไหน แต่สายตาและสีหน้าของจงอินที่มองมาดูจะเอ็นดูผมเหลือเกิน กูรู้นะ แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น แอร๊ย
ยังดีที่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แสงไฟสีส้มแดงนัวๆชวนให้รู้สึกโรแมนติกชอบกล อยากควักกล้องมาถ่ายรูปเรียกเรทติ้งแต่ก็ติดอยู่ที่ว่าอิดำแต่งตัวทุเรศเหลือเกิน มองเผินๆ เหมือนไซด์ก่อสร้างแถวบ้านอะ ไม่ได้ละ ต้องปฏิวัติใหม่หมด ไว้พรุ่งนี้ผมจะพามันไปแปลงโฉมก็แล้วกัน ไม่งั้นเกิดดังขึ้นมาล่ะเดี๋ยวใครจะหาว่าปลอมเปลือก หล่อรับไม่ได้
…
“แอร๊ยยยยยยยยยยยย ซันหนุกจังเรย”
ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าไหร่ เราสนุกกันมากจนแทบไม่ได้ดูนาฬิกาเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมรู้สึกตัวเองเหมือนกำลังเดินตัวลอยๆอยู่ริมถนน เหยียบเงาตัวเองใต้แสงนีออน ร่างกายอ่อนแรง ขาแขนเปลี้ยจนแทบจะเดินเองไม่ได้ รู้สึกเจ็บๆหน่วงๆที่แขนนิดหน่อย หันไปมองอีกทีก็เห็นจงอินกำลังกึ่งหิ้วกึ่งลากผมถูลู่ถูกังไปตามขอบฟุตบาท ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงอิคนที่พยุงอยู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมหันไปร้องแหว
“อะไล หามกันแค่นี้ ทำมาถอนหายใจ ใช่เซ้ะ! กูไม่ใช่จักรยานสีชมพูของอิเด็กเวรนั่นเน้”
“มึงเมาเรื้อนมากเลยรู้ตัวไหมเนี่ย”
เราแค่แวะร้านเล็กๆ หาอะไรกินนิดหน่อย ไม่คิดว่ากับอิแค่โซจูสองสามขวดจะทำให้เมาได้ขนาดนี้ ให้ตายสิ ผมไม่ชอบรสชาติของมันเลยจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงกินเอาๆเหมือนกัน สงสัยอาจจะเพราะกำลังเฮิร์ทละมั้ง ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เอาซะเลย
“กู … รู้สึกเหมือนกูจะ ..อ้วกกกกกกกกกกกกกก”
ฉับพลันโลกหมุนเคว้งจนยืนไม่อยู่ สองขาพับลงพาร่างไปกองกับพื้นจนจงอินพยุงผมแทบจะไม่ไหว ไม่กี่อึดใจต่อมา มวลมหาประชาชื่นจากร้านไก่ทอดเมื่อครู่ก็พากันพวยพุ่งออกมาจากลำคอ สองมือวางทาบกับพื้นปูนเขรอะขระพยุงตัวเองไม่ให้หน้าทิ่มพื้นไปเสียก่อน
“ห่าเอ้ย”
ได้ยินเสียงสบถเบาๆดังอยู่ด้านหลัง รู้สึกถึงสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นที่เลื่อนมาช่วยลูบหลังให้เป็นระยะ ผมอ้วกไปก็ด่าไป จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรบ้าง รู้สึกแค่แม่งเหม็นเปรี้ยวแล้วก็แสบคอไปหมดเลยโว้ย!
อ่อก …
ดึ๊งดึ่ง … ดึ๊งดึ่งงงง
ผมแหกขี้ตาตื่นขึ้นหลังจากทนฟังเสียงกดออดหน้าบ้านที่ดังต่อเนื่องมากว่าสิบนาทีแล้ว ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเสียอารมณ์ ก่อนจะเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกออกไปดู แต่ยังไม่ทันจะถึงประตูห้อง จู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบที่ท่อนล่าง ผมหยุดชะงัก หันมองกระจกตรงตู้เสื้อผ้าก็พบว่าตัวเองเหลือกางเกงในแค่ตัวเดียว
“อ้าวไง ตื่นเช้าเชียว”
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หัวดำๆโปะด้วยเส้นผมเปียกชุ่มเหมือนสาหร่ายลุ่มแม่น้ำไนล์ที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จโผล่ยื่นออกมาจากบานประตูพร้อมกับเซย์ฮัลโหลในยามเช้า ผมเบิกตาโพลง ในหัวกำลังคิดว่าควรจะวิ่งกลับไปที่เตียงแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมท่อนล่างดี หรือยืนโบกมือทักทายมันแบบปกติแล้วเข้าไปกีฟฮิมอะไฮไฟว์สักหน่อย แต่คิดไปคิดมา คงไม่ทันแล้วล่ะเนอะ
“มึง .. เราละ ..ล้างตู้ ..”
“ตู้เย็นอะหรอ ล้างละ โสโครกชิบหาย”
แทบกรี๊ด ผมละล่ำละลักถามไปด้วยความเขินอาย กูล่ะเกลียด awkward moment แบบนี้เหลือเกิน แล้วถามยังไม่ทันจบ อินี่ก็เสือกตอบโพลงออกมาแบบนั้น .. ฮือ โสโครกเลยหรอ แปลว่าเมื่อคืนฉันแจกทองถูกมะ ก็ใช่น่ะเซ่!! แม่ยังไม่ทันได้ทำแท้งเลย แง ทำไมไม่บอกกันก๊อนนนนนน
“ฮือ อิบ้า ทำไมไม่บอกกันก่อน T_T” ผมเบะปาก ทำหน้าร้องไห้อย่างน่ารัก ฮือ อายอะ
“ก็มึงตื่นให้กูบอกไหมล่ะ”
“ละ ..แล้วได้ใส่ เอ่อ ..ถุงยางรึเปล่า”
“หะ ..”
โอ้ยอิโง่ ถุงยางไง ยังจะมาทำหน้าโงใส่อีก นี่โคฟเวอร์เป็นตัวเองรึปะเนี่ย กายละเอียดผมนี่กุมขมับแล้วถอนหายใจไปสี่สิบกว่ารอบละนะ ในขณะที่กายหยาบได้แต่กระพริบตาปริบๆให้ดูใสซื่อน่ารักน่าฟัด ไหนๆก็ตกเป็นเมียเขาแล้ว
“เอ้อ มีบุรุษไปรษณีย์มารออยู่หน้าบ้านน่ะ”
สงสัยเห็นผมเงียบไปนาน มันก็เลยเปลี่ยนเรื่อง ดีมาก ขอบคุณที่ช่วยทำลายอิโมเม้นนรกนี่ จงอินพยักพเยิดไปที่ชั้นล่างก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป.. เอ้อ เกือบลืมไปเลย
ดึ๊งดึ่ง … ดึ๊งดึ่งงงงๆๆๆๆๆๆ
“โอ๊ยยยย มาแล้ววววว โดดลงระเบียงมาเลยเนี่ย รีบก็ไปส่งบ้านอื่นก่อนมันจะตายหรือ… ไง”
“ไง”
เหมือนกับโลกทั้งใบหยุดหมุน จู่ๆหัวใจที่เต้นเป็นปกติอยู่ดีๆก็เหมือนจะหล่นลงไปอยู่ที่พื้น หลังจากที่ได้เห็นปาร์คชานยอล เจ้าของตำแหน่งแฟนเก่าเฮงซวยกำลังยืนอยู่ตรงหน้า ผมลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหมือนความรู้สึกทุกอย่างมันขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ .. พูดอะไรไม่ออกเลย
“โฮ่ง!”
อยู่ๆก้อนอะไรไม่รู้ขาวๆในมือมันก็ร้องดังออกมา เป็นสิบวิแรกหลังจากที่ผมเห็นปาร์คชานยอลแล้วยิ้มออก อิมะลิลูกสาวผมนั่นเองที่ติดมาด้วย ผมแทบจะโผเข้าไปหามันด้วยความคิดถึง แต่ก็ลืมไปว่าเรากลายเป็นแค่คนแปลกหน้าไปแล้ว
“พาลูกมาหาอะ เผื่อคิดถึง”
“อ๋อ”
เวนเอ้ย มีหลายอย่างที่อยากจะพูดเต็มไปหมดแต่กลับพูดออกไปได้แค่อ๋อเนี่ยนะ ผมล่ะอยากจะเอาหัวโขกประตูรั้วแล้วตายไปให้มันรู้แล้วรู้รอด ผมล่ะเกลียดตัวเองจริงๆ มือไม้ขาเขอสั่นไปหมด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปมากกว่านี้เพราะกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ออกมาซะก่อน
“ลูกผมผมก็ต้องคิดถึงสิ .. ฮ่ะๆ”
ฮ่ะๆหรอ แม่งเป็นเสียงหัวเราะที่แห้งที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยขำมาเลย แค่คิดก็ทุเรศตัวเองแล้ว นึกไม่ออกเลยว่าสภาพหน้าผมตอนนี้มันจะเจื่อนแค่ไหน
“แล้วคิดถึงพี่ด้วยรึเปล่า”
เหมือนหัวใจที่ตายไปแล้วของผมถูกช็อตด้วยเครื่องปั๊มอีกครั้ง มันเจ็บแปลบ ไม่รู้ว่าสุขรึเปล่า ไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่ได้ยินแบบนั้นไหม ผมละล่ำละลักไม่กล้าตอบ ได้แต่มองหน้าอิมะลิที่กำลังหายใจหอบลิ้นห้อยอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างไม่มั่นใจเหมือนทุกครั้งที่เคยเป็น
“ไม่คิดถึง”
ฉับพลันเสียงแหบห้าวก็ดังขึ้นจากด้านหลัง หันกลับไปก็เห็นคิมจงอินเดินออกมาจากประตูบ้านด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลำแขนแกร่งวาดโอบรอบคอผมก่อนจะมองหน้าอิพี่ชานยอลนิ่งๆ ผมได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ พยายามจ้องแต่ตาโปนๆของอิมะลิเพื่อไม่ให้ตัวเองก๊อกแตก
“เอาหมามาคืนหรอ งั้นเอามา”
แขนยาวๆเอื้อมข้ามรั้วไปควักอิมะลิออกจากอ้อมอกของอิพี่ชานยอลก่อนจะอุ้มมันไว้ด้วยมือเดียวในขณะที่แขนอีกข้างยังกอดคอผมอยู่
“นี่แฟนใหม่หรอ”
“เออ” อิพี่ชานยอลหันมาถามผม แต่คนที่ตอบกลับเป็นอิดำข้างๆแทนซะงั้น
“เธอเปลี่ยนรสนิยมมาเอาเอาไอ้คนบ้านนอกแบบนี้เป็นแฟนแล้วหรอ“”
อีกฝ่ายมองเพื่อนผมแบบหัวจรดตีนก่อนจะหันมาถาม ไอ้คนบ้านนอกหรอ .. จากตอนแรกที่ยังรู้สึกหวั่นไหวกับประโยคเมื่อกี้ของมันอยู่ดีๆ ไม่รู้ทำไมตอนนี้กลับรู้สึกโมโหอย่างไม่มีสาเหตุ
“แล้วนี่อะไร คนส่งพิซซ่าหรอ ตอนแรกนึกว่าเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์”
คิมจงอินเองก็กวนไม่ใช่น้อย ดวงตาคู่คมเลื่อนลงมองจากตีนขึ้นมาจรดหัวก่อนจะย้อนตอบ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีรั้วกั้นอยู่ก็คงจะมีบวกกันไปแล้ว
“นี่มันแจ็คเก็ตเว้ย! ไม่รู้จักสไตล์ ..”
“เออ ไม่รู้จัก หมดธุระแล้วก็ไสหัวไปได้ละ .. ไปค่ะที่รัก ข้างนอกนี่ร้อนจริงๆ”
ว่าแล้วมันก็จูบกระหม่อมผมหนึ่งทีแล้วพาเดินเข้าบ้าน ปล่อยอิพี่ชานยอลที่ยังพูดไม่จบให้ค้างเติ่งอยู่กับสตรีทแฟชั่นของมันตรงนั้น ผมหันกลับไปมอง รู้สึกสะใจยังไงก็ไม่รู้
“ไปค่ะที่รักหรอ 5555555555”
เข้าบ้านมาได้ผมก็ล้อมันทันที คนอย่างอิดำเนี่ยนะ มันพูดอะไรแบบนี้เป็นที่ไหน แค่คำว่าครับยังแทบจะไม่เคยได้ยินจากปากมันเลย
“เออ กูช่วยมึงไว้นะเนี่ย”
“ช่วยที่หน้ามึงเซ่! ถ้าเมื่อกี้เขามาขอกูคืนดีแล้วมึงทำกูชวดไปจะทำยังไง”
“อย่ากลับไปเอาเลยคนแบบนั้น น่ารักอย่างมึงหาได้อีกเป็นล้าน”
ไม่รู้ว่ามันชมหรืออะไร อยู่ๆแม่งก็พูดออกมาหน้าตาเฉยก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เอาหนังสือมาปิดหน้าเตรียมจะหลับอีกรอบ แต่คำพูดขวานผ่าซากแบบนั้นมันยังติดตรึงอยู่ที่ใจผม น่ารักหรอ รู้ตัวแหละ อยู่ๆก็รู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ดีนะที่มันเอาหนังสือปิดหน้าไว้ จะได้ไม่ต้องมองหน้ากันให้ลำบากใจ ไม่งั้นมันคงจะรู้ว่าผมเขินแน่ๆเลย
อ่า .. ร้อนชะมัด
“นี่ .. ล้างตู้เย็นให้หรอ“”
เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมากินแก้ร้อน จำได้ว่าที่เปิดเมื่อวานกับวันนี้มันต่างกันลิบลับ ตู้เย็นบ้านผมไม่เคยสะอาดขนาดนี้มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา ถ้าไม่ใช่จงอินเป็นคนล้าง ก็คงเป็นผีบ้านผีเรือนแน่ๆ
“เออ ถามทำไมหลายรอบ”
“ห้ะ“” ถามไปแล้วหรอ
“…”
“งั้นสรุปว่าเราก็ไม่ได้ .. ไอ้นั่นกัน”
“ไม่ได้อะไร มึงคิดอะไรอีกแล้วเนี่ย“”
อิดำหยิบนิตยสารเล่มบางที่ปิดหน้าออก ลุกขึ้นนั่งแล้วขมวดคิ้วมองหน้าผมด้วยความสงสัย ผมได้แต่กระพริบตาปริบ งั้นแสดงว่าก็คนละล้างตู้เย็นกันน่ะสิ เหมือนได้ยินเสียงหน้าแตกดังเพล้งเลยอะ
“แล้วทำไมกูแก้ผ้าหมดเลยอะ!!” ผมตะโกนลั่นบ้าน ทำไมอะ ทำไมเราไม่ได้กัน
“ไอห่าก็มึงอ้วก เลอะเสื้อผ้าไปหมด กูก็ถอดให้ จะให้สรงน้ำให้มึงด้วยเลยหรือไง กูแบกมึงขึ้นห้องได้ก็เหนื่อยจะตายห่าแล้ว”
“อ๋อ ..แหะๆ” ผมนิ่งและอึ้งไปพักใหญ่ รู้สึกเสียดายเล็กๆ
“มานี่เลย”
จงอินกวักมือเรียก ผมก็เดินเข้าไปหามันโง่ๆเพื่อให้มันเขกมะเหงกใส่หัวผมอีกหนึ่งที ตรงที่เดียวกับที่จูบเมื่อกี้นี้เป๊ะเลย เจ็บอะ ฟายเอ๊ย
“โอ๊ย! อะไรอีกเล่า!”
“ลามกอีกแล้วนะมึงอะ ไปเลย ไปอาบน้ำ เหม็นอ้วกชิบหาย”
ผมเปลี่ยนจากเบ้หน้าเป็นบึนปากใส่มันแทน อะไร แค่นี้ต้องมาทำหัวเราะ ทำยิ้มอบอุ่นใส่ด้วย เกลียด เดี๋ยวพ่ออ้วกใส่อีกรอบเลยนี่ ไอ้บ้าเอ๊ย
…
TO BE CONTINUE
updated [3/3/17]
_____________________
หายไปนานมากกกกกกกกกกกก นานแบบเป็นปีเลยมั้ง
ตอนนี้กลับมาเขียนฟิคแล้วเด้อ หลังจากที่ดองจนเป็นฟอสซิลไปประมาณสามสิบปีแสง
สำหรับเรื่องนี้ก็ ร่วมพูดคุยติชมด่าพ่อได้ที่แท็ก #รักนี้ขายครีม เหมือนเดิมนิคร๊
แล้วจะรีบมาอัพตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน
แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา อา อา อา อา
ไปและ เวิ่นเว้อลำไย ไม่สามารถเขียนทอล์กสั้นๆได้จริงๆอะ
ว่างๆก็มานั่งจับเข่าคุยกันเลยละกัน อะล้อเล่น นี่ก็เกินไป
ไปจริงๆและรำคาญ 555555555555555555
สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ
ความคิดเห็น