ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ━☏゙EXO/SF▯◦by.HUNDREDPERX!━

    ลำดับตอนที่ #6 : [SF] CHANHUN - green (END)

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 57


    Minor!
     



    "พี่ชานยอล .. " 




    "หืม ? "


          

              
              ผมขานรับ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาไปจากตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ ผมเท้าคางสบายๆกับหมอนที่ถูกวางไว้บนตัก มือหนึ่งพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ 






    "พี่ชอบใครอยู่วะ " 





                เซฮุนถามก่อนจะย้ายสำมะโนครัวหอบเอาหมอนใบโตและผ้าห่มมาไว้ที่ปลายเตียงของผม จนผมต้องเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มหนาด้วยความรู้สึกกดดัน .. เด็กนั่นจ้องผมไม่วางตาเลย 



    อยู่ดีๆมาถามนี่มันอะไรวะ ? 




    คิดอะไรอยู่ .. 
          





               ผมเลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถามกลับ ก่อนจะพับหน้าหนังสือที่อ่านทิ้งไว้แล้วโยนมันไว้ที่หัวเตียง คว้าหมอนข้างมากอดแล้วจ้องกลับไปที่ดวงตาสวยคู่นั้น พวงแก้มใสของเพื่อนร่วมห้องแดงระเีรื่อนิดๆ เขาเอียงคอมองผมอย่างสงสัย น่าแปลกที่วันนี้เซฮุนทำตัวน่าคบหากว่าทุกวัน ปกติแล้วเขาแทบจะไม่เคยชวนผมคุยก่อนเลยด้วยซ้ำ ท่าทางน่ารักนั่นทำให้ผมใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก 




    ชอบกูแหงเลยแบบนี้ ..




    "ไม่รู้ว่ะ แถวเนี้ยอะ " 





            ผมพูดเป็นการหยั่งเชิงไปก่อนพลางเสมองไปทางหน้าต่างห้องที่เปิดม่านเอาไว้ ใจเต้นรัวจนรู้สึกหายใจลำบาก มือเท้าชาไปหมด รู้สึกว่าตัวเองกำลังเหงื่อตก .. ไม่รู้ดิ ผมก็ชอบแม่งมาสักพักแล้วเหมือนกัน 



    "เธอล่ะ ? " 



           ผมถามออกไปอีกรอบหลังจากไม่มีคำตอบอะไรจากคนตรงหน้า แม่งเอาแต่นั่งอมยิ้ม 



    "ไม่รู้ดิ " 



           และคำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มให้จุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรของผมได้ไม่ยากเลย .. เซฮุนเอนตัวนอนลงบนเตียงผมแล้วหยิบไอโฟนขึ้นมาเล่นเกม ผมได้แต่มองเขาด้วยใจที่เต้นรัว .. ก่อนจะสูดหายใจลึกๆแล้วพูดออกไปตามสัญชาติญาณ 



    "ถ้ายังไม่มี .. ชอบพี่ดิ"



    "..."



    "ที่จริงแล้วพี่ชอบเธอว่ะ .. "


            พูดออกไปพลางหยิบหนังสือมาอ่านแก้เก้อ อดที่จะกลั้นหายใจรอคำตอบไม่ได้ นี่สาบานได้เลยว่าสายตาของผมไม่ได้สนใจตัวหนังสือเลยแม้แต่น้อย ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นรัวและบีบรัดแน่น บางทีผมอาจจะหัวใจวายตายก่อนจะได้คำตอบจากไอเด็กกะโปโลนี่ก็ได้ 



    "อ่อ .. " 



           ไม่มีคำตอบอะไรจากริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่นเลย เซฮุนยังคงนอนเล่นเกมอยู่อย่างนั้นไม่ได้สนใจอะไรผมอีก เล่นทำเอาผมงงเต๊กเข้าไปใหญ่ ปกติมันก็เป็นคนแบบเนี้ย กวนส้นตีน พูดด้วยก็ไม่ค่อยพูดด้วยหรอกครับ ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วลูบหน้าตัวเองด้วยความเอือมระอา  


    "พี่บอกไปแล้ว ตาเธอบอกมั่งดิ "



    "พี่รู้จัก พี่ลู่หานปะวะ ที่อยู่ปีสาม คณะเดียวกับผมอะ ที่วันนั้นพี่ไปรับผมละเจอกันที่หน้าร้านน้ำ " 



              อยู่ๆร่างขาวที่นอนเล่นไอโฟนอยู่ตรงตีนผมก็ลุกขึ้นมานอนคว่ำพลางถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังจากที่เงียบมานาน คิ้วผมขมวดจนยุ่งไปหมด ถ้าตอนนี้ส่องกระจกคงเห็นรอยตีนกาบาน 



    "เออ ทำไมวะ " 



    "อืม นั่นแหละ ผมชอบเขา จีบอยู่ " 



    อ้าว..


    เอ้าไอเชี่ย .. แล้วคือที่ถามว่ากูชอบใครนี่ไม่ได้ชอบกูหรอกหรอวะ ..  


    อ้าว .. 




    "อ่าว .. " 



    "หึ .."


             เซฮุนหัวเราะในลำคอก่อนจะพลิกตัวนอนหงายแล้วเล่นเกมต่อ ทิ้งให้ผมนั่งอ้าปากค้างงงเป็นควายเอ๋ออยู่่บนเตียงกับหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มหนาเตอะ งงชิบหายเลย แล้วไอที่ถามผมเมื่อกี้นี่คือไรวะ ? ผมว่าผมไม่น่าจะเดาผิดนะดูจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม แม่งต้องล้อผมเล่นแน่ๆอะ 



    "อ่าวเธอไม่ได้ชอบพี่หรอวะ ? "  


    "บ้าไง ผมเมะ เออแล้วเลิกเรียกเธอสักที บอกกี่ทีแล้ววะว่าไม่ใช่ตุ้ด " 



    "อ่าวมันก็ .. ก็ .. อ่าวแล้วที่ถามพี่นี่ถามไปทำไมวะ " 



              ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอ๋อแดก  เหมือนมีคนเอาถุงเท้าที่ใส่แล้วมาม้วนๆแล้วยัดเข้ามาในปากของผม มันรู้สึกพูดไม่ออก รู้สึกจุกๆในอกแปลกๆ มึนงงไปหมด เหมือนมีคนเอากะละมังเหล็กใบใหญ่ๆฟาดเข้ามาแรงๆที่หัวของผม งงจนไม่รู้จะถามอะไรก่อนดี ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำถามมากมายไปหมดเลยครับ เดาได้เลยว่าเซฮุนคงจะเห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าผากของผมประมาณร้อยตัวได้ ตอนนี้รู้สึกงง แล้วก็อยากลุกขึ้นถีบหน้าไอเด็กเชี่ยนี่มากๆ 



    "ถามไปงั้นอะ พี่เป็นพี่ชายผม ผมก็อยากรู้ " 



              มันตอบก่อนจะเขยิบขึ้นมาหาผม ผมไ้ด้ยินชัดว่าแม่งจงใจเน้นคำว่าพี่ชายให้ผมเจ็บจิ๊ดเล่นๆ ขาเรียวยกขึ้นก่อนจะประเคนฝ่าเท้าถีบสีข้างผมเบาๆให้ขยับหนี ผมเขยิบออกจากหมอนพลางมองไปยังโอเซฮุนที่ตอนนี้มานอนที่ของผมเรียบร้อยแล้ว มือเรียวคว้าเอาหมอนข้างจากมือของผมไปกอดเอาไว้แล้วห่มผ้าคลุมโปงไปซะอย่างนั้น ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่



    "เฮ้ยเดี๋ยวดิวะ  "



             ยังไม่ได้จะพูดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงหายใจสม่ำเสมอที่ดังออกมากจากผ้าห่มผืนหนาทำให้ผมรับรู้ได้ว่าหมดเวลาสำหรับคืนนี้แล้ว โอเซฮุนหลับไปแล้วด้วยความไวแสงอีกเช่นเคย ทิ้งให้ผมงงแบบชิบหายอยู่คนเดียว ฝ่ามือชื้นเหงื่อของผมตบเข้ากลางหน้าผากตัวเองอย่างแรงพลางยกขึ้นนวดขมับหนักๆด้วยความหนักใจ ชีวิตผมวุ่นวายและน่าปวดหัวมากตั้งแต่มีมันเป็นรูมเมท..



    ตั้งแต่รู้จักมัน หัวใจของผมก็ไม่ได้อยู่ที่ผมอีกเลย ..



    .





    "วันหลังตื่นให้มันไวไวหน่อยไม่ได้หรือไงวะ "



               เสียงของเด็กหนุ่มนามว่าโอเซฮุนหันมาแขวะผมแต่เช้าในขณะที่เรากำลังจำอ้าวเดินเข้าคณะกันหลังจากที่ช่วยมันหาของที่เบาะหลังรถ ยังดีที่รถไม่ติดมากเลยพอจะทันเวลา ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินฟังมันบ่นไปพลางยกมือขยี้ตาด้วยความง่วงนอน จะมาโทษผมได้ไงวะ ก็มันเองเป็นคนที่ทำให้ผมนอนไม่หลับอะ เสือกมาด่าอีก นี่ผมก็ไปรับไปส่งมันนะ รถก็รถผม ห้องก็ห้องผม แล้วผมยังเดินอ้อมไปส่งมันที่คณะด้วย โถ่ เด็กอะไร นอกจากไม่มีใจจะขอบคุณละยังปากดีอีก




    "คร้าบ แม่ทูนหัว วันหลังจะตื่นไวไวคร้าบ  " 



             ปิดปากที่กำลังหาววอดๆอยู่เพื่อรักษามารยาท อันที่จริงผมก็ไม่มีนักหรอก แต่เซฮุนมักจะด่าผมเหมือนกับว่าผมไม่ฆ่าแม่มันทุกครั้งที่ผมทำอะไรทุเรศๆเวลาอยู่กับมัน ผมพยายามลืมตาอย่างสุดความสามารถ มือหนึ่งกระชับสายสะพายเป้ไว้ให้แน่นๆ รู้สึกไม่มีแรงเลยไอห่า เหนื่อยมากๆ เหนื่อยที่สุด เหนื่อยที่สุดในโลก 



    "วันหลังอะไรที่ไม่ควรพูดก็หุบปากไปบ้างก็ได้ครับ ..อ้าว  พี่ลู่ สวัสดีครับ "



           และเหมือนน้ำเสียงของคนที่เดินนำหน้าผมจะเปลี่ยนไปทันทีที่พูดประโยคหลัง เดาได้เลยว่ามันกำลังด่าผมในประโยคแรก ผมเดินมาขนาบข้างมันพลางหันไปมองผู้มาใหม่สลับกับรูมเมทของตัวเอง เซฮุนกำลังปั้นหน้ายิ้มจนจมูกมันบานออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมอยากจะขำให้ลั่นคณะ แต่ติดอยู่ที่ว่ามันไม่ค่อยขำเท่าไหร่ เพราะศัตรูหัวใจของผมกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา ผมพยายามปั้นหน้าให้ดูหล่อที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


    "สวัสครับเซฮุน สวัสดีครับน้อง .. เอ่อ  ? "



    "นี่พี่ชานยอล พี่ชายผมเอง " 



            รู้สึกเจ็บจิ๊ดที่อกข้างซ้ายมากๆครับ เซฮุนพูดได้แสบมาก ผมพยายามกล่อมตัวเองให้ใจเย็น เพราะความฮามีมากกว่าความโมโหครับ ผมพยายามจะไม่หลุดขำกับใบหน้าน่ารักที่เต็มไปด้วยรอยตีนกาของพี่ลู่หานเวลาที่เขายิ้ม แม่งตลกว่ะ เออจะว่าไปสองคนนี้ก็เหมาะกันปะ อีกคนยิ้มแล้วจมูกบาน กับอีกคนยิ้มแล้วหน้าย่น เออผมว่าลูกออกมาคงหน้าเหี้ยน่าดูอะ 



            แต่แม่งไม่ได้ว่ะ เซฮุนต้องเป็นของผมในสักวันอะ มันจะต้องชอบผมในสักวัน ถึงแม้มันจะหลุดคอนเซปวิธีจีบสาวของผมไปสักหน่อยก็เถอะ ปกติแล้วผมจะไม่บอกชอบใครก่อนหรอกนะ เวลาที่ผมชอบใคร ผมจะเก็บเงียบไว้แล้วทำให้คนนั้นมาบอกชอบผมเอง ทีนี้ก็จะไม่เสียเซลฟ์ไงละ แถมยังได้ผลชะงัดอีกด้วย 



    แต่นี่มันอะไร .. ถ้าไม่ติดว่าผมยืนอยู่สองคนนี้อาจจะรวมร่างกันแล้วก็ได้มั้งครับ 
    ถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถ



    "พี่ไปเข้าเรียนเหอะ ได้ข่าวว่ามีเรียนเก้าครึ่งไม่ใช่หรอครับ



            เซฮุนหันมาทำหน้าตุ้ดใส่ผมพลางเหยียบเท้าผมซะเต็มแรง เก้าครึ่งเหี้ยไรอะกูเรียนบ่าย ผมได้ยินเลยนะว่ามันเน้นคำว่าเก้าครึ่งให้ดังๆจนพี่ลู่ได้ยินอะ ผมกัดฟันแน่นจนกรามนูนขึ้นเป็นสันเลยครับ ไม่รู้ว่าเจ็บตีนหรือโมโหนะ นี่มันจงใจจะสลัดผมออกชัวร์ๆอะ 



    "เออว่ะ งั้นไปละ แล้วเดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับน้องฮุนฮุนกลับบ้านเรานะครับ"



            ผมกัดฟันพูดออกไปพลางปั้นยิ้มหล่อโลกละลายส่งไปให้พี่ลู่หานที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า พยายามเน้นคำว่าน้องฮุนเพื่อเอาคืนที่มันทำกับผมเอาไว้อย่างเจ็บแสบ เอาดิครับพี่ลู่ อย่างน้อยถ้าพี่ได้มันไป ผัวพี่ก็ตุ้ดสัสอะ อิอิ



            ไม่รอให้เซฮุนเหยียบตีนผมซ้ำสอง ผมรีบหันหลังเิดินออกมาจากตรงนั้น เดินล้วงกระเป๋าชิวๆกลับคณะอย่างไม่รีบร้อนอะไรเท่าไหร่นัก ก็อย่างที่บอกอะ ผมมีเรียนตอนบ่าย นี่อีกตั้งนานกว่าจะบ่าย ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู นี่เพิ่งจะสิบโมงเอง พี่ลู่มาก็ดีอะ จะได้มีคนเดินเป็นเพื่อนเซฮุนขึ้นตึก เพราะตอนนี้ผมโคตรล้าเลย .. 


    .
    .




    "โถ่เว้ย " 


                ตอนนี้ผมกำลังวิ่งครับ วิ่งเลย หลังจากที่เข้าไปนั่งในเซ็กชั่นเรียบร้อยแล้วเห็นสมุดสเก็ตภาพเล่มบางของเซฮุนอยู่ในกระเป๋าของผม ตอนนี้สมุดเส็งเคร็งนั่นอยู่ในมือผม แล้วผมก็ำกำลังวิ่งจ้ำอ้าวไปคณะของมันที่อยู่ห่างจากคณะของผมหลายช่วงตึก จะไม่รีบก็ไม่ได้ เพราะว่าคาบเรียนของมันที่ต้องใช้สมุดเล่มนี้ตรงกับเวลาเรียนของผมพอดี จะไม่เอาไปให้ตอนนี้ก็ไม่ไ้ด้ เพราะมันก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน รู้สึกตัวเองโง่ยังไงไม่รู้ที่วางไอโฟนไว้บนโต๊ะ แล้วผมก็เสือกจำไม่ได้ด้วยว่ามันเรียนห้องไหน 



    "เฮ้ยพี่ลู่! "



            เหมือนจะเห็นหลังพี่ลู่ไวๆตรงบันได ผมจำกระเ้ป๋าหนังสีเขียวแสบตานั้นได้ดี ผมเรียกเขาไว้ก่อนจะรรีบวิ่งเข้าไปหา พี่ลู่เลิกคิ้วมองผมก่อนจะเดินถอยหลังกลับมาหา ในมือเขาถือชาไข่มุกแก้วโต พร้อมกับหูฟังที่ใส่ไว้ข้างหนึ่ง 



    "เซฮุนเรียนห้องไหนรู้ไหมครับ คือผมจะเอาของไปให้มัน "



             รู้สึกเสียเซลฟ์นิดหน่อยครับที่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากศัตรูหัวใจ แต่พี่ลู่ไม่รู้ก็ถือว่าไม่เป็นไร ผมชูสมุดสเก็ตภาพในมือให้พี่เขาดูพลางย่อตัวเท้าฝ่ามือลงกับหัวเขาแล้วหอบหายใจให้หายเหนื่อย แต่จะว่าไปนี่ถามไปก็เท่าันั้นอะ ผมรู้จักเซฮุนมาปีกว่า แถมยังเป็นรูมเมทมันอีก ผมยังลืมเลยว่ามันเรียนห้องไหน พี่ลู่นี่เพิ่งรู้จักไม่นาน จะไปรู้ได้ไง 



    "อ่อ เอามาให้พี่ก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่เอาไปให้เอง นายไปเรียนต่อเถอะ "



           เหมือนเสียงหวานนั้นที่พูดตอบราวกับเป็นสายฟ้าฟาดลงกลางใจ เหมือนคำพูดที่ดูมีน้ำใจของเขาจะฉีกหน้าผมเต็มๆ ผมรู้สึกเหมือนพี่เขาเอาแก้วชาไข่มุกยักษ์ในมือฟาดหัวผม รู้สึกเจ็บจิ๊ดที่ใจอีกละ 



    "ไม่อะครับคือผมจะเอาไปให้มัน "  ผมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เจ็บล่ะิสิ อิอิ 



    "ห้องข้างบนน่ะครับ เนี่ยพี่เพิ่งลงมา กำลังจะเข้าเรียนแล้ว รีบไปเถอะครับ " 



    "อ่อ แต้งกิ้วครับพี่ เออแล้วอย่ายิ้มบ่อยละ หน้ามันจะย่น ไปละนะ บายครับ " 



            ผมตอบเท่านั้นก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไป บางทีพี่ลู่อาจจะยังยืนอยู่ตรงนั้นแล้วด่าพ่อผมเป็นชุด แต่่ผมไม่สนใจหรอก อย่างน้อยให้ได้แขวะศัตรูหัวใจให้เจ็บเล่นก็ถือเป็นความสะใจอย่างนึงของผม 



    "โอ้ย ! "


           เซฮุนร้องลั่นหลังจากที่ผมเอาสมุดสเก็ตฟาดหัวมันไปทีนึง มันกุมหัวตัวเองไว้ก่อนจะส่งมืออีกข้างมาแย่งสมุดไปจากผม ดวงตากลมหันมาค้อนขวับเข้าเต็มวง ผมแค่นหัวเราะใส่มันก่อนจะยีหัวมันแรงๆจนยุ่งไปทีหนึ่ง 



    "กินข้าวยัง " 


    "เรื่องของผม "


    "เออ ตั้งใจเรียนล่ะ " 


               ผมตอบเท่าันั้นก่อนจะยีหัวมันอีกทีแล้วเดินออกมาโดยไม่สนใจเสียงด่าไล่หลังนั้นเลยแม้แต่น้อย ผมเองก็ต้องรีบไปเข้าเรียนเหมือนกัน จะให้มาอยู่กัดกะเด็กปัญญาอ่อนแบบมันก็ยังไงๆอยู่ ผมชินแล้วล่ะครับกับคำพูดไม่ถนอมน้ำใจใึครของมันแบบนี้ .. แต่เหมือนมันจะพูดแบบนี้กับผมคนเดียวเลยเท่าที่ดูมา แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่คิดมากเลยไม่อะไรมั้ง ทั้งแม้บางทีมันจะจิ๊ดๆที่ใจก็เถอะ แต่ผมไม่เอาเรื่องไร้สาระแบบนี้มาคิดให้ปวดหัวหรอกครับ มันมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ 



    .




    "เซฮุน " 


    "ไร" 


             ผมเรียกพลางหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมหอที่กำลังนั่งสเก็ตภาพอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ เป็นธรรมดาเหมือนทุกวันที่เรามักจะคุยอะไรกันเล็กน้อยๆก่อนนอนเหมือนทุกครั้ง ผมย้ายตัวเองที่นั่งจากขอบหน้าต่างเปลีี่ยนตำแหน่งมาเป็นโต๊ะเขียนหนังสือแทน ก่อนจะแย่งเอาดินสอที่เซฮุนใช้สเก็ตภาพอยู่มาควงเล่น มันถอนหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยใบหน้าที่แสนจะหมดอารมณ์ ผมได้แต่ยักคิ้วกวนตีนกลับไป 



    "ไม่ได้ชอบพี่บ้างเลยหรอวะ "


    "พี่คิดว่าตัวเองน่าชอบมากงั้นดิ "  มันตอบพลางหันไปหยิบดินสอแท่งใหม่มานั่งวาดต่อ


    "อย่างน้อยคนชอบพี่ก็เยอะล่ะวะ "


    "อย่างน้อยหนึ่งในนั้นก็ไม่มีผมอะ " มันพูด ผมแย่งเอาดินสอแท่งที่สองออกมาจากมือมัน


    "ชอบพี่ไม่ได้หรอวะ " 

            

               ผมพูดออกไปตามที่ใจคิด ไม่รู้ดิ ผมไม่เคยชอบใครแล้วต้องมานั่งผิดหวังอะ ถึงแม้ผมจะยังไม่หมดหวังก็เถอะ แต่ผมไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับใครเลยนะ มันเหมือนอ้อนวอนปะวะ ผมกำลังอ้อนวอนมันอยู่ ผมกำลังสูญเสียความเป็นตัวเองอะ ผมรู้สึกเหมือนผมด้อยกว่ามันยังไงไม่รู้ แต่ผมก็อยากพูดไปตามที่ผมคิดอะ ผมอยากให้มันชอบผม 


    "ไม่ได้ว่ะ "


    "ไม่ได้จริงๆิดิ ? " 


     ผมถามย้ำ ในคำตอบทุกคำของมันเจือด้วยน้ำเสียงที่จริงจังจนน่าใจหาย มันไม่ลังเลเลยที่จะตอบคำถามเหล่านี้ของผม 


    "อืม " มันตอบ หยิบดินสอแท่งใหม่มาลงมือวาดส่วนดวงตาของคนในรูป 


    "ชอบพี่ลู่มากเลยหรอวะ ? "


    "อืม .. ไม่ดิ ผมรักพี่ลู่

             
               คำตอบของมันทำเอาผมที่กำลังจะแย่งดินสอแท่งที่สามไปจากมือมันต้องชะงักไป ความรู้สึกบีบรัดที่ก้อนเนื้อใต้อกซ้ายรุนแรงเหลือเกิน ผมวางดินสอทั้งสองแท่งคืนมันไป ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ เซฮุนไม่ได้พูดอะไรอีกต่อจากนั้น ผมเดินไปเปิดตู้เย็นที่มุมห้องแล้วรินนมสดแก้วพอดีมือแล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะให้มันเหมือนทุกวัน เดินขึ้นเตียงตัวเองแล้วปิดโคมไฟในส่วนของตัวเองพลางยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง 


    "อย่าลืมกินนมก่อนนอนด้วยละกันครับ " 




     
    ________________________



     


              หลายวันผ่านไปแล้วที่ผมกับเซฮุนไม่ได้คุยอะไรกันเลยสักคำนับตั้งแต่วันนั้น ต่างคนต่างไม่มีเวลาว่าง ผมเรียนหนักขึ้นกว่าทุกวัน ตารางเรียนของผมเปลี่ยนไปไม่ตรงกับเซฮุน ผมมีเรียนเช้่าสี่วัน และเรียนบ่ายเลิกเย็นในวันศุกร์ ในขณะที่คณะของเซฮุนก็ไม่ได้เรียนหนักอะไรมาก มันมีเรียนเช้าแค่สองวัน ซึ่งในหนึ่งสัปดาห์ผมมีโอกาสที่จะได้ไปมหาลัยพร้อมกับมันแค่วันเดียวเท่านั้นเอง



    ".... " 



            ถอนหายใจแล้วนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ผมเพิ่งกลัีบมาจากเรียนตอนเช้าของวันพฤหัส ซึ่งตอนบ่ายไม่มีคาบเรียน โดยปกติแล้วผมกับเซฮุนจะไปหาอะไรกินกันหลังเลิกเรียนเสมอ แต่ดูเหมือนหลังจากวันนั้นมันพยายามจะตีตัวออกห่างผมจนน่าใจหาย ผมเลือกที่จะกลับมารอมันที่ห้องมากกว่าออกไปเดินเที่ยวข้างนอก .. บางทีวันนี้เซฮุนอาจจะไม่ไปไหน ผมว่าเราสองคนมีเรื่องจะต้องคุยกันสักหน่อย

             
     
    กลับดึกนะครับ กินข้าวเลย ไม่ต้องรอ



     
             ก้มมองข้อความสั้นๆในไลน์ที่เซฮุนส่งมา ก่อนจะกดล็อคไอโฟนแล้วโยนมันไว้ที่เตียงอย่างไม่ใส่ใจ ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน งานการมีแต่ไม่ทำ ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักเท่าไหร่ ตอนนี้กระวนกระวายใจมากๆเลยครับ จากที่ผมเป็นเพื่อน เป็นพี่มัน จนตอนนี้เหมือนกลายเป็นคนอื่นไปซะแล้ว ไม่เคยมีใครทำกับผมแบบนี้เลยให้ตายดิ 



            ผมถอนหายใจอีกรอบที่ล้านแล้วกระแทกชามใบโตที่ส่งควันหอมฉุยลงบนโต๊ะเขียนหนังสือมุมห้อง นี่ผมก็ไม่ได้จนขนาดต้องมานั่งต้มมาม่ากินคนเดียวในหอหรอก แต่อารมณ์มันเซ็งจนไม่อยากจะทำอะไร ไม่อยากจะไปไหน ก็นั่งรอแม่งอยู่เนี่ยละกัน ผมแกะซองตะเกียบอนามัย ตากวาดมองไปตามของบนชั้นที่วางอยู่เหนือโต๊ะเขียนหนังสือ แต่แล้วก็ไปสะดุดกับกระดาษแผ่นหนึ่งเข้า ผมเอื้อมหยิบมันมาดู มือหนึ่งคีบเส้นมาม่าชัดเข้าเต็มปาก จะว่าไปมาม่ารสนี้ก็อร่อยไม่ใช่เล่น แต่พอมองเห็นรูปชัดๆแล้วอยากจะบ้วนทิ้ง.. 



    รูปสเก็ตเมื่อวันนั้นที่เซฮุนวาดเป็นรูปใบหน้าของพี่ลู่หาน ..


    "ไม่แดกแม่งละไอสัด " 

             
            เห็นแล้วมันรู้สึกหงุดหงิดจนคิ้วขมวดกันเป็นโบว์ เจอกันที่มหาลัยไม่พอยังจะตามมาหลอกหลอนถึงที่หออีกนะแหม ผมจัดการขยำรูปนั้นทิ้งซะแล้วโยนข้ามหัวไปข้างหลังอย่างไม่สนใจใยดีมันอีก ลุกหยิบเอาชามมาม่าออกไปสาดทิ้งข้างนอกระเบียงห้อง เดินผ่านห้องน้ำก็เตะประตูด้วยความพาลไปอีกหนึ่งที นี่ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว 


    บ้าเพราะไอเด็กเวรนั่นคนเดียว 




    "กลับบ้านดิวะ " 



               กว่าหกชั่วโมงแล้วที่ผมเดินวนไปวนมาภายในห้องสี่เหลี่ยมอย่างกระวนกระวาย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าเกือบจะตีหนึ่งแล้ว เซฮุนยังไม่กลับเข้ามาในห้อง ผมขยับตัวไปมาอย่างอยู่ไม่สุข ในหัวมีแต่คำถามและคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับเซฮุนเต็มไปหมด คอยดูถ้าแม่งกลับมาผมจะรัวใส่แม่งเป็นชุดเลย คือก็เข้าใจที่บอกว่าจะกลับดึก แต่ผมว่าแบบนี้มันก็ดึกมากเกินไปหน่อยมั้ง อย่างน้อยมันก็ยังเด็ก ทำอะไรน่าจะมีขอบเขตบ้าง 



               มองนาฬิกาบนผนังห้องสลับกับแก้วนมที่ผมรินไว้ให้มันบนโต๊ะเหมือนทุกวัน ป่านนี้นมบูดแล้วมั้งไอห่า กลับมาเร็วๆสักที ผมมองไอโฟนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงตัวเองอย่างชั่งใจ หรือบางทีผมควรจะโทรตามแล้วด่ามันสักยกสองยกแล้วไปตามมันกลับห้อง แต่จะว่าไปผมเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำถึงขนาดนั้น ผมไม่ใช่พ่อมัน .. 



    แต่ผมก็แค่เป็นห่วงมันเท่านั้นเอง..



    "แกร๊ก "



            เสียงเปิดประตูเรียกให้ผมหันขวับไปตามต้นเสียงทันที มองเห็นมือขาวที่จับลูกบิดอยู่พร้อมกับร่างของเจ้าตัวที่โผล่ตามเข้ามา ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงเรื่อ ตาปรือปรอยที่มองผมทำเอาต้องกุมขมับ ขาเรียวก้าวผ่านประตูเข้ามาก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่ง ผมปราดเข้าไปรับมันไว้แทบจะทันที กลิ่นเหล้าฉุนกึกที่ลอยมาแตะจมูกทำให้ผมหัวเสียไม่ใช่น้อย 



    "ไปกินเหล้ากับใครมา "



    "เรื่องของผมน่า .. " 



               นี่ผมอุตส่าห์ถามมันดีๆ ตอบแบบนี้เล่นเอาไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน ผมพยุงมันไปที่โซฟา เซฮุนกึ่งนั่งกึ่งนอนแบบหมดสภาพ เสื้อนักศึกษาที่ถูกปลดกระดุมสามเม็ดบนมีสภาพยับเยินและหลุดรุ่ย ดวงตาปรือปรอยที่ฉ่ำเยิ้มช้อนขึ้นมองผม แก้มใสแดงปลั่งทั้งสองข้าง ริมฝีปากอิ่มเผยอออกน้อยๆเพื่อควานหาอากาศหายใจ เสียงหายใจที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอของเซฮุนทำเอาก้อนเนื้อที่อกซ้ายเต้นรัว ผมลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างลำบาก 



    "เหอะ อย่าแม้แต่จะคิด " 



              ถึงจะเมาแต่ฤทธิ์ก็ยังเยอะใช่เล่น มือบางยกขึ้นมาดันหน้าผมออกอย่างแรงจนผมต้องเบ้หน้าหนีไปทางอื่นด้วยความเจ็บ เซฮุนหัวเราะน้อยๆพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากสีชมพูสดของตัวเอง ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย มันรู้ได้ไงว่าผมคิดอะไรอยู่ 



    "ผมรู้หรอกว่าพี่ต้องการอะไร "


    "ต้องการไร "


            
               ผมถามกลับแทบจะัทันที ทำไมเซฮุนถึงได้ปากร้ายขนาดนี้นะ ผมไม่เข้าใจเลย มันเหยียดสายตามองผมพลางบิดยิ้มน่าเกลียดให้กับผม ผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ดูเหมือนว่าเซฮุนจะเมาจนคุยกันไม่รู้เรื่อง 



    "ต้องการจะเอาผมงั้นดิ  "



              ประโยคเมื่อกี้ที่มันพูดออกมาเล่นเอาผมตอบไม่ถูก เออจริงๆมันก็ใช่่ส่วนหนึ่ง ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ เป็นผู้ชายมันก็ต้องมีบ้างปะวะ ผมมองหน้าเซฮุนที่ตอนนี้กำลังทำหน้าดูถูกผมแบบสุดๆ ถอนหายใจใส่เด็กไม่รู้จักโตอย่างมันไปหนึ่งที ก่อนจะเดินหนีไปห้องน้ำ หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กกับกะละมังเดินไปหามัน 



    "ปากแบบนี้มันก็ไม่น่าจะรอดหรอกครับ " 



             พูดไปเท่านั้นก่่อนจะชุบน้ำแล้วบิดให้หมาด เช็ดไปตามลำคอของคนที่นั่งอยู่บนโซฟา ผมคุกเข่าลงกับพื้นห้อง เพื่อที่จะได้เช็ดตัวให้กับอีกคนได้ถนัดมากขึ้น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตากับมัน ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก นอกจากจะไม่รับความห่วงใยจากผมแล้ว เซฮุนยังดูถูกความรักของผมด้วย



    "เออ ผมมันปากดี แล้วพี่เสือกอะไรด้วย " 



             เสียงแหบที่ค่อนข้างเบาแต่กลับดังก้องในโสตประสาทของผม ประโยคพวกนี้เหมือนเข็มเล่มเล็กๆทิ่มแทงใจผมจนมันเจ็บไปหมด ผมทำเป็นหูทวนลมไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดเหล่านั้น ยกท่อนแขนกลมกลึงขึ้นเช็ดใต้ข้อพับ .. ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนอย่างผมต้องมาทนอะไรแบบนี้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมต้องมานั่งใส่ใจกับคนๆเดียวทั้งๆที่มีแต่คนเข้าหาผม ไม่รู้เหมือนกันว่าผมทนได้ยังไง แต่ผมรักมันมากจริงๆ 



    ผมรักเซฮุนมาก .. รักแบบที่ไม่หวังอะไร


    ไม่ได้หวังอยากได้ร่างกายแบบที่มันคิดเลย ..



    "ทีหลังอย่าไปพูดแบบนี้ใส่ใคร มันไม่ดีนะครับ ไม่คิดว่าคนฟังเขาจะรู้สึกแย่หรือไง" 



    "อย่ามาสอน พี่ไม่ใช่พ่อผม " 


    !!!!!


              และเหมือนว่าเซฮุนจะปากดีเกินไปหน่อย สติของผมขาดผึง ความอดทนของผมสิ้นสุดลงทันทีหลังจากจบประโยคนั้น เรือนร่างบอบบางของเขาถูกผมกระชากขึ้นจนลอยหวือมาติดอก  เซฮุนเบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วผลักผมออกแทบจะทันที แต่ผมจะไม่ใจเย็นกับมันอีกแล้ว


    "โอ้ย สัส "


                       
             เด็กปากดีออกฤทธิ์อีกคราหลังจากที่ผมเหวี่ยงมันลงไปที่เตียง เสียงแหบพร่าที่เริ่มจะแตกหนุ่มของเซฮุนสบถหยาบคาย ฝ่าเท้าเล็กยกขึ้นถีบเข้าที่กลางท้องผมอย่างแรงจนจุกไปหมด ผมโถมตัวเข้าหาก่อนจะกดหัวเข่าทับกับขาเรียวของคนด้านใต้ไว้ด้วยความโมโห มือหนึ่งรวบข้อแขนเล็กทั้งสองข้างไว้พลางบีบมันแน่นจนเส้นเลือดปูนโปน ผมขบกรามแน่นระงับอารมณ์และความเจ็บที่ช่องท้อง 



    "ออกไป สัส อย่ามายุ่ง อื้อ! " 



            กดจูบปิดริมฝีปากอิ่มที่พ่นคำหยาบคายให้เงียบไป เอียงคอบดขยี้ริมฝีปากสวยนั้นจนแดงช้ำ ผมกำลังโมโหจนยั้งตัวเองไม่อยู่ ทั้งๆที่ผมคิดเอาไว้แล้วแท้ๆว่าจะถนอมมันอย่างดีและจะไม่แตะต้อง แต่วันนี้และตอนนี้ คนปากดีควรจะโดนสั่งสอนให้หลาบจำเสียบ้าง ..


    "เล่นแรงไปหน่อยมั้ง " 


           ผมรีบผละออกก่อนที่ฟันคมจะทันงับเข้าที่เรียวลิ้นของผม เซฮุนฤทธิ์เยอะไม่ใช่น้อย ร่างเล็กๆกำลังดิ้นพล่านอยู่ภายใต้พันธนาการจากผม ใบหน้าหวานที่แดงซ่านนั้นกำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจและหวาดกลัว มือเล็กพยายามสะบัดให้หลุดออกจากการจับกุม 


    "แล้วพี่ไม่เล่นแรงเลยดิ เหี้ย ปล่อย" 



            ผมไม่ตอบอะไร แค่นหัวเราะกลับไป กลับบีบข้อมืออีกคนแน่นขึ้นตามอารมณ์ที่คุกรุ่น เซฮุนเบ้หน้าด้วยความเจ็บ แต่ดวงตากลมยังคงจ้องตอบกลับมาอย่างแข็งกร้าว ม่านใสฉ่ำหวานสั่นระริก หอบหายใจแรงพลางดิ้นฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ ท่าทางต่อต้านเหล่านั้นของมันทำให้ผมต้องหัวเราะเยาะตัวเองอีกครั้ง เข้าใจแล้วว่ามันรังเกียจผมมากแค่ไหน



    "ใครว่าพี่เล่น พี่ไม่เคยเล่น "



    "พี่แม่งก็แบบนี้แหละ อยู่กันมาเป็นปีๆผมรู้ " 
              


                 ผมจูบปิดปากมันทันทีหลังจากที่ได้ยินประโยคยั่วโมโหจากริมฝีปากเล็กนั่นเป็นครั้งที่สอง เอาดิ ไหนๆผมมันก็ไม่ดีอย่างที่มันคิดละนี่ มันก็คงไม่เสียหาย จะทำแบบที่มันพูดก็ไม่เห็นจะเป็นไร ใบหน้าของผมเลื่อนต่ำลง เปลี่ยนตำแหน่งจากซอกคอขาวเป็นแผ่นอกบางที่สั่นกระเพื่อมเพราะแรงหอบ จัดการขบเม้มสร้างรอยจูบไว้อย่างแรงด้วยโทสะจนมันแดงช้ำไปทั้งตัว เซฮุนร้องเสียงหลง ด่าทอผมสารพัด ข้อเข่าเล็กยกขึ้นกระทุ้งท้องผมจนเจ็บจุก มือเล็กที่ตอนนี้เป็นอิสระแล้วกลับใช้ทุบตีผมอย่างแรงโดยไม่มีอ่อนข้อแม้แต่น้อย 



    "ถ้าทำผม ผมเกลียดพี่แน่ " 



              มันตะโกนลั่นหลัีงจากที่ผมกระชากเอากางเกงสแลคสีดำออกจากเรียวขาสวยแล้วจัดการเกี่ยวมันเข้ากับเอวสอบขอตัวเอง เซฮุนจ้องผมไม่วางตา ม่านใสที่รื้นไำปด้วยน้ำตาไม่สามารถปกปิดดวงตาแข็งกร้าวที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองที่ส่งมาให้ผมได้ ผมชะงักไปพักหนึ่งกับคำพูดนั้น ก่อนรอยยิ้มน่ารังเกียจของผมจะถูกจุดขึ้นที่มุมปาก 



    ไหนๆมันก็เกลียดผมอยู่ละนี่ 


    ไม่ได้หัวใจ อย่างน้อยได้ตัวก็ยังดีล่ะ่วะ..



         
        ถึงแม้ฤทธิ์เหล้าจะทำให้เมาและมึนไปบ้าง แต่เซฮุนยังคงต่อต้านผมทุกทาง มันไม่เผลอไหลไปกับสัมผัสใดๆจากผมเลย ฝ่ามือขาวฟาดลงบนไหล่ของผมอีกครั้งในขณะที่ผมค้อมตัวลงจูบมัน ผมเบ้หน้าด้วยความเจ็บ มือมันหนักมากจริงๆ .. แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ เอียงใบหน้าป้อนจูบให้แน่นขึ้นก่อนจะสอดเรียวลิ้นเข้าไปไล่ต้อนอีกคนให้จนมุม จนเมืิ่อไร้การตอบสนอง โอเซฮุนนิ่งไป ผมผละจูบออก .. 


    เขาหลับไปซะแล้ว.. 

    คงจะเพลียเพราะฤทธิ์เหล้า



    "โถ่เว้ย! " 

               ผมสบถอย่างหัวเสียก่อนจะลุกออกมาจากตัวเขา เดินเข้าห้องน้ำพลางจิกทึ้งผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด ก้มเปิดก๊อก สองมือวักน้ำขึ้นล้างหน้าหวังเรียกสติตัวเองกลับมา เกือบไปแล้ว .. นี่ผมเกือบจะทำลายคนที่ผมอุตส่าห์ถนอมไว้อย่างดีไปแล้วด้วยน้ำมือของผมเอง


             หลังจากที่ทำใจให้เย็นลงได้ ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง ยืนกอดอกมองเซฮุนที่ตอนนี้สิ้นฤทธิ์หลับอยู่บนเตียงของผม ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนหน้าที่เราจะมีปัญหากัน ปกติทุกวันมันจะมานอนเตียงของผม แล้วไล่ให้ผมไปนอนแทนที่เตียงของมันด้วยข้ออ้างที่ว่าเตียงผมน่านอนกว่า ผมยิ้มน้อยๆพลางส่ายหัวอย่างระอา จัดการติดกระดุมเสื้อให้มัน ห่มผ้าให้ขึ้นมาถึงอกเพื่อกันปอดบวม หยิบกางเกงของมันที่ผมถอดแล้วโยนทิ้งไว้ที่พื้นไปใส่ตะกร้าแล้วกลับมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง .. ผมได้แต่จ้องมันอยู่อย่างนั้น 



    เซฮุนเป็นเด็ก เขาบริสุทธิ์ .. ผมเกือบทำเลวไปแล้ว 



           เพียงแค่มองใบหน้าขาวที่บัดนี้ขึ้นสีแดงจัดกำลังหลับพริ้ม มันพาลทำให้ผมน้ำตาไหลเอาเสียดื้อๆ ผมได้แต่ยิ้มน้อยๆพลางยกมือปาดน้ำตาลวกๆ นี่ถ้ามันตื่นขึ้นมาเห็นผมร้องไห้นี่ต้องสมเพชผมแน่ๆ เสียฟอร์มสุดๆ .. 



    "พี่รักเธอจริงๆนะเว้ยแม่ง รักเธอมากจริงๆ มองเห็นความรักของพี่หน่อยไม่ได้รึไงวะ " 


    ....



    "เมะแล้วทำไมวะ จะชอบพี่ไม่ได้เลยหรือไง " 



    "ไม่หวั่นไหวบ้างรึไงวะ ที่ทำไปนี่ไม่ได้รู้สึกไรเลยดิ เป็นคนอื่นพี่คงไม่ต้องมานั่งรอแบบนี้อะ " 



    "เปลี่ยนจากพี่ลู่มาเป็นพี่ไม่ได้หรอวะ  " 



    "ชอบพี่เถอะ รักพี่เถอะนะ " 


              ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นบ้า ผมเพ้อเจ้อ เอาแต่พูดไม่หยุด ปกเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกยกขึ้นเช็ดน้ำตาเนื่องจากมือทั้งสองทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ผมร้องไห้จนตัวสั่น ริมฝีปากถูกเม้มแน่นจนรู้สึกเจ็บเพราะกลั้นปิดเสียงสะอื้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอกหัก ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ผมกำลังอกหัก กำลังร้องไห้ให้เด็กไม่รู้จักโตคนหนึ่งที่ผมรัก .. และบางที ..



    เด็กไม่รู้จักโตนั้นอาจจะเป็นผมเอง.. 




     
    _____________________________




     
             แสงแดดที่แยงตาทำให้ต้องลืมตาตื่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมยกมือขึ้นลูบหน้าหวังให้หายง่วง แสบตาชิบหาย เมื่อคืนผมอาจจะร้องไห้หนักเกินไป ผมค่อยๆลุกขึ้นนั่งพลางขยี้ตาช่วยอีกแรง ทันทีที่ดวงตาของผมปรับโฟกัสได้ ผมรีบมองกวาดไปรอบห้อง  คนที่ผมมองหายังคงนอนอยู่บนเตียง ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก 




             มองนาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนัง สิบโมงกว่าแล้ว เลยเวลาเรียนของเซฮุนไปแล้ว วันนี้ทั้งผมและเขาคงจะไม่ได้ไปเรียน ผมลุกยืนขึ้น ปีนข้ามช่องว่างระหว่างเตียงไปหาอีกคนที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ผ้าห่มผืนหนาถูกถีบหล่นลงไปที่พื้น เซฮุนนอนดิ้น .. 


    "อือ .. " 


    เสียงครางในลำคอแผ่วเบาบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวคงรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก ผมยกหลังมือขึ้นอังหน้าผาก ตัวเขาร้อนจี๋ ..


             ผมถอนหายใจก่อนจะรีบไปจัดการตัวเอง ก่อนจะคว้ากระเป๋าตังวิ่งแจ้นลงไปข้างล่างเพื่อซื้อยาและอาหารเช้าให้เขา ให้ตายดิ เหนื่อยชิบหาย และผมก็รู้สึกว่าช่วงนี้ผมจะถอนหายใจบ่อยเสียเหลือเกิน เขาว่ากันว่าถ้าถอนหายใจแล้วชีวิตเราจะสั้นลงหนึ่งวันใช่ไหมครับ บางที ผมอาจจะเหลือเวลาอยู่อีกแค่อาทิตย์เดียวแล้วก็ได้ ถถถถถถถถถถถถถ 



    "เห่นโล้ว อิอิ" 



              ไขกุญแจห้องเข้ามาพลางตะโกนอย่างอารมณ์ดีด้วยความสำนึกผิดในเรื่องเมื่อวาน ไม่มีเสียงตอบกลับจากเซฮุนที่ท่านเรียก ผมเดินเข้าไปในห้อง เตียงกลับว่างเปล่า เซฮุนไม่ได้นอนอยู่ตรงนั้น ผมวางของทั้งหมดที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ เพื่อจะเดินหาเด็กตัวแสบ แต่ก็ต้องเดินกลับมาที่เดิมเพราะเห็นว่าประตูห้องน้ำปิดอยู่ 




    "ปวดหัวไหม มากินข้าวดิ กินเสร็จจะได้กินยา " 



              ผมเริ่มบทสนทนาแรกของวันทันทีที่เห็นอีกคนเปิดประตูห้องน้ำออกมา เซฮุนอยู่ในสภาพที่ดูไม่จืดเท่าไหร่นัก รอยที่ผมฝากไว้เมื่อคืนยังเด่นชัดอยู่บนแผ่นอกขาวและหน้าท้องแบนราบของมัน นั่นทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่ไม่ใช่น้อย ถึงแม้ว่าผ้าเช็ดตัวที่พาดไว้ที่บ่าจะพาดปิดไว้เกือบครึ่งตัวก็ตาม ผมเทโจ๊กใส่ชามก่อนจะยกไปวางไว้ที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่ผมเป็นคนเอาออกมาตั้งไว้กลางห้อง ผมนั่งลง .. รอให้มันนั่งลงอีกฝั่งตรงข้ามกับผม 




    "... " 




            ไม่มีคำพูดใดๆตอบกลับมา เซฮุนไม่แม้แต่จะปรายตามองผมเลย ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจเบาๆ เจ้าตัวเดินผ่านหน้าผมไปเพื่อตากผ้าเช็ดตัวตรงระเบียง ก่อนจะเดินไปที่เตียงของผมแล้วล้มตัวลงนอน ยกหมอนขึ้นปิดหน้า 




    นี่ขนาดโกรธผมมันยังไปนอนเตียงผมเลยคิดดู 




    "เป็นไรวะ " 




    ถามพลางลุกเดินไปหา แย่งหมอนออกมาจากมือมันแล้วโยนข้ามไปไว้อีกฝั่้ง เซฮุนซบหน้าลงกับเตียง มันไม่ยอมมองหน้าผม
            


    "เอ่าเฮ้ยตอบดิ "



    "ตัวผมพี่ก็ได้แล้วไง จะเอาไรอีกวะ !"



              เซฮุนหันกลับมาตวาดใส่ผมก่อนจะสะบัดข้อมือให้หลุดจากการจับกุม ดวงตาแข็งกร้าวจ้องกลับมาอย่างเย็นชา ผมมองหน้ามัน พยายามนึกทุกคำพูดมาพูดกับมัน แต่นึุกไม่ออกสักคำ .. ผมรู้สึกจุก พูดไม่ออก 



    เมื่อคืนผมไม่ได้ทำอะไรมันเลย 



    " ไปไกลๆปะ ผมเบื่อขี้หน้าพี่เต็มทนละ "



    "ทำไมพูดงี้วะ "



    ผมได้แต่นั่งนิ่งๆอยู่ตรงปลายเตียง แม้แต่แขนมันผมก็ยังไม่กล้ายื่นมือเข้าไปจับ ใบหน้าขาวหันกลับมามองผมนิ่งๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ดวงตากลมที่มักจะมีแววตานิ่งเฉยกลับเย็นชาขึ้นกว่าเก่า 



    "ทำไม ก็ปากผมอะ ผมจะพูดไรก็ได้ "



    "เซฮุน!" 



          ผมเรียกชื่อมัน กำมือแน่น เด็กคนนี้ก้าวร้าวเกินกว่าที่ใครๆจะรับมือได้ ผมเม้มปากแน่น คว้าข้อมือเล็กไว้แล้วกระชากมันเข้ามาอย่างแรงจนร่างเล็กๆนั้นเซลงมาที่ตักของผม เอาจริงๆผมไม่อยากจะใช้กำลังเลย 



    "ทำไม จะจูบผมอีกดิ เอาเลย ละครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จะได้คุยกับผม"


    "... " 


         ผมนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก เพียงแค่คิดว่าจะไม่ไดุ้คุยกับมันอีกก็รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก ผมกลืนน้ำลายลงไปอย่างหนืดคอ ความอึดอัดและเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วอก 



    "ปล่อยผม ออกไป "



        คนตัวเล็กที่นั่งอยู่่บนตักขืนตัว เสียงที่เริ่มแหบพร่านั้นบอกผม ถึงจะเจ็บคอและไม่ค่อยสบาย แต่ในน้ำเสียงนั้นยังคงแข็งกร้าวไม่มีอ่อนข้อ ผมขมวดคิ้วมุ่นจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์ รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ภาพตรงหน้าเบลอเพราะหยาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาจนจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ แต่ถึงอย่างนั้นผมยังจับข้อมือเล็กไว้แน่น เกรงว่าถ้าปล่อยไป .. บางที เจ้าของมืออาจจะไปจากชีวิตของผมด้วย



    "ถ้าพี่ไม่ไป ผมไปเอง " 



         แต่แล้วข้อมือเล็กที่ผมจับอยู่ก็สะบัดออกอย่างแรงจนหลุดออกจากการจับกุม ก่อนเจ้าตัวจะลุกออกไปจากเตียง คว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วหุนหันออกจากห้องไป



    ปึง!!


        ประตูห้องถูกปิดลงอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว ผมอยากจะลุกไปตาม แต่กลับไม่มีแรงเอาเสียเลย .. ภาพตรงหน้าเบลอหนักกว่าเดิมจนมันชัดขึ้นเพราะหยาดน้ำตาได้หยดลงไปแล้ว ผมสูดหายใจลึกๆ .. 




    ห่าเอ้ย ..




     
    ______________________________________
     
     



    ผมรีบสาวเท้าเร็วๆด้วยความเร่งรีบ ลัดเลาะไปตามตึกก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งแทนเพราะกลัวจะไม่ทัน ในมือถือกระดานวาดรูปอันหนึ่งกับแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยเส้นแบบร่างคร่าวๆที่ผมไม่อาจเข้าใจได้อีกสามสี่แผ่น ก่อนจะวิ่งเข้าไปในตึกคณะศิลปกรรมอย่างรวดเร็ว บางทีเซฮุนอาจจะจำเป็นต้องใช้มัน ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมันก็ตาม

     

     

    ผ่านไปกว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เราไม่ได้คุยกัน ไม่ได้เจอหน้ากัน

    ไม่มีแม้แต่ข้อความ หรือโทรศัพท์

    เราไม่ได้ติดต่อกันเลย ..

     

     

     

    ผมยกมือขึ้นขยี้ตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้เป็นเวลานานของตัวเองเบาๆ ก่อนจะหวาดตามองหาคนที่ผมต้องการจะเจอไปทั่วทั้งคณะ ผมรู้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเจอเซฮุนได้ง่ายๆในสถานที่ที่คนเยอะอย่างนี้

     

    “...“

     

    ผมไม่รู้ว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา น้องไปเรียนยังไง เอาชุดนักศึกษาที่ไหนใส่ เอางานที่ไหนไปส่ง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านน้องอยู่ที่ไหน สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงโทรศัพท์ไปหา และส่งข้อความทุกๆวัน วันละหลายครั้ง ถึงแม้ว่าอีกคนจะไม่เคยตอบกลับมาเลยก็ตาม

     

    เป็นเหมือนทุกวันตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผมมาเหยียบที่นี่ ถึงแม้ว่าผมจะเรียนหนักขนาดไหน ผมก็ยังมาที่คณะมันทุกวัน เผื่อจะเจอ แต่ก็ต้องผิดหวังกลับไปทุกครั้ง

     

    ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินใต้ตึกของคณะพลางถอนหายใจด้วยความท้อแท้ เพียงเจ็ดวันที่ผ่านมานั้นอาจจะเป็นแค่เวลาสั้นๆสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผม หนึ่งอาทิตย์ที่ไม่มีเซฮุนกลับยาวนานจนผมทนรอต่อไปแทบไม่ไหว

     

    “อ้าว น้องชานยอล “

     

    และในขณะที่ผมกำลังจะร้องไห้อีกรอบนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอยู่ตรงหน้า ผมเงยหน้าขึ้นมอง พี่ลู่หาน คนที่น้องรักนักรักหนากำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม

     

     

    “อ่า หวัดดีครับพี่ “

     

    “มาทำไรที่นี่เนี่ย เรียนเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่หรอเรา “

     

    “คือผม .. “

     

    “เสี่ยวลู่ ไม่รอเลย “

     

    ผมลุกขึ้นก่อนจะยกชิ้นงานที่ผมถือไว้ขึ้นมา แต่ก็ต้องกำมันแน่นจนแทบจะแหลกคามือ เมื่อน้อง คนที่ผมตามหามาตลอดหนึ่งสัปดาห์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ข้อแขนเล็กของรุ่นพี่ถูกมือขาวนั้นจับไว้แน่น ผมขบกรามแน่นอย่างสกัดกลั้นอารมณ์ แค่เห็นใบหน้าขาวๆนั้นที่ผมคิดถึงมาตลอดอาทิตย์มันก็แทบจะทำให้ผมเป็นบ้า

     

    “มาไมวะ “

     

    “อะ ..“

     

    ส่งกระดานวาดรูปคืนให้ด้วยมือที่สั่นเทา ผมไม่อาจห้ามตัวเอาไม่ให้สั่นได้เลยจริงๆ ภายในตอนนี้ผมรู้สึกทั้งดีใจและปวดใจไปพร้อมๆกัน มือขาวฉวยเอามันไปก่อนจะดึงแขนพี่ลู่หานให้เดินกลับไปทางเดิมที่จากมา ผมยิ้มรับ ถึงแม้ใจอยากจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ .. อย่างน้อยมันก็ยังมีแก่ใจจะคุยกับผม

     

    ไม่มีแม้คำพูดสักคำจะให้ผม คนตัวขาวรั้งเอวรุ่นพี่ที่ตัวเล็กกว่าแล้วเดินออกไปจากตรงนี้ในทันที ผมถอนหายใจ ทรุดตัวลงนั่งตรงม้าหินที่เดิม มีหลายๆอย่างอยากจะพูด แต่ผมพูดไม่ออกจริงๆ และไม่มีโอกาสเสียด้วยซ้ำ

     

     

    จนสุดท้าย ไอ้โง่คนเดิมก็กลับไปนั่งร้องไห้อยู่ที่หออย่างน่าสมเพช ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือของตัวเองแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ปล่อยให้ความอ่อนแอกลืนกินจิตใจผมไปทีละนิด มันรู้สึกแย่มากจนผมอยากจะหยิบบุหรี่มาสูบถ้าไม่ติดว่าเลิกไปแล้วเพราะเซฮุนไม่ชอบ มันมีอิทธิพลกับใจผมมากจริงๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงเป็นได้ถึงขนาดนี้ แต่ผมแค่อยาก .. อยากให้มันเป็นเหมือนทุกๆวันก่อนหน้านี้ ผมอยากอธิบายทุกอย่างให้มันเข้าใจ

     

    “.... “

     

    คิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาโทรออกที่เบอร์เดิมซ้ำๆเหมือนคนบ้า จากไม่รับกลายเป็นตัดสาย จากตัดสายกลายเป็นปิดเครื่องหนีไปซะอย่างนั้น .. ผมได้แต่ร้องไห้ ผมไม่รู้จะทำยังไง ..

     

     

    “ผั้วะ! “

     

     

    ประตูหน้าห้องถูกดันเข้ามาอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ผมเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือ รีบปาดน้ำตาออกจากดวงตาที่บวมช้ำด้วยปลายนิ้วอย่างลวกๆ ก่อนจะหันกลับไปยังต้นเสียง เมื่อปรับโฟกัสให้เห็นภาพชัดขึ้นแล้วผมก็แทบจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ .. เซฮุนกำลังเดินปรี่ตรงเข้ามาหาผม

     

    “พี่เป็นบ้าอะไร หา!!! “

     

    ตะคอกอย่างแรงจนผมเบลอไปชั่วขณะ โทรศัพท์เครื่องหรูของน้องถูกโยนลงบนตักของผมด้วยความโมโห คนตัวบางหอบหนักพลางยืนจ้องหน้าผมนิ่ง มือทั้งสองกำแน่นอย่างพยายามที่จะระงับอารมณ์โกรธ ผมเงยหน้ามองมันด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ผมทั้งดีใจ เสียใจ และรู้สึกผิด

     

    “.... “

     

    “โทรมาทำไมมากมายวะ จะต้องให้ผมเปลี่ยนเบอร์หนีพี่เลยไหม “

     

    “แค่นี้พี่ก็เจ็บพอแล้วเซฮุน “

     

    ผมตอบ พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ถึงแม้ว่าเวลาอยู่คนเดียวผมจะเสียน้ำตาไปมากมายเท่าไหร่ แต่ผมจะให้มันเห็นความอ่อนแอของผมไม่ได้เด็ดขาด

     

    “เจ็บก็พอดิวะ จะดันทุรังไปเพื่อไร “

     

    “พี่ชอบเธอ “

     

    “ก็เรื่องของพี่ “

     

     

    มันตอบ กรีดใจผมเป็นจนเกิดเป็นบาดแผลลึกๆอีกหนึ่งแผล

    มันเจ็บ .. เจ็บชิบหายเลย

    แต่ผมเลือกแล้ว ยังไงผมก็ชอบมัน

     

     

    “พี่ชอบเธอ”

     

    “ผมไม่ได้อยากรู้ “

     

    “พี่ชอบเธอ.. “

     

    “แต่ผมไม่ได้ชอบพี่โว้ย! “

     

    “พี่รักเธอ “

     

    “!!!!!

     

    ผมเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำๆโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากม่านกลมใส วินาทีนี้ผมไม่สนแล้วว่ามันจะว่ายังไง แต่ผมอยากจะให้ ผมอยากจะรักอย่างที่รักมาตลอด อย่างน้อยก็ได้ทำในที่สิ่งที่ผมตั้งใจไว้ อย่างน้อยก็ได้ทำ

     
     

    “เมื่อไหร่พี่จะเข้าใจอะไรบ้างสักทีวะ “

     

    เซฮุนเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงฝั่งตรงข้าม จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมองมันอยู่ สองขาเล็กยกขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียงของผมแล้วเอาหมอนของผมไปรองตัก เอื้อมมือหยิบรูบิคบนหัวเตียงที่ยังแก้ไม่เสร็จขึ้นมาหมุนมันเล่นด้วยท่าทางและสีหน้านิ่งๆ ผมมองจ้องทุกอิริยาบถของมัน รวมถึงรูบิคอันนั้นที่ผมไม่เคยแก้มันสำเร็จ

     
     

    รูบิคอันนั้นมันจะเหมือนกับใจของเซฮุนรึเปล่า ที่ผมไม่สามารถเรียนรู้มันได้เลย ..

     
     

     

    “แก้ดิ๊! “

     

    “ ... “

     
     

    รูบิคอันเดินถูกโยนลงมาที่เตียงของผม ผมหยิบมันขึ้นมาก่อนจะมองมัน ถอนหายใจเบาๆแล้วพยายามหมุนแก้มันเท่าที่จะทำได้ สูตรอะไรผมก็ไม่รู้ มันเล่นยังไงผมยังเล่นไม่เป็นเลย ไม่รู้จะซื้อมาทำไม .. ผมกลืนน้ำลายลงไปอย่างฝืดคอ เซฮุนกำลังนั่งจ้องผมอยู่อย่างไม่วางตา ตอนนี้ผมรู้สึกว่าอยากจะร้องไห้อีกรอบ ไม่รู้ว่ามันจะให้ผมทำไปเพื่ออะไรเหมือนกัน  

     
     

    “แก้ไม่ได้ว่ะ “

     
     

    เงียบอยู่นานจนในที่สุดผมก็ยอมแพ้ เหมือนรูบิคแถบสีแดงที่เซฮุนทำเอาไว้ในตอนแรกจะเละมากกว่าเดิม สีมันปนกันไปหมดโดยฝีมือของผมเอง ผมเงยหน้ามองมันด้วยความสงสัย

     
     

    “เพราะพี่แม่งไม่เคยสนใจอะไรเลยไง นึกอยากจะทำไรก็ทำ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ละพี่ก็ทิ้งคาๆไว้งั้น ถ้าผมไม่หัดเล่น อิลูกเหลี่ยมๆนี่มันจะมีประโยชน์สำหรับใครบ้างไหม “

     
     

    “... “

     
     

    ผมเงียบ มันจริงทุกอย่าง

    แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจที่มันพูดอยู่ดี

     
     

     

    “พี่แม่ง ควาย “

     
     

    เซฮุนพูดเท่านั้นก่อนจะลุกยืนขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป ผมได้แต่เงยหน้ามอง .. มันชอบด่าผมแบบนี้เสมอเลย

     
     

    “เดี๋ยวดิวะ จะไปไหน “ ผมคว้าข้อมือเล็กไว้

     
     

    “กลับบ้านไง “

     
     

    “ไม่ไปไม่ได้หรอวะ “ ผมถาม เสียงสั่นอีกแล้ว

     
     

    “ผมจะกลับไปเอางาน “

     
     

    “ ... “

     
     

    “ลุกสิวะ ไม่อยากยืนบนรถเมล์แล้ว “

     
     

    เซฮุนพูดเสียงเบา ผมแทบจะหลุดยิ้มออกมา ข้อมือเล็กสะบัดหนีจากการจับกุมของผมก่อนจะยืนกอดอกเสมองไปทางอื่น ใบหน้าขาวเชิดขึ้นอย่างบูดบึ้งจนน่าหยิก ผมรีบลุกไปหยิบกุญแจรถแล้วเดินตามเซฮุนออกไปในทันที

     
     

     

     

    ในช่วงเย็น การจราจรบนถนนตรงหน้ามหาวิทยาลัยติดขัดมากจนแทบจะไม่ขยับเขยื้อน แถมฝนก็ตกลงมาอย่างช่วยไม่ได้ เสียงแตรบีบไล่กันลั่นถนน แต่ถึงอย่างนั้นรถก็ยังจอดขวางซ้อนๆกันอยู่ ผมเคาะนิ้วกับพวงมาลัยรถอย่างสบายใจ ไม่อยากให้ช่วงเวลาดีๆแบบนี้ผ่านไปเลย

     
     

    “หนาว เบาแอร์หน่อยไม่ได้รึไงวะ ผมไม่ได้หนังหนาแบบพี่นะ “

     
     

    เซฮุนเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ขึ้นมาแขวะผมเข้าให้ ผมได้แต่หัวเราะแล้วเอื้อมมือไปเบาแอร์ที่คอนโซลหน้ารถ ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะร้อนจนหลังเปียกเหงื่อไปหมดแล้วก็ตามที

     
     

    ทั้งคันรถเงียบจนเริ่มจะอึดอัด ผมอยากจะพูดกับมันแต่ก็นึกเรื่องที่จะพูดไม่ออก ได้แต่คอยเหลือบมองอีกคนที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เซฮุนผอมลงรึเปล่า .. แถมใต้ตาน้องยังดูคล้ำลงด้วย มันไม่ได้ดูแลตัวเองเลยใช่ไหม

     
     

    “เดี๋ยวนี้ได้กินนมก่อนนอนอยู่ไหม “

     
     

    “ยุ่งไรวะ จะกินไม่กินก็เรื่องของผมปะ “

     
     

    “ไหนว่าอยากสูงให้ได้เท่าพี่ไง “

     
     

    “อย่าเอาผมไปเปรียบกับพี่ได้ปะครับ “

     
     

    “โอเคครับๆ ขอโทษครับๆ “

     
     

    และเป็นผมที่ต้องยอม นี่ถ้ามันเป็นผู้หญิงผมคงเดาได้เลยว่าประจำเดือนมาแน่ๆ เซฮุนถอนหายใจใส่ผมก่อนจะเบือนหน้าหนีมองออกไปนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง ทั้งรถเงียบไปตลอดทาง สิ่งที่ผมพอจะทำได้ก็คือเปิดเพลงคลอเบาๆ แล้วร้องตามเท่านั้น ได้แต่หวังให้เนื้อเพลงที่ผมร้องออกไปได้เป็นตัวช่วยบอกความรู้สึกของผมให้มันรู้บ้างก็พอ

     

     

    จนฟ้ามืดก็มาถึงหน้าบ้านของเซฮุนพอดี คนตัวเล็กเปิดประตูวิ่งฝ่าฝนลงไปเปิดประตูรั้วบ้านเพื่อให้ผมขับรถเข้าไปจอด บ้านของเซฮุนเป็นบ้านสองชั้นขนาดกลางซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรที่ค่อนข้างจะไกลจากมหาลัยพอสมควร มีสวนขนาดเล็กและโรงจอดรถสำหรับรถสองคัน ผมรีบจอดรถแล้ววิ่งลงไปหาเซฮุนในทันทีเมื่อเห็นน้องยืนก้มๆเงยๆตากฝนอยู่หน้าบ้าน

     
     

    “หาอะไร “

     

    ตะโกนแข่งกับฝนแล้วก้มลงมองบ้าง เซฮุนไม่ตอบคำ เจ้าตัวยังคงเดินวนหาอยู่อย่างนั้นทั้งๆที่เสื้อนักศึกษาและกางเกงสแลคที่สวมอยู่นั้นเริ่มจะเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำฝน ผมเดินตาม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันหาอะไร

     
     

    และเหมือนเจ้าตัวจะเจอสิ่งที่กำลังหาอยู่แล้ว เซฮุนย่อตัวลงแล้วเก็บมันขึ้นมา ยังไม่วายยืนตากฝนอยู่อย่างนั้น มือเรียวรีบยัดเจ้าสิ่งนั้นใส่กระเป๋ากางเกงก่อนที่ผมจะคว้าแขนน้องไว้แล้วดึงให้เข้าไปในชายคาบ้านเพื่อไม่ได้เปียกฝนไปมากกว่านี้

     
     

    “อ้าว นี่ใช่ชานยอลรึเปล่าลูก “

     
     

    “อ่า ..สวัสดีครับคุณแม่ “

     
     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณแม่ของเซฮุนรู้จักผมได้ยังไง ผมรีบก้มหัวลงเพื่อแสดงความเคารพพลางส่งยิ้มกลับไปให้ ในขณะที่ลูกชายตัวดีของเธอเอาแต่เดินก้มหน้าก้มตาไม่ทักทายใดๆ มือขาวซีดคว้าขอเสื้อผมไว้แล้วออกแรงดึงให้ขึ้นไปชั้นบน ทำให้ผมต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้

     
     

    “พี่อาบห้องนี้ เดี๋ยวผมไปอาบห้องแม่ เสื้ออยู่ในตู้ จะเอาตัวไหนก็เอาไป“

     
     

    จนขึ้นมาถึงในห้องถึงจะยอมเปิดปากพูด เซฮุนพูดสั่งผมก่อนจะออกไปพร้อมกับผ้าเช็ดตัว ผมได้แต่พยักหน้ารับแล้วเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกมานั่งอยู่ที่ปลายเตียงในห้องสีขาวปลอด ผมมองไปรอบๆ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นตกแต่งด้วยสีขาว ครีม และน้ำตาลอ่อนดูเข้ากัน แถมเซฮุนยังเป็นคนที่สะอาดและมีระเบียบมากๆ ซึ่งต่างกับผมโดยสิ้นเชิง

     
     

    นั่งอยู่นานแล้วเจ้าของห้องก็ยังไม่โผล่มาซักที ผมเลยถือวิสาสะเดินดูของตามตู้ ชั้น และโต๊ะวางของไปเรื่อยๆ จนสะดุดเข้ากับไดอารี่เล่มหนึ่งในลิ้นชัก นี่ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสือกนะ แต่ผมก็แค่อยากรู้อะไรที่มันเกี่ยวกับคนที่ผมชอบมากขึ้นเท่านั้นเอง 

     
     

    “ทำอะไรวะ! อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่นเขานักจะได้ไหม “

     
     

    เปิดดูได้แค่หน้าแรกก็ถูกมือขาวกระชากไปในทันที เซฮุนเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้ ผมเซถอยหลังเมื่ออกกว้างของตัวเองถูกอีกคนดันออกไปให้ห่างจากลิ้นชัก ก่อนไดอารี่เล่มหนาจะถูกยัดกลับเข้าไปในนั้นแล้วล็อคมันไว้

     
     

    “ใส่เสื้อผ้าก่อนดีไหม พี่ไม่ยุ่งของๆเธอหรอก “

     
     

    เห็นเรือนร่างขาวเนียนที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคาดเอวอยู่กำลังยืนหันหลังก้มๆเงยๆทำอะไรอยู่ตรงลิ้นชักนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมา ผ้าเช็ดตัวผืนบางที่ร่นขึ้นไปเมื่อยามเจ้าตัวก้มเผยให้เห็นต้นขาขาวๆชวนให้ใจเต้น ถึงแม้ว่าทุกวันที่อยู่หอด้วยกันเซฮุนจะออกมาจากห้องน้ำแบบนี้ทุกครั้งแต่ผมก็ไม่เคยชินเลยจริงๆ มันทำใจได้ยากครับ ยิ่งเจ้าตัวชอบทำตัวน่ารักน่ากินโดยไม่รู้ตัวแล้ว ยิ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจของคนที่มีความอดทนต่ำอย่างผมมากเลยจริงๆ

     
     

    “มองไปเหอะ พี่ไม่ได้แดกผมอีกรอบหรอก “

     
     

    เซฮุนแขวะผมเข้าให้อีกรอบในขณะที่กำลังหยิบชุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า ดูเหมือนมันจะยังไม่หายโกรธผมเรื่องวันนั้น ท่าทางจะฝังใจมันน่าดู แต่จะให้ผมพูดยังไงละวะ คือถึงผมจะคิดแต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมันเลยจริงๆนะ สาบานได้

     
     

    แต่ผมว่า ไม่บอกมันดีกว่า ปล่อยให้มันเข้าใจอย่างงั้นไปละกัน เผื่อว่าบางทีมันอาจจะทำให้อะไรๆมันดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้มั้ง ?และผมก็ไม่อยากให้น้องหน้าแตกด้วย .. เวลาหน้าแดงๆนี่มันก็น่ารักดี คนที่เวลาเขินแล้วไม่รู้ตัวว่าตัวเองเขินนี่ น่าฟัดสุดๆไปเลย

     
     

    “ขำอะไร “

     
     

    “เปล่า “

     
     

    ผมยักไหล่ หันหน้าหนีแล้วแอบอมยิ้มคนเดียว ผมเห็นหน้ามันแดงๆด้วยนะตอนที่หันมาค้อนผม ผมเดินไปนั่งอยู่ปลายเตียงรอเซฮุนแต่งตัวให้เสร็จ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาลากผมลงไปที่ชั้นล่าง

     
     

    บนโต๊ะอาหารค่ำนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่ายินดีและมาคุไปพร้อมๆกัน โดยมีใบหน้ายิ้มแย้มของคุณน้าและไอเด็กตัวแสบคนที่นั่งข้างๆผมเคยถ่วงสมดุลไว้อยู่ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนค่อนข้างอัธยาศัยดีจึงไม่ลำบากใจอะไรนัก คุณน้าชวนผมคุยตลอดมื้ออาหาร แถมยังเล่าเรื่องของเซฮุนที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนให้ฟังอีกด้วย บางทีผมว่า .. ผมควรจะหาเวลามาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆซะแล้ว

        

    “กลับมาบ้านนี่ น้องบ่นถึงเราบ่อยนะ เราไปทำอะไรให้น้องงอนล่ะหืมถึงได้รีบหนีกลับมาเชียว “

     
     

    “แค่กๆ! อะ .. อะไรนะครับ ? “ ผมเบิกตากว้าง เหมือนหูฝาด

     
     

    “พี่ชานยอล กินนี่ดิครับ อร่อยนะ “

     
     

    อยู่ๆเซฮุนก็แทรกขึ้นมาซะอย่างงั้น คุณน้าที่กำลังจะอ้าปากตอบผมก็ได้แต่เงียบไป แต่ใบหน้าของหญิงสาวยังเปื้อนยิ้ม ผมก้มลงมองกุ้งตัวใหญ่ในจานของตัวเองที่เซฮุนตักมาให้ก่อนจะหันไปยิ้มรับ ใบหน้าน่ารักนั้นส่งยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักมาให้ผม เล่นเอาใจกระตุก ถ้าไม่เห็นอาหารบนจานเสียก่อน

     
     

    ผมแพ้อาหารทะเล ..

     
     

     

    “กินดิครับ ผมอุตส่าห์ให้พี่เลยนะ ผมชอบกินกุ้งมากๆเลย “ เซฮุนยิ้มจนตาหยี

     
     

    “แปลก.. แม่ว่าน้องต้องติดเรามากแน่ๆเลยชานยอล ปกติไอตัวแสบไม่เคยง้อใครเลยนะเนี่ย “

     
     

    คุณน้าหัวเราะ ผมได้แต่มองหน้าเซฮุนสลับกับกุ้งตัวโตในจาน ใบหน้าน่ารักน่าหยิกนั้นแทบจะทำให้ผมเป็นบ้าได้เลยทีเดียว แต่ถึงยังไงผมก็ยังรู้สึกแปลกๆ ยังไงเซฮุนก็ไม่น่าจะทำตัวน่ารักกับผมง่ายๆหรอก มันรู้ว่าผมแพ้อาหารทะเล

     
     

    “ขอบคุณนะครับ “

     

    ได้แต่พูดเท่านั้นก่อนจะยีหัวน้องแล้วลงมือกิน ลืมไปแล้วว่าครั้งล่าสุดที่กินอาหารทะเลเข้าไปแล้วอาการผมแย่แค่ไหน แต่ผมก็พอจะจำได้ลางๆว่ามันเลวร้ายมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังกินมันจนหมด ถ้าอยู่ๆผมชักตายคาโต๊ะอาหารไปนี่คงไม่ต้องสงสัยเลย

     

     
     

     

    กว่าจะกลับกันมาถึงหอก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน คุณน้ารบเร้าให้ค้างที่บ้านแต่ถึงอย่างนั้นก็คงจะไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้เซฮุนมีสอบ และผมก็มีเรียนเช้าด้วยเหมือนกัน ทั้งผมและเซฮุนเดินอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงจากลานจอดรถไปยังลิฟต์ สองมือช่วยกันหอบของที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเข้าไปในห้อง

     
     

    “จะกินนมอีกไหมคืนนี้ “

     
     

    “นมไร โตละ เหล้าดีกว่า มาๆตั้งวง “

     
     

    และเหมือนเซฮุนจะเมาไปแล้ว คนตัวขาวเดินไปคุ้ยถุงที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วหยิบขวดโซจูที่ซื้อมามานั่งกินตรงปลายเตียง ด้วยความที่รถติดมากๆเจ้าตัวก็เลยขอแวะร้านสะดวกซื้อแล้วก็เป็นอย่างที่เห็น ไม่ใช่ว่าผมไม่ห้ามนะ แต่ผมห้ามมันได้ที่ไหน

     
     

    “พรุ่งนี้มีสอบนะครับ นอนได้ละ “

     
     

    แย่งขวดโซจูขวดที่สามมาจากมือเล็ก เซฮุนมองหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆก่อนจะสบถด่าผมสองสามคำแล้วแย่งคืนไปอีกครั้ง ผมถอนหายใจ คว้าขวดนั้นกลับมาแล้วยกกระดกดื่มแม่งให้หมดรวดเดียว รสชาติแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้สัมผัสมานานไหลลงคอไปอย่างรวดเร็ว รสขมปร่าแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น ผมเบ้หน้า

     
     

    “ไปแปรงฟัน “

     
     

    “มีสิทธิ์ไร “

     
     

    “อะไร “

     
     

    “มีสิทธิ์ไรมาบังคับผม “

     
     

    เซฮุนเงยหน้าถาม ผมหยุดคิดพักหนึ่ง

     
     

    “..ไม่มี “

     
     

    “ก็น่าจะรู้ตัวได้ละนะครับ “

     
     

    เอาอีกแล้ว แม่งเอ้ย ผมเจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไงแล้ว ผมไม่ไหวแล้วว่ะ ก้อนห่าไรไม่รู้แม่งขึ้นมาจุกที่คอ ถ้าอีกประโยคเดียวผมต้องร้องไห้ต่อหน้ามันแน่ๆ เซฮุนฉวยขวดเหล้าไปจากมือผมแล้วโยนทิ้งลงไปในถังขยะข้างห้องน้ำ ก่อนที่จะเจ้าตัวจะลุกไปหยิบขวดใหม่ในถุงแล้วออกไปนั่งกินอยู่ข้างนอกระเบียง ประตูกระจกถูกเลื่อนปิดลงพร้อมกับผมที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างหมดแรง

     
     

     

    เตียงยวบลงไปช้าๆตามแรง ผมคะแตงตัวซุกหน้าลงกับหมอนของเซฮุนแล้วกอดมันไว้

    กลิ่นแชมพูของน้องยังคงติดตรึงอยู่อย่างชัดเจน ..

    แต่กลิ่นหอมนั้นอาจจะจางไปสักหน่อยเพราะน้ำตาของผม

    อยู่ใกล้กันแค่นี้ .. ผมยังไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกอดมันเลย

     



     

     

     

    “ตื่น “

     

    ได้ยินเหมือนเสียงใครสักคนดังอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับอะไรบางอย่างที่กำลังขยับอยู่รอบๆตัว ผมตะแคงตัวหันหนี หยีตาหลบแสงสว่างที่สาดเข้ามาชวนให้รู้สึกรำคาญ ผมค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆ รู้สึกร้อนๆหนาวๆ เปียกชื้นไปทั่วทั้งแผ่นหลังและขมับ

     

    “ตายรึยังวะ “

     

    เสียงนั้นดังชัดขึ้นอีกหน่อย พอจับใจความดีๆแล้วก็เดาได้ทันทีว่าเป็นเซฮุน ฝ่ามือขาวเลื่อนมาจับแขนผมไว้แล้วพลิกตัวผมให้นอนหงาย ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกกระชากออกไปพร้อมกับฝ่ามือเย็นเฉียบที่ทาบเข้ากับหน้าผากของผม ผมขดขาเข้ามาทันที หนาวจนสะท้านไปถึงกระดูก

     

     

     

    “เชี่ย แดงเต็มตัวเลย เป็นห่าอะไรวะเนี่ย “ผมลืมตาขึ้นได้เพียงเล็กน้อย ก่อนจะต้องหยีตาลงอีกครั้งด้วยความปวดแสบที่เบ้าตา เห็นเงาของเซฮุนตะคุ่มๆอยู่เหนือร่าง คนตัวเล็กบ่นพึมพำเป็นประโยคอะไรสักอย่างที่ผมเองก็ได้ยินไม่ชัด

     

     

    “ห่าเอ้ย ไม่ต้องมาสำออยเลย ลุกขึ้นมา พี่กำลังจะทำให้ผมไปสอบสายนะ “

     

     

    ผมลืมตาไม่ขึ้น หูอื้อและมึนงงไปหมด รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างที่ยุ่มย่ามอยู่ตามร่างกาย ผมควานมือสะเปะสะปะไปทั่วเพื่อหาผ้าห่มมาคลุมให้ความอบอุ่นกับตัวเอง แต่ก็เหมือนจะคว้าได้แต่อากาศ ก่อนจะจับเข้ากับมือเย็นๆนั้นอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ เซฮุนสะบัดมือผมทิ้ง ก่อนผ้าห่มจะเลื่อนขึ้นมาคลุมร่างผมอีกครั้ง

     

     

    เสียงขยับเงียบไป เซฮุนลุกไปแล้ว นึกว่าจะได้นอนอย่างสงบอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันไร ตัวผมก็ถูกกระชากขึ้นให้ลุกนั่ง ได้แต่นั่งตัวงออย่างหมดแรง รู้สึกเหมือนร่างกายและสมองไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ยาเม็ดเล็กถูกยัดเข้ามาพร้อมกับขวดน้ำจ่อที่ริมฝีปาก ฝ่ามือขาวดันคางผมให้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนเม็ดยาจะถูกกลืนผ่านลงคอไปอย่างลำบาก ผมสำลัก ไอโขลกจนหายใจไม่ทัน

     

     

    “แดกยาดักไว้ก่อน อย่าเพิ่งตายละกัน เดี๋ยวมา “

     

     

    .

     

     

     

    ปวดตัว ปวดไปหมด .. ทรมานเหลือเกิน

     

     

    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกปวดไปหมด ร้าวไปทั้งร่างกาย ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก ขยับตัวแทบจะไม่ได้เลย จนกระทั่งตาปรับโฟกัสได้ ผมมองไปรอบๆ นี่ไม่ใช่ห้องของผม ไม่ใช่เตียงเดิมที่ผมนอนอยู่ ผนังรอบด้านสีขาวปลอด กลิ่นเหม็นยาคลุ้งไปทั่วจนอยากจะอาเจียน แอร์เย็นเฉียบจนหนาวไปถึงขั้วกระดูก แต่กลับมีเหงื่อซึมอยู่เต็มตัวไปหมด

     

     

    “อ้าว ตื่นแล้วหรอครับ “

     

     

    “..พี่ลู่หาน ? “

     

     

    ผมเลิกคิ้ว เมื่อเห็นใครอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเองหรือเซฮุนนั่งอยู่ในห้อง พี่ลู่หานนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงโซฟามุมห้อง นั่นยิ่งทำให้ผมงงยิ่งขึ้นไปใหญ่ ผมยกมือขึ้นถูปลายจมูกตัวเองเบาๆอย่างใช้ความคิด มีอะไรมากมายที่ผมอยากจะถามแต่เรียบเรียงไม่ได้ แทบจะไม่มีเสียงพูดออกมา ผมมาอยู่โรงพยาบาลได้ยังไง แล้วตกลงผมเป็นอะไรกันแน่

     

     

    “พี่พานายมาเอง เซฮุนเป็นคนขอให้ขับรถมาส่ง “

     

     

    ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรก็เสือกตอบ หรือนี่มันจะเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของคนอย่างพี่ลู่หานกันแน่นะ ผมพยักหน้าช้าๆ ก็เซฮุนขับรถไม่เป็นนี่ มันคงต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกทึ่งไม่หาย ตามจริงแล้วมันควรจะทิ้งผมตายห่าอยู่ที่ห้อง ไม่น่าจะใช่แบบนี้

     

     

    “เดี๋ยวเซฮุนก็ขึ้นมา น้องลงไปซื้อของ “

     

     

    เอาเป็นว่าไม่ต้องเอ่ยปากถามอะไรก็รู้หมด ก็ดีจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายพูด ผมลูบๆไปตามตัวด้วยความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มันแสบคัน แล้วก็ปวดไปทั้งตัว แต่แล้วก็ต้องรู้สึกสะดุดกับสัมผัสที่ไม่ราบเรียบอย่างเคย พอก้มมองดูก็เจอแต่ตุ่มแดงเต็มตัวไปหมดจนน่ากลัว หรือว่าผมจะเป็นอิสุกอิใสหรือเอดส์อะไรเทือกๆนั้น

     

     

    “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกไม่ต้องกลัว นายแค่แพ้อาหารทะเล ..ไปกินอะไรมา”

     

     

    ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปตอบ

     

     

    “แพ้อาหารทะเล ก็กินอาหารทะเลมาดิตุ่มถึงขึ้น “ ถามแปลก นี่ก็ประสาท

     

     

    “..เออชานยอล พี่ถามอะไรเราหน่อย “  พี่ลู่หานไม่เถียงอะไร กลับเปลี่ยนเป็นคำถามอื่น

     

     

    “ไรครับ “

     

     

    “นายชอบเซฮุนรึเปล่า ? “

     

     

    “เออ “ ผมตอบ ไม่มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียง

     

     

    “.. แล้วพี่ล่ะ  ? “

     

     

    ผมถาม หันกลับไปจ้องอย่างต้องการคำตอบ พอดีกับจังหวะที่เซฮุนเปิดประตูเข้ามา มือขาวปล่อยถุงทิ้งลงพื้นหลังจากได้ยินประโยคที่พี่ลู่หานพูด

     

     

    “ใช่ครับ พี่ชอบเซฮุน “

     

     

    “... “

     

     

    ทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น เซฮุนละสายตาจากพี่ลู่หานแล้วก้มลงเก็บของในถุงที่หล่นกระจายเงียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะเดินตรงมาหาผม คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าก้มตาแกะของในถุงออกแล้ววางมันลงบนโต๊ะ ยาเม็ดเล็กสี่ห้าเม็ดถูกวางลงบนฝ่ามือ ก่อนเจ้าตัวจะส่งแก้วน้ำให้

     

     

    “กินซะ อย่าสำออย โตแล้ว“

     

     

    เห็นผมเอาแต่นิ่งก็เลยพูดขึ้นมาเรียบๆ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ผมจำต้องกินมันเข้าไปทั้งๆที่ผมไม่ชอบกินยาเอาเสียเลย แต่เซฮุนคงไม่มีความอดทนมากพอที่จะมาบังคับแล้วยืนรอให้ไอ้งี่เง่าอย่างผมกินยาเป็นรอบที่สอง เล่นตัวไปก็เท่านั้น เม็ดกลมรสขมเฝื่อนคอถูกกลืนลงไปอย่างรวดเร็วตามด้วยน้ำอีกครึ่งแก้ว เซฮุนทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆเตียงผม .. จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ

     

     

    .

     

     

     

    “ผมไม่รู้ “

     

     

    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันเบาๆอยู่ไม่ไกล แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ขยับ กระชับผ้าห่มให้ความอบอุ่นกับตัวเองอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเงี่ยหูฟัง เหมือนเสียงที่พูดอยู่ตอนนี้จะเป็นเสียงของพี่ลู่หานซะมากกว่า

     

     

    “พี่ว่าเราไปคุยกันข้างนอกไหม เดี๋ยวชานยอลจะตื่น “

     

     

    ได้ยินเสียงเหมือนมีคนขยับ ผมนอนเกร็งตัวแข็งทื่อ ไม่อยากให้สองคนนั้นรู้ว่าผมกำลังฟังอยู่ในตอนนี้ เสียงประตูปิดลงพร้อมกับความเงียบกริบที่เข้าปกคลุม ผมหลับตาลงช้าๆ อยากให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปเร็วๆ

     

     

    ปวดอีกแล้ว มันแสบพร่าไปทุกอณูรูขุมขนจนต้องพลิกตัวไปมา ผมตื่นขึ้นในยามดึก มันช่วยไม่ได้จริงๆ ผมไม่สามารถนอนต่อไปได้อีกแล้ว รู้สึกเหมือนร่างกายมันอ่อนแรง เหมือนไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน

     

    อยากได้ยาหรืออะไรสักอย่างที่ช่วยให้อาการแพ้ของผมทุเลาลงกว่านี้ เหมือนตุ่มแดงที่ขึ้นตามตัวมันกำลังเล่นงานผมอย่างรุนแรง ทั้งแสบคันและปวดร้อน ทรมานไปทั้งกาย ผมได้แต่นอนขยับไปมากระสับกระส่าย หวังจะให้ใครช่วยตอนนี้คงไม่มี .. อยากให้ถึงพรุ่งนี้เช้าไวๆ

     

    แต่แล้วจู่ๆก็รู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่วางทาบลงกับหน้าผาก ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมร่างผมอยู่ถูกดึงร่นลงไป ผมขดตัวแน่น กอดตัวเองด้วยความหนาวไปถึงขั้วกระดูก ขนลุกชันไปทั้งตัว ได้ยินเสียงถอนหายใจอยู่เหนือร่างเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตาขึ้นมามอง

     

    สั่นไปทั้งตัวด้วยความหนาว ผมพลิกตัวตะแคงหนี ได้ยินเสียงใครบางคนสบถเป็นคำหยาบคายอยู่ใกล้หู สัมผัสอุ่นหากแต่ไม่ใช่ฝ่ามือบางกำลังลูบไล้ไปทั่วลำคอ ผ้าขนหนูหยาบสากชุบน้ำอุ่นหมาดๆถูกใช้มันเช็ดไปทั่วตัวของผม ก่อนที่ความหนาวเย็นนั้นจะทุเลาลงและถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น เตียงยวบลงไปราวกับมีคนทิ้งน้ำหนักลงมาที่ข้างกาย ผมคลายแรงขมวดที่หัวคิ้วแล้วหลับไปอีกครั้ง

     

    ผมไม่รู้ว่าคนที่อยู่กับผมในคืนนี้เป็นใคร

    ในใจได้แต่ภาวนาขอให้เป็นเซฮุน

     

     

     

     

     

    “ไม่ไปเรียนหรือไง”

     

    เอ่ยถามในเช้าวันต่อมา วันนี้เป็นวันพฤหัส ผมจำตารางเรียนของเซฮุนได้ทุกวิชา ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเศษ ซึ่งตามจริงแล้ว ตอนนี้เซฮุนควรจะอยู่ที่มอแล้วด้วยซ้ำไป อันที่จริงผมไม่ได้จำได้แค่ตารางเรียนหรอก ผมจำเรื่องของมันได้ทุกอย่างนั่นแหละ

     

    “ถ้าพี่จะคิดว่าผมอยู่ที่นี่เพราะพี่ก็หยุดเถอะ พี่ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”

     

    ผมพยักหน้าช้าๆอย่างเข้าใจ ไม่รู้เมื่อไหร่ที่คำพูดแทงใจดำของเซฮุนกลายเป็นสิ่งที่ผมต้องเจอในกิจวัตรประจำวันไปซะแล้ว มันเหมือนจะชิน แต่มันก็ไม่ชินซักที ยังเจ็บจิ๊ดเหมือนเดิม ราวกับว่ามีใครมาบีบหัวใจของผมแรงๆแล้วคลายออก ลูบปลอบประโลมเพียงแค่มองหน้าขาวๆนั่น ทุกอย่างก็กลายเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    “เมื่อคืน ..

     

    มองตามมือบางๆที่กำลังขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ทำไอ้นั่นไอ้นี่อยู่แล้วเอ่ยด้วยประโยคปลายเปิด เซฮุนเลิกคิ้ว เจ้าตัวไม่ได้หันกลับมามองหน้าผม

     

    “ใช่เธอรึเปล่า”

     

    รออยู่นานก็ไม่ได้คำตอบจากริมฝีปากแดงๆนั่นแม้แต่คำเดียว มีเพียงเสียงถอนหายใจที่เซฮุนจะให้ได้ ผมก้มลงมองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตัก แม้แต่ฝ่ามือก็ขึ้นตุ่มใสๆ รู้สึกปวดแล้วก็เจ็บไปหมดเพียงแค่ขยับนิ้ว เซฮุนลุกเดินออกไป ลากโต๊ะสำหรับทานอาหารของผู้ป่วยเข้ามาใกล้

     

    “ง่อยแดก”

     

    เรื่องปากดีนี่ที่หนึ่ง ไม่มีใครปากร้ายได้เท่าโอเซฮุนอีกแล้วในชีวิตผม โจ๊กร้อนๆที่บรรจุอยู่ในชามกระเบื้องถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองมันด้วยหางตา ด่ากูง่อยแล้วมึงจะมาป้อนกูทำห่าอะไรวะ

     

    “ ถ้ามันลำบากมากพี่กินเองก็ได้ เธออยากจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”

     

    ไม่ได้ตั้งใจจะตัดพ้อหรือทำตัวให้ตัวเองดูน่าสงสารอะไรเลย ผมพูดไปอย่างนั้น ทั้งๆที่ที่จริงแล้วผมไม่ได้อยากจะไล่มันไปไหน อยากให้มันนั่งอยู่ตรงนี้กับผม ถึงแม้มันจะชอบใช้สายตารังเกียจแบบนั้นมองหน้าผมก็ตาม แบมือสั่นๆของตัวเองยื่นไปขอช้อนคันยาวที่อยู่ในมือขาว

     

    “จะตายห่าอยู่แล้วยังทำเป็นเก่ง”

     

    บางทีผมก็งงกับคำพูดที่ดูจะขัดกับการกระทำของมันเหลือเกิน มือขาวดึงช้อนหลบจากมือผมแล้วตักโจ๊กร้อนๆขึ้นจ่อริมฝีปาก ผมเป่าเบาๆให้พออุ่น แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากงับช้อนก็ถูกดึงออกไป

     

    “ฟู่ว ..

     

    จิ๊ปากหนึ่งทีให้พอยั่วโมโหเล่นๆ ก่อนริมฝีปากแดงๆนั่นจะห่อน้อยๆแล้วเป่าโจ๊กคำโตนั่นให้ ถ้าม่านกลมไม่ได้หลุบลงก็คงจะเห็นสีหน้าอันงงงวยของผม ช้อนคันยาวถูกยื่นมาจ่อที่ริมฝีปากของผมอีกครั้ง ผมอ้าปากรับ ไม่เคยกินโจ๊กชามไหนที่อร่อยเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

     

    “แล้วพี่ลู่หานล่ะ?”

     

    “ไปเสือกอะไรเรื่องของเค้า”

     

    กลืนได้หนึ่งคำก็เอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ ไม่ใช่เพราะอยากรู้ แต่เพราะอยากหาเรื่องคุยกับมันให้ได้เยอะๆก็เท่านั้น อะไรก็ได้ขอแค่ให้มันพูดกับผม ไม่ว่าจะเป็นคำด่า คำแซะ หรือคำพูดดูถูกอะไรก็ตาม ผมยอมทั้งนั้น ฟังดูโง่ แต่สำหรับเซฮุน ผมยอมทุกอย่างจริงๆ

     

    “เธอคิดยังไงกับเขา”

     

    “แล้วมาเสือกอะไรเรื่องของผม”

     

     ผมหยุดเคี้ยว .. ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย อยู่ๆก็รู้สึกจุกที่คอแปลกๆ

     

    “ทำไมพูดจาแบบนี้วะ ใครสอน เป็นแบบนี้กับทุกคนเลยรึเปล่า”

     

    “ไม่มีใครสอนทั้งนั้นอะ พี่น่าจะดีใจนะ ผมพูดแบบนี้กับพี่คนเดียวเลย เป็นคนพิเศษ”

     

    “พิเศษแล้วรักไหม ..” ผมถาม ทั้งๆที่รู้คำตอบดี

     

    “ไร้สาระ” จึ้กไปหนึ่งดอก

     

    “ถึงจะต้องบอกอีกกี่ร้อยครั้ง พี่ก็จะพูดคำเดิม ว่าพี่รักเธอจริงๆ”

     

    เหมือนว่าผมจะกลายเป็นคนหน้าด้านหน้าทนชนฝาแล้วจริงๆ ผมไม่รู้ว่าในอดีตที่ผ่านมาผมจะเป็นคนยังไง เจ้าชู้ขนาดไหน แต่วันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ผมรู้ตัวว่าผมมันแย่ และน้องมันคงไม่ไว้ใจ แต่ถึงยังไงผมก็อยากให้มันรู้

     

     

    ทำเป็นไม่ได้ยินอีกแล้ว เหมือนทุกครั้งที่มันตั้งใจจะเมินผม ม่านใสหลุบลง ไม่รู้ว่าชามโจ๊กบนโต๊ะมีห่าอะไรให้สนใจมากกว่าผมนักหนา ไม่มีคำตอบใดๆนอกจากช้อนคันยาวที่ยกขึ้นจ่อริมฝีปาก ผมถอนหายใจ ไม่ยอมกิน

     

    “ขอโอกาสให้พี่พิสูจน์ตัวเองได้ไหม”

     

     

    “ทุกอย่างที่ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่รู้สึกอะไรกับพี่สักนิดเลยหรอวะ”

     

     

    “ไหนมองหน้าพี่แล้วบอกดิว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย”

     

    ผมดันปลายคางเรียวให้เงยขึ้นผ่านสัมผัสจากผ้าห่มที่คลุมมือไว้อยู่ ไม่กล้าใช้มือเปลือยๆที่เต็มไปด้วยตุ่มอักเสบแตะตัวน้อง เพราะกลัวจะทำร้ายผิวขาวๆที่บริสุทธิ์นั้น ดวงหน้าหวานเงยขึ้นสบตาแม้จะมีแรงขืนอยู่หน่อยๆก็ตามที ม่านกลมสั่นระริกไร้ซึ่งคำตอบใดๆ มันไม่ได้ว่างเปล่า แต่เหมือนมันเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดที่ผมไม่สามารถคาดเดาได้ และผมไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับหัวใจตัวเองยังไง นอกจากคิดไปเองเหมือนเคยว่ามันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากผม

     

    เรื่องเข้าข้างตัวเองนี่เก่งจริงๆ ..

     

     

    “แกร๊ก ..

     

    จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกโดยผู้มาใหม่ ทั้งคู่หันไปให้ความสนใจกับใบหน้าสวยหวานที่โผล่พ้นออกมาจากบานประตู ผมขมวดคิ้ว รู้สึกคุ้นหน้าเด็กผู้หญิงคนนั้นชอบกล เธอยิ้มแห้งๆให้ผม ในมือถือตะกร้าผลไม้ชูขึ้นเหนือหัว ก่อนจะขออนุญาตเข้ามาในห้อง

     

    “พี่ชานยอล ได้ข่าวว่าไม่สบายก็เลยเอากระเช้าผลไม้มาเยี่ยมน่ะค่ะ แหะๆ”

     

    เธอก้มหัวน้อยๆ เดินอย่างเรียบร้อยเข้ามาหาผม ก่อนจะวางกระเช้านั้นไว้บนโต๊ะข้างเตียง ทันทีที่เธอปล่อยมือจากกระเช้า จู่ๆช้อนกระเบื้องคันยาวก็ถูกวางกระแทกลงในชามโจ๊กเสียอย่างนั้น

     

    “แกร๊ง!!

     

    ผมหันไปหาเซฮุน ขมวดคิ้วเป็นเชิงดุแล้วมองหน้ามันสลับกับเธอ ไม่มีคำตอบใดนอกจากสายตาว่างเปล่าที่มองกลับมา มันไม่ได้หลบตาผมเหมือนเคย เพียงแต่ลุกขึ้นยืนแล้วมองผมสลับกับเธอ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าที่เห็นว่ามันมีท่าทีเหมือนไม่พอใจตั้งแต่เธอเดินเข้ามา

     

    อึดอัด ..

     

     

    “ขอโทษทีรบกวนนะคะพี่เซฮุน “

     

    “ตามสบายครับ”

     

    พอเห็นทั้งคู่คุยกันผมก็พอจะจำได้ลางๆแล้วว่าเธอคนนี้เกี่ยวข้องกับผมยังไง ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กๆที่คั่วกันไว้แล้วหิ้วมาที่ห้อง โต๊ะที่ใช้วางชามโจ๊กถูกขาเรียวถีบกระเด็นไปที่มุมห้อง แรงกระชากรั้งให้ชามกระเบื้องหล่นเพล้งลงบนพื้นจนหกเลอะ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่สนใจ

     

    “กึก!

     

    ประตูห้องปิดลงพร้อมกับแผ่นหลังบางที่เห็นเป็นภาพสุดท้าย เธอหันมามองหน้าผมสลับกับชามโจ๊กที่แตกกระจายอยู่ที่พื้นก่อนจะรีบกุลีกุจอก้มลงไปเก็บ ผมเบือนหน้าหนี ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน

     

    ถ้ามันไม่ได้คิดอะไร แล้วทำไมมันต้องโมโหด้วยวะ ..

     

     

     

     

     

    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา อาการแพ้อาหารทะเลของผมค่อยดีขึ้นจนหายเป็นปกติ ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่บันดาลโทสะปล่อยให้ผมตายห่าไปซะก่อน หรือมันอาจจะเป็นกรรมที่ทำให้ผมต้องทนเจ็บกับไอ้เด็กนั่นต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ในทุกๆวันผมรักมันมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เซฮุนก็ห่างจากผมไปเรื่อยๆเช่นกัน

     

    แต่แล้วเหมือนมันจะรู้ เมื่อผมเริ่มคิดที่จะถอดใจ มันก็จะกลับมาเล่นกับผมใหม่ ให้ผมรักมันมากขึ้นกว่าเดิม แล้วมันก็ซ้ำผมแรงๆให้แผลมันลึกขึ้น จนผมถอนตัวไปไหนไม่ได้ เป็นอย่างนี้วนไปวนมาซ้ำๆ เหมือนวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันจะสิ้นสุด

     

    ระยำจริงๆ ..

     

     

    และความระยำตีนมันไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านั้น แต่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวันจนเริ่มจะเรื้อรัง พักหลังๆมานี่เซฮุนต่อต้านผมทุกวิถีทาง ไม่ว่าผมจะทำอะไร ขยับไปทางไหน หรือแม้แต่หายใจอยู่เฉยๆมันก็ไม่พอใจอะไรผมเลยสักอย่าง เหมือนผมจะทำให้มันหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา จะทำอะไรก็ขัดใจ หรือกระทั่งไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็ยังขัดใจ กูไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว

     

    เซฮุนแข็งข้อและก้าวร้าวขึ้นทุกวัน บางวันถึงกับไล่ผมให้ไปไกลๆด้วยซ้ำทั้งๆที่นี่เป็นห้องของผม ผมยืนแก้ผ้าใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวกอดหมอนอยู่ที่ระเบียงหลังจากโดนเสียงเอะอะโวยวายของเซฮุนปลุกให้ตื่นในยามเช้า มองมันรื้อของในห้องเละเทะไปหมด หาวแล้วก็หาวอีก หัวชี้ฟูไม่เป็นทรงเหมือนอิเพิ้งเพราะเพิ่งตื่น ยืนปรือตาฟังเสียงสบถด่าของมันด้วยความง่วงเหงาหาวนอน

     

    “ไดอารี่ผมอยู่ไหน พี่เอามันไปไว้ไหน บอกว่าอย่ายุ่งของๆคนอื่นไงวะ”

     

    โทษกูซะงั้น ทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้ไปยุ่งอะไรกับของๆมันเลย โอเซฮุนอยู่ในชุดนักศึกษาเตรียมออกไปเรียนแล้ว ผมโยนหมอนไว้บนเตียงมันแล้วเดินเข้าไปหาทั้งๆที่มันเพิ่งจะไล่ผมออกไปยืนที่ระเบียง

     

    “รูปร่างหน้าตาเป็นไงเดี๋ยวช่วยหา”

     

    “ไม่ต้องมายุ่ง”

     

    “เอ้า”

     

     

    “บอกให้ไปไกลๆไงวะ เกะกะ รำคาญ”

     

    “เป็นอะไรของมึงเนี่ย”

     

    ผมขึ้น มือบางสะบัดมาโดนหน้าผมจนชาวาบไปทั้งแก้มเพียงแค่ผมเดินเข้าไปใกล้ นี่กูยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ

     

    “พี่กล้าดียังไงมาเรียกผมว่ามึงวะ!!!

     

    “แล้วเธอเคยพูดดีๆกับพี่ด้วยรึไงวะ!!

     

    เหมือนจะเพิ่งมานึกได้หลังจากที่ตะโกนออกไปแล้ว ผมกำหมัดแน่น ตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เซฮุนนิ่งไปจนผมรู้สึกผิด อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่เคยขึ้นเสียงใส่มันมาก่อน ผมเบือนหน้าหนี อยากจะต่อยปากตัวเองแรงๆ

     

    “เบื่อพี่เต็มทนแล้วว่ะ”

     

    มันถอนหายใจแล้วเดินออกไป เสียงที่อ่อนลงราวกับเหนื่อยใจกับผมเต็มทนแบบนั้นแม่งโคตรแย่ เอาอีกแล้ว .. ไม่รู้กี่ครั้งที่ผมต้องมองมันจากข้างหลัง วิ่งตามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างหมดแรง มีเพียงฝ่ามือเท่านั้นที่จะช่วยรองรับน้ำตาให้ผมได้ในยามนี้ ก้มหน้าลงไป ก่อนจะปล่อยให้ความอ่อนแอเข้าครอบงำคนไม่เอาไหนอย่างผมเป็นรอบที่ล้าน

     

     

     

    เมื่อไม่มีอะไรจะทำ การเก็บกวาดห้องที่เละเทะเป็นรังหมาให้สะอาดเอี่ยมนั้นเป็นตัวช่วยที่ดีเหลือเกินในการเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ผมยืนเท้าเอว ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อแล้วมองกวาดไปรอบห้อง รู้ตัวอีกทีห้องครึ่งขวาก็โล่งและว่างเปล่าจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว ข้าวของทุกอย่างของผมทุกเก็บไว้ในลังและกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ทั้งหมด เว้นเสียแต่ของๆเซฮุนที่ผมเก็บมันจัดเรียงไว้ให้เป็นที่เป็นทางไว้ในตู้เท่านั้น

     

     เหลือแต่ผ้าปูเตียง หมอน และเครื่องนอนของผมเท่านั้นที่ยังอยู่ เป็นเครื่องบ่งบอกว่าผมเคยอยู่ที่นี่ และผมคงจะทิ้งมันไว้แบบนี้เพราะเซฮุนชอบที่จะใช้มัน น้อยครั้งมากที่เซฮุนจะไปนอนเตียงของตัวเอง มันชอบเนียนมานอนเตียงผมด้วยเหตุผลที่ว่าเตียงผมสบายกว่า ไม่ว่าจะเป็นหมอน ผ้าห่ม หรือหมอนข้าง เด็กนั่นชอบทั้งนั้น เราก็เลยกลายเป็นว่าต้องแลกเตียงกันไปโดยปริยาย

     

    อันที่จริงผมไม่ได้คิดจะไปไหน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เก็บข้าวของของตัวเองจนหมดเกลี้ยงแบบนี้ กว่าจะเก็บเสร็จก็ล่อไปห้าโมงเย็น และผมเองก็คงไม่เสียเวลารื้อมันออกมาจัดใหม่อีกแน่ๆ หรือบางทีจิตใต้สำนึกมันจะสั่งให้ผมพอ สั่งให้เดินถอยออกมา บางทีผมน่าจะพอได้แล้ว หรือไม่ก็ไปตั้งหลักที่ไหนสักที่สักสองสามอาทิตย์แล้วกลับมาลุยใหม่ เผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นกว่านี้

     

    “แกร๊ก “

     

    ได้ยินเสียงเหมือนมีคนไขกุญแจเข้ามาจากข้างนอก ผมไม่ได้หันกลับไป เพียงแค่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บของในห้องน้ำส่วนของผมใส่กระเป๋าเป้ ประตูถูกเปิดออก ได้ยินเสียงคนสองคนคุยกันอย่างออกรสดังแว่วเข้ามาในห้อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสียงเซฮุนกับพี่ลู่หาน เค้าเข้ากันดีอยู่แล้ว มีแต่กูที่เป็นส่วนเกิน

     

    “ไว้ผมจะรีบบอกเมื่อผมพร้อม อีกไม่นานหรอกครับ ฮะๆ”

     

    เออ มึงจะบอกอะไรก็เรื่องของมึงแล้ว ผมข่มใจตัวเองให้สนใจแต่แปรงสีฟันและข้าวของอื่นๆในกระเป๋า คิดอะไรก็ได้ให้เบี่ยงเบนความสนใจตัวเองให้ไกลจากบทสนทนาข้างนอกนั่น ให้เดาว่าทั้งคู่คงไม่รู้ว่าผมอยู่ในนี้

     

    “ผมไม่รู้ ผมแค่ไม่แน่ใจ ผมไม่ไว้ใจ”

     

    กระทั่งเก็บของจนหมดแล้ว มองไปรอบๆห้องน้ำก็ไม่มีอะไรถึงได้โผล่หัวออกไป เสียงบานประตูที่เปิดออกทำให้ทั้งคู่หันมามองผมเป็นตาเดียว สีหน้าของเซฮุนดูจะตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าผมได้ยินบทสนทนาที่ทั้งคู่คุยกัน ผมก้มหน้าหลบสายตาทั้งคู่ เดินออกนอกระเบียงไปเก็บบรรดาเสื้อผ้ากางเกงในที่ตากไว้ อันที่จริงกูไม่ได้ยินอะไรเลยด้วยซ้ำ เหมือนสมองมันไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ไม่มีกะจิตกะใจจะฟังอะไรทั้งนั้น

     

    เสียงประตูห้องปิดลงอีกครา หันกลับมาอีกทีทั้งห้องก็ว่างเปล่า เซฮุนคงออกไปกับพี่ลู่หานแล้ว ไม่มีคำพูดใดๆที่จะทักทายกัน และผมก็คงไม่มีคำพูดใดๆที่จะให้มันอีกแล้ว ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองปอดขนาดนี้มาก่อน สงสัยจะยอมแพ้แล้วจริงๆ สายตาว่างเปล่าที่มันใช้มองผมเมื่อกี้ตอนออกมาจากห้องน้ำยังคงติดตา ถ้ามันเบื่อผมมากขนาดนั้น ผมไปเองก็ได้ เป็นพระเอกมันต้องรันทดอะไรถึงขนาดนี้เลยหรอวะ ถ้ามันขนาดนั้น งั้นเรื่องหน้ากูไม่เป็นแล้ว

     

    กระเป๋าเดินทาง เป้ และลังใส่ของถูกนำมากองๆรวมกันที่กลางห้อง รูบิคอันเดิมที่เคยแก้ไม่ได้บัดนี้ถูกเปลี่ยนจนเป็นสีเดียวกันหมดทุกแถบเพราะความว่างจากการไม่มีอะไรทำเมื่อเช้า ผมวางมันไว้บนหัวเตียง อย่างน้อยก็ขอให้มันรู้ว่าผมไม่ได้เป็นแบบที่มันคิด แต่ความเอาใจใส่ของผมคงไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับมันอีกแล้ว

     

    กุญแจรถกำไว้ในมือ นั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง มองข้าวของที่วางกองกันไว้อย่างใช้ความคิด มันจะขนลงไปยังไง ผมลืมอะไรรึเปล่า หรือเผลอเอาอะไรของมันติดไปด้วยไหม .. แล้วถ้าไม่มีผม มันจะอยู่สบายรึเปล่า ใครจะไปรับไปส่ง กินข้าวกับใคร ใครจะคอยเก็บห้องเวลาที่น้องมันทำลายข้าวของ ใครจะคอยมารองรับอารมณ์ ใครจะอยู่ฟังมันบ่นมันด่าได้ทั้งวัน

     

    จะว่าไปแล้วผมเองก็หน้าด้านหน้าทนจนคิดว่าคงไม่มีใครแกร่งเท่ากูแล้ว

    ขนาดปูนเสือยังสู้กูไม่ได้ ..

     

     

     

    “จะไปไหน”

     

    เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเซฮุนยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อกี้มันคงแค่ไปส่งพี่ลู่หานที่ข้างล่างเท่านั้น ผมก้มหน้า ไม่ตอบคำถามเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร รู้สึกละอายใจที่เคยพูดไว้ว่าจะไม่ไป ความอดทนผมมีไม่มากพอ

     

    “อย่าลืมที่เตือนประจำนะ พูดจนปากจะฉีกถึงรูหูแล้ว เข้าห้องปุ๊บต้องล็อคทุกครั้ง ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นเสร็จแล้วต้องปิด ประตูกระจกตรงระเบียงต้องล็อคไว้ตลอดเวลา”

     

    ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่เลือกที่จะพูดคำที่อยากพูดแทน เพราะหลังจากนี้ไปผมอาจจะไม่ได้พูดกับมันอีก ผมก้มลงมองกุญแจรถในมือ พลิกมันเล่นไปมาราวกับว่ามีอะไรให้สนใจนักหนา แต่จริงๆเปล่าเลย ผมแค่กลัวว่าถ้าเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นหน้ามันแล้วผมจะร้องไห้

     

    ผมไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว ..

     

     

    “ตอนแรกว่าจะหัดขับรถให้แล้วพาไปทำใบขับขี่ แต่ตอนนี้คงต้องพึ่งพี่ลู่หานแล้ว”

     

     

    “ถ้าเค้าไม่ได้อยู่กับใคร เธอก็ให้เค้ามาอยู่ที่นี่ได้เลยนะ พี่ว่าจะไปดูหอใกล้ๆร้านเหล้าแถวมอ จะได้ไม่ต้องขับรถไปมาเวลาไปทำงานพิเศษ”

     

    “หมายความว่าไง”

     

    “พี่ไม่รู้ว่าเค้ารู้ไหมว่าเธอต้องกินนมก่อนนอนทุกวัน ตอนนอนต้องเปิดไฟหัวเตียงไว้ทุกคืน ไม่กินผักชี ไม่กินของเผ็ด พี่ไม่รู้ว่าเค้ารู้ไหมว่าเธอกลัวเลือด พี่ไม่รู้ว่าเค้ารู้ตารางเรียนของเธอไหม วันไหนต้องตื่นเช้า วันไหนเรียนบ่าย พี่ไม่รู้ว่าเค้ารู้ไหมว่าเธอไม่ชอบให้ใครเล่นหัว ไม่รู้ว่าเค้ารู้ไหมว่าเธอซีเรียสเรื่องเวลา บางทีเธอต้องบอกเค้านะ เค้าอาจจะยังไม่รู้”

     

    “พี่เป็นห่าอะไรวะ..

     

    “พี่รู้ว่าเธอดูแลตัวเองได้ แล้วพี่มันก็เสือกที่คิดจะไปดูแลเธอทั้งๆที่ตัวเองก็ยังเอาไม่รอด”

     

    “พล่ามไร”

     

    ผมก้มหน้า พูดออกไปตามที่ใจคิดอยากจะพูด ปลายนิ้วมือไล้จับไปที่ตุ๊กตากระต่ายตัวเล็กๆที่ห้อยอยู่กับกุญแจรถ รู้สึกจุกมาถึงลำคอ เสียงตัวเองเริ่มสั่นจนแทบจะควบคุมไม่ได้ .. มันน่าหงุดหงิด

     

    “ส่วนพวงกุญแจอันนี้ที่เธอให้ พี่ขอเก็บไว้นะ มันหน้าเหมือนเธอ”

     

     

    “พี่ไม่อยู่ จากนี้ไปเธอต้องโตขึ้นกว่านี้ได้แล้วนะครับ ดูแลตัวเอง ดูแลคนที่รักให้ได้ .. ขอโทษที่ทำอย่างที่เคยพูดไว้ไม่ได้ “

     

     

    “พลั่ก!!!

     

     

    ยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นไปมอง จู่ๆหนังสือปกแข็งเล่มใหญ่ก็ลอยหวืดข้ามห้องมากระแทกหัวผมเต็มๆ เจ็บจนต้องร้องซี๊ดออกมา บางทีถ้าลองเอามือแตะๆแล้วเจอเลือดคงรู้เลยว่าผมหัวแตก ผมกุมหน้าผากตัวเองด้วยความเจ็บ หนังสือเล่มหนาหล่นแหมะลงบนพื้น กางหน้ากระดาษออกมาเป็นตัวหนังสือเต็มเป็นพรืดไปทั้งหน้า แต่ตอนนี้ผมคงอ่านไม่ออก น้ำตาคลอหน่วยที่เบ้าตาจนมองอะไรไม่ชัดซักอย่าง

     

    “ใครอนุญาตให้พี่ไปวะ !! พี่ไม่มีสิทธิ์จะไปไหนทั้งนั้นอะ”

     

    ขาเรียวยาวก้าวปึงปังเข้ามาหาผม ตะคอกอย่างแรงจนผมต้องก้มหน้า เสียงที่เริ่มจะแตกหนุ่มตะโกนดังจนเสียงหลง ฝ่ามือขาวผลักเข้าที่ไหล่ของผมจนเซ ผมเท้ามือไปข้างหลังเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มหงายลงไปนอนแผ่ที่พื้น

     

    “พี่ไม่อยู่ใครจะหารค่าห้องวะ ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ หนีแต่ปัญหา เห็นแก่ตัวชิบหาย”

     

     

    “พี่ไม่อยู่แล้วใครจะไปรับไปส่ง ใครจะพาไปแดกข้าววะ ใครจะคอยมาฟังผมด่า ..

     

    ผมก้มหน้า กลืนน้ำลายฝืดๆลงคอ อยากจะร้องไห้ออกมาแต่มันร้องไม่ออก มันจุกไปหมด สรุปว่ากูมีค่าแค่นี้

     

    “พี่ไม่อยู่แล้วใครจะรักผมวะ ..

     

     

    “จะมีใครที่ไหนมาทนรักเด็กงี่เง่าเอาแต่ใจแบบผมอีก”

     

    !!!

     

    เสียงแหบห้าวนั้นอ่อนลงจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ ร่างเล็กทรุดลงนั่งคร่อมลงบนตักผมพร้อมกับใบหน้าขาวที่ซบลงบนไหล่ กำปั้นเล็กทุบหนักๆลงบนแผ่นหลัง ทั้งหยิก ทั้งจิกจนกลายเป็นโถมกอดไว้ทั้งตัว ผมได้แต่นั่งนิ่ง ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น งงไปหมดแล้ว ..

     

    “แม่งห่า ทนกูอีกหน่อยมันจะตายหรือไงวะ”

     

     

    “ทนรักผมอีกหน่อยไม่ได้รึไง อีกนิดเดียวผมก็จะยอมพี่อยู่แล้ว..

     

    ฝ่ามือชื้นเหงื่อกำขยำเสื้อผมเสียจนยับยู่ ไหล่เปียกเป็นดวงเปรอะไปด้วยน้ำตา ร่างเล็กบนตักสั่นเทาด้วยแรงสะอื้นไห้ ผมค่อยๆเลื่อนมือไปแตะเอวบางเบาๆด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูก ผมไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร

     

    “พี่แม่งเหี้ย นิสัยแบบนี้ใครจะไปไว้ใจวะ ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าพี่จะไม่ทำกับผมเหมือนที่ทำกับคนอื่น ..

     

    “ขอโทษ”

     

    “พี่แม่งควาย โง่ ดักดานที่สุดในโลก พี่แม่งไม่เคยรู้อะไรเลย”

     

     

    ปั้ก! ปั้กๆๆๆๆ

     

     

    ทุบรัวๆเข้าที่ต้นแขนจนผมระบมไปหมด แต่วินาทีนี้ผมยอมทุกอย่าง แค่อยากรู้ว่ามันจะพูดอะไรต่อ ใจผมหล่นวูบ เหมือนมันอันตรธานหายไปจากตรงนั้น ผมหามันไม่เจอ

     

    “แล้วพี่ก็จะไป พี่แม่งก็สันดานเดิมๆ ชอบทำให้คนอื่นเค้ารักแล้วมึงก็ชิ่ง ฮึก ..พี่แม่งแย่ กูเกลียด”

     

    ทั้งผมทั้งกู ตีกันมั่วไปหมด พูดไปก็ร้องไห้ไปจนแทบจะจับใจความไม่ได้ แต่ก็เหมือนจะมีเค้าลางๆให้พอเดา ผมค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาจนกลายเป็นยิ้มกว้าง ถ้าไม่ได้คิดไปเองจนมากไป บางทีนี่อาจจะเป็นคำสารภาพรักของเซฮุนรึเปล่า ?

     

     

     

    “ถ้าอยากจะไปนักก็ไปเลย แล้วอย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก”

     

    “ก็แล้วจะไปได้ไง มันมีลูกลิงมานั่งตักพี่อยู่”

     

    มันเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาขุ่นเคือง ดวงตากลมแดงช้ำเนื่องจากเจ้าตัวกำลังร้องไห้ ผมยิ้ม ถือวิสาสะเลื่อนปลายนิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาบนพวงแก้มใสออกแผ่วเบา

     

    “หัวแตกเลย สมน้ำหน้า”

     

    “เรื่องทำร้ายพี่เธอถนัดอยู่แล้วนี่”

     

    “ก็พี่ทำให้ผมโมโหทำไม”

     

    ม่านใสหลุบลงมองแผลบนหน้าผาก พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาแต่ถึงกับต้องร้องซิ้ดด้วยความเจ็บ ผมแซะมันไปหนึ่งทีก่อนจะวาดแขนโอบรอบเอวบางแล้วกอดเอาไว้แน่น มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ถ้ารู้งี้ว่าจะไปแล้วคนปากแข็งจะยอมพูด ผมเก็บข้าวของออกไปจากห้องตั้งแต่สองวันแรกแล้ว

     

    “สรุปว่าตกลงพี่ไม่ได้อกหักใช่ไหม จะได้อยู่ต่อ ขี้เกียจดราม่าและ”

     

    “คิดเอง”

     

    ผมบีบจมูกรั้นนั่นหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว เซฮุนสะบัดหน้าหนี ปั้นหน้าเป็นตูด ผมหัวเราะ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นสมุดปกแข็งที่กางหน้ากระดาษไว้ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมได้เลือดเมื่อกี้ ลายมือน่ารักๆที่ดูก็รู้ว่าเซฮุนเป็นคนเขียนนั้นมันล่อตาล่อใจให้หยิบขึ้นมาอ่านเสียเหลือเกิน

     

    “นี่หรอไดอารี่ที่หวงนักหนาอะ เอ้ะ ขอเสือกหน่อย มันมีอะไรอยู่ในนี้กันน้า”

     

    ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วอ่านออกเสียง แต่ยังไม่ทันจะอ่านได้ถึงหนึ่งบรรทัดก็โดนมือขาวๆเลื่อนมากระชาก แต่ผมไวกว่า ปิดหน้าหนังสือแล้วชูขึ้นเหนือหัว เรียกให้คนตัวเล็กกว่าต้องเอื้อมคว้าตาม เซฮุนขืนตัวจะลุกขึ้นยืนแต่ติดที่ว่าผมรั้งเอวบางเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนนอกจากนั่งแหมะอยู่บนตัก

     

    “เอาคืนมา!! บอกว่าห้ามยุ่งไงวะ!!

     

    “ในนี้ต้องเขียนถึงพี่แน่ๆ”

     

    “หลงตัวเอง!!

     

    ผมเอามันหนีไปซ่อนไว้ข้างหลัง ไม่วายเซฮุนก็ตามมาแย่งมันไปอีกจนต้องชูไว้เหนือหัวอย่างเดิม ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมแพ้เอาง่ายๆ โถมตัวเข้ามาใส่ผมเต็มๆจนหงายหลังลงไปนอนราบกับพื้น ทำให้ร่างขาวล้มลงมาใส่ผมเต็มๆ แขนขาวยกขึ้นค้ำไว้กับพื้นเพื่อไม่ให้หน้าตัวเองลงมากระแทกกับหน้าผมซะก่อน

     

    “หูยย โรแมนติก งานนี้กำไรพี่ชัดๆ”

     

    “เกลียดพี่จริงๆ ไม่น่าหลวมตัวเลย”

     

    “แต่พี่รักเธอ”

     

    เหมือนประโยคนั้นจะทำให้เซฮุนสะดุดเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอาการเขินอายแสดงออกมาให้เห็นอยู่ดี คงจะหวังโมเม้นท์โรแมนติกยากไปซักหน่อยสำหรับเด็กคนนี้ ดวงตากลมใสหลุบลงจ้องผมด้วยแววตานิ่งเรียบ ก่อนที่ผมจะต้องตกใจจนต้องช็อคซีนีม่าเมื่อจู่ๆเจ้าของริมฝีปากแดงฉ่ำคู่นั้นก็ก้มลงมาทาบทับกับริมฝีปากของผมเสียอย่างนั้น

     

    !!

     

    มันอาจจะไม่ใช่จูบเพราะความรักใคร่หรือคิดถึงกันมาแต่ปางใด แต่มันเป็นกลลวงของเด็กแสบที่หลอกให้ผมดีใจเล่นเท่านั้น ทันทีที่หนังสือปกหนาถูกกระชากออกไปจากมือ เจ้าตัวก็ผละริมฝีปากออก ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินข้ามตัวผมไปที่ระเบียง แล้วเขวี้ยงหนังสือเล่มนั้นลงจากคอนโดชั้นสี่สิบ หายวับไปกับตา

     

    “เฮ้ย!! ยังไม่ได้อ่านเลย ในนั้นต้องเขียนถึงพี่แน่ๆ”

     

    วิ่งตามไปดูทีระเบียง ก่อนจะเนียนวาดแขนโอบรอบเอวบางไว้แล้วชะโงกหน้าลงไปมองข้างล่างด้วยความเสียดาย แต่ไม่เป็นไร ได้จูบก็คุ้มแล้ว ทั้งจูบ ทั้งกอด ครบเซ็ต ตอนนี้ไม่มีอะไรแฮปปี้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว เดี๋ยวดึกๆค่อยลงไปงมหาเอาก็ได้ คงไม่หล่นหายไปไหนไกล

     

    “หรือพี่จะโดดลงไปเก็บก็ได้นะครับ”

     

    “โอเคครับ งั้นพี่โดดนะ ไหนๆก็ไม่รักแล้ว”

     

    ผมปีนขึ้นไปเหยียบตรงคานปูนที่ระเบียง หันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้คนที่เดินกลับเข้าห้องไปเมื่อกี้ โอเซฮุนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ คนปากแข็งก็คือคนปากแข็ง อันที่จริงมันก็พูดแล้วแหละ แต่ผมได้คืบจะเอาเข่า อยากได้ยินแบบเต็มๆชัดๆให้ชื่นใจ

     

    “ตามสบายครับ”

     

    “งั้นโดดนะ ไม่รักจริงๆใช่ไหม”

     

    “เออ”

     

    “โดดจริงละนะ ?”

     

    “กล้าก็เอาดิ”

     

    “บ้าย”

     

    ในจังหวะที่เจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจพอดี ผมแอบปีนไปที่ระเบียงห้องข้างๆแล้วยืนแอบอยู่ตรงนั้น โชคดีที่อิเจ้าของห้องไม่อยู่ แล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครเข้าใจผิดว่าเป็นชู้ชาวบ้าน ในห้องเงียบกริบ เงียบจนผมแอบใจเสียว่ามันจะไม่สนใจผมแล้วจริงๆ

     

    “พี่ชานยอล .. ไม่เล่น”

     

     

    “พี่ชานยอล ..

     

    เสียงเนือยๆกลับกลายเป็นเสียงที่ดูลังเลและร้อนรน เอาแล้ว ไอ้เด็กปากแข็งเดินกลับมาที่ระเบียงอีกครั้ง ผมแอบมอง ยิ่งเห็นมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ยิ่งดีใจ ไม่รู้ว่ากูเป็นโรคจิตรึเปล่า

     

    “ฟอด!!

     

    ในขณะที่ใบหน้าขาวชะโงกหน้าออกมาจากระเบียง ผมก็เลยฉวยโอกาสหอมแก้มนิ่มไปซะฟอดใหญ่ กะเอาให้เต็มปอด เซฮุนหันมาทำตาเขียวปั้ดใส่ด้วยความไม่พอใจ แต่ก็เห็นหน้ามันแอบแดงอยู่นิดๆ นี่ไม่ได้คิดไปเองจริงๆ สาบานด้วยเกียรติของลูกเสือหมู่เงาะ

     

    “ตกลงรักมั้ย ถ้าไม่รักพี่จะพังประตูอิห้องข้างๆนี่ให้กระจายเลย ดีมั้ย”

     

    ผมหันไปทำหน้าสลอนใส่มัน ยืนจังก้าอยู่ที่ระเบียงห้องข้างๆแล้วถือที่โกยผงไว้ให้มั่น กะว่าถ้ามันบอกว่าไม่รักผมจะเอาอิที่โกยผงนี่แหละฟาดประตูกระจกให้แม่งแตกละเอียดไปเลย ไงก็วินเห็นๆ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ต้องเอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยอาก้าต้องเอาด้วยเอ็มสิบหก ไม่ได้ด้วยมุกตลกต้องไถจนกว่าจะได้

     

    “เออ รักก็ได้ เลิกทำตัวปัญญาอ่อนแล้วปีนกลับมาก่อนที่ผัวอิห้องข้างๆจะเอาปืนมายิงพี่ทิ้งเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นชู้เถอะ”

     

    “ก็แค่เนี้ย ยากตรงไหน”

     

    ยักไหล่แล้ววางที่โกยผงไว้ที่เดิม ค่อยๆปีนกลับไปที่ระเบียงห้องตัวเองด้วยความระมัดระวังสุดชีวิตด้วยกลัวว่าเซฮุนจะเกิดหมั่นไส้ผมขึ้นมาแล้วถีบผมร่วงลงไปข้างล่างจริงๆ ทีนี้ล่ะมึง ได้ ไป ของแท้

     

    “สรุปว่ารักแล้วนะ ?”

     

    “เออครับ”

     

    “คบด้วยนะ?”

     

    “เออครับ”

     

    “จูบเลยนะ?”

     

    “เออคระ ..!!

     

    เห็นมันเออครับๆมาสองรอบก็เลยไม่รอให้แม่งพูดจบแล้ว ผมโถมตัวเข้าใส่มันเต็มๆ โน้มหน้าลงไปประกบจูบกับริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่นให้เต็มรัก ถึงมันจะทุบผมให้แขนหลุด ตอนนี้ผมก็ไม่สนอะไรแล้ว

     

    “อื้อ!!

     

     

     

    THE END



     

    ____________________________________________
     

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×