คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] hyungwonho x hyungky· ϟ ของฮยองวอน
HYUNGWONHO X HYUNGKY
#ของฮยองวอน
เสียงผู้คนพูดคุยเซ็งแซ่ดังแว่วมาจากในหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย งานปฐมนิเทศน้องใหม่ถูกจัดขึ้นในวันแรกของการเปิดเทอม วันนี้ไม่มีการเรียนการสอน พี่ๆสตาฟและน้องใหม่ทุกคนต่างมารวมทำกิจกรรมกันอย่างคึกครื้น
“น้องๆมาใหม่เข้ามานั่งข้างหน้าเลยครับ ที่เหลือบาน จอดเรือหางยาวได้สองลำละเนี่ย”
แชฮยองวอน รุ่นพี่ปีสองผู้รับหน้าที่พิธีกรพ่วงด้วยผู้นำสันทนาการกรอกเสียงแหบๆของตัวเองใส่โทรโข่ง ฝ่ามือผอมโบกหยอยๆเรียกน้องๆให้เข้ามานั่งข้างหน้าให้เต็ม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใครอยากนั่งตรงนี้ซักเท่าไหร่ น้องๆเฟรชชี่ค่อยๆเดินหลังค่อมหัวผงกกันเข้ามานั่งกันอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มผู้ร่าเริงหมดกำลังใจลงเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว มินมุง มานี่ทำไมไม่บอกก่อน”
ละริมฝีปากออกจากโทรโข่งชั่วคราว พอหันไปเห็นคนตัวเล็กเดินหอบข้าวของพะรุงพะรังเข้ามาก็รีบวิ่งไปช่วยอย่างกระตือรือร้น แชฮยองวอนรับกระสอบใส่ขนมจากอีกฝ่ายมาแบกไว้ พามินมุงเพื่อนผู้น่ารักของเขาไปนั่งที่โต๊ะสตาฟด้านหลัง
“เราไม่อยากให้มันวุ่นวายอะ ถ้าเราบอกฮยองวอนก็จะมาช่วยเราแบบนี้ไง”
“มินมุงตัวแค่นี้ จะให้แบกของเยอะขนาดนั้นได้ไง”
“เราก็แบกมาตั้งแต่ที่ใต้ตึกแล้วอะ จะไม่ไหวได้ยังไง เรามีกล้ามเยอะกว่าฮยองวอนอีก”
คนน่ารักถกแขนเสื้อโชว์ ตบกล้ามเล็กๆบนต้นแขนขาวเนียนให้ดูก่อนจะยิ้มเยาะเหมือนเด็กกำลังอวดของเล่น ร่างโปร่งหลุดยิ้มตาม ส่ายหัวเบาๆให้กับความน่ารักของเพื่อนสนิท
“เดี๋ยวอยู่นี่ก่อน เราไปคุมน้องแปปนึง”
“ครับ!”
ทำท่าต๊ะเบ๊ะกลับด้านอย่างน่ารัก พักนี้มินฮยอกชักจะใช้ความน่ารักสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว ฮยองวอนขมวดคิ้วนิดๆ ดึงหน้าดุพร้อมกับชี้นิ้วคาดโทษไว้ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง นั่นไง ขึ้นมาไม่ทันไร มินฮยอกก็วิ่งไปช่วยกลุ่มสตาฟขนของที่ด้านหลังหอประชุมซะแล้ว เด็กนี่ดื้อเงียบจริงๆ
ไม่นานน้องๆเฟรชชี่ก็มากันครบ ฮยองวอนไม่รอช้า เริ่มกิจกรรมสันทนาการทันที ความสนุกสนานเริ่มต้นด้วยการตีกลองร้องเพลง เล่นเกมละลายพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆ น้องๆทุกคนดูให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก ดูเหมือนกิจกรรมครั้งนี้เขาจะทำมันได้ดีเลยล่ะ
“ไอ้เด็กหน้ากบที่ถือโทรโข่งเย้วๆอยู่ตรงนั้นนั่นใครวะ”
ชินโฮซอก อดีตพี่ว้ากปีสามที่กำลังนั่งอู้อยู่ที่โต๊ะพักสตาฟด้านหลังหันไปถามเพื่อนอีกคนก่อนจะพยักพเยิดไปทางเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนร้องเพลงอยู่กลางแถวน้องๆ รู้สึกคุ้นๆแต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
“ไอน้องฮยองวอนไง ที่เก่งๆที่ตอนนี้ทำโปรเจ็กต์ไอนั่นของชุมนุมเชียร์อะ ที่มันแหกหน้ามึงเมื่อตอนรับน้องปีที่แล้ว นี่อายจนถึงกับจำไม่ได้เลยหรอวะ”
“โปรเจ็กต์ไอนั่น .. ไอแผ่นแดงๆที่มันแปะอยู่ทุกเสาบนตึกคณะกับตรงโรงอาหารอะนะ ที่แม่งแปะทับประชาสัมพันธ์ค่ายกูอะนะ”
เหมือนจะพอระลึกชาติได้ลางๆ ไอ้แผ่นโปรเจ็กต์แดงๆที่แปะไปทั่วทั้งมหาลัยนั่นมันช่างติดตาเขาเสียเหลือเกิน ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว โฮซอกขมวดคิ้วหน่อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกระชากแผ่นกระดาษสีแดงที่แปะบนเสาข้างหลังหัวเพื่อนตัวเองออกมาดู ใช่จริงๆด้วย แม่งแปะทุกที่แล้วจริงๆ เหลือก็แต่บนหน้าเขานี่แหละ
“นั่นแหละ มันหยามมึงหลายรอบละ ที่มันจะปฏิวัติระบบโซตัสของเราอะ ที่มันทำให้เด็กคนอื่นกล้าขัดคำสั่งมึงไง เหลือแค่เอาตีนมาเหยียบหน้ามึงเท่านั้นแหละที่มันยังไม่ได้ทำ กูรอดูอยู่เนี่ย”
ผัวะ!!
“เอ้าไอเชี่ยนี่ เพื่อนต้องเข้าข้างเพื่อนสิวะ”
“กูไม่เข้าข้างมึงตั้งแต่มึงตบหัวกูแล้ว มึงแพ้ตั้งแต่หน้ามึงขี้เหร่กว่ามันแล้ว ขาก็สั้น ต่อไปนี้คงจะไม่มีสาวๆคนไหนมาตามกรี๊ดมึงอีกต่อไป”
ชยอนูลูบหัวตัวเองป้อยๆ ก่อนจะสาปแช่งเพื่อนสนิทตัวเองไปหนึ่งที หลบกระดาษประชาสัมพันธ์แผ่นเดิมที่บัดนี้ถูกอีกฝ่ายขยำเป็นก้อนๆแล้วปาใส่หน้าเขาได้อย่างฉิวเฉียด
“เดี๋ยวกูจะฟ้องพ่อมึงให้ตัดมึงออกจากกองมรดก”
“มีให้ตัดที่ไหน ทุกวันนี้กูยังขี่จักรยานมาเรียนอยู่เลย”
“…”
“เออไอ้วอนโฮ ไอ้โมเดลบ้านที่มึงฝากกูไว้นี่จะมาเอาวันไหนวะ เกะกะชิบหาย พ่อกูจะเอาไปชั่งกิโลขายละเนี่ย”
“…”
“ไอ้วอนโฮ ..”
“กูหมั่นไส้มันว่ะ”
เหมือนพูดกันคนละเรื่องเดียวกันยังไงอย่างงั้น นอกจากจะไม่ขำมุกเมื่อกี้ของเขาแล้วยังไม่สนใจเขาอีกด้วย ไอ้เพื่อนเวรคนนี้มักจะปล่อยเขานกซ้ำแล้วซ้ำเล่า โฮซอกกำลังเหม่อมองออกไปที่กลุ่มน้องๆ ใบหน้าเคร่งเครียดนั้นกำลังจับจ้องรุ่นน้องคนเดิมไม่วางตาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฝ่ามือใหญ่ของชยอนูเอื้อมไปสะกิดไหล่เพื่อนเล็กน้อย แต่แล้วก็โดนปัดทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใย ก่อนเจ้าตัวจะลุกพรวดออกไปในทันที
“อ่อม .. เหมือนมีรังสีอำมหิตอบอวลเล็กๆในชั้นบรรยากาศ หวังว่ามึงจะไม่เข้าไปพังงานน้องมันเนาะ ..”
!!!!!
จู่ๆเสียงไมค์หอนก็ดังมาจากข้างบนเวที ทุกคนพากันยกมืออุดหูด้วยความแสบแก้วหู ฉับพลันเสียงตะโกนดังแทรกขึ้นมาระลอกที่สอง ชินโฮซอกแหกปากดังลั่นจนเอ็นขึ้นคอ
"หมอบลงให้หมด!!! กูบอกให้หมอบ!!!"
สตาฟทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก รวมทั้งน้องๆปีหนึ่งด้วย เด็กๆมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะค่อยๆหมอบลงไปอย่างงงๆเพราะเสียงตะโกนนั้นยังคงทวีความดังและรุนแรงขึ้นอีก ฮยองวอนมองกลับไปที่ต้นเสียงบนเวที คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย เท่าที่จำได้ ตอนบรีฟงานพวกเขาไม่ได้ตกลงกันเรื่องสคริปนี้นะ
"ไอเหี้ย มานี่!!!"
หันไปตรงท้ายสุดของหอประชุม เห็นเพื่อนสตาฟคนอื่นๆกำลังกวักมือเรียกเขาอยู่ ไม่มีเสียงอื่นใดในฮอลนอกจากเสียงของรุ่นพี่คนนั้น ฮยองวอนอ่านปากเพื่อนก่อนจะพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไปหาอย่างงงๆ
"ใครวะ"
เอ่ยถามเพื่อนๆสตาฟที่กำลังจัดยุ่งง่วนกับการชุดอาหารว่างให้น้องๆอยู่ผลัดกับหันไปมองคนบนเวทีเป็นพักๆ งงชิบหาย เล่นเกมกันอยู่ดีๆก็มีใครที่ไหนไม่รู้ขึ้นมาเคอร์ฟิวเฉย
"เอ้า กูนึกว่ามึงรู้จัก พี่วอนโฮ พี่ว้ากที่รับน้องโหดๆเมื่อปีที่แล้วไง มึงไม่ได้เอาเขามาหรอวะ"
"เอ้า กูก็จะถามมึงเนี่ย"
ฮยองวอนเกาหัวแกรกๆด้วยความงุนงง สรุปคือไม่มีใครรู้ว่าพี่คนนั้นขึ้นมาได้ยังไง ไม่มีใครเตี๊ยมเรื่องนี้มาก่อน เด็กหนุ่มใช้ลิ้นดุนกระพุงแก้มเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ก่อนจะรีบเดินขึ้นไปบนเวทีเพื่อขอเจรจา
"พี่ครับๆ เอ่อ พี่ครับ ปีนี้เราไม่มีว้ากน้องกันแล้วนะครับ"
"กูจะว้าก"
พอเดินเข้ามาใกล้ๆถึงนึกได้ว่าเคยเป็นรุ่นพี่หัวหน้าสตาฟที่รับน้องเขาเมื่อปีที่แล้ว เด็กหนุ่มรีบวิ่งขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับทำใจดีสู้เสือพูดกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ แต่ดูเหมือนไอเสือห่านี้จะไม่ฟังที่เขาพูดเท่าไหร่ รุ่นพี่วอนโฮหันมาตอบเขาสั้นๆก่อนจะหันกลับไปตะโกนใส่น้องๆอีก ฮยองวอนกุมขมับ เจอคนพูดไม่รู้เรื่องเข้าให้เสียแล้ว
…
“โอ่ยย..”
เสียงบ่นเซ็งแซ่ดังระงมทันทีที่กิจกรรมรับน้องวันนี้จบลง แชฮยองวอนยืนถือโทรโข่งอยู่หน้าประตูทางออก ค่อยๆโฟลวน้องๆให้เดินออกจากฮอล แต่ละคนเดินออกมาด้วยสภาพไร้น้ำหนัก ขาสั่นและไร้เรี่ยวแรงเพราะถูกสั่งให้ลุกนั่ง สก็อตจั้มพ์ แทงปลาไหลหรืออะไรก็ตามแต่ไอ้พี่ว้ากวอนโฮจะปรารถนา ประสาทหูชาจนไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรได้อีก โดยเฉพาะคำขอโทษจากปากของเขา เสียงทุ้มห้าวที่เริ่มจะแหบแห้งเอ่ยขอโทษขอโพยทุกคนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก้มหัวลงหลายครั้งด้วยความรู้สึกผิดแม้ว่าตนเองจะเป็นรุ่นพี่ก็ตาม
“พี่ๆขอโทษนะครับ ขอโทษด้วยนะคร้าบ”
ไม่รู้ว่าสาวๆกลุ่มสุดท้ายที่กำลังเข่าอ่อนล้มพับไปกับพื้นนี่เป็นเพราะหมดแรงจะเดินหรือเพราะท่าทางน่ารักของแชฮยองวอนกับอีมินฮยอกกันแน่ รอยยิ้มกว้างจากริมฝีปากหยักค่อยๆหุบลงช้าๆหลังจากที่น้องๆกลุ่มสุดท้ายเดินพ้นประตูไปแล้ว ทั้งฮอลเงียบสงัดอีกครั้ง ก่อนเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากเด็กหนุ่มตัวสูงจะดังแทรกขึ้นมา ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนอนแผ่บนพื้นด้วยความเหนื่อยล้าในทันที
“เฮ้อ”
“เหนื่อยหน่อยนะวันนี้”
ร่างเล็กค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเพื่อนตัวสูงด้วยความเหนื่อยล้า หยุดหอบเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแห้งๆ วันนี้เขาเองก็ช่วยอะไรฮยองวอนไม่ได้มากเท่าไหร่ แทนที่จะทำให้งานนี้ราบรื่นขึ้น กลับเหมือนกลายเป็นตัวเกะกะซะนี่
“มินมุงนั่นแหละ เหงื่อซกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยนะ”
เอนตัวลงนอนไปยังไม่ทันถึงนาที แชฮยองวอนก็รีบหยัดตัวลุกขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือกว้างเลื่อนขึ้นไปขยี้ผมที่เปียกชื้นของเพื่อนตัวเล็กเบาๆอย่างเอ็นดู ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ส่งมือให้อีกคนจับเพื่อยันตัวลุกขึ้นเช่นกัน
“ก็อากาศมันร้อนนี่นา”
“รู้แล้วล่ะน่า ร้อนเหมือนกัน .. เอางี้ เดี๋ยวเราเลี้ยงไอติมมินมุงเป็นการขอบคุณสำหรับการทำงานหนักในวันนี้ดีกว่า หื้อ”
เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆเป็นเชิงถาม อีมินฮยอกเอง พอพูดถึงของกินก็ตาเป็นประกายในทันที ริมฝีปากสีอ่อนฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้าขึ้นลงรัวๆอย่างกระตือรือร้น วันนี้เขาจะได้กินไอศกรีมฟรีล่ะ แค่คิดก็อร่อยแล้ว
…
“เอาเป็น สตรอเบอรี่ซันเดย์ถ้วยนึง กับมิ้นท์ช็อกโกแลตชิพซันเดย์อีกถ้วยนะครับ เพิ่มวิปทั้งสองถ้วยเลยนะครับ”
มาถึงก็สั่งแบบไม่ชายตาแลเมนูเลยด้วยซ้ำ พนักงานรับออเดอร์ไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ฮยองวอนกับมินฮยอกที่นั่งเปิดเมนูค้างพลางกระพริบตาปริบๆด้วยความงุนงง เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็ไม่ทันความเร็วของอีกฝ่าย ฮยองวอนรู้ได้ยังไงกันนะว่าเขาชอบกินสตรอเบอรี่
“หืม?”
“มิ้นท์ช็อกโกแลตชิพ .. นั่นของฮยองวอนหรอ?”
“ใช่ดิ”
“งั้นสตรอเบอรี่ก็สั่งให้เราหรอ?”
“ครับ”
ร่างโปร่งพยักหน้าตอบสั้นๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าของทั้งคู่ที่วางเกะกะอยู่บนโต๊ะมาไว้บนเบาะที่ว่างข้างๆตัวเอง ยิ้มรับให้กับพนักงานที่เอาน้ำมาเสิร์ฟ ก่อนจะหันกลับมามองคู่สนทนา
“ทำไมสั่งอันนี้ให้เราอะ รู้ได้ไงว่าเราชอบกินสตรอเบอรี่”
‘ใส่ใจไง’ นี่คือคำที่ฮยองวอนอยากจะตอบมากที่สุด แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ยังไม่ได้อยู่ในระยะห่างที่เหมาะสมสักเท่าไหร่ มันก็น่าสงสัยอยู่ว่าทำไมเขารู้ ฮยองวอนเองก็แปลกใจในเซนส์ตัวเองเหมือนกัน แต่มันไม่เคยพลาด การคาดเดาของเขามักถูกเสมอ
“เดาอะ ถูกปะละ”
“ถูกเผง ลาออกแล้วไปเป็นหมอดูได้เลยนะเนี่ย ฮ่าๆ!”
หลังจากที่พากันขำให้กับมุกฝืดๆของอีกฝ่าย ทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบ ดูจากคำที่ใช้เรียกตัวเองและอีกฝ่ายก็รู้แล้ว พวกเขาไม่สนิทกันมากพอที่จะมีอะไรให้คุยกันมากขนาดนั้น ฮยองวอนก้มลงมองมือของมินฮยอกที่กำลังเอาแต่จิ้มเล่นเกมในมือถืออย่างเงียบๆ เด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย เขาควรจะชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอะไรดีนะ
“เงียบเนอะ ..”
“แฮะๆ นั่นดิ .. คุยเรื่องอะไรดี”
มินฮยอกเองก็คงรู้สึกถึงความอึดอัดเล็กๆที่อบอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศ ใบหน้าน่ารักส่งยิ้มแห้งๆกลับมาให้ ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงกระเป๋า ไม่รู้ว่าการเล่นโทรศัพท์อย่างไร้มารยาทของเขาจะทำให้ฮยองวอนรู้สึกอึดอัดรึเปล่า
“เป็นเพื่อนกันมาตั้งปีแล้ว เราไม่ค่อยรู้จักอะไรกันเลย .. บางทีเราควรจะเริ่มจากการได้รู้อะไรเล็กๆน้อยๆของอีกฝ่ายรึเปล่า”
“เช่น..”
“เช่น ฮยองวอนชอบสีอะไร”
“นี่ฮังเกอร์เกมปะเนี่ย ..”
เอ่ยถามอย่างติดตลก อยู่ๆก็นึกถึงฉากที่แคทนิสกับพีต้าคุยกันในรถไฟ เขาควรจะต้องตอบว่าเขาชอบสีเขียวรึเปล่า มินฮยอกจะได้ตอบกลับมาว่าชอบสีส้มที่ไม่ใช่สีส้มแสด แต่เป็นที่เป็นสีส้มตอนพระอาทิตย์ตก เด็กคนนี้ก็มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะเนี่ย
“เหอะน่า”
“ไม่รู้ดิ สีฟ้ามั้ง จริงๆก็ชอบทุกสีเลย ถ้ามันมองแล้วสบายตา แล้วมินมุงล่ะ”
“เราชอบสีขาวนวลๆ กับสีเหลืองอะ เหมือนเค้กฟูๆนุ่มๆที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ มองละหิว”
ถึงกับต้องหลุดขำออกมา มันไม่ใช่การขำที่แสดงออกมาตามมารยาท แต่มันคือรอยยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะให้กับความคิดที่น่าเอ็นดูของอีกฝ่าย มินฮยอกน่ารักจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักไปหมด
“ขำอะไรอะ ..”
“เปล่า ไอติมมมาแล้ว รีบกินเร็วๆ เดี๋ยวละลายไม่รู้ด้วยนะ”
โชคดีจริงๆที่พนักงานเอาไอศกรีมมาเสิร์ฟคั่นจังหวะเขาพอดี ไม่งั้นคงได้ฤกษ์หลุดปากพูดออกไปว่ามินฮยอกน่ารักแน่ๆ เด็กหนุ่มค่อยๆละเลียดกินอย่างช้าๆ ก้มหน้าใช้ช้อนคนไอศกรีมในถ้วยราวกับว่าก้นถ้วยนั้นมีอะไรน่าสนใจนักหนา เพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มแห่งความสุข ที่เขาไม่สามารถกลั้นมันเอาไว้ได้เลย
…
ทุ่มสิบนาที หลังจากที่เขาไปส่งมินฮยอกที่หอพักแล้ว ฮยองวอนเดินกลับมาที่บ้านด้วยรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า นี่นับเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใกล้คนที่ตัวเองชอบมากขึ้น ฝ่ามือขาวกำสายสะพายเป้ไว้แน่น เดินเตะเท้าไปตามพื้นถนนคอนกรีต ส่งยิ้มให้กับรองเท้าผ้าใบเบอร์ 42 ของตัวเองเหมือนคนบ้า วันนี้ถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มเหลือเกิน
“เวรเอ้ย”
เดินเลี้ยวโค้งมาหน่อยก็เหมือนได้ยินเสียงบรรดาผองเพื่อนทั้งสวนสัตว์หลุดออกมาจากปากใครซักคนแถวนี้ ฮยองวอนหรี่ตามองในความมืด ตั้งแต่ไฟหัวมุมถนนตรงนี้เสียเมื่ออาทิตย์ก่อนก็ไม่มีใครมาซ่อมมันสักที เด็กหนุ่มเดินไปที่ประตูหน้าบ้านของตัวเอง ก่อนจะพบว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนเก้ๆกังๆอยู่ที่รั้ว
“ลืมกุญแจได้ไงวะแม่ง”
กึงงงง!!!
ไม่รู้ไปโมโหอะไรมาจากไหน อยู่ๆชายแปลกหน้าคนนั้นก็เหวี่ยงฝ่ามือเข้าที่รั้วเหล็กตรงหน้าอย่างแรงจนมันดังสนั่นไปทั้งบ้าน เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย อดสะดุ้งด้วยความตกใจไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆเดินอ้อมไปด้านข้างเพื่อดูหน้าคนที่กำลังพยายามจะพังบ้านเขาอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ ขอโทษนะครับ..”
เอ่ยทักทายอย่างมีมารยาทก่อนจะค่อยๆเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า แต่ด้วยความมืดจึงทำให้เขามองไม่เห็นอะไรไปมากกว่านั้น ผู้ชายคนนี้สูงราวร้อยเจ็ดสิบห้า ใส่ชุดนักศึกษาเหมือนกันกับเขา กำลังกดโทรศัพท์หาใครสักคนอย่างหัวเสีย เสียงหายใจฟึดฟัดนั่นกำลังทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย ถ้าเขากระโตกกระตากไม่ทันระวังล่ะก็ บางทีอาจจะโดนหมอนี่เสยปากแตก
“แปป .. ไอห่า เสือกไม่รับโทรศัพท์อีก เป็นเจ้าบ้านประสาอะไร”
จนถึงตอนนี้หางคิ้วของแชฮยองวอนก็กระตุกหน่อยๆแล้ว หลังจากได้ยินเสียงโทรศัพท์ในบ้านดังอยู่สักพักแล้วก็เงียบไปเพราะไม่มีคนรับสาย รู้สึกเหมือนไอ้หมอนี่กำลังด่าแม่ของเขากลายๆ ใช่แล้วล่ะ บ้านของเขาด้วยความที่ใกล้มหาวิทยาลัย แม่ของเขาก็เลยเปิดห้องให้พวกนักศึกษามาเช่าอยู่ จะให้เรียกว่าบ้านก็คงไม่ถูก แต่จะเรียกว่าหอพักก็คงจะไม่ใช่เหมือนกัน เอาเป็นว่ามันเกี่ยวกับอะไรเทือกๆนี้ก็แล้วกัน
“เอ่อ .. พักที่นี่หรอครับ?”
ไม่รู้ว่าเป็นพี่ หรือเป็นน้อง หรืออายุเท่ากันอะไรยังไง ฮยองวอนเลยเลี่ยงที่จะใช้คำเรียกอีกฝ่าย ก่อนถือวิสาสะสาดแฟลชใส่หน้าไปเต็มๆจะได้รู้ว่าลูกบ้านของตนเองหน้าตาเป็นยังไง แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วจนแทบจะผูกรวมกันเป็นโบว์ หน้าตึงไปพักใหญ่
“อ้าวมึง!”
ไอ้หมอนี่คือรุ่นพี่วอนโฮ พี่ว้ากปีสามที่เพิ่งพังงานปฐมนิเทศวันนี้ของเขาไปสดๆ
.. แจ็คพ็อตไหมล่ะแหม่
“อ้าวรุ่นพี่ สวัสดียามเย็นครับ พักที่นี่หรอครับ?”
แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงความก้าวร้าวกับคนที่มีอายุมากกว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ฮยองวอนถนัดสักเท่าไหร่ เด็กหนุ่มเพียงเอ่ยทักทายสั้นๆ ก่อนโค้งคำนับให้เล็กน้อย
“มึงคิดว่าไงอะ กูมาเคาะเฉยๆมั้ง”
“ไม่รู้สิครับ”
ว่าแล้วก็เดินเบี่ยงไปอีกทาง ยักไหล่น้อยๆก่อนจะหยิบกุญแจในกระเป๋าสะพายมาไขแล้วเดินเข้าไปข้างในแล้วปิดประตูรั้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่ชินโฮซอกกำลังจะก้าวเข้ามาพอดี เสียงประตูเหล็กปิดลงตรงหน้าดังกึก โฮซอกขมวดคิ้ว รู้สึกราวกับกำลังโดนไอ้เด็กนี่ตบหน้าเขาอย่างจังด้วยถาดคุกกี้
“มีกุญแจ ก็เปิดให้กูเข้าไปด้วยสิวะ”
รู้สึกเสียหน้าชิบหายที่ต้องพูดออกไปแบบนั้น เหมือนกับว่าเขากำลังขอร้องไอ้เด็กนี่อยู่ยังไงอย่างงั้น แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ ถ้าทำได้ ชินโฮซอกอยากจะปีนเข้าไปประเคนหมัดใส่ใบหน้าหล่อๆของไอ้เด็กเวรตรงหน้าเสียเหลือเกิน แต่ถ้าเขาปีนเข้าไปได้ เขาก็คงไม่มายืนให้ยุงรุมแดกแบบนี้แต่แรกหรอก
“พี่ไม่มีกุญแจหรอครับ?”
“ก็ถ้ามีกูจะยืนอยู่ตรงนี้หรือไง”
“ก็นั่นน่ะสิ..”
โฮซอกกำหมัดแน่น ไม่ผิดแน่ๆ ไอ้เด็กนี่กำลังยั่วโมโหเขาอยู่ ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวไร้ซึ่งความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่านั่นกำลังทำให้เขาหงุดหงิดและอีกไม่นานมันคงจะระเบิดออกมา
“ถ้าไม่มีกุญแจ พี่ก็คงต้องปีนเข้ามาน่ะครับ ที่นี่ไม่มีนโยบายดูแลผู้พักอาศัยที่ลืมกุญแจหรอก”
ไอ้ที่จริงมันมีอยู่แล้ว กับอิแค่บริการพื้นฐานพวกนี้น่ะ แต่ถ้าชินโฮซอกสังเกตสักนิด จะพบว่ากุญแจสำรองจะแขวนอยู่ที่เหนือตู้รองเท้าภายในห้องพักแต่ละห้อง และให้เดาได้เลยว่า หมอนี่คงไม่ได้อ่านกฎระเบียบการใช้ห้องพักของที่นี่แน่ๆ
“อ่า ..ผมหิวข้าวเย็นแล้วล่ะ สู้ๆนะครับรุ่นพี่ ขอให้เข้ามาได้ไวๆ”
ว่าแล้วก็ลูบท้องตัวเองแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าไว้สักครู่ ก่อนจะหันกลับมาบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เอ้อ .. แล้วไอ้ห่าที่มันไม่รับโทรศัพท์รุ่นพี่น่ะ .. แม่ผมเองแหละ”
นั่นยิ่งทำให้ชินโฮซอกหงุดหงิดจนแทบจะพังรั้วให้ได้เลยล่ะ
TO BE CONTINUED
เจอกันที่แท็ก #ของฮยองวอน คับพ้ม
แล้วจอยกัน ซียู เยสเทอร์เดย์ เจอปืนฮะ
ความคิดเห็น