คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : before the dark (ปฐมบท จากฟิคสั้นเรื่อง #greyคชฮ ค่ะ)
Grey
พี่ .. ผมรักเขา
The fragile creatures made up of broken hearts and broken promises
“ปั้ก!!”
เสียงโหวกเหวกดังแว่วออกมาจากประตูไม้สีขาวในห้องชั้นบนสุดของคอนโดชื่อดังในย่านใจกลางเมือง ข้าวของภายในห้องหล่นกระจายจนเละเทะไปหมด เศษกระจกแตกละเอียดจนไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยเท้าเปล่า ผู้ชายสองคนกำลังยืนประจันหน้ากันโดยมีโซฟากำมะหยี่สีดำคั่นกลางระหว่างพวกเขา ดวงตาคู่คมสองคู่มองจ้องกันอย่างไม่ลดละ ด้วยขนาดความสูงที่ไล่เลี่ยกันยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศดูน่ากดดันมากขึ้นไปอีก
“แล้วมึงไม่รักกูหรือไง!!!”
เสียงทุ้มห้าวตะคอกดังจนร่างขาวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ฝ่ามือกร้านกำแน่นจนเส้นเลือดปูนโปนดูน่ากลัว ยังคงตะโกนแม้เริ่มจะไม่มีเสียงเพราะรู้สึกจุกที่คอจนพูดไม่ออกแล้วก็ตาม ใบหน้าคมคายจ้องมองไปที่อีกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงตาแดงก่ำภายใต้ม่านใสที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตากำลังข่มตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา ขบกรามแน่นจนปวดขมับไปหมด เขาไม่เข้าใจเลย
“ตอบกูสิวะ!!!”
คว้าอะไรไว้ในมือได้ก็เขวี้ยงใส่ร่างโปร่งตรงหน้าอย่างแรงด้วยโทสะ เล่นเอาใบหน้าขาวๆนั่นขึ้นรอยถลอกแม้จะหันหน้าหลบแล้วก็ตาม แต่คนตัวเล็กกว่าก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม รอยฟกช้ำหลายรอยบนตัวของเด็กหนุ่มนั้นเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าปาร์คชานยอลรุนแรงกับเขาแค่ไหน และเซฮุนก็ยอมทุกครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะรุนแรงเท่ากับครั้งนี้
“มึงจะนิ่งทำไม!! พูดสิวะ!!!”
กระชากคอเสื้อไหมพรมสีขาวที่อีกคนสวมใส่เข้ามาใกล้อย่างแรงจนร่างโปร่งล้มลงใส่โซฟากำมะหยี่ตรงหน้า และซ้ำทันทีด้วยการยกหัวเข่ากระแทกอัดเข้าที่สีข้างของอีกคนแรงๆด้วยความโมโห เตะเข้าซ้ำๆจนเซฮุนนอนงอตัวด้วยความจุก ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น รู้ว่าน้องคงเจ็บ .. แต่ความเจ็บปวดที่เซฮุนได้รับในครั้งนี้คงยังไม่เท่าเศษเสี้ยวความรู้สึกที่เขาได้รับ มันเจ็บ มันจุก มันปวด ไม่มีแม้แต่น้ำตาซักหยดให้ไหล มันชาเหมือนโดนตบหน้าแรงๆด้วยใบมีดคมๆ บาดลึก .. ทิ้งรอยแผลใหญ่ไว้ให้เขา
“มึงเห็นกูโง่หรอเซฮุน!! มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร!!”
กระชากผมสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมาอย่างแรงจนคนตัวขาวต้องลุกตามด้วยความเจ็บ หยดน้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสายแม้จะไร้แรงสะอื้น ริมฝีปากกรังเลือดเม้มแน่นด้วยกลัวว่าจะเผลอพูดอะไรที่เป็นการทำร้ายจิตใจอีกคนออกไป ไม่มีคำพูดใดๆเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากนั้น ม่านกลมจ้องกลับเข้าไปในดวงตากลม สื่อความรู้สึกหลากหลายตีกันปนเปไปหมด
“มึงรักกูใช่ไหม พูดสิวะ .. แค่พูดออกมา ว่ามึงรักกู”
ฝ่ามือชื้นเหงื่อปล่อยกลุ่มผมนุ่มให้เป็นอิสระ ก่อนจะค่อยๆเลื่อนลงมา กอบกุมใบหน้าขาวที่มีรอยฟกช้ำที่เขาเป็นคนทำไว้ เกลี่ยหลังมือไล้มันอย่างแผ่วเบาด้วยความอ่อนโยน เสียงทุ้มอ่อนลงจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ ฟังดูน่าสงสารจับใจ
“ผมขอโทษ .. พี่ .. “
…
5 ปีก่อน
ท่ามกลางฮอล์ขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นที่ประมูลสิ่งผิดกฎหมาย ในตู้กระจกบานใส่ถูกคลุมครอบไว้ด้วยม่านสีดำทึบ ร่างเล็กๆของเด็กชายวัยสิบสองขวบนอนขดงอหายใจหอบถี่อยู่บนเตียงกว้าง เหงื่อโทรมกาย ไร้อาภรณ์ใดปกปิดเรือนร่าง ใบหน้าขาวแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด ร่างบอบบางนอนตะแคง ยกเรียวขาขึ้นบังส่วนสำคัญเอาไว้
ฉับพลันม่านทึบถูกเปิดออก ราวกับเปิดตัวสินค้าประจำสัปดาห์ แสงไฟจากทุกทิศสาดลงมาจนรู้สึกแสบตาแม้จะถูกปิดตาไว้อยู่ เสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วทั้งฮอล์ บรรดาผู้ดีมีเงินตัณหากลับต่างปรบมือชอบใจ บ้างลุกขึ้นยืนเพื่อจะได้ยลโฉมสินค้าให้ชัดๆ ..เด็กนั่นขาวเนียน และบริสุทธิ์
ถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เสนอราคาเป็นเงินดอลล่าร์ขึ้นที่จอใหญ่ทั้งๆที่ยังไม่เริ่มการเปิดประมูลเสียด้วยซ้ำ นับเป็นครั้งแรกในประวัติกาลที่มีการแย่งกันซื้อทั้งๆที่ยังไม่ได้แนะนำสินค้า เด็กชายเริ่มหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น ยิ่งได้ยินเสียงโห่ร้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใจเสีย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าคนพวกนี้กำลังจะทำอะไรกับร่างกายของเขา
ปาร์คชานยอลทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ชั้นบนสุดใกล้กับทางออก เขามาสาย และถึงจะมาหรือไม่มา ยังไงเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว ขาเรียวยาวยกขึ้นนั่งไขว่ห้าง จุดบุหรี่อัดควันเข้าปอดเพื่อรอเวลา สายตาคมเลื่อนต่ำ มองลงไปด้านล่าง ชายวัยกลางคนหัวค่อนข้างล้านที่นั่งอยู่เยื้องขวามือคือเหยื่อของเขาในวันนี้
นิ้วเรียวเคาะบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ .. ช่วงนี้ชักจะมีคู่แข่งทางการค้าเยอะเกินไปแล้ว
เขาจะไม่เดือดร้อนอะไรถ้าหากมันผู้นั้นไม่ได้ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาและเครือข่ายของเขา แน่นอนว่าการค้ายาและค้ามนุษย์ นอกจากจะเสี่ยงผิดกฎหมายแล้วยังเสี่ยงมีศัตรูรอบทิศ ใช่ว่าทำอาชีพเดียวกันแล้วจะเป็นพวกเดียวกัน ไม่ช้า ถ้าเขาไม่ชิงเก็บ .. เขาเองก็ต้องโดนเก็บ
เสียงโห่ร้องยังดังไม่หยุด กระทั่งเริ่มการแนะนำสินค้า เหล่าบรรดาเฒ่าหัวงูข้างหน้าถึงได้ฤกษ์นั่งลงสักที ม่านคมเลื่อนจากเป้าหมายกลับไปมองที่ตู้กระจกด้านล่าง ผู้สาธิตสินค้ากำลังไขกุญแจเข้าไปด้านใน คิ้วเรียวขมวดมุ่น ไม่บ่อยนักที่ปาร์คชานยอลจะสนใจสินค้าอย่างเช่นวันนี้
อัดควันบุหรี่เข้าปอดก่อนกระตุกยิ้มอย่างบันเทิงใจ รู้สึกสนุกเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของเด็กหนุ่มในตู้กระจกนั้น ร่างเล็กๆถอยกรูดหนีเสียงโซ่ตรวนที่ลากไปตามพื้นจนหงายหลังหล่นลงไปจากเตียงหลังใหญ่ ในตอนนั้นเองที่ทั้งฮอล์ได้เห็นอวัยวะทุกส่วนของสินค้า มันขาวมากๆ ขาวและเนียนจนน่าทำลาย สร้างรอยบาดแผลทิ้งไว้ให้เป็นของที่ระลึก
cut
‘ปัง!!!!!!!!’
ไม่มีโอกาสนั้น จู่ๆกระจกก็ร้าวจนแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างของผู้สาธิตหงายหลังล้มลงไปจากเตียง กระสุนนัดเดียวยิงโป้งทะลุเข้ากลางหน้าผาก เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งเตียง เด็กหนุ่มผวาเฮือก ขดขาเข้ามาหากันก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว ทั้งฮอล์แตกตื่น วุ่นวายอลเวงไปหมด หลายคนที่ถูกหมายหัวรีบกุลีกุจอออกจากฮอล์ไปเพราะกลัวว่าศัตรูจะมาเอาชีวิต และเป้าหมายของเขาก็ลุกออกไปเช่นกัน มีเหลืออยู่ไม่กี่คนที่รอประมูลสินค้าต่อ
‘เอาตัวเด็กคนนั้นมา กี่บาทจ่ายไม่อั้น แต่ถ้าจ่ายไม่ไหวก็ฆ่าแม่งให้หมด แล้วเอาเด็กคนนั้นมาให้กู’
ปาร์คชานยอลลดปืนลง บี้ก้นบุหรี่ลงบนโต๊ะ ถอนหายใจพร้อมกับเก็บปืนเหน็บไว้ที่ด้านหลัง เอ่ยสั่งคิมจงอินเพื่อนสนิทก่อนจะลุกตามเป้าหมายออกไป .. ไม่รู้เหมือนกันว่าเขายิงไอ้เลวนั่นทิ้งทำไม รู้แค่ว่าเขาทนดูเด็กคนนั้นถูกทำร้ายไม่ได้
ถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวใหญ่คลุมร่างอันเปลือยเปล่าตรงหน้า จงอินเอี้ยวตัวหลบฝ่าเท้าที่ถีบสะเปะสะปะใส่เขาทันทีที่โซ่ตรวนถูกปลดออก ตอนนี้ทั้งฮอล์ไม่มีใครอื่นนอกจากเขากับเด็กหนุ่มคนนี้ สองมือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ เอ่ยน้ำเสียงทุ้มนุ่มปลอบประโลมแผ่วเบา
‘ ไม่เป็นไร ฉันจะไม่ทำอะไรเธอ’
เอ่ยบอกคนที่นั่งงอตัวสั่นเป็นลูกนก ฝ่ามืออบอุ่นยื่นออกไปตรงหน้า หวังให้มือเล็กจับเขาไว้เพื่อที่จะพยุงร่างบอบบางนั้นขึ้น ใบหน้าน้อยสะบัดรัวด้วยความกลัว สีหน้าหวาดผวาที่ส่งมาให้เขาทำให้จงอินต้องพยายามทำใจให้เย็นมากขึ้นกว่านี้ จมูกโด่งคมพรูลมหายใจร้อน ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อคลายความกังวลให้กับคนตรงหน้า
‘ชื่ออะไร ?’
ไม่มีคำตอบใดออกจากริมฝีปากสีแดงช้ำ เสียงหอบหายใจถี่รัวราวกับเจ้าตัวกำลังสะอื้นไห้ทำให้จงอินต้องยอมแพ้ ลดฝ่ามือลงข้างตัว ถ้าหากเป็นไอ้ชานยอลคงไม่ใจเย็นอย่างนี้ บางทีเด็กคนนี้อาจจะโดนซ้อม หรือไม่ก็ทุบตีจนกว่าจะยอมอ่อนข้อ .. นึกแล้วก็สงสารจับใจ
‘หนาวมั้ย หิวรึเปล่า ?’
ที่จริงเขาอยากจะถามว่าเด็กคนนี้มาจากไหน แต่มานึกๆดูแล้ว ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ ไอ้ชานยอลซื้อตัวเด็กคนนี้ไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องขุดคุ้ยภูมิหลังเดิมที่จากมา มันคงไม่ยอมแน่ถ้าจะให้ปล่อยไป
‘ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะไปรับเธอ โอเคไหม’
ดวงตากลมหลุบลงต่ำ ไม่ได้ส่ายหัวปฏิเสธเหมือนเคย ให้เดาว่าคงรู้สึกแย่พอสมควร และจงอินไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอะไรขนาดนั้น สองมือยกชูขึ้นระดับศีรษะ ค่อยๆก้าวช้าๆ เดินอ้อมเตียงไปหาอีกคนอย่างใจเย็น กระทั่งประชิดตัวและเด็กหนุ่มไม่ได้หนีเขาเหมือนเมื่อครู่ สองแขนแกร่งสอดเข้าใต้แผ่นหลังและข้อพับขา ช้อนร่างบอบบางขึ้นมาไว้แนบอก วินาทีนั้นเองที่โอเซฮุนรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่อบอุ่นไปถึงขั้วหัวใจจากผู้ชายคนนี้
‘ คุณ .. เป็นใครหรอครับ ?’
.
การเก็บศัตรูรายนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หลังจากที่เขาเดินตามออกไปตั้งแต่ก่อนเกิดช่วงชุลมุน ดูเหมือนศัตรูรายนี้จะเตรียมปาร์ตี้ต้อนรับเขาไว้อยู่แล้ว เกิดการต่อสู้กันเล็กน้อยที่ลานจอดรถ ถึงแม้ว่าไอ้ฝ่ายนั้นจะเล่นพวกเมื่อเห็นว่าเขามาคนเดียว แต่ปาร์คชานยอลก็ไม่ได้กระจอกขนาดนั้น
เดินกลับไปที่รถ เปิดประตูออกแล้วโยนมือที่ตัดมาไว้เป็นของที่ระลึกไว้ที่เบาะหลัง ห่อผ้านั้นชุ่มไปด้วยเลือด อันที่จริงเขาแค่ต้องการจะยึดแหวนประจำตระกูลมันมาไว้กับตัวเฉยๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะถอดไม่ออกถึงขั้นต้องตัดมาทั้งมือ .. แต่ก็ไม่เป็นไรนี่ มันตายแล้ว ไว้กลับไปถึงค่อยหาทางเอาแหวนออกมาละกัน เขาคงไม่โง่พอจะอยู่นานๆให้พวกมาเล่นเขาอีกเป็นรอบที่สองหรอก
‘สกปรกจริงๆ’
หันกลับไปปรายตามองห่อผ้าที่วางอยู่ที่ที่วางเท้าตรงเบาะหลังพลางสบถออกมา สกปรกรถเขาจริงๆ ยังดีที่ไม่ค่อยได้ใช้รถคันนี้บ่อยเท่าไหร่นัก เดี๋ยวถ้ากลับไปคงต้องล้างกันยกใหญ่
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงคอนโด ร่างสูงโปร่งเดินก้าวไปตามทางเดินโล่งๆ นิ้วเรียวควงกุญแจรถพร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดี เป็นอีกวันที่กำจัดศัตรูไปได้อีกหนึ่ง .. และหวังว่าจงอินคงจะเอา สินค้า มาส่งให้เขาที่ห้องแล้ว
แกร๊ก
เปิดประตูเข้าไปแล้วก็ต้องสะดุด เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มถูกมัดมือมัดเท้าไว้ที่พื้นพรมที่กลางห้อง นึกแปลกใจที่จงอินผู้แสนดีไม่คิดจะใจดีใส่เสื้อผ้าให้มันสักหน่อย มีแต่เสื้อเจ็คเก็ตที่คลุมไว้อย่างลวกๆ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย เดินผ่านร่างเปลือยเปล่านั้นเข้าไปหยิบเสื้อผ้าในห้อง
‘ใส่ซะ’
โยนเสื้อผ้าใส่คนที่นอนงออยู่กับพื้นก่อนจะถอยหลังไปนั่งพิงเคาท์เตอร์ครัวแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ นิ้วเรียวลดก้านบุหรี่ลง พ่นควันสีอ่อนคลุ้งกระจายไปทั่วห้องจนเซฮุนสำลัก ใบหน้าคมเอียงคอเล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่เขาให้สักที
‘หรือมึงจะแก้ผ้า ?’
‘ผะ..ผมใส่ไม่ได้’ เด็กหนุ่มละล่ำละลักตอบ ม่านกลมหลุบลงต่ำ โดนมัดมือมัดเท้าไว้อยู่แล้วจะใส่ได้ยังไง
‘เออลืม โทษที’
เอ่ยขอโทษไปลวกๆ ก่อนจะคาบบุหรี่คาปากไว้แล้วก้มลงไปแก้เชือกให้ อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นคนใจดีอะไรขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ว่าวันนี้อารมณ์ดี และเขาไม่อยากจะให้สภาพจิตใจของสินค้าย่ำแย่ไปกว่านี้ คุณภาพมันจะไม่ดีเอา
‘ชื่ออะไร?’
ถอยกลับไปนั่งบนเคาท์เตอร์ครัวเหมือนเดิม ได้ยินเสียงไอเพราะสำลักควันแทรกเป็นพักๆ อัดควันบุหรี่เข้าปอดอีกรอบแล้วเอ่ยถาม สายตากวาดมองสำรวจไปทั่วเรือนร่าง น่าแปลกที่ม่านคมยังคงนิ่งเรียบและเฉยเมย
‘อะ ..โอเซฮุนครับ’
เด็กหนุ่มตอบ ก้มหน้าก้มตาติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหลวมโคร่งด้วยมืออันสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองคู่สนทนา ปาร์คชานยอลถอนหายใจ รู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางหวาดกลัวและน้ำเสียงติดอ่างนั่นจนอยากจะเอาบุหรี่ที่สูบอยู่ไปจี้แก้มขาวๆนั่นให้เป็นรอยไหม้
‘ไม่ต้องใส่แล้ว! ไปอาบน้ำซะ!’
เซฮุนสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจที่จู่ๆก็ถูกตวาด เก้าอี้ไม้ตรงหน้าถูกถีบจนกระเด็น ร่างสูงโปร่งเดินออกไปที่นอกระเบียง แล้วเขาจะอาบน้ำยังไง ผ้าเช็ดตัวสักผืนก็ไม่มี
ใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำ แต่ใช้เวลากว่าชั่วโมงในการรอให้ตัวแห้ง เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนฝาชักโครก ไม่กล้าเอ่ยขอผ้าเช็ดตัวจากคนที่อยู่ด้านนอก กระทั่งประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ร่างเล็กๆสะดุ้งโหยง เขาว่าก่อนหน้านี้เขาล็อคประตูแล้วนะ
‘มึงจะตายอยู่ในห้องน้ำใช่ไหม’
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเอ่ยถาม ก่อนโยนผ้าขุนหนูใส่หน้าคนตัวขาวอย่างแรง เพิ่งนึกขึ้นได้หลังจากสูบบุหรี่หมดไปสองมวน เป็นความผิดเขาเองนั่นแหละที่ไม่ได้หยิบผ้าเช็ดตัวให้ และเด็กนี่ก็คงกลัวจนไม่กล้าเอ่ยถาม แต่เขาไม่ยอมรับหรอก ถึงยังไงความผิดของเขาก็ไม่นับว่าเป็นความผิดอยู่ดี ชีวิตตลอดยี่สิบห้าปีที่เกิดมา ปาร์คชานยอลถูกเสมอ
‘หิวก็หาอะไรกินในตู้เย็น ไม่ต้องเกรงใจ’
ไม่รู้ทำไมเขาถึงใจดีให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างโอเซฮุนเข้ามาเดินในห้องของเขาอย่างนี้ แถมยังให้ใช้ห้องน้ำและตู้เย็นได้ตามอำเภอใจด้วย แน่นอนว่าเขาไม่เคยยอมให้ใครได้ทำแบบนี้มาก่อน เขาแค่รู้สึกว่าถูกชะตากับเด็กคนนี้ก็เท่านั้น
‘คุณ .. ‘
‘ชานยอล’
บอกชื่อตัวเองไปด้วยความหงุดหงิด ไอ้เด็กนั่นกำลังจะติดอ่างอีกรอบ ร่างเล็กๆที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหลวมโคร่งกำลังยืนงกๆเงิ่นๆอยู่หน้าตู้เย็น เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันจะอะไรกันนักหนา
‘ในนี้มีแต่เหล้า .. ผมกินไม่เป็น’
‘หรอ .. กินไม่เป็นงั้นก็ไปตายซะไป’
หงุดหงิด .. หงุดหงิดไปซะทุกเรื่อง ปาร์คชานยอลตอบเท่านั้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง กดโทรศัพท์สั่งอาหารชุดสำหรับหนึ่งคนจากด้านล่างให้ขึ้นมาส่ง รู้สึกหงุดหงิดเด็กนั่นจนต้องเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนที่เขาจะเผลอผลีผลามเอาปืนเป่าขมับมันไปเสียก่อน ไม่รู้ทำไมเขาต้องมาทำอะไรให้มันขนาดนี้ด้วย
นุ่งผ้าเช็ดตัวพร้อมกับผมที่เปียกหมาดออกมาข้างนอก กว่าจะอาบน้ำเสร็จ ออกมาอีกทีก็เห็นขวดเหล้าดีกรีแรงในมือขาวที่พร่องไปกว่าครึ่ง ตอนนี้แหละที่เขาอยากจะควักปืนขึ้นมายิงเด็กนี่ทิ้งให้มันรู้แล้วรู้รอด เด็กหนุ่มกลัวเขามากเสียจนจำต้องกินมันเข้าไป หารู้ไม่ว่าเขาก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง
โง่ ..
‘มึงคงอยากตายจริงๆใช่ไหม’
รีบก้าวเข้าไปคว้าขวดเหล้านั้นไว้อย่างไว ฤทธิ์เหล้าขวดนั้นมันแรงเกินกว่าจะให้เด็กอายุสิบขวบต้นๆมานั่งกระดกเพียวๆได้ แถมยังผสมยาตัวใหม่ลงไปอีก มือหนากระชากแรงจนร่างเล็กๆเซไปด้วย ใบหน้าแดงก่ำซบลงกับหน้าท้องแบนราบตรงหน้า ลำพังแค่พวงแก้มใสก็ให้สัมผัสร้อนจนแทบจะไหม้แล้ว ซ้ำยังเจอลมหายใจอุ่นร้อนจากปลายจมูกรั้นนั่นอีก ปาร์คชานยอลถอนหายใจก่อนจะเหลือบตาขึ้นด้านบนด้วยความเอือมระอา ปืนกระบอกนั้นอยู่ไหนกันนะ ?
‘ขอเหล้าให้ผม อึก ..’
cut
✞
แสงอรุณของเช้าวันใหม่สาดส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามากระทบใบหน้าขาว เปลือกตาสีมุกเปิดขึ้นช้าๆเป็นการตอบสนอง ขยับกายเพียงนิดเพื่อจะบิดขี้เกียจ แต่แล้วร่างบอบบางก็ต้องงอตัวลงอย่างเดิมเพราะความเจ็บจิ๊ดที่แล่นขึ้นมาจากสะโพก อาการปวดแสบบริเวณช่องทางทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อยิ่งขยับ
‘ไง’
พอดีกับที่ปาร์คชานยอลเดินหน้าง่วงออกมาจากในห้อง หยุดยืนเกาหัวและทักทายคนที่เพิ่งตื่นเหมือนกันกับเขา ร่างสูงโปร่งสวมเพียงกางเกงบ็อกเซอร์สีเข้มตัวเดียวเท่านั้น หน้าท้องแกร่งเต็มไปด้วยรอยข่วน และที่มัดกล้ามทั้งสองข้างก็เช่นกัน
‘โอ้ย .. คุณทำอะไรผม!!’
เซฮุนรีบเด้งตัวออกจากโซฟาทันทีด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนแปลกหน้า ลืมว่าตัวเองกำลังเจ็บไปเสียสนิท ปากอิ่มครางซิ้ด ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นมือเรียวก็ยังคว้าโคมไฟอันขนาดพอดีมือไว้ กะว่าถ้าหมอนั่นเข้ามาเมื่อไหร่ พ่อจะฟาดให้หัวแตกไปเลย
‘ถ้ากูเป็นมึง กูจะวางมันลงที่เดิมนะ ก่อนที่จะเจ็บตัวไปมากกว่านี้’
‘คุณทำอะไรผม!!’
ไม่ฟังคำเตือนจากคนอายุมากกว่าเลยแม้แต่นิด เสียงที่ยังไม่แตกหนุ่มตะโกนลั่น มืออันสั่นเทายื่นโคมไฟออกมาข้างหน้าเตรียมจะเขวี้ยงทั้งๆที่ปลั้กยังเสียบไว้อยู่ ปาร์คชานยอลถอนหายใจ ไม่ทนอยู่เล่นขายของกับเด็กอายุสิบสองขวบ เลิกสนใจเด็กนั่นแล้วตรงไปยังตู้เย็นที่อยู่ในส่วนของห้องครัว ยกขวดน้ำขึ้นมากระดกดื่ม
ม่านกลมยังคงจับจ้องไปที่ชายแปลกหน้าไม่หยุด ไม่รู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนๆนี้เป็นใคร หรือแม้แต่ตัวเขาเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีพื้นเพมาจากไหน .. จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
‘อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นผมตีคุณแน่’
ตะโกนขู่อย่างกล้าๆกลัวๆ เขาเองก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะกล้าตีผู้ชายคนนี้จริงๆรึเปล่า ขาเรียวยาวก้าวตรงมาข้างหน้า ขวดน้ำพลาสติกถูกบีบจนแหลกคามือ ได้ยินเสียงกรอบแกรบบาดหูจนใจดวงน้อยเต้นระส่ำด้วยความกลัว คนตัวเล็กถอยหลังไปเรื่อยๆ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าเปลี่ยนจากขวดน้ำเป็นแขนของเขาแทน .. มันจะเจ็บขนาดไหน
กระทั่งจนตรอก แผ่นหลังบอบบางแนบชิดกระจก ไม่มีที่ให้ไปอีกแล้วนอกจากเกร็งตัวอยู่นิ่งๆและหลับตาปี๋ โคมไฟราคาแพงถูกฉวยเอาไปจากมือ ไม่ใช่กระชาก หากแต่ดึงออกไปเบาๆเพียงเท่านั้น เสียงกึกกักดังขึ้นหลังจากที่ร่างสูงจับมันวางลงที่เดิมแล้ว ฝ่ามือหนาวางทาบกับกระจก ก้มหน้าลงมองอีกคนที่ส่วนสูงอยู่แค่บริเวณอก
‘ หึ ’
ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดที่กลุ่มผมนุ่ม เด็กหนุ่มได้แต่ยืนตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว ใบหน้าขาวจ่ออยู่กลางแผ่นอกอันเปลือยเปล่า ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าหรือหันหนีไปทางอื่น ดวงตากลมกลอกไปมาอย่างคิดหาทางออก ฉับพลันท้องเจ้ากรรมมันก็ร้องประท้วงออกมาด้วยความหิวโหย เรียกเสียงหัวเราะจากคนด้านบนได้เป็นอย่างดี
‘หิวหรอ ถ้าหิวก็ .. พลั่ก!!’
ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆใบหน้าคมก็หันขวับไปตามแรงเหวี่ยง เด็กหนุ่มอาศัยช่วงจังหวะที่เขาเผลอคว้าโคมไฟอันเดิมฟาดเข้าเต็มๆใบหน้าของเขา ร่างสูงโปร่งเซไปเล็กน้อยด้วยความมึน ในขณะที่โอเซฮุนกำลังออกวิ่งไปที่ประตู
เม้มริมฝีปากแน่น โกรธจัดถึงขีดสุดเมื่อแตะๆดูที่หางคิ้วแล้วเห็นว่ามันได้เลือด ขบกรามแน่นก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาร่างเล็กๆนั้นอย่างรวดเร็ว จากที่อารมณ์ดีๆก็กลายเป็นโมโหร้าย มือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อแขนเล็ก กระชากอย่างแรงจนร่างบอบบางเสียหลักล้มลง ตวัดหลังเท้าเตะเข้าอย่างแรงที่สีข้าง ยั้งอารมณ์ไม่อยู่
‘มึงไม่มีสิทธิไป ถ้ากูไม่อนุญาต .. มึงไม่มีสิทธิไปไหนทั้งนั้น!!’
คว้าปืนที่วางอยู่บนชั้นวางของได้ก็เอามาจ่อที่กลางหน้า เซฮุนผวาด้วยความช็อค ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป สองมือเล็กที่สั่นเทายกขึ้นไหว้ขอชีวิต มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่จะให้เด็กที่อายุแค่สิบสองปีมาถูกปืนจ่อพร้อมกับเสียงตวาดจากคนแปลกหน้า เขากลัวเหลือเกิน
‘มึงเป็นของกู กูซื้อมึงแล้ว มึงเข้าใจไหม ?’
จ่อปืนเข้าไปใกล้อีกจนเด็กหนุ่มครางฮือ น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มอย่างช่วยไม่ได้ ร่างเล็กๆพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง ขอแค่ตัวเขาพ้นไปจากรัศมีของกระบอกปืน เสียงเล็กยิ่งหวีดร้องดังขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆข้อมือทั้งสองข้างก็ถูกรวบขึ้นแล้วลากออกไปจากตรงนั้น
‘มึงทำกูเจ็บ .. ต่อจากนี้กูจะสอนบทเรียนให้กับมึง’
เมื่อเซฮุนไม่ยอมลุกเดิน ร่างขาวๆจึงได้ฤกษ์ถูกลากถูลู่ถูกังไปตามพื้น ข้อแขนแกร่งเกร็งแน่น ใช้แค่เพียงมือเดียวก็ลากร่างเล็กๆนั่นมาได้ทั้งตัว กระทั่งเด็กชายดิ้นพล่านไม่ยอมจำนน เอวบางถูกรวบขึ้นกลางอากาศ สองขาถีบพล่านสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ทั้งทุบและตีแขนแกร่งจนมันแดงช้ำไปหมด
พลั่ก!
ร่างเล็กๆถูกจับโยนเข้าไปในตู้เปล่าหลังใหญ่ จุกจนต้องร้องออกมา ก้นของเขากระแทกกับพื้นเต็มๆ เซฮุนพยายามจะมุดออกไปจากตรงนั้น หากแต่ถูกขาเรียวยาวกั้นไว้ ร่างสูงโปร่งเขย่งเอื้อมเอาเชือกเส้นหนาจากบนหลังตู้ ก่อนย่อตัวลงนั่งยองๆข้างๆ คว้าข้อแขนเล็กมัดไว้กับราวเหล็กในตู้ มัดแน่นจนแน่ใจว่ามันจะไม่มีทางหลุดหากเขาไม่ได้เป็นคนแก้เชือกให้ด้วยตัวเอง
‘ผมเจ็บ’ เด็กชายบอกเสียงสั่น คราบน้ำตาเปรอะเต็มใบหน้า
‘เจ็บ มึงจะได้จำ’
เอ่ยบอกเท่านั้น ก่อนประตูตู้จะปิดลง มันเงียบและมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ม่านกลมกลอกไปมาด้วยความหวาดกลัว ได้ยินแต่เสียงหายใจหอบถี่ของตัวเอง ปาร์คชานยอลเดินออกไปจากตรงนั้นแล้ว
ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้เข้ามาที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่ถูกไหว้วานให้มาเอาของก็เอาของมาส่ง คิมจงอินไขกุญแจสำรองเข้าไปในห้อง เสียบคีย์การ์ดไว้ตรงแผงวงจรเหนือสวิตซ์ไฟ เครื่องปรับอากาศทำงานอีกครั้ง ถอดรองเท้าผ้าใบไว้ที่ชั้นวางรองเท้าก่อนจะเดินเข้าไปด้านในเงียบๆ
อันที่จริงเขาไม่ได้มีหน้าที่เป็นแค่เด็กส่งของกระจอกงอกง่อยอะไรแบบนี้หรอก หลายคนมักจะมองว่าเขาอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าปาร์คชานยอลเสมอ มันอาจจะใช่ส่วนหนึ่งในหน้าที่การงาน และเพราะว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน ปาร์คชานยอลไว้ใจเขามากที่สุด และหน้าที่ส่วนใหญ่เขาก็ถูกมอบหมายให้จัดการ เรื่องนี้ก็เช่นกัน
ห่อกระดาษสีน้ำตาลอ่อนที่แพ็คมาอย่างดีถูกล้วงออกจากกระเป๋าใบใหญ่ ก่อนสอดไว้ในส่วนที่ลึกสุดของลิ้นชักในห้องทำงาน มันเหมือนเป็นออฟฟิศธรรมดาๆที่บุอยู่เป็นส่วนหนึ่งในห้องชุด มีเอกสาร ข้อมูลเกี่ยวกับกับองค์กรและบุคลากรต่างๆ หากแต่เป็นข้อมูลปลอมทั้งสิ้น ปาร์คชานยอลไม่โง่ถึงขนาดจะเก็บหลักฐานใดๆก็ตามไว้กับตัว
เลื่อนประตูกระจกปิดไว้อย่างเดิม หมดหน้าที่ของเขาแล้วในวันนี้ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย เมื่อกวาดสายตาไปรอบๆห้องและเห็นความผิดปกติ ข้าวของวางกระจัดกระจายไม่เรียบร้อย โซฟาและโคมไฟเคลื่อนออกไปจากที่เดิมที่มันเคยอยู่ น่าแปลกที่มันไม่เรียบร้อยเหมือนเคย นี่มันไม่ใช่นิสัยของเจ้าของห้องเลยสักนิด
ใส่รองเท้าเสร็จและดึงคีย์การ์ดออก กำลังจะเดินออกไปอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงกุกกักจากในตู้ตัวใหญ่ คิมจงอินหันกลับมาทางเดิม ตามต้นเสียงไปช้าๆ มือหนาควักปืนออกมาเตรียมเหนี่ยวไก เอื้อมไปแตะสัมผัสที่บานประตูแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆเลื่อนมันออกช้าๆ
!!!!
แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เด็กคนเมื่อวานที่เขารับมาถูกมัดมือไว้กับราวเหล็กในตู้ เรือนร่างขาวเนียนภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำสดใหม่ เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ชายหนุ่มรีบวางปืนลงก่อนจะแก้เชือกนั้นให้ กระทั่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ร่างเล็กๆล้มพับลงไปกับพื้นอย่างหมดแรงในทันที
.
หลังจากที่ได้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายอีกครั้ง ความว่างเปล่าในกระเพาะถูกเติมเต็มด้วยโจ๊กร้อนๆรสชาติดีจากฝีมือชายหนุ่มผู้แสนใจดีในความคิดของเซฮุน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไว้ใจทั้งๆที่ผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา เพียงแต่ว่าอยู่กับคนๆนี้แล้วให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่าผู้ชายที่แสนโหดร้ายคนนั้น เด็กน้อยจัดการกับโจ๊กในชามด้วยความหิวโหยเนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมาเกือบสองวัน นมแก้วโตพร่องลงไปกว่าครึ่ง
‘เธอโอเคไหม?’
ถามทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าไม่น่าจะโอเค เขาเองก็ไม่เคยเห็นว่าไอ้ชานยอลจะเคยเอาใครมาเลี้ยงไว้ในห้องเหมือนเด็กคนนี้ ไม่มีเหตุผล ไม่มีที่มาที่ไป ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงยอมจ่ายด้วยเงินมหาศาลเพื่อซื้อตัวเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้มาไว้กับตัว ตอนแรกเขาคิดว่ามันคงจะซื้อมาไว้เพื่อขายเวียนเท่านั้น แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เด็กนี่คงไม่มีโอกาสได้มาอยู่ดีๆในที่แบบนี้แน่ ไม่เคยมีใครรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ ไม่มีใครเดาอารมณ์มันถูกเลยสักคน แต่ดูจากสภาพร่างกายที่บอบช้ำของเด็กหนุ่มแล้ว ท่าทางจะโดนมาหนักพอสมควร
‘คุณพาผมออกไปได้มั้ยครับ ?’
ใบหน้าหวานเงยขึ้นถาม ม่านกลมที่ดูหวาดกลัวบัดนี้เต็มไปด้วยความหวัง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เขาคาดหวังกับผู้ชายคนนี้ ขอแค่ช่วยเขาออกไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ขอแค่ให้เขาพ้นไปจากผู้ชายใจร้ายคนนั้น เขากลัวเหลือเกิน
ไม่มีคำตอบใดๆจากคิมจงอิน นอกจากฝ่ามืออบอุ่นที่บรรจงลูบหัวอย่างเอ็นดูเพียงเท่านั้น ม่านคมหลุบลงมองเด็กน้อยที่อยู่เบื้องล่าง ริมฝีปากหยักระบายยิ้มอ่อนโยนเป็นเชิงให้กำลังใจ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยไว้อย่างนี้ ไม่มีใครอยากมีปัญหากับคนอย่างปาร์คชานยอลหรอก
เขาไม่ได้กลัว .. แต่เขามีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้
หลายคนที่มีปัญหากับไอ้ชานยอล ไม่จบด้วยลูกปืน ก็หายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ บางคนถูกซ้อมปางตาย หรือทำให้พิการ กระทั่งสินค้าที่ไม่สามารถสนองความพอใจให้แก่ลูกค้าในธุรกิจของพวกเขาก็ถูกโละทิ้งไม่ก็ขายทอดตลาด มันจะไม่ใช่เรื่องผิดมนุษยธรรมอะไรหากมันเป็นสินค้าธรรมดาทั่วไป แต่เพราะสินค้าที่ว่านี้คือ มนุษย์ คิมจงอินได้แต่ภาวนาให้ตัวเขาหลุดพ้นไปจากเรื่องชั่วๆพวกนี้เสียที
‘แกร๊ก’
พูดคุยกันได้ไม่นานเท่าไหร่ ประตูก็ถูกเปิดออกโดยเจ้าของห้อง ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาด้านใน ก่อนจะตามด้วยร่างสูงโปร่งก้าวพ้นประตูเข้ามา คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยทักเพื่อนสนิทที่ตอนนี้มาอยู่ผิดที่ผิดเวลา
‘นี่ห้องมึงหรอ?’
‘เปล่า เอาของมาส่ง กูกำลังจะไป’
ถึงจะสนิทกันมากก็ตาม แต่ปาร์คชานยอลไม่ค่อยรู้จักพูดดีๆเพื่อถนอมน้ำใจใครเท่าไหร่นัก เสียงทุ้มเอ่ยถามกวนตีนทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นห้องของตัวเอง สายตาคู่คมมองจ้องเพื่อนสนิทกับโอเซฮุนสลับกันไปมา ไม่มีอะไรบ่งบอกได้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ รู้เพียงแต่ว่ามันน่าอึดอัดเสียเต็มประดา คิมจงอินผุดลุกยืนขึ้น คว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายไหล่แล้วเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะถูกมือขาวคว้าชายเสื้อไว้
‘จงอินครับ ขอร้อง อย่าทิ้งผมไว้กับเขา’
หันกลับไปมองร่างเล็กๆที่นั่งเกร็งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว สายตาเว้าวอนน่าสงสารถูกส่งมาให้จงอินลำบากใจยิ่งขึ้น ได้แต่ยืนอยู่อย่างนั้นด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูก ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ ไม่ดีทั้งกับตัวเขาและเด็กคนนี้
‘มึงไม่อยากอยู่กับกูหรอ?’
เอาอีกแล้ว ผู้ชายคนนี้สูบบุหรี่อีกแล้ว ร่างสูงโปร่งเดินมานั่งที่เคาท์เตอร์ครัวตรงข้ามกับเขา พ่นควันบุหรี่คลุ้งไปทั่วห้องพร้อมกับตั้งคำถามที่เหมือนบังคับเอาแต่คำตอบที่ตัวเองจะพอใจ สายตาคมมองจ้องมายังเขา มันน่ากลัวเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
‘คุณขังผม ..’
ม่านกลมหลุบลงต่ำ มองมือตัวเองที่บีบกันแน่นอยู่บนตัก มันทั้งชื้นเหงื่อและสั่นเทา อยู่ดีๆก็สั่นขึ้นมาเฉยๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าจะกลัวอะไรนักหนา แต่ถ้าหากคุณลองมาถูกซ้อมและโดนปืนจ่อเข้าที่กลางหน้าผากจริงๆแล้วล่ะก็ คุณก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของเซฮุนในตอนนี้ดีเลยล่ะ
‘มึงอยากไปกับมันหรอ ?’
ไม่มีคำตอบใดออกมาจากริมฝีปากสีสด เด็กน้อยเริ่มเบะปากอีกครั้ง เขากำลังจะร้องไห้ทั้งๆที่ปาร์คชานยอลยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ มือน้อยขยำกางเกงตัวเองจนมันยับยู่ เขาไม่กล้าพูด เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยซ้ำ กลัวไปหมด กลัวว่าถ้าเกิดพูดอะไรไปแล้วผู้ชายคนนี้จะโมโหเขาอีก เขาไม่อยากโดนซ้อมหรือโดนขังอีกแล้ว
‘คิดว่ามันดูแลมึงได้รึไง’
เอ่ยถามอีกเมื่อไม่ได้คำตอบ ทั้งห้องเงียบกริบ เหมือนว่าเขากำลังพูดคนเดียว คิมจงอินได้แต่ยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่กล้าพูดหรือเดินออกไปไหน ในขณะที่เด็กชายพยายามจะกลั้นไอ ไม่กล้าแม้แต่จะทำเสียงดัง สำลักแทบขาดใจเพราะกลิ่นควันที่ฉุนเสียดปอด ปาร์คชานยอลถอนหายใจ บี้ก้นบุหรี่ลงกับถาดแก้ว
‘เขาคงไม่ทำร้ายผมแบบคุณ’
จู่ๆเด็กหนุ่มก็โพล่งขึ้นมา น้ำเสียงสั่นอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นแต่ก็พูดออกไปแล้ว ริมฝีปากบางเม้มแน่น บางทีเขาอาจจะโดนยิงทิ้งในอีกสามนาทีหลังจากนี้ แค่คิดน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้อ่อนแอมากขนาดนี้
หากแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปาร์คชานยอลไม่ได้ผลีผลามทำอะไรบ้าๆแบบที่จงอินและเซฮุนคิด ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ลิ้นร้อนดันกระพุงแก้มของตัวเองเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่างก่อนจะกระโดดลงจากเคาท์เตอร์ครัว ขาเรียวยาวก้าวฉับตรงมาทางนี้ เซฮุนเกร็งตัวหลับตาปี๋
กระทั่งชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ฝ่ามือหนาดันปลายคางมนให้เงยขึ้น เกลี่ยปลายนิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำตาให้อย่างลวกๆ เสียงทุ้มห้าวเอ่ยประโยคที่แสนจะขัดกับการกระทำ
‘เกลียดน้ำตามึงจริงๆ .. กลัวกูขนาดนั้นเลยหรือไง’
เป็นครั้งแรกที่ได้สบตากับเจ้าของดวงตาคู่คมนั้นอย่างจริงๆจังๆ แต่มันกลับไม่น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ เด็กชายไม่ได้ขยับหนีเหมือนเคย ราวกับมีอะไรบางอย่างสะกดเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ใจดวงน้อยกระตุกวูบ .. เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรจากเขากันแน่
‘อยากจะไปกับมันนักก็ไป’
ข้อนิ้วแกร่งปล่อยคางมนให้เป็นอิสระ เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตัวเองโดยไม่หันกลับมามองเขาอีก เด็กชายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ลุกเดินไปหาจงอินทั้งๆที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูบานนั้น แผ่นหลังกว้างหายเข้าไปข้างในก่อนที่บานประตูจะปิดลง ทั้งๆที่เขาจะได้ไปให้พ้นจากผู้ชายใจร้ายคนนั้นแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกลังเลก็ไม่รู้สิ
✞
ได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ในรถ ม่านกลมคอยเหลือบมองคนข้างๆที่กำลังขับรถอยู่เป็นพักๆ สองมือกำแน่นจนเปียกเหงื่อไปหมด ทั้งคำพูด น้ำเสียงและสายตาของผู้ชายคนนั้นยังวนเวียนอยู่ในสมอง
‘ชื่ออะไร?’
‘โอเซฮุนครับ’
‘มาจากไหน’
เป็นคิมจงอินที่เปิดประเด็นสนทนาก่อน เด็กน้อยส่ายหน้า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใครและมาจากไหน รู้เพียงอย่างเดียวคือชื่อและนามสกุลของเขา สมบัติติดตัวไม่มีแม้สักชิ้น ไม่มีเงินสักบาท หรือแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่มี
ริมฝีปากบางเม้มแน่น นึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา หลังจากที่หนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ปูซานมา เขาเร่ร่อนและถูกขายทิ้งเป็นทอดๆนับตั้งแต่จำความได้ ไม่มีพ่อและแม่ ไม่มีแม้กระทั่งคนรู้จัก .. เขามันตัวคนเดียว
‘เรากำลังจะไปไหนหรอครับ ?’
‘ซื้อของที่เธอต้องใช้’
เสียงทุ้มตอบเท่านั้น ไม่มีการไถ่ถามให้มากความอีก รถคันหรูมุ่งตรงไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านใจกลางเมือง เขาต้องซื้อเสื้อผ้า และของใช้จำเป็นอื่นๆให้กับเซฮุน ตามคำสั่งของปาร์คชานยอล
‘เดินไหวไหม’
น่าจะพอรู้ว่าโดนอะไรมา มือหนาเลื่อนไปประคองร่างเด็กหนุ่มที่เดินงะๆเงิ่นๆราวกับลูกม้าหัดเดิน อันที่จริงเขาไม่ได้อยากแตะต้องของส่วนตัวของไอ้ชานยอลมันเท่าไหร่ เพียงแต่รู้สึกเป็นห่วงก็เท่านั้นเอง
‘อ๊ะ!’
ไม่ปล่อยให้เดินไกลไปกว่านี้ รถเข็นสำหรับช็อปปิ้งคันใหญ่ถูกคนตัวสูงกว่าเข็นมาขนาบข้าง ก่อนจะรวบตัวเด็กชายขึ้นแล้วหย่อนเบาๆให้นั่งลงในนั้น เสียงเล็กร้องขึ้นอย่างตกใจ สองมือจับราวเหล็กของตัวรถไว้เมื่อจงอินออกแรงเข็นมันไปข้างหน้า
‘ไม่ไหวก็ไม่ต้องเดิน’
ลูบหัวอีกแล้ว ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขานอกจากแม่เลี้ยงที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โอเซฮุนชอบสัมผัสอบอุ่นแบบนี้มากเหลือเกิน ดวงตากลมหลับพริ้ม ยอมให้เจ้าของฝ่ามืออันอบอุ่นสัมผัสแต่โดยดี ชะล้างความกลัวที่เกาะกินจิตใจให้ค่อยๆทลายลง
‘จงอินซื้อของพวกนี้ให้ผมทำไมหรอครับ?’
เด็กชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้หันมาถาม มันเยอะเสียจนเขาแทบจะไม่มีที่นั่งอยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมจงอินถึงได้ใจดีกับเขาขนาดนี้
‘ชานยอลสั่งมาน่ะ’
จากที่รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมก็กลับมาแย่ลงอย่างเก่า ใบหน้าน้อยสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่ารู้สึกผิดต่อผู้ชายคนนั้นหรือรู้สึกกลัวที่ต้องกลับไปกันแน่ โอเซฮุนชักจะเดาชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว สุดท้ายปาร์คชานยอลก็ไม่ได้ปล่อยเขาไป
คิ้วเรียวขมวดมุ่น ไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนั้นทำแบบนี้ทำไม ซื้อของแพงๆพวกนี้ให้เขาทำไม .. หรือว่าจะเก็บเขามาเลี้ยง กลัวไปหมดแล้ว
‘ไม่ต้องกลัวหรอก มันไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น .. เพียงแต่เธอต้องเรียนรู้ อะไรที่มันไม่ชอบก็อย่าทำ แล้วมันจะไม่ทำร้ายเธออีก เข้าใจไหม’
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยปลอบประโลม พยายามจะทำให้เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสามองเพื่อนสนิทของตัวเองในแง่ดียิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าข้อดีของมันจะหายากจนแทบจะหาไม่เจอ แต่เขาก็จำเป็นต้องพูดจูงใจแบบนี้ เพราะเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว เด็กน้อยหัวอ่อนพยักหน้าหงึกหงัก เซฮุนเป็นเด็กดี สอนง่าย .. เขาเชื่อว่าเด็กคนนี้จะสามารถเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน
‘จงอินครับ .. ซื้ออันนี้ด้วยได้ไหม’
ชี้ไปที่กล่องพลาสเตอร์ปิดแผลรูปตัวการ์ตูนที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์คิดเงิน ใบหน้าคมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตก่อนจะเอื้อมหยิบมันมาให้ ข้าวของทุกอย่างถูกยกขึ้นไปวางบนสายพานเพื่อรอชำระเงิน ทั้งหมดนี่ราคารวมกันเป็นเงินไม่น้อยเลยทีเดียว เซฮุนคิดว่าต่อให้ทำงานเป็นปีๆก็คงจะหามาคืนไม่หมดแน่ๆ
ซื้อเสื้อผ้าอีกหลายชุด เด็กหนุ่มกลายเป็นตุ๊กตาให้จงอินเลือกเสื้อผ้าให้ เข้าไปเปลี่ยนไปลองอยู่หลายชุดจนเหนื่อย แวะเข้าแวะออกอยู่หลายร้านจนปวดขาไปหมด สองแขนเต็มไปด้วยถุงข้าวของพะรุงพะรังทั้งคนโตและคนเล็ก ดูเหมือนจงอินจะหนักหน่อย มือใหญ่ๆนั้นเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีซีดเพราะถือของหนักเกินไปแล้ว
‘เหนื่อยรึยัง พักสักหน่อยไหมหืม ?’
เห็นเจ้าตัวเล็กเดินจนขาขวิด คิมจงอินเลือกที่จะพาเซฮุนแวะร้านเค้กข้างหน้าเพราะดูท่าอีกคนคงจะเดินไม่ไหวแล้ว ข้าวของทั้งหมดถูกส่งให้จงอินเพื่อนำไปเก็บไว้ที่รถ ชายหนุ่มสั่งนมปั่นและเค้กสตรอเบอรี่อีกหนึ่งชิ้นให้เด็กชายก่อนจะไป เอ่ยกำชับไม่ให้ไปไหนนอกจากนั่งรออยู่ในร้าน
‘อร่อยไหม พอกินได้รึเปล่า?’
ไม่เคยเลย ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้กินของดีๆแพงๆเหมือนวันนี้ ใบหน้าน้อยพยักหงึกหงักอย่างกระตือรือร้น เค้กชิ้นโตถูกเด็กน้อยฟาดเรียบไม่มีเหลือ ครีมข้นขาวเปรอะเลอะบริเวณข้างแก้ม จงอินหลุดหัวเราะ เป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มจากเด็กคนนี้ ใบหน้าขาวเอียงเล็กน้อย ดวงตากลมเล็กหยีลงจนกลายเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว แก้มกลมๆขาวเนียนน่าหยิกจนอดไม่ไหวที่จะยื่นมือไปสัมผัส
‘เลอะแล้ว อย่ากินมูมมามแบบนี้อีก เข้าใจไหม’
‘เข้าใจครับ!’
นิ้วเรียวเอื้อมไปเช็ดคราบครีมบนแก้มขาวให้ก่อนจะเอ่ยเตือน เด็กชายพยักหน้า ตอบเสียงดังฟังชัดอย่างขันแข็ง ก่อนที่ทั้งคู่จะไปช็อปปิ้งกันต่อ
เมื่อซื้อจนพอใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับกันสักที เซฮุนผล็อยหลับไปขณะที่กำลังขับรถกลับ หัวทุยๆสัปหงกคอพับอยู่ที่ไหล่ของตัวเองจนจงอินต้องเอื้อมมือไปปรับเบาะให้นอนได้สบายๆ ดวงตากลมหลับพริ้ม รอยยิ้มจางๆยังเจืออยู่บนใบหน้าทั้งๆที่กำลังหลับ ถ้าไม่นับที่โดนขังเมื่อเช้าแล้วล่ะก็ .. วันนี้โอเซฮุนมีความสุขมากๆเลยล่ะ
จนกระทั่งถึงที่คอนโด จงอินเลือกที่จะปลุกเซฮุนให้ลุกเดินไปกับเขามากกว่าคิดจะอุ้มขึ้นไป ลำพังเขาคนเดียวคงจะยกทั้งของทั้งเด็กคนนี้ไม่ไหวแน่ แถมจะให้ไอ้ชานยอลมาเห็นเขาอุ้มเซฮุนก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ เกิดมันอยู่ๆหงุดหงิดอะไรขึ้นมาอีกแล้วจะแย่
ถุงเสื้อผ้าน้ำหนักเบาสองสามถุงถูกยื่นให้เด็กชายช่วยถือ ส่วนเขาเองเป็นคนหิ้วข้าวของที่ซื้อมาไว้เองทั้งหมด ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกัน เดินไปตามทางเดินโล่งๆ จนกระทั่งถึงหน้าประตูห้อง เซฮุนเริ่มอิดออด ถึงแม้จะไม่แสดงอาการใดๆออกมา แต่จงอินก็อ่านใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลนั้นออกเป็นอย่างดี
‘อยู่ได้ใช่ไหม เธอเก่งอยู่แล้ว’
ย่อตัวนั่งยองๆลงให้ส่วนสูงไล่เลี่ยกัน ใบหน้าคมเงยขึ้นพูดกับเด็กชาย มือหนาวางลงบนไหล่คนตัวเล็กเป็นการให้กำลังใจ เซฮุนพยักหน้าอย่างจำยอม ถึงยังไง จงอินก็คงไม่พาเขากลับไปด้วยอยู่ดี
‘เป็นเด็กดี อย่าดื้อกับไอ้ชานยอลมันนะ โอเคไหม?’
สัมผัสอบอุ่นเลื่อนมาถึงต้นแขน บีบน้อยๆเพื่อสร้างความมั่นใจ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม กระทั่งโอเซฮุนพยักหน้าอีกครั้ง มือหนาไขกุญแจเข้าไปด้านใน ก่อนจะยกของทั้งหมดเข้าไปวางไว้ให้บนโต๊ะ
‘จงอินมาหาผมอีกนะครับ สัญญานะ’
ทั้งห้องมืดสนิทเพราะจงอินไม่ได้เสียบคีย์การ์ดไว้ให้ ชายหนุ่มชะงักไปชั่วครู่เมื่อถูกมือน้อยๆรั้งชายเสื้อไว้อีกครั้ง ใบหน้าน้อยเงยขึ้นถาม ส่งสายตาเว้าวอนน่าสงสารจับใจ
‘สัญญาครับ’
ริมฝีปากหยักระบายยิ้มอ่อนโยน ฝ่ามืออบอุ่นยีหัวเล็กๆนั่นอีกครั้งแทนคำสัญญา ก่อนประตูบานใหญ่จะถูกปิดโดยฝีมือชายหนุ่ม ทิ้งให้เซฮุนได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู
จงอินไปแล้ว เหลือแต่ผู้ชายใจร้ายที่ไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน ม่านกลมกลอกไปมาท่ามกลางความมืด เขาไม่ได้กลัวความมืดถึงขนาดจะอยู่ไม่ได้ มันก็ไม่ได้มืสนิทเสียทีเดียว แสงจันทร์สว่างส่องลอดรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาด้านใน เด็กชายหยิบหนังสือเล่มเล็กๆจากในถุง ค่อยๆเดินไปที่โคมไฟที่อยู่ตรงโซฟาโดยอาศัยแสงนั้นให้ความสว่างแก่สายตา
กะจะไปเปิดไฟแล้วนั่งอ่านหนังสือที่จงอินซื้อให้สักหน่อย ม่านกลมกลับไปสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา เด็กชายค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ ปาร์คชานยอลกำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว สายตาคู่คมบัดนี้ถูกปิดด้วยเปลือกตาและแพขนตางอนยาวมีสเน่ห์ ริมฝีปากที่พร่ำพูดแต่คำหยาบคายบัดนี้เงียบสนิท เซฮุนเพิ่งได้รับรู้ว่าผู้ชายคนนี้หล่อแค่ไหนเมื่อมีโอกาสเข้าไปมองใกล้ๆ
ยืนเข่าอยู่กับพื้นพรมพร้อมกับเท้าคางสำรวจรูปโฉมอีกคนอย่างละเอียด เขารู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด ผู้ชายคนนี้ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยเวลาที่หลับ ดูดีเหลือเกิน แขนแกร่งข้างหนึ่งถูกเจ้าตัวยกขึ้นวางเกยไว้บนหน้าผาก นอกจากรอยเล็บจิกข่วนที่เขาเป็นคนฝากไว้ ยังมีรอยสักที่ดูไม่ออกว่ามันเป็นรูปอะไร แต่มันก็เท่ห์มากๆในความคิดของเซฮุน
ละสายตาขึ้นไปจนถึงหางคิ้ว ขณะนั้นเองที่เซฮุนนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไป เด็กชายเดินคลำทางกลับไปยังโต๊ะที่จงอินวางของไว้ให้ รื้อเอากล่องพลาสเตอร์ที่เขาซื้อมาอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเดินกลับมาที่เดิม มือน้อยบรรจงแกะพลาสเตอร์ปิดแผลลายยีราฟออกจากกล่อง พยายามดันแขนแกร่งที่ทับแผลนั้นออกไปอย่างเบามือเพื่อจะติดพลาสเตอร์นั้นให้ ถึงผู้ชายคนนี้จะใจร้ายกับเขามากเท่าไหร่ แต่เด็กชายก็รู้ว่าที่เขาทำไปมันไม่ถูก เขาไม่อยากเป็นเด็กไม่ดี
‘จะหลอกแต๊ะอั๋งกูหรอ’
จู่ๆคนที่หลับอยู่ก็ลืมตาขึ้นเสียอย่างนั้น ราวกับว่ารู้สึกตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว เด็กชายสะดุ้งด้วยความตกใจ ชานยอลไม่ได้ขยับตัวไปไหน นอกจากสายตาคู่คมที่มองจ้องมาทางนี้เท่านั้น
‘หรือจะแอบมาลอบฆ่ากูเพราะว่ากูขังมึงใช่ไหม’
‘ผม ....ผมแค่จะติดพลาสเตอร์ให้ เพราะว่าผม ทำคุณเจ็บ’
ละล่ำละลักตอบไปอย่างกล้าๆกลัวๆ กลัวว่าคนตรงหน้าอาจจะเกิดบ้าลุกขึ้นมาอาละวาดอีก ปาร์คชานยอลผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะโน้มตัวลงมาข้างหน้า สองแขนแกร่งวางเท้ากับขาของตัวเอง
‘เอาสิ’
พอตื่นก็ไม่กล้าแล้ว แต่โอเซฮุนก็ต้องจำเดินขาสั่นเข้าไปใกล้ๆเพราะกลัวสายตานิ่งเรียบคู่นั้น ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมจางๆชวนหลงใหล เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้กลิ่นบุหรี่ฉุนกึกเหมือนเคย มือน้อยยกขึ้นปัดเส้นผมที่ลงมาปรกหน้าของอีกคนออกอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะค่อยๆบรรจงติดพลาสเตอร์ลายน่ารักให้อย่างเบามือ ริมฝีปากอิ่มห่อน้อยๆ เป่าเบาๆเพื่อบรรเทาความเจ็บที่บาดแผล
‘เจ็บหรอ’
จับเข้าที่ข้อมือเล็กที่เต็มไปด้วยรอยแดงจากการถูกมัด เด็กชายเกือบจะชักมือกลับในทันทีเพราะความรู้สึกเจ็บที่แล่นปราดขึ้นมาถึงข้อนิ้ว น้ำเสียงทุ้มห้าวที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเอ่ยถาม เซฮุนพยักหน้า พยายามยื้อข้อมือตัวเองให้หลุดจากฝ่ามือหนา เขาทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ
‘เจ็บก็อย่าดื้ออีก’
คนตัวเล็กพยักหน้าอีกครั้ง ก้มมองเท้าตัวเองเพราะไม่รู้จะมองไปทางไหน เขารู้แล้วว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ แต่เขาก็ยังกลัวอยู่ดี
‘รู้ว่ามึงไม่อยากอยู่กับคนใจร้ายแบบกู..’
วรรคไปพักหนึ่ง เงียบอยู่นานจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศน่ากดดันถูกคั่นด้วยเสียงถอนหายใจเบาๆจากชายหนุ่ม เซฮุนเงยหน้าขึ้นมอง รอฟังว่าอีกคนกำลังจะพูดอะไร
‘แต่อดทนกับกูหน่อยนะ .. กูจะ ..’
‘ครับ ?’
‘ช่างมันเถอะ ดึกแล้ว .. มึงควรจะไปอาบน้ำนอนได้แล้ว’
เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมพูดออกมาสักที ปาร์คชานยอลยักไหล่ ไม่ตอบคำ มือหนาคว้าซองบุหรี่กับไฟแช็คออกไปที่ระเบียงด้านนอก ทิ้งให้เซฮุนได้แต่ยืนงงอยู่อย่างนั้น
จุดบุหรี่เอามะเร็งเข้าปอดอีกครั้ง หันไปปิดประตูกระจกเพื่อไม่ให้คนที่อยู่ข้างในได้กลิ่นควัน ดวงตาคมเหม่อมองออกไปที่วิวทิวทัศน์เบื้องล่าง มือขวาคีบบุหรี่วางเท้าไว้กับราวเหล็ก ยืนพักขาด้วยท่าทางสบายๆ เอื้อมมือขึ้นไปแตะๆพลาสเตอร์ปิดแผลที่หางคิวของตัวเองก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
‘ปัญญาอ่อน’
ยิ้มเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับมาทำสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนเดิม หัวหน้าแก๊งค์ค้ายาแปะพลาสเตอร์รูปยีราฟที่หางคิ้วเนี่ยนะ? ใครเขาจะไปกลัว
ผม ..ผมแค่จะติดพลาสเตอร์ให้ เพราะว่าผม.. ทำคุณเจ็บ
แต่พอมานึกถึงท่าทางงกๆเงิ่นๆของเด็กนั่นแล้ว ..
เขาจะยอมแปะมันไว้ก็ได้
✞
ฤดูหนาวในอีกห้าปีถัดมา โอเซฮุนในวัยสิบเจ็ดปีได้เติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของชานยอล จะพูดว่าชานยอลเป็นคนที่คอยเลี้ยงเขาก็ดูจะแปลกๆไปหน่อย อันที่จริงแล้วเป็นจงอินต่างหากที่คอยไปรับไปส่งหรือพาไปไหนมาไหน เพียงแต่เขาพักอยู่กับชานยอลที่คอนโดเท่านั้น ไม่บ่อยนักที่จะได้อยู่ด้วยกัน จะได้เจอกันก็แค่บางวัน หรือไม่ก็ช่วงกลางคืนเท่านั้น ชานยอลมักจะไปนู่นมานี่บ่อยๆเพราะมีงานต้องทำ
เด็กหนุ่มได้เข้าเรียนในโรงเรียนไฮสคูลที่ดีที่สุดในเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของใช้ หรือรถที่ใช้ขับอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเงินของชานยอลทั้งนั้น ชายหนุ่มทุ่มไม่อั้นเพื่อเด็กในอาณัติของเขาจะได้ไม่รู้สึกแพ้คนอื่น จะขาดก็แต่เวลา ช่วงนี้งานเยอะเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้โอเซฮุนอยู่กับเขามานานถึงห้าปีโดยไม่โดนขายทิ้ง อาจจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มรู้จักวางตัวและหลีกเลี่ยงอะไรที่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อน เซฮุนรู้ว่าทำตัวแบบไหนแล้วชานยอลจะชอบและไม่ทำร้ายเขาอีก และมันก็สำเร็จ ชานยอลรักเจ้าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้จนยอมให้ทุกอย่าง
เด็กหนุ่มก้าวเดินไปตามทางโล่งๆ เขาชอบที่จะมาโรงเรียนเช้าๆมากกว่ามาสายแล้วต้องมาลนลานตามคนอื่นไม่ทัน มือขาวล้วงเข้าไปซุกไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ลำพังเสื้อไหมพรมตัวเดียวที่สวมทับชุดนักเรียนจะไม่ค่อยช่วยอะไรเขาเท่าไหร่นัก
“ฮัลโหลครับ”
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาบนหน้าจอ ขาเรียวยาวก้าวขึ้นบันไดช้าๆ นิ้วเรียวยกขึ้ยมาขยี้ปลายจมูกที่แดงจัดของตัวเองเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเขากำลังจะไม่สบาย
“(ไง ไปโรงเรียนรึยัง)”
เสียงทุ้มนุ่มถามกลับมาสั้นๆ ประโยคที่ดูนิ่งเรียบนั้นไม่ได้แสดงถึงความเป็นห่วงใดๆเลยสักนิด กลับดูเหมือนถูกบังคับให้โทรมาซะมากกว่า หากแต่ถ้าคุณรู้ว่าธรรมชาติของคนอย่างปาร์คชานยอลเป็นยังไงแล้วล่ะก็ คุณจะรู้สึกว่าคุณโชคดีที่สุดที่ได้รับการเอาใจใส่ถึงขนาดนี้
“ถึงแล้วครับ จงอินมาส่ง กินข้าวเช้าแล้วนะครับ วันนี้จะกลับไปถึงบ้านตอนห้าโมงเย็น”
“(มึงจะไม่เหลืออะไรให้กูถามเลยใช่ไหม)”
ปาร์คชานยอลเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมา ไอ้เด็กนี่นับวันชักจะเป็นอันตรายต่อหัวใจของเขามากไปแล้ว ในน้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนผู้พูดกำลังโมโหและเหลืออดเต็มทน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเซฮุนคงร้องไห้ไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น ริมฝีปากสีอ่อนระบายยิ้มน้อยๆ หลุบตาลงต่ำมองเท้าตัวเองที่กำลังก้าวสลับกันเป็นจังหวะ
“ก็ผมกลัวพี่เสียเวลานี่ครับ”
“(เวลาของกูกูก็ให้มึงหมดนั่นแหละ)”
“ไม่จริงอะ พี่ให้กับงานมากกว่าผมอีก”
ถูกตามใจมากๆเข้าจนกล้าที่จะต่อปากต่อคำ แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ยังรู้ลิมิตว่าอะไรเล่นได้เล่นไม่ได้ ใบหน้าน่ารักกำลังยิ้ม และเขาหวังว่าคนปลายสายก็จะกำลังยิ้มอยู่ด้วยเหมือนกัน
“(.. แล้วมึงจะเอาสักเท่าไหร่)”
ได้ยินเสียงถอนหายใจลอดกลับมาที่ปลายสาย ปาร์คชานยอลเอ่ยตอบคนที่อยู่กันคนละซีกโลกอย่างอ่อนใจ ร่างสูงโปร่งยืนพิงราวเหล็กตรงระเบียงอยู่ที่โรงแรมชั้นบนสุด อากาศที่นี่หนาวจนอุณหภูมิแทบจะติดลบ เกือบอาทิตย์แล้วที่เขามาอยู่ที่นี่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากำลังคิดถึงไอเด็กตัวขาวที่อยู่ที่บ้าน อยากจะกลับไปกอดจะแย่อยู่แล้ว
“เท่าที่พี่มีทั้งหมดเลยได้มั้ยครับ”
ปลายสายเงียบไป ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ไม่รู้ว่าอีกคนไม่ได้ยินหรือกำลังคิดอะไรอยู่ เซฮุนอยากจะตีปากตัวเองเสียจริงๆที่พูดออกไปแบบนั้น บางทีเขาชักจะเล่นมากเกินไปแล้ว
“ผมล้อเล่น”
“(ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้กูคงจะกลับ อยากได้อะไรรึเปล่า)”
เสียงทุ้มตอบกลับมา เซฮุนรู้สึกโล่งใจที่อีกคนเปลี่ยนเรื่อง ม่านกลมกลอกไปมาอย่างใช้ความคิด
“อยากได้หอเอนปิซ่าได้มั้ยครับ ฮ่าๆ”
ตอบกลับไปแบบนั้น เขาไม่อยากให้ชานยอลเครียดเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกคนทำงานแบบไหนอยู่ แต่โอเซฮุนเลือกจะไม่พูดและไม่ถามอะไรออกไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง รู้ว่าอาชีพแบบนี้มันเสี่ยงแค่ไหน แล้วเขาก็รู้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่จะทำให้ชานยอลอารมณ์ดีขึ้นได้ โอเซฮุนเป็นรอยยิ้มของปาร์คชานยอลเสมอ
“(ไร้สาระ อย่าขออะไรที่กูให้มึงไม่ได้ได้ไหม)”
“งั้นขอปาร์คชานยอลได้มั้ยครับ”
“(กลับไปกูจะยิงมึงทิ้ง ข้อหาที่ทำให้กูไม่มีสมาธิทำงาน)”
เหม่อมองออกไปที่วิวทิวทัศน์ด้านนอกในยามค่ำคืน ก่อนจะตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย หากแต่แฝงความอารมณ์ดีไว้ในนั้น ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนที่จะแสดงออกทางสีหน้าและอารมณ์มากเท่าไหร่ มือหนาจุดบุหรี่อัดควันหนักๆเข้าปอดอีกครั้งเพื่อบรรเทาความหนาว แถมเวลาที่จะได้สูบก็มีแค่ตอนนี้เท่านั้น เซฮุนไม่ชอบให้เขาสูบบุหรี่
“พี่ไม่ยิงผมหรอก”
“(แล้วถ้ากูยิงล่ะ?)”
“ไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิด .. อ่า พี่ครับ ผมต้องวางแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
ไม่มีคำตอบใดๆนอกจากเสียงขานรับในลำคอจากอีกฝ่าย ไม่มีคำพูดดีๆที่ดูเป็นห่วงเป็นใยให้เลยแม้สักคำ เซฮุนเก็บโทรศัพท์เครื่องหรูใส่กระเป๋ากางเกง เขารู้ว่าชานยอลเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่ให้ตายคนแบบนั้นก็คงไม่ยอมพูดออกมาแน่ๆ
ในช่วงเย็น ปอร์เช่คันหรูเลื่อนมาจอดรอที่หน้าตึกเรียนเหมือนเช่นทุกวัน คิมจงอินลดกระจกลงพร้อมกับส่งยิ้มให้คนตัวขาวที่กำลังเดินมาที่รถ เด็กหนุ่มโค้งน้อยๆให้อย่างมีมารยาทก่อนจะเปิดประตูเข้ามานั่งที่เบาะข้างคนขับ กระเป๋าใบโตถูกชายหนุ่มยกไปวางไว้ที่เบาะหลัง
ยังไม่ได้กลับคอนโดเสียทีเดียว ทั้งคู่แวะไปช็อปปิ้งซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวๆโรงเรียน จงอินเพิ่งจะมาว่างเต็มๆวันก็วันนี้ เขาคิดว่าควรจะสอนเซฮุนทำอาหารสักหน่อย เพราะถ้าเกิดวันไหนเด็กนี่อยู่กับไอ้ชานยอลสองคนแล้วออกไปไหนไม่ได้คงแย่ ลำพังแค่ต้มมาม่ามันยังไม่ทำ
กลับมาถึงที่คอนโดแล้ว สองคนหอบข้าวของพะรุงพะรังเข้าไปในห้อง จงอินจัดแจงเตรียมอุปกรณ์ในครัว ในขณะที่เซฮุนกำลังหยิบวัตถุดิบออกจากถุง ผ้ากันเปื้อนสีชมพูอ่อนสองผืนที่เหมือนกันถูกสวมใส่โดยคนทั้งสองคน ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะตื่นเต้นกับการเรียนทำอาหารเอามากๆ
“ไอ้ชานยอลคงไม่เคยให้เธอทำอะไรแบบนี้หรอกใช่ไหม”
“ไม่เคยครับ”
เงยหน้าขึ้นไปเห็นแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่ม เชิ้ตสีดำที่ดูขัดกับผ้ากันเปื้อนลายน่ารักถูกร่นแขนเสื้อขึ้นไปเพื่อให้ทำอะไรถนัดยิ่งขึ้น จงอินกำลังยืนล้างผักอยู่ตรงซิ้งค์ล้างจาน ในขณะที่เซฮุนเตรียมจานกับถ้วยสำหรับใส่วัตถุดิบเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
“งั้นวันนี้ก็เคยแล้ว”
ยืนซ้อนเข้าที่ด้านหลัง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เซฮุนโตขึ้นมากจริงๆ ด้วยขนาดความสูงที่เกือบจะเท่ากัน คางเรียวจำต้องเกยไว้ที่ไหล่บางอย่างช่วยไม่ได้ แผ่นหลังบางแนบชิดกับแผ่นอกกว้าง สองแขนแกร่งช่วยจับมือขาวให้ถือมีดได้ถนัดถนี่ เซฮุนก้มหน้างุด ใบหน้าร้อนฉ่า แดงเถือกไปถึงใบหูยามที่เสียงทุ้มพูดกรอกอยู่ข้างหู แทบไม่ได้มองเจ้าแครอทหัวใหญ่ที่ตัวเองกำลังหั่นอยู่เลยสักนิด
“ให้มองมีด ไม่ได้ให้มองเท้าตัวเอง”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มหัวเราะอยู่ใกล้ๆ เอ่ยแซวก่อนจะปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระ โอเซฮุนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่เคยเลยจริงๆที่อยู่ใกล้จงอินแล้วจะไม่ใจสั่น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกรู้สึกดี รู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เกือบทุกๆขั้นตอน จงอินคอยบอกเขาว่าต้องทำยังไง มีบ้างที่ทำให้ดูและให้เขาทำตาม แต่จงอินก็ปล่อยให้เขาเป็นคนทำทั้งหมด อาหารง่ายๆสองสามอย่างถูกจัดไว้ในจานน่ารักๆ ข้าวหอมๆนุ่มๆถูกตักใส่ถ้วยจนฟูล้นน่ากิน ทั้งคู่นั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะ เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง รอฟังคำวิจารณ์จากอีกคนอย่างใจจดใจจ่อ
อาหารมื้อนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ จะกี่ครั้งเซฮุนก็ยังกินเลอะเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แก้มกลมๆขาวๆเต็มไปด้วยอาหาร ถึงข้าวจะเต็มปากก็ยังพูด กระทั่งเวลาผ่านไป ตะเกียบและช้อนถูกวางไว้บนถ้วย สองมือยกขึ้นแปะเข้าหากัน ขอบคุณอาหารที่ให้เขาอิ่มในวันนี้ ขอบคุณที่ทำให้เขาได้มีช่วงเวลาดีๆกับคิมจงอิน
“โตแล้วก็ยังกินเลอะอยู่ดี”
เอ่ยพร้อมกับมือหนาที่เอื้อมข้ามโต๊ะมาหา นิ้วเรียวหยิบข้าวเม็ดเล็กออกจากข้างแก้มให้ เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยีหลังจากที่ได้รับการลูบหัวเป็นรางวัล เขาชอบให้จงอินลูบหัว เขาชอบให้จงอินสัมผัส .. เขาชอบทุกอย่างเลย
เป็นอีกวันที่คิมจงอินมานอนกับเขาด้วย นั่นก็เพราะว่าปาร์คชานยอลไม่อนุญาตให้เขานอนคนเดียว ชายหนุ่มเอ่ยกำชับเพื่อนสนิทไว้ตลอด แต่เด็กหนุ่มก็คงไม่รู้ ร่างเล็กในชุดนอนสีครีมและผมที่เปียกหมาดๆเดินเอาผ้าเช็ดตัวโปะหัวออกมาหาจงอินที่ห้องนั่งเล่น ทั้งๆที่อาบน้ำพร้อมกันแท้ๆ แต่จงอินกลับอาบเสร็จก่อนเขา
“ไงไอตัวเล็ก นอนไม่หลับหรือยังไง”
“เช็ดผมให้หน่อยครับ”
ยังเรียกตัวเล็กเหมือนเดิมแม้ว่าตอนนี้อีกคนจะไม่ได้ตัวเล็กแล้วก็ตาม เจ้าของชื่อไม่ได้สนใจคำถามของอีกคนเลยสักนิด เซฮุนเดินหน้ามึนเข้ามาพร้อมกับนอนคว่ำลงบนตักของจงอินที่นั่งอยู่บนโซฟา เพราะรู้ดีว่าจงอินจะไม่ปฏิเสธเขาเหมือนชานยอลแน่ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆก่อนที่มือหนาจะหยิบผ้าผืนเล็กบนหัวมาเช็ดผมให้เบาๆ เด็กหนุ่มหลับตาพริ้ม เขาอยากจะนอนตรงนี้ไปทั้งคืนเลย
“เสร็จแล้ว”
ผ้าเช็ดผมผืนเล็กถูกวางพาดไว้ที่พนักพิงโซฟา เสียงทุ้มเอ่ยบอก ก่อนที่ร่างเล็กๆจะพลิกตัวขึ้นนอนหงาย ตากลมๆมองจ้องไปยังม่านคมเงียบๆ ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากริมฝีปากสีอ่อน ขอเพียงแค่ได้มองเฉยๆ เขายังไม่อยากให้คืนนี้ผ่านไปเลย
“มองอะไร”
“มองคนใจดีครับ”
“ใครสั่งใครสอนให้พูดจาน่ารักแบบนี้ หืม”
ริมฝีปากหยักระบายยิ้มอ่อนโยน เด็กหนุ่มนึกถึงวันนั้นที่เขานอนมองหน้าปาร์คชานยอลอยู่ตรงนี้ มันเหมือนกันกับตอนนี้ทุกอย่างเพียงแต่ชานยอลไม่ได้พูดแบบนี้กับเขา ตาคมๆนั้นมองนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยและเซ็งกะตาย แขนแกร่งสองข้างวางเท้าพนักพิงไปข้างหลัง แถมยังพูดจาไม่ถนอมเขาเลยสักนิด
‘มองห่าอะไร’
‘มองคนใจดีครับ’
‘ถ้ามึงยังไม่เลิกจ้องกูด้วยสีหน้าแบบนั้น กูจะควักลูกตามึงออกมา ลุกออกไปได้แล้ว’
แต่โอเซฮุนไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นอันตรายต่อหัวใจของปาร์คชานยอลมากแค่ไหน ใบหน้าน่ารักและน้ำเสียงที่ออดอ้อนนั้นกำลังจะฆ่าเขาทั้งเป็น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไอ้เด็กนี่กำลังทำให้เขาเขิน ปาร์คชานยอลเลือกที่จะเลี่ยงโดยใช้วิธีที่แย่ๆตามแบบฉบับของเขา
พูดดีๆไม่ได้ แสดงออกไม่เป็น
เขาไม่รู้จะทำยังไงนอกจากใช้การกระทำอ้อมโลกเพื่อให้เด็กนั่นรับรู้ความรู้สึกของเขา
กระทั่งใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆเลื่อนลงมาใกล้เรื่อยๆ ปลายจมูกโด่งคมแตะสัมผัสกับจมูกรั้นแผ่วเบา ร่างเล็กสะดุ้งหลุดจากภวังค์ ไม่มีปาร์คชานยอลอยู่ในความคิดของเขาแล้วตอนนี้ มือขาวกำกางเกงตัวเองแน่นจนยับยู่ ทนไม่ได้จนต้องหลับตาลงเพื่อหนีสายตาคู่นั้นที่มองจ้องมายังเขา หัวใจดวงน้อยเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก
ริมฝีปากร้อนเคลื่อนใกล้ รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจเมื่อมันค่อยๆแตะสัมผัสเบาๆที่ริมฝีปากสีอ่อน กดน้ำหนักลงมาบดเบียดกับริมฝีปากเล็ก กัดเบาๆที่ริมฝีปากล่าง ขบเม้มมันราวกับอดทนมาเนิ่นนาน ลิ้นร้อนสอดเข้ามารุกไล่ในเวลาต่อมา ใบหน้าคมเอียงปรับองศาเล็กน้อยเพื่อให้จูบได้ถนัดยิ่งขึ้น นั่นยิ่งทำให้ร่างเล็กๆเกร็งสั่นด้วยความไม่เคย
ไม่เคยเลย แม้แต่ปาร์คชานยอลที่อยู่กับเขาเกือบทุกวัน นอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกัน คนที่เป็นเจ้าของกลับไม่ได้แม้แต่จะจูบ ปาร์คชานยอลเว้นช่องว่างไว้ให้เขาเสมอ ถึงแม้ว่าอยากจะสัมผัส อยากจูบ อยากกอดมากขนาดไหนก็ตาม
แต่วันนี้คิมจงอินได้มันไปแล้ว ทั้งจูบแรก และหัวใจ ..
ริมฝีปากร้อนผละออกไปแล้ว ฝ่ามือหนาลูบเบาๆที่กลุ่มผมนุ่ม เกลี่ยปอยผมที่ลงมาปรกหน้าออกจากหน้าผากมน ม่านกลมจ้องมองใบหน้าอีกคนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เช่นเดียวกับสายตาอบอุ่นที่มองจ้องมายังเขา ก้อนเนื้อใต้อกซ้ายกำลังเต้นระรัว ตีดังราวกับฟาดไม้ลงบนหน้ากลอง
“หน้าเธอแดงหมดแล้ว”
ไม่มีใครชอบคนใจร้ายหรอก ..
พี่ชานยอล ผมขอโทษนะ
✞
วันนี้เป็นวันเกิดของเซฮุน ..
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็นับเป็นวันธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย เด็กหนุ่มนั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องสมุด วันสอบใกล้เข้ามาทุกที เขาต้องตั้งใจเป็นพิเศษเพื่อให้ได้เกรดดีๆไปอวดจงอิน .. ทุกอย่างในชีวิตของเซฮุนมีจงอินรวมอยู่ด้วยเสมอ
ข้อสอบไม่ได้ยากอย่างที่คิด เขาทำได้เกือบหมดทุกข้อ เด็กหนุ่มลุกออกจากห้องสอบคนแรกด้วยท่าทีสบายๆเหมือนเคย ส่งข้อสอบให้กับอาจารย์ผู้คุมพร้อมกับโค้งให้อย่างนอบน้อม เดินลงบันไดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
วันนี้จงอินมารับเขาเร็วกว่าปกติ ปอร์เช่สีเงาขับเทียบจอดที่ข้างตึกพร้อมกับเลื่อนกระจกลง เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ไม่รู้ทำไมถึงหุบยิ้มไม่ได้เลยสักที ประตูด้านข้างคนขับถูกเปิดออก ก่อนคนตัวขาวจะสอดตัวเข้าไปนั่ง มีเพียงแค่คำพูดทักทายไม่กี่ประโยคจากคนอายุมากกว่า แต่ความเงียบภายในรถคันนั้นกลับให้ความอบอุ่นแก่เซฮุนอย่างประหลาด
วันนี้วันเกิดเซฮุน และแน่นอนว่าจงอินต้องรู้ ก็เขาเล่นบอกล่วงหน้าเกือบหนึ่งอาทิตย์ จงอินให้วันพิเศษแก่เด็กหนุ่มด้วยการตามใจหนึ่งวัน ไม่บ่อยนักหรอกที่จงอินจะตามใจเขาอย่างวันนี้ .. จงอินมักจะหยิบยื่นอะไรดีๆให้กับเซฮุนเสมอ แม้บางทีเจ้าตัวจะรู้สึกขัดใจก็ตาม
รถปอร์เช่คันหรูถูกจอดทิ้งไว้ที่บ้าน การขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นอะไรที่เซฮุนปรารถนาอยากจะลองสักครั้ง และวันนี้มันก็ถึงโอกาสนั้นแล้ว ชานยอลไม่เคยปล่อยให้เขาต้องไปไหนมาไหนเองด้วยรถโดยสารสาธารณะแบบนี้เลย เด็กหนุ่มก้าวผ่านทางกั้นไปอย่างตื่นเต้น หันไปมองคนอายุมากกว่าที่กำลังจะข้ามผ่านมาเช่นกัน
วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย สองร่างเบียดเสียดเข้าไปในหมู่คนเพื่อเข้าถึงตัวโบกี้ มีที่ว่างๆริมประตูพอให้ผู้ชายตัวสูงใหญ่เช่นเขาทั้งคู่ มือหนาถือวิสาสะคว้าข้อแขนเล็กไว้แล้วพาเดินไปตรงนั้น
“ชอบไหม”
“ชอบสิครับ”
ยิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวจนคนถามต้องยิ้มตาม ร่างขาวยืนพิงผนังพร้อมกับเกาะชายเสื้อจงอินไว้ ในขณะที่อีกคนยืนหันหน้าเข้าหา ฝ่ามือใหญ่เอื้อมขึ้นจับราวด้านบน รถความเร็วสูงโงนเงนไปมาตามแรง แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ไม่ได้รู้สึกกลัว กลับรู้สึกตื่นเต้นเสียมากกว่า ม่านกลมกวาดมองไปทั่วกลุ่มผู้คนที่เบียดเสียดกันแน่น เบียดเสียจนใบหน้าขาวจ่ออยู่กับไหปลาร้าและบ่ากว้าง ได้กลิ่นน้ำหอมจางๆชวนให้ใจเต้นอีกแล้ว
เซฮุนไม่ได้ต้องการอะไรเลิศหรู ไม่ได้ต้องการสิ่งพิเศษใดๆในวันเกิดของเขา เพียงแต่ต้องการเวลาที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้เท่านั้น อยากทำหลายๆอย่างด้วยกัน อยากให้จงอินรับรู้ว่าเขารู้สึกยังไงก็เท่านั้นเอง
แวะกินข้าวที่ร้านในย่านฮงแดหลังจากที่เดินเล่นกันจนล้าขาไปหมด ช่วงหัวค่ำไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่ามันเร็วไปสำหรับการเดินช็อปปิ้งในย่านนี้ เซฮุนไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ พวกเขาแค่ต้องการร้านเงียบๆ ที่มีอาหารอร่อยๆให้นั่งกิน แค่อยากฉลองด้วยกันเงียบๆ
ร้านเนื้อย่างตรงหัวมุมตรอกส่งกลิ่นหอมฉุยชวนทานเหลือเกิน ไม่ต้องให้พูดอะไรมากความ ทั้งคู่พากันเดินเข้าไปในทันที มีที่ว่างที่ริมกระจกเกือบด้านในสุดของร้าน เมนูเล่มใหญ่เปิดวางตรงหน้า จงอินยอมให้เซฮุนสั่งได้ทุกอย่างที่อยากกิน
“หืม ? มีอะไรรึเปล่า”
ระหว่างที่กินไปคุยไป จู่ๆเด็กหนุ่มก็ก้มลงมองด้านล่าง โทรศัพท์มือถือสั่นและแผดเสียงร้องโดยที่เขาแทบไม่รู้ตัวเลยสักนิด กระทั่งมันดับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หยิบขึ้นมาเช็คอีกทีก็เห็นเบอร์ของชานยอลขึ้นมิสคอลแล้ว
“อ่อ เปล่าหรอกครับ”
เซฮุนเลือกที่จะปฏิเสธไป กดล็อคหน้าจอแล้วสอดมือถือเครื่องหรูไว้ในกระเป๋ากางเกง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับหรืออะไร เพียงแต่ตอนนี้เขาอยู่กับจงอิน แถมยังกินข้าวอยู่ด้วย มันคงเป็นการเสียมารยาทแน่ๆถ้าเขาโทรกลับ ไว้กลับบ้านแล้วค่อยโทรหาก็แล้วกันนะ
ไม่มีคำพูดใดๆนอกจากการจับมือเดินไปด้วยกันเงียบๆ การเดินเล่นท่ามกลางแสงสีในยามค่ำคืนมันสุดยอดที่สุด เสียดายที่ไม่เคยได้มีโอกาสแบบนี้ ทั้งคู่หยุดยืนที่หน้าร้านไอศกรีมร้านเล็กๆ เนื้อครีมหวานข้นสีน่ากินกำลังถูกกดบีบลงบนโคนอันใหญ่ ตกแต่งด้วยท็อปปิ้งสีสันสดใส ทั้งคู่หัวเราะออกมาด้วยความเคอะเขิน จงอินลูบหลังคออย่างเก้ๆกังๆ หลับตาป๋พร้อมกับยิ้มกว้างออกมาด้วยความอาย .. ลืมไปเลยว่าเซฮุนไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
แต่สุดท้ายก็ได้ไอติมมาถือกินทั้งคู่ ไม่บ่อยนักที่จงอินจะได้ทำอะไรแบบเด็กๆ เกือบลืมไปแล้วว่าเขาอายุมากกว่าเซฮุนเยอะขนาดไหน จากเด็กตัวเล็กๆที่สูงไม่ถึงอก บัดนี้กลายเป็นชายหนุ่มที่ตัวสูงเกือบจะเท่าเขา จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เซฮุนโตขึ้นมากจริงๆ
เซฮุนไม่ได้ชอบไอติมวนิลาหรอก จริงๆแล้วเขาชอบช็อกโกแลตมากกว่า เพียงแต่จงอินไม่เคยรู้ และเขาก็ไม่คิดจะบอก อาจจะเป็นเพราะจงอินคิดว่าสีขาวของวนิลาเหมาะกับตัวเขา และสีน้ำตาลอ่อนของช็อกโกแลตเหมาะกับตัวเองก็ได้มั้ง
นั่งกินไอติมกันอยู่ที่สวนสาธารณะในตอนดึก แต่แสงไฟยังคงสว่างไปทั่วบริเวณไม่ต่างจากหัวค่ำ ดวงตาสองคู่เหม่อมองไปที่น้ำพุด้านหน้า แสงไฟหลากสีสันจากพื้นสาดย้อนขึ้นมาทำให้มวลน้ำดูน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก เพลงจากร้านสะดวกซื้อเปิดคลอเบาๆ ลมเย็นพัดเอื่อย .. ฝ่ามือขาวยังถูกกุมไว้บนตักของชายหนุ่ม
“วันนี้สนุกไหม”
“สนุกครับ อยากมาอีก” เจ้าของใบหน้าน่ารักพยักหน้าหงึกหงัก
“อยากมาอีกก็ต้องเป็นเด็กดี แล้วจะพามาอีก โอเคไหม”
“ผมโตแล้วหน่า”
“คนที่โตแล้วเค้าไม่กินเลอะแบบนี้หรอกรู้ไหม”
เกลี่ยปลายนิ้วโป้งเช็ดเอาคราบครีมสีขาวออกจากมุมปากเล็ก แต่ยังไม่ทันจะเช็ดได้หมด จู่ๆเซฮุนก็ซุกหน้าลงกับแขนของเขา ริมฝีปากนุ่มนิ่มเบียดเช็ดคราบไอติมนั้นจนเกลี้ยง ทิ้งไว้แต่รอยเลอะเป็นดวงๆที่แขนเสื้อ
“สะอาดแล้วครับ”
“ซักเสื้อให้ด้วยเลยนะ”
โอเซฮุนชอบเล่นอะไรแผลงๆอยู่เรื่อย ใบหน้าขาวผละออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา แก้มกลมๆขาวๆนั่นน่าหยิกเสียเหลือเกิน จงอินเอ่ยคาดโทษ เสียงดุๆนั่นไม่ได้ทำให้เซฮุนรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ไม่”
“ดื้อแบบนี้ วันหลังจะไม่รักแล้วนะ”
“จงอินครับ .. “
พูดถึงคำว่ารัก จู่ๆเด็กหนุ่มก็เงียบไป รอยยิ้มกว้างค่อยๆจางลง ใบหน้าขาวก้มลงมองที่มือที่จับกันอยู่ราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่าง ไม่มีคำตอบใดจากคนข้างๆ ราวกับว่าจงอินกำลังรอให้เขาพูดอยู่ เซฮุนคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องพูดสักที
“คือผม .. “
“เงียบก่อน “
รวบรวมความกล้าได้และกำลังจะพูดออกไปอยู่แล้ว อยู่ๆจงอินก็พูดแทรกขึ้นมาเสียอย่างนั้น มือหนาบีบแน่นก่อนจะค่อยๆคลายมือเขาออก ลุกยืนกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง เซฮุนเงยหน้ามองด้วยความงุนงง
“ไป! .. ไปเดี๋ยวนี้”
อยู่ๆก็ถูกกระชากให้ลุกขึ้นอย่างแรงจนเกือบล้มลงไป ฝ่ามือหนาประคองเอวเล็กไว้แล้วพาให้ออกวิ่งย้อนกลับไปข้างหลัง เซฮุนวิ่งตามที่จงอินสั่งทั้งที่ยังงงๆ ฉับพลันได้ยินเสียงดังปังลั่นไปทั่วบริเวณ เสียงปืนนัดที่สองตามมาติดๆ เหมือนกับว่ากำลังมีใครบางคนไล่ยิงพวกเขา ได้ยินเสียงดังขวับ เหมือนกับว่ากระสุนนัดนั้นเฉียดร่างไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด
“อย่าหันไปมอง วิ่งให้เร็วกว่านี้!”
จงอินไม่เคยตะคอก และครั้งนี้ก็ไม่ใช่การตะคอก หากแต่มันอยู่ในเหตุการณ์คับขัน ใบหน้าขาวหันกลับไปมองด้านหลังเพียงต้องการอยากจะรู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร ม่านกลมฉะเข้ากับใบหน้าของชายฉกรรจ์ที่กำลังวิ่งตามมาพอดี ลำแขนแกร่งโอบรอบหัวของเขาไว้ รั้งให้จมอยู่กับอกในขนาดที่วิ่ง ใจดวงน้อยเต้นถี่รัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขากลัว ..
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่ตามมาเป็นพวกอริของชานยอล ใช่ว่ายิ่งใหญ่แล้วจะไร้ศัตรู เป็นจงอินเกือบตลอดที่โดนหางเลขไปด้วย ปาร์คชานยอลไม่เคยให้ใครจับตัวได้ง่ายๆ แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหนักเอาการ ไม่เคยโดนไล่ฆ่าซึ่งๆหน้าแบบนี้ แถมตอนนี้เซฮุนยังอยู่ที่นี่กับเขาด้วย
วิ่งหนีเข้าไปในตรอกแคบๆ เพิ่งเคยเห็นจงอินหัวเสียเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้ เมื่อมองไปข้างหน้าแล้วพบว่าเป็นทางตัน กำแพงสูงตระหง่านล้อมกั้นตรอกเล็กๆนี้ไว้จนหมด จงอินไม่ได้สบถอะไรออกมา แต่ในท่าทีนิ่งๆนั้นก็ดูรู้ว่ากำลังหงุดหงิดไม่น้อย เซฮุนได้แต่ยืนเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาติดๆ ไม่มีหนทางอื่นใดให้หนีอีกแล้วนอกจากนี้
“คุณพกปืนรึเปล่า”
เอ่ยถามอีกคนด้วยเสียงสั่นๆ ถึงยังไงก็ต้องเผชิญหน้าแล้วตอนนี้ การจะฆ่าใครสักคนนั้นเซฮุนไม่ได้รู้จักถูกผิดอะไรเท่าไหร่นักหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่กับชานยอลมาตั้งแต่เด็ก แถมรอบกายของเขาก็ไม่ค่อยจะมีสิ่งถูกกฏหมายเสียด้วย จงอินพยักหน้า แม้จะพกปืนติดตัวไว้ตลอด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยใช้มันเพื่อปลิดชีวิตใคร
“อยู่ตรงนี้นะ อย่าออกมาเด็ดขาด จนกว่าฉันจะมารับ เข้าใจไหม”
“แล้วคุณ ..”
“แปปเดียว”
หันมาบอกเท่านั้นก่อนจะวิ่งออกไป เซฮุนได้แต่เดินย่ำไปย่ำมาด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูก มือไม้สั่นไปหมดด้วยความกลัว หายใจหอบถี่อย่างคุมตัวเองไม่อยู่ เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะหลบอยู่ที่นี่หรือออกไปตามจงอินกันแน่ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ใช่เด็กตัวกระเปี๊ยกที่ดูแลตัวเองไม่ได้เหมือนอย่างแต่ก่อน ไม่เข้าใจเลย ทำไมจงอินถึงไม่พาเขาออกไปด้วย
กระทั่งได้ยินเสียงโหวกเหวกดังลั่นมาจากหัวมุมตรอก เซฮุนไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปในทันที สมองไม่ทันได้ประมวลผลอะไรแล้ว แทบช็อกเมื่อเห็นชายร่างใหญ่สองสามคนกำลังตะลุมบอนอยู่กับจงอิน กำปั้นเล็กบีบเข้าหากันแน่น ตอนนี้เขาควรจะทำอะไรสักอย่าง
กระทั่งหนึ่งในสามเพลี่ยงพล้ำ ถูกจงอินถีบเข้าให้จนหงายหลังไป ถองศอกเข้าแรงๆที่ซี่โครงจนแน่ใจว่าได้ยินเสียงแตกลั่นของกระดูก ชายฉกรรจ์อีกหนึ่งคนลงไปนอนงอที่พื้นด้วยความเจ็บปวด จงอินควักปืนออกมา จ่อไปที่กลางกระหม่อมของคนที่กำลังจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่เขา .. ชายผู้นั้นชะงักค้างนิ่ง
“โอ๊ะโอ๋ วันนี้เสียเที่ยวซะแล้ว”
ชายที่ถูกถีบเมื่อลุกขึ้นได้ก็เข้าประชิดตัวคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลังในทันที ลำแขนใหญ่เกี่ยวรั้งคอขาวไว้แน่นจนเซฮุนต้องสำลักอากาศเพราะหายใจไม่ออก สองมือจิกทึ้งแขนนั่นเป็นพัลวัน กลัวจนน้ำตาไหล
“นึกว่าไอตัวหัวหน้า ที่ไหนได้ ลูกกระจ๊อก”
น้ำเสียงยั่วโมโหเอ่ยขึ้นอีกประโยค ก่อนผู้พูดจะควักปืนขึ้นมาจ่อขมับของคนในอาณัติเอาไว้ ชายร่างใหญ่อีกคนแค่นยิ้ม ถอยหลังไปอยู่ข้างพวกเดียวกัน ยืนมองจงอินที่กำลังยืนถือปืนนิ่ง ฟันคมขบกรามแน่นจนนูนขึ้นเป็นสัน
“ขอไอ้เด็กนี่ไปแล้วกัน แล้วให้ไอ้ชานยอลมันมาไถ่เอา ตกลงไหม”
จะว่าไปแล้วไม่ใช่ว่าเซฮุนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทุกคนที่รู้จักกับเกี่ยวโยงกันหมด เด็กหนุ่มกำลังถูกลากถอยหลัง ในขณะที่ปืนกระบอกนั้นยังจ่ออยู่ที่เดิม ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมชานยอลถึงไม่เคยปล่อยเขา จงอินขมวดคิ้วแน่น ในหัวกำลังคิดหาทางออก ถ้าเกิดเซฮุนเป็นอะไรไปแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ ไม่ดีแน่
“อ้ะๆ อย่าตุกติก ถ้ามึงยิง กูยิง”
เอ่ยเตือนสติชายหนุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นจงอินก็คงไม่ใจเย็นอีกต่อไปแล้ว วินาทีนี้เขาต้องเสี่ยง เพราะเขาเองก็ไม่รับประกันว่าถ้าพวกมันได้ตัวเซฮุนไปแล้วเด็กหนุ่มจะปลอดภัยรึเปล่า นิ้วโป้งเลื่อนเดือยขึ้นนกดังแกร๊ก ก่อนตัดสินใจยิงโป้งเข้ากลางท้องของคนที่ถือปืนอย่างจัง
“อึ่ก! มึง!”
รีบใช้โอกาสนี้วิ่งไปคว้าตัวอีกคนมาในทันที คราวนี้ไม่ต้องบอกให้วิ่งแล้ว เซฮุนออกวิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอให้หลุดไปจากตรงนี้ ขอให้พ้นไปจากตรงนี้ .. นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าชานยอลรู้จะเกิดอะไรขึ้น
ตลอดทางที่นั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาล จงอินนั่งค้อมตัวไปข้างหน้า เท้าศอกไว้กับเข่าตัวเองและก้มหน้าอยู่ตลอด เซฮุนได้แต่นั่งนิ่งๆและเหลือบมองอีกคนเป็นระยะๆ เพิ่งเห็นว่าแผ่นหลังของจงอินนั้นมีรอยถากเป็นทางยาว เลือดสีเข้มเริ่มแห้งกรังเปรอะเสื้อที่ขาดวิ่น ไม่อยากจะคิดเลยว่าจงอินจะเจ็บขนาดไหน แค่เขาถูกรัดคอก็แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว ริมฝีปากอิ่มที่สั่นเครือเม้มแน่นอย่างชั่งใจ ความกลัวและหวาดผวากับเหตุการณ์เมื่อครู่ยังไม่หายไป แม้แต่มือก็ยังไม่กล้าเอื้อมไปจับ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จงอินจะถูกชานยอลเล่นงานอะไรเข้าอีก เขากลัว กลัวไปหมดแล้ว
ให้พยาบาลทำแผลตามลำตัวให้พร้อมกับรับยาทา เซฮุนไม่ได้เป็นอะไรมากนอกจากมีร่องรอยช้ำนิดหน่อยที่บริเวณคอ ในขณะที่เนื้อตัวของจงอินเต็มไปด้วยรอยช้ำ หัวคิ้วและมุมปากแตกจนได้เลือด แถมยังมีแผลใหญ่ที่แผ่นหลังอีก วันเกิดเขานี่มันวันซวยแท้ๆ
ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน เซฮุนถูกไล่ให้ไปอาบน้ำโดยไม่มีข้อแม้ เจ้าตัวก็ไม่อิดออด เด็กหนุ่มรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาหาจงอินที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับกะละมังน้ำอุ่นและผ้าขนหนู แผลที่หลังใหญ่ขนาดนั้นคงจะอาบน้ำไม่ได้
“เจ็บมากไหมครับจงอิน”
“ทายาเดี๋ยวก็หายแล้ว”
จงอินถอดเสื้อยืดนั่นออกไปโดยไม่ต้องให้บอก บัดนี้ชายหนุ่มเหลือเพียงท่อนบนที่เปลือยเปล่ากับกางเกงยีนส์สีซีดที่เปรอะฝุ่นกำลังยืนหันหลังให้เขา มือน้อยๆที่สั่นเทาค่อยๆเช็ดไปตามเนื้อตัวของอีกคน แค่เห็นแผลก็น้ำตาไหลไม่หยุด
“ไม่ต้องร้องไห้ .. ฉันจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรเธอ”
ได้ยินเสียงเล็กๆสะอื้นไห้อยู่ข้างหลัง น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยปลอบประโลม รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจแม้ไม่ได้หันกลับมา กระทั่งเช็ดตัวจนเสร็จแล้ว ร่างหนาหมุนตัวหันหลังกลับ จับเชยคางเรียวนั้นขึ้น ใช้ปลายนิ้วโป้งเลื่อนเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าสวยอย่างแผ่วเบา
“ฉันไม่เจ็บหรอก ไม่ต้องร้อง”
“ฮึก ..”
ทันทีที่ริมฝีปากหยักส่งยิ้มอ่อนโยนกลับมาให้ สองแขนเล็กโผเข้ากอดร่างตรงหน้าอย่างเต็มรัก กอดแน่นจนแทบไม่เหลือที่ว่าง ใบหน้าขาวซุกจมอยู่ที่แผ่นอกกว้าง สะอื้นฮักจนตัวโยน เสียงสั่นพร่ำเอ่ยฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“ผมไม่อยากให้คุณอยู่ที่นี่ ผมไม่อยากให้คุณต้องเจ็บตัวแทนเขาอีก”
พูดถึง ‘เขา’ คนนั้นที่ตอนนี้มัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่บ่อยนักที่เซฮุนจะพูดเยอะอย่างเช่นวันนี้ มันคงเก็บไว้นานและอัดอั้นเต็มทนแล้ว มือหนายกขึ้นลูบหัวคนในอ้อมกอดเบาๆ ยืนนิ่งรอฟังประโยคที่เซฮุนจะพูดต่อ
“ไปเถอะนะครับจงอิน จะทิ้งผมไว้ที่นี่ก็ได้ ..”
ผละออกจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น เด็กน้อยของเขาเงยหน้าพูดกับเขาทั้งน้ำตา มันไหลออกมามากเสียจนเช็ดยังไงก็เช็ดไม่หมด ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเล็กๆ สองมือใหญ่ค่อยๆประคองใบหน้าเว้าวอนนั้นให้เงยขึ้น มองจ้องด้วยสายตาที่สื่อความรู้สึกหลากหลาย
“ผมแค่ไม่อยากเห็นคุณต้องเจ็บอีกแล้ว”
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
cut
“ฉันรักเธอ”
บรรจงจูบแผ่วเบาที่ข้างขมับชื้นเหงื่อ เซฮุนผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน เปลือกตาสีมุกที่หลับพริ้มรับกับแพขนตายาว จงอินจัดการห่มผ้าผืนหนาคลุมร่างเล็กๆนั้นไว้ก่อนที่ตัวเองจะลุกไปใส่เสื้อผ้าและออกไปข้างนอก .. เขาคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว
…
เครื่องแลนดิ้งดีเลย์ไปเกือบชั่วโมง ปาร์คชานยอลยังอยู่บนทางด่วน นี่มันเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว เขาคงไปหาเซฮุนไม่ทันวันเกิดแน่ๆ หันไปมองกล่องของขวัญที่เขาตั้งใจซื้อให้เด็กนั่นที่วางอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ นั่นยิ่งทำให้เขาต้องเหยียบคันเร่งจนมิด
“โถ่เว้ย!!”
ปิ๊นๆๆๆ
เที่ยงคืนสิบนาทีแล้ว รถติดตรงทางที่จะเลี้ยว ปาร์คชานยอลสบถอย่างหัวเสีย ทุบมือลงบนพวงมาลัยแล้วบีบแตรรัวๆจนมันดังลั่นไปทั่วทั้งถนน เขาไม่สนหรอกว่ามันจะเสียมารยาท ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าเซฮุนอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเด็กนั่นจะรอเขาอยู่ไหม แต่เขาบอกมันไปแล้วว่าเขาจะกลับวันนี้
ครืดด ปึง!
ถอยหลังไปเล็กน้อยแล้วเหยียบคันเร่งจนรถพุ่งไปชนคันข้างหน้าอย่างเต็มแรง รถเก๋งสีบรอนซ์ที่ขวางเขาอยู่จึงได้ฤกษ์เลื่อนออกไปให้พ้นทาง ชายหนุ่มหันไปชูนิ้วกลางให้เจ้าของรถคันนั้นที่ลงมาดูความเสียหาย วินาทีนี้ช่างแม่งทุกอย่าง ยังไงเขาก็มีเงินซื้อรถคันใหม่เป็นสิบๆคันอยู่ดี
ออกจากลิฟท์มาอย่างทุลักทุเล ไม่เคยรีบถึงขนาดต้องวิ่ง ตอนนี้ปาร์คชานยอลเหมือนหมาที่วิ่งคาบเอากระดูกไปหาเจ้าของก็มิปาน มันน่าสมเพชและเขาก็รู้ตัว แต่เขาคงจะไม่ให้เด็กนั่นรู้ว่าเขาทำอะไรงี่เง่าแบบนี้แน่ๆ
แกร๊ก
ไฟเปิดอยู่ แสดงว่าเด็กนั่นคงยังไม่นอนจริงๆด้วย หรือว่าจะรอของขวัญวันเกิดจากเขา แน่นอนว่าถึงเขาจะพูดอะไรดีๆไม่เคยเป็น แต่ยังไงเขาก็ไม่เคยลืมอะไรที่เกี่ยวกับเด็กนั่นอยู่แล้ว ชายหนุ่มเหวี่ยงเป้ลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียง หอบหายใจเล็กน้อยด้วยความเหนื่อย แม้แต่สัมภาระอะไรก็ไม่ได้เอาขึ้นมา
“หือ .. พี่ชานยอลกลับมาแล้วหรอครับ”
น่าแปลกที่เซฮุนนอนอยู่บนโซฟาแทนที่จะเป็นในห้อง เด็กหนุ่มงัวเงียลุกขึ้นมานั่งเพราะได้ยินเสียงดังจนตื่น ปาร์คชานยอลขมวดคิ้ว หันกลับไปยังต้นเสียง กระทั่งเห็นผ้าห่มที่คลุมร่างขาวเนียนร่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง ประกอบกับเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้บนพื้นพรม ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะจับต้นชนปลายอะไรบางอย่างได้แล้ว
“มึงเอากับมันหรอ”
ถามไปตรงๆอย่างไม่มีอ้อมค้อม ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่แล้วยกเว้นแต่เรื่องความรัก ใบหน้าคมยังคงนิ่ง ยืนรอฟังคำตอบจากคนที่นั่งอยู่บนโซฟาทั้งๆที่กล่องของขวัญที่ถืออยู่กำลังจะถูกบีบจนแหลกคามือ
“...”
เซฮุนนิ่งไปเลย ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี เขาไม่ได้คิดจะโกหก เพียงแต่ไม่รู้ว่าถ้าตอบไปตามจริงจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาและจงอิน มือชื้นเหงื่อขยำผ้าห่มแน่นด้วยความกลัว ได้แต่พยักหน้าน้อยๆอย่างจำยอม ไม่รู้ว่าชานยอลจะเกิดบ้าอาละวาดทำร้ายร่างกายของอีกรึเปล่า ตอนนี้คงต้องเสี่ยงแล้ว
“เข้าไปนอนในห้องไป”
น่าแปลกที่ชานยอลนิ่งกว่าปกติ สายตาคู่นั้นแทบไม่มองเขาเลยด้วยซ้ำ เซฮุนลุกเดินเข้าไปนอนในห้องแต่โดยดีเพราะไม่รู้ว่าอารมณ์อีกคนจะปะทุออกมาเมื่อไหร่ ชายหนุ่มเพียงแค่ถอนหายใจออกมา รู้สึกจุกจนพูดอะไรไม่ออก แค่เห็นไอ้เด็กนั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ไม่กล้าทำห่าอะไรแล้ว กลัวมันจะเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้
บุหรี่มักจะเป็นเพื่อนในยามยากสำหรับเขาเสมอ ปาร์คชานยอลเดินออกไปที่นอกระเบียง ไอ้จงอินไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ให้เดาว่าคงไม่กล้าสู้หน้าเขา พรุ่งนี้คงต้องเคลียร์กันยาว มิตรภาพที่มีมากว่าเจ็ดปีคงต้องขาดสะบั้นลง
✞
“พี่ .. ผมรักเขา”
“ปั้ก!!”
เสียงโหวกเหวกดังลั่นห้องในช่วงบ่ายของวันถัดมา ข้าวของภายในห้องหล่นกระจายจนเละเทะไปหมด เศษกระจกแตกละเอียดจนไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยเท้าเปล่า มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าเซฮุนไม่ได้เป็นฝ่ายสารภาพกับเขาก่อน เขาอุตส่าห์เงียบ ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้เซฮุนกลับพูดออกมาซึ่งๆหน้า ราวกับไม่เคยแคร์ความรู้สึกเขาเลยแม้แต่นิด
“แล้วมึงไม่รักกูหรือไง!!!”
เสียงทุ้มห้าวตะคอกดังจนร่างขาวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ฝ่ามือกร้านกำแน่นจนเส้นเลือดปูนโปนดูน่ากลัว ยังคงตะโกนแม้เริ่มจะไม่มีเสียงเพราะรู้สึกจุกที่คอจนพูดไม่ออกแล้วก็ตาม ใบหน้าคมคายจ้องมองไปที่อีกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงตาแดงก่ำภายใต้ม่านใสที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตากำลังข่มตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา ขบกรามแน่นจนปวดขมับไปหมด เขาไม่เข้าใจเลย
“ตอบกูสิวะ!!!”
คว้าอะไรไว้ในมือได้ก็เขวี้ยงใส่ร่างโปร่งตรงหน้าอย่างแรงด้วยโทสะ เล่นเอาใบหน้าขาวๆนั่นขึ้นรอยถลอกแม้จะหันหน้าหลบแล้วก็ตาม แต่คนตัวเล็กกว่าก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม รอยฟกช้ำหลายรอยบนตัวของเด็กหนุ่มนั้นเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าปาร์คชานยอลรุนแรงกับเขาแค่ไหน และเซฮุนก็ยอมทุกครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะรุนแรงเท่ากับครั้งนี้
“มึงจะนิ่งทำไม!! พูดสิวะ!!!”
กระชากคอเสื้อไหมพรมสีขาวที่อีกคนสวมใส่เข้ามาใกล้อย่างแรงจนร่างโปร่งล้มลงใส่โซฟากำมะหยี่ตรงหน้า และซ้ำทันทีด้วยการยกหัวเข่ากระแทกอัดเข้าที่สีข้างของอีกคนแรงๆด้วยความโมโหที่คั่งค้างและอัดอั้นมาตั้งแต่เมื่อคืน เตะเข้าซ้ำๆจนเซฮุนนอนงอตัวด้วยความจุก ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น รู้ว่าน้องคงเจ็บ .. แต่ความเจ็บปวดที่เซฮุนได้รับในครั้งนี้คงยังไม่เท่าเศษเสี้ยวความรู้สึกที่เขาได้รับ มันเจ็บ มันจุก มันปวด ไม่มีแม้แต่น้ำตาซักหยดให้ไหล มันชาเหมือนโดนตบหน้าแรงๆด้วยใบมีดคมๆ บาดลึก .. ทิ้งรอยแผลใหญ่ไว้ให้เขา
“มึงเห็นกูโง่หรอเซฮุน!! มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร!!”
กระชากผมสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมาอย่างแรงจนคนตัวขาวต้องลุกตามด้วยความเจ็บ หยดน้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสายแม้จะไร้แรงสะอื้น ริมฝีปากกรังเลือดเม้มแน่นด้วยกลัวว่าจะเผลอพูดอะไรที่เป็นการทำร้ายจิตใจอีกคนออกไป ไม่มีคำพูดใดๆเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากนั้น ม่านกลมจ้องกลับเข้าไปในดวงตากลม สื่อความรู้สึกหลากหลายตีกันปนเปไปหมด
“มึงรักกูใช่ไหม พูดสิวะ .. แค่พูดออกมา ว่ามึงรักกู”
ฝ่ามือชื้นเหงื่อปล่อยกลุ่มผมนุ่มให้เป็นอิสระ ก่อนจะค่อยๆเลื่อนลงมา กอบกุมใบหน้าขาวที่มีรอยฟกช้ำที่เขาเป็นคนทำไว้ เกลี่ยหลังมือไล้มันอย่างแผ่วเบาด้วยความอ่อนโยน เสียงทุ้มอ่อนลงจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ ฟังดูน่าสงสารจับใจ
“ผมขอโทษ .. พี่ .. “
…
สายลมพัดเอื่อยในยามเย็น ปาร์คชานยอลเลือกที่จะถีบตัวออกออกมาข้างนอกก่อนที่จะพลั้งมือตัวเองฆ่าเด็กนั่นให้ตายคามือ สูบบุหรี่มวนที่ห้าแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้น นิ้วเรียวยกขึ้นถูปลายจมูกที่แดงก่ำของตัวเองแรงๆ ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเองลวกๆ เกลียดที่ต้องมาร้องไห้ให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่ไหนก็ไม่รู้ เกลียดเพื่อนที่ทรยศเขา เกลียดทุกอย่าง วินาทีนี้เขาอยากฆ่าคนทุกคนที่เข้าใกล้เพียงเพื่อระบายอารมณ์ขุ่นมัวที่อยู่ในใจ ตอนนี้เขาใกล้เหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที
เดินไปตามทางโล่งๆ ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถปอร์เช่คันเดิมที่คุ้นตา ประตูรถถูกปิดอย่างแรง แต่เจ้าของรถที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร กลิ่นบุหรี่จากตัวอีกคนเหม็นคลุ้งไปทั่วทั้งรถ
“มึงกับกูคงต้องหักกันวันนี้แล้วใช่ไหม”
หลังจากที่นั่งอยู่นานเกินกว่าห้านาที เป็นปาร์คชานยอลผู้ใจร้อนที่เอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ เขาไม่ชอบความใจเย็นของจงอินเลยสักนิด รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มันเอาแต่เงียบและเอาแต่รอ ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว เอนหลังพิงเบาะแล้วมองออกไปที่ถนนโล่งๆ ถอนหายใจยาวอย่างไม่รู้จะเอายังไง
“มึงรู้ว่าเซฮุนเป็นของกู”
“มึงรู้ว่าเซฮุนรักกู”
“ไอ้สัตว์! แล้วยังไงวะ”
ได้ยินประโยคนั้นแล้วสติก็ขาดผึง ปาร์คชานยอลยืดตัวขึ้นกระชากคอเสื้อเพื่อนจนแทบจะขาดคามือ ตะโกนลั่นรถด้วยความเดือดดาล ฟันคมขบกรามแน่น สั่นไปทั้งตัวด้วยความโมโห ทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง อยากทำลาย อยากฆ่ามันให้ตายที่ทรยศเขา
“มีเหี้ยอะไรก็พูดสิวะ!”
เมื่อไม่ได้คำตอบจากจงอิน มีแต่สายตานิ่งๆที่จ้องกลับมา นั่นยิ่งทำให้ปาร์คชานยอลหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีก มือหนากระชากคอเสื้อเพื่อนแรงขึ้นอีก เค้นเอาคำตอบที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไม เขาแค่ต้องการเหตุผล ต้องการคำแก้ตัวที่ดีกว่านี้ เขาแค่อยากแน่ใจว่าเซฮุนจะยังเป็นของเขา
แกร๊ก
กระทั่งได้ยินเสียงดังแกร๊กเหมือนเหล็กกระทบเหล็ก สัมผัสเย็นๆบนข้อแขนทำให้สายตาคมต้องละจากใบหน้าเพื่อนสนิทลงไปมองที่ข้อมือของตัวเอง สองแขนถูกตรวนไว้ด้วยกุญแจมือ ม่านคมเบิกกว้าง เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทด้วยความไม่เข้าใจ
“กูยอมให้มึงทำผิดไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วว่ะไอยอล”
…
สามวันแล้วที่ปาร์คชานยอลหายไป ไม่มีแม้แต่เงาหรือข้อความให้เห็น เซฮุนนั่งเอาคางเกยพนักโซฟาอยู่เงียบๆ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์อ่อนๆในยามเช้าชวนให้เขานึกถึงคิมจงอินที่หายไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้เขาจะชินที่ไม่มีชานยอล แต่สำหรับจงอินที่อยู่ด้วยกันทุกวันแล้ว เขาไม่เคยชินเลยจริงๆ
เซฮุนไม่รู้หรอกว่าจงอินหายไปไหน เจ้าตัวบอกแค่ว่าเขาต้องไปสะสางธุระให้เสร็จ อาจจะมีโทรมาคุยบ้างตอนก่อนนอน เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกแย่ลงไปทุกวัน
ขาเรียวยาวเร่งก้าวฉับไปตามพื้นมันวาว กว่าจะจัดการเรื่องคดีเสร็จก็กินเวลาไปหลายวัน อันที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะจับชานยอล การที่ตำรวจจะเป็นเพื่อนกับหัวหน้าแก๊งค์ค้ายานั้นเป็นเรื่องยาก แต่เขาก็ได้ทำมันลงไปแล้ว ไม่ใช่ง่ายๆที่จะเข้าถึงตัวปาร์คชานยอล เขาเริ่มมาทำคดีนี้อย่างจริงจังเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่รู้ว่า เพื่อน ของเขาไม่ได้ทำงานถูกกฎหมายอย่างที่ใครๆคิดไว้
ไม่มีการยื่นร้องอุธรณ์ ไม่มีทนาย ไม่มีจำเลยหรือผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ หลักฐานทุกอย่างที่จงอินเพียรเก็บมากว่าห้าปีนั้นมัดตัวชานยอลได้อย่างอยู่หมัด มิตรภาพของพวกเขาจบลงตั้งแต่วันนั้น นับว่าความอดทนของคิมจงอินนั้นเป็นเลิศ เขาได้ผลงานชิ้นใหญ่ ทั้งยังได้เลื่อนขั้น ในขณะเดียวกันก็รู้สึกใจหาย
ปาร์คชานยอลถูกส่งตัวไปที่เรือนจำแล้วในเช้าวันนี้ และเขาเองควรจะไปรีบไปรับเซฮุนออกมาจากคอนโดนั้นให้เร็วที่สุด ทรัพย์สินทุกอย่างของปาร์คชานยอลถูกทางการยึดไว้หมด ทั้งสายงาน รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องกำลังถูกดำเนินคดี ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้สวย
สอดตัวเข้าไปในรถประจำตำแหน่ง ปอร์เช่คันนั้นถูกขายทิ้งเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและสำนักงาน ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆหนึ่งที ยังจำแววตาคู่นั้นได้ดี มันมองเขาด้วยความผิดหวัง คิมจงอินไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ เพียงแต่เขาต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อประเทศชาติ เพื่อตัวเอง และเพื่อคนที่เขารัก .. โอเซฮุนต้องไร้ซึ่งมลทิน
ก็อย่างที่บอก .. เขาจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรเซฮุนได้อีก
เหตุการณ์นั้นที่ผ่านมาทำให้เขาตัดสินใจจะปิดคดีได้ง่ายขึ้น เขาไม่ต้องการให้เซฮุนเป็นอันตรายใดๆอีก ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาความรู้สึกผิดต่อเพื่อนและความขัดแย้งต่อหน้าที่กำลังตีคู่ขนานกันมาโดยตลอด แต่ถึงยังไงเขาก็ต้องเลือกในสิ่งที่ถูก ไม่มีใครชอบคนเลว ไม่มีใครอยากเลว ทุกคนย่อมหาสิ่งดีๆให้กับตัวเองและคนที่ตนรักเสมอ
รถคันหรูค่อยๆเลื่อนออกไป ชายหนุ่มเลือกจะทิ้งมิตรภาพไว้ข้างหลัง และเดินหน้าทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก ..
สองแขนแกร่งถูกเติมเต็มด้วยร่างบอบบางทันทีที่มาถึง เด็กน้อยของเขาร้องไห้ไม่หยุดหลังจากที่รู้ข่าว แทบจะเรียกได้ว่าช็อค ต่อจากนี้ไม่มีอีกแล้ว ปาร์คชานยอลคนใจร้ายที่คอยรังแกเขา โอเซฮุนเป็นอิสระจากทุกอย่าง ทั้งคู่ช่วยกันเก็บข้าวของของเซฮุนย้ายออกไปจากที่นี่ เด็กหนุ่มจัดของใส่กระเป๋าทั้งที่น้ำตานองหน้า
ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยที่ได้อยู่กับจงอิน เหมือนมันมีอะไรบางอย่างขาดหายไป จากนี้ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล รถคันใหญ่เลื่อนมาจอดที่หน้าบ้าน เป็นบ้านหลังเล็กๆในหมู่บ้านจัดสรรค์ที่เขาเองก็ไม่คุ้นเคย ไม่มีอะไรเหมือนเดิมสักอย่าง แม้แต่จะบอกลากันก็ยังไม่ได้ทำ
ไม่คิดโกรธจงอินที่ทำแบบนั้น จงอินเลือกทำในสิ่งที่ถูก เพื่อปกป้องเขา ไม่รู้ว่าจงอินต้องใช้ความกล้าและความอดทนขนาดไหน เพียงแต่ตอนนี้เด็กหนุ่มต้องการจะอยู่คนเดียว และจงอินก็เข้าใจ ห้องนอนเล็กๆ ที่มีเตียงและข้าวของเครื่องใช้ถูกเตรียมไว้ให้สำหรับเขา จงอินอบอุ่นเสมอ
ข้าวต้มร้อนๆถูกนำมาตั้งไว้บนโต๊ะในห้อง ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวปลอบประโลมอย่างที่ชอบทำ ตอนนี้เซฮุนคงต้องการเวลา ริมฝีปากหยักกดประทับลงบนหน้าผากเนียน เอ่ยบอกฝันดีอย่างเช่นทุกคืน ก่อนที่ตัวเองจะต้องออกไปข้างนอกอีกครั้งเพื่อจัดการธุระต่อ
บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเบาๆเคล้าไปกับเสียงติ๊กต่อกของเข็มนาฬิกา เซฮุนไม่รู้ตัวเลยว่าเขานั่งเฉยๆอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานเท่าไหร่ เกือบสามชั่วโมงที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งเหม่อและคิดถึงเรื่องเดิมๆวนไปวนมา เขาควรจะมีความสุข ไม่ใช่รู้สึกแย่อยู่แบบนี้
ข้าวต้มในชามไม่ได้พร่องลงไปซักนิด เด็กหนุ่มเลือกที่จะเมินมันแล้วไปอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อไล่ความฟุ้งซ่านนั้นออกไป ชุดนอนสบายๆที่จงอินซื้อให้ถูกสวมใส่อย่างช้าๆ ราวกับรับรู้ในคุณค่าของมัน ถึงหลายๆอย่างที่เขาได้มานั้นจะมาจากจงอิน แต่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเงินของชานยอล เป็นความใส่ใจของปาร์คชานยอลทั้งสิ้น
น้ำตาไหลอีกแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เคยรับรู้เลยว่าผู้ชายเลวๆคนนั้นรักเขามากขนาดไหน ไม่เคยมีคำพูดหวานๆดีๆจะมอบให้นอกจากคำพูดที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ โอเซฮุนเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยความระมัดระวัง เว้นช่องว่างระหว่างตัวเองกับชานยอลไว้เสมอ ทั้งๆที่ชานยอลก็ให้ช่องว่างกับเขามากพออยู่แล้ว กลับกลายเป็นว่าเขาทั้งคู่ยิ่งห่างกันมากขึ้นไปอีก ห่างไกล.. จนความรักจากผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งส่งไปไม่ถึง
ความรู้สึกผิดมันประดังประเดเข้ามาจนหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ โอเซฮุนเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไม่รู้จะเอาเรื่องของผู้ชายคนนั้นออกไปจากความคิดของเขาได้ยังไงในเวลานี้ รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเขามันเป็นคนทรยศ ไม่รู้จักบุญคุณ ความไม่ลังเลของเขากำลังทำร้ายปาร์คชานยอลจนเจ็บปวดไปทั้งใจ
ค่อยๆนอนตะแคงใบหน้าลงบนหมอน นอนนิ่งๆเพื่อทบทวนอะไรบางอย่างที่เขาคิดมาเกือบทั้งวัน มันโยนทิ้งไปไม่ได้ กลับกันมันกลับเพิ่มพูนขึ้นมาอีกจนสมองที่เหนื่อยล้ามันแทบจะรับไม่ไหว แค่เขาเสียชานยอลไปก็ทำให้รู้สึกแย่ขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าการต้องสูญเสียทุกสิ่งมันเลวร้ายขนาดไหน
เปลือกตาบางปิดลงช้าๆ ดึงความกังวลให้จมลงไปในห้วงแห่งความฝัน สมองและหัวใจเหนื่อยล้าเต็มทน บอกฝันดีกับตัวเอง พรุ่งนี้เขาจะต้องดีขึ้นกว่านี้ บางทีตื่นมาอาจจะพบว่าตัวเองแค่ฝันไป
….
รู้สึกเหมือนมีอะไรขยับอยู่ใกล้ๆ เซฮุนตื่นขึ้นมากลางดึก หลีกหนีฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนแม้ในห้วงความคิด ม่านกลมกลอกไปมาในความมืด เขารู้สึกจริงๆว่ามีใครอยู่ในห้อง
“จงอินหรอครับ ?”
“เปล่า กูเอง”
กระทั่งเอ่ยถามออกไปท่ามกลางความเงียบ เสียงทุ้มห้าวที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างกาย หันกลับไปมองที่ต้นเสียงก็เห็นเงาลางๆของใครคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าคมคายจ้องมองเขานิ่งๆ ไม่มีท่าทีว่าจะโกรธหรือโมโหใดๆ
“พี่ชานยอล .. มะ .. มาได้ยังไง”
“คนอย่างกู ไม่โดนใครเค้าจับง่ายๆหรอก”
รีบลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ หลากหลายคำถามผุดขึ้นมาในหัวด้วยความสงสัย ปาร์คชานยอลยักไหล่อย่างที่ชอบทำบ่อยๆ กลิ่นบุหรี่จางๆเคล้าไปกับกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยทำให้เซฮุนเริ่มจะสับสน
“ผมฝันหรอ”
“ใช่ มึงฝัน”
“พี่คงไม่ยอมให้จงอินจับพี่หรอกใช่ไหม”
เปลี่ยนคำถามเมื่อรู้ว่ายังไงก็คงไม่ได้คำตอบดีๆให้เขาได้เข้าใจ คนปากแข็ง ยังไงก็ยังปากแข็ง ปาร์คชานยอลเอ่ยตอบกวนอารมณ์พร้อมกับคลี่ยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่แทบไม่เคยได้เห็น แต่ในสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ ทำไมผู้ชายคนนี้กลับยิ้มออกมาได้นะ
“ถึงยังไง ตัวร้ายก็แพ้พระเอกอยู่ดีไม่ใช่หรอวะ”
ไม่ได้ตอบคำถามนั้น หากแต่ประโยคที่ตัวเองเพิ่งพูดไปนั้นจะทำให้รู้สึกเจ็บไปทั้งใจ จุกอยู่ที่ลำคอเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น ปาร์คชานยอลแค่นหัวเราะให้กับโชคชะตาของตัวเอง
“ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว นอนซะ”
ฝ่ามืออันสั่นเทาเลื่อนขึ้นไปลูบหัวเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นอ่อนโยนและอบอุ่นไม่แพ้กัน หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวย เพิ่งรับรู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้อบอุ่นแค่ไหนตอนที่มันสายเกินไป
“อย่าร้องไห้ .. กูขอโทษ”
เสียงทุ้มที่เริ่มสั่นเครือเอ่ยปลอบประโลม อยากร้องไห้ออกมาแทบตายแต่ต้องทำเป็นเข้มแข็ง ไม่กล้าแม้แต่จะโอบกอดร่างบอบบางนั้นไว้ในอ้อมแขน ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยเช็ดน้ำตาออกจากแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ในขณะที่เด็กดื้อของเขากำลังสะอื้นฮักจนตัวโยน
…
เสียงนกร้องดังแว่วลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ปาร์คชานยอลไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว มีแต่ความว่างเปล่าพร้อมกับเช้าวันใหม่ที่เวียนมาถึง เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย และแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นอะไรบางอย่างวางอยู่แทนที่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ฝันไป
นิ้วเรียวหยิบมันขึ้นมาดู ในมือเป็นแหวนประจำตระกูลที่ชานยอลมักจะใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา พวกเหล่ามาเฟียมักจะใช้เป็นเครื่องยืนยันในศักดิ์ศรี เกียรติยศและความยิ่งใหญ่ หากแต่จะใช้มันในอีกความหมายเพื่อแสดงถึงการจำนน ..
ปาร์คชานยอลยอมจำนนให้กับโอเซฮุนอย่างหมดหัวใจ
“ฮึก..”
✞
ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนในอีกหนึ่งปีต่อมา โอเซฮุนจบการศึกษาในชั้นมัธยมปลายด้วยเกรดดีเยี่ยม เขามีชีวิตที่ดี มีคุณภาพและปราศจากมลทินอย่างสิ้นเชิง คิมจงอินรับเซฮุนไว้ในฐานะเด็กในอุปการะ และในฐานะคนรัก ความรักของพวกเขาสวยงามและราบรื่น
หลังจบพิธีมอบประกาศนียบัตรเนื่องในวันจบการศึกษา จงอินพาเด็กในอาณัติของเขาไปฉลองกันเหมือนเคยอย่างเช่นทุกวันพิเศษ เซฮุนกลายเป็นเด็กสดใสและกล้าแสดงออกขึ้นเยอะหลังจากวันนั้น รอยแผลนั้นถูกเก็บไว้ในส่วนลึกในก้นบึ้งของจิตใจ ไม่มีใครคิดจะพูดถึงมัน แม้ทั้งคู่จะยังไม่เคยลืมก็ตาม ทั้งคู่เติมเต็มและหยิบยื่นสิ่งดีๆให้กันและกันเสมอ
เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองรสชาติของแอลกอฮอล์ จงอินยอมให้เซฮุนได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆและสอนเขาให้เอาตัวรอดได้เสมอ เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ชอบมันสักเท่าไหร่ หลังจากที่จงอินหัวเราะลั่นเมื่อเห็นเขากำลังสำลักให้กับความแสบร้อนในลำคอ ฝ่ามือขาวตีเข้าที่ลำแขนแกร่งอย่างแรงพร้อมกับค้อนขวับให้หนึ่งที รู้แล้วว่าเหล้ามันไม่ดี เขาจะไม่กินอีกแล้วล่ะ
ร้องเพลงในรถด้วยกันจนกลับมาถึงที่บ้าน แม้จะเป็นบ้านหลังเล็กๆแต่ก็อบอุ่น ทุกมุมทุกพื้นที่เซฮุนคุ้นเคยเป็นอย่างดี หลังจากที่ทำความสะอาดบ้านเสร็จเรียบร้อย เห็นจงอินยังคงนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน เด็กดีของจงอินก็เลยแวะไปมอบจูบเล็กๆเพื่อเสริมกำลังใจในการทำงานสักหน่อย
กว่าจะเสร็จทั้งหมดก็เหงื่อท่วมตัว มีเพียงแค่การทำความสะอาดบ้านและทำอาหารบางอย่างเท่านั้นที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้จงอินได้ เด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าใส่ไว้ในตะกร้า ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายของตัวเองอย่างอารมณ์ดี วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขมากๆเลยล่ะ
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มานั่งภาวนาอยู่บนเตียงเหมือนทุกคืนก่อนนอน ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดี ขอบคุณที่พระเจ้าให้ชีวิตและความสุขกับเขา ภาวนาให้กับผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอล คนที่เขาไม่มีวันลืมให้เจอสิ่งดีๆด้วยเช่นกัน
และเหมือนวันนี้พระเจ้าจะเห็นใจ เมื่ออยู่ๆโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะก็สั่นและแผดเสียงร้องออกมา เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นไปรับ คิ้วเรียวขมวดมุ่น บนหน้าจอที่ไม่โชว์เบอร์นั้นยิ่งทำให้เขาแปลกใจ
“(ไง วันนี้เรียนจบแล้วใช่ไหม)”
“พ .. พี่ชานยอล”
ได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานหากแต่คุ้นเคยดังมาตามสาย ใจดวงน้อยโลดเต้นด้วยความดีใจปนประหลาดใจ ม่านกลมเบิกกว้าง มือของเขาชาไปหมดแล้ว
“(ไอ้จงอินพาไปฉลองที่ไหนล่ะ)”
“ก็ .. ออกไปกินข้าวข้างนอกเมื่อตอนหัวค่ำมาน่ะครับ”
อันที่จริงแล้วเขามีคำถามมากมายที่จะถามอีกคนจนนับไม่หวาดไม่ไหว หากแต่ปาร์คชานยอลไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถาม ชายหนุ่มยืนพิงกำแพงอยู่ที่ไหนสักที่ แค่ได้ยินเสียงนั้นก็ต้องหลุดยิ้มออกมาด้วยความดีใจ คิดถึง .. คิดถึงจนจะขาดใจอยู่แล้ว
“(สบายดีไหม มันดูแลมึงดีรึเปล่า)”
“…”
เอ่ยถามอย่างที่ต้องการอยากจะรู้ เขาอยากจะรู้แค่นั้นจริงๆ แต่เงียบไปนานแล้วก็ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา ปาร์คชานยอลเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นเล็กๆดังแว่วมาจากปลายสาย
“(อย่าร้องไห้ ถ้ามึงร้องกูจะยิงมึงทิ้ง)”
ขู่แบบนี้อีกแล้ว แต่ตอนนี้เซฮุนกลับไม่ได้รู้สึกกลัวอีกต่อไป ตอนนี้เขายอมถ้าปาร์คชานยอลจะเอาปืนมาจ่อตรงหน้า ขอเพียงแค่ได้เจอ ขอเพียงแค่ได้รู้ว่าอีกคนสบายดี
“พี่อยู่ที่นี่หรอครับ ถึงจะมายิงผม”
“(มึงออกมาดูที่หน้าต่างดิ)”
ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเมื่ออีกคนตอบกลับมาอย่างนั้น เด็กหนุ่มเดินไปเปิดม่านแล้วชะโงกหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง และแล้วตากลมก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นปาร์คชานยอลยืนอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบไว้ข้างหู ส่งยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆให้เขา
“พี่ไม่ควรมาที่นี่เลย ถ้าจงอินเห็นพี่ต้องซวยแน่ๆ”
“(อืม กูไม่ยอมให้พระเอกของมึงจับกูไปเข้าซังเตเป็นรอบที่สองหรอก)”
ทั้งสองเสียงสื่อสารกันด้วยโทรศัพท์ ในขณะที่สายตาทั้งสองคู่จ้องมองซึ่งกันและกัน ส่งผ่านความรู้สึกที่หลากหลายแม้ในระยะไกล เป็นครั้งแรกที่เซฮุนไม่ได้ละสายตาไปจากดวงตาคู่คมนั้นแม้แต่วินาทีเดียว
“(กูแค่มาดูว่าเด็กดื้อของกูสบายดี)”
แม้แต่คำว่าคิดถึง คนปากแข็งอย่างปาร์คชานยอลก็ยังไม่กล้าจะพูดออกมา ไม่ต้องนึกถึงคำว่ารักเลยว่ามันจะเค้นออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นได้ยากแค่ไหน คงไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอน แต่เซฮุนก็รู้ดี ปาร์คชานยอลรักเขามากขนาดไหน
“นอนรึยังหืม”
แต่แล้วเสียงที่ดังขึ้นข้างหลังก็เรียกความสนใจจากเซฮุนได้มากกว่า คิมจงอินในชุดนอนสีเข้มกำลังยืนถือแก้วนมอยู่หน้าประตู รอยยิ้มที่ไม่ว่าจะดูเมื่อไหร่ก็รู้สึกอบอุ่นยังคงประทับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นเสมอ สายถูกตัดไปแล้ว หันไปดูที่หน้าต่าง ปาร์คชานยอลไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น เซฮุนเดินไปรับแก้วนมนั้นมานั่งดื่มจนหมดแล้ววางมันไว้บนโต๊ะ ปืนขึ้นไปนอนตรงที่ว่างบนเตียงที่จงอินเว้นไว้ให้ วันนี้จงอินคงเหนื่อยเกินกว่าจะนอนฟังเขาเล่าเรื่องที่โรงเรียนแล้ว
“ฝันดีนะเด็กดีของฉัน”
คนตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงมาจูบเบาๆที่หน้าผากเนียน เลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงอก ก่อนจะเอนหลังนอนด้วยความเมื่อยล้า เซฮุนนอนหงาย เพียงกระพริบตานิ่งๆอย่างใช้ความคิด
กระทั่งโทรศัพท์บนหัวเตียงสั่นหนึ่งรอบ เด็กหนุ่มไม่รอช้าที่จะหยิบมันมาดู นิ้วเรียวสไลด์ปลดล็อคหน้าจอด้วยความตื่นเต้น บนจอปรากฏข้อความสั้นๆจากเบอร์ที่ไม่ระบุ
‘ฝันดีนะ เด็กดื้อของกู’
___________________________
ความคิดเห็น