ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #89 : ทูตจากต้าหมิง [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.28K
      86
      15 ก.ย. 62

    ตอนที่ 89 ทูตจากต้าหมิง







         หญิงสาวอ้าปากค้าง

         "ท่าน... ท่านคือ"

         "จะมัวตกใจอยู่อีกนานไหม เดี๋ยวก็จะมืดแล้ว" ใต้เท้าพูดเสียงนุ่ม

         ซอฮยอนรีบเข้ามาคำนับผู้อาวุโสก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆ

         "เป็นวาสนาข้ายิ่งนักเจ้าค่ะที่ได้มาเรียนกับใต้เท้า" ซอฮยอนกล่าวออกมาด้วยความปลาบปลื้ม

         "ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโชคร้ายก็ได้นะ" ใต้เท้ากึมแฮกล่าวยิ้มๆ

         บุรุษผู้ได้รับการขนานนามว่านักปราชญ์ทั้งสามหยิบกระดาษและพู่กันออกมาให้หญิงสาวก่อนจะสั่งให้เขียนศัพท์ยากต่างๆ ทั้งภาษาจีนและฮันกึล ซึ่งซอฮยอนทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนใต้เท้าเอ่ยชม

         "ภาษาจีนจัดเป็นสิ่งที่คนในวังใช้สื่อสารกันมากที่สุด ด้วยเพราะความเป็นทางการและเป็นตัวแบ่งชนชั้น ทว่าแนวคิดนี้ก็เป็นภัยได้เหมือนกัน ราษฎร ชนกลุ่มน้อยหรือแม้กระทั่งเผ่าต่างๆ จึงเลือกใช้ฮันกึลและภาษาอักษรต่างๆ แทนภาษาจีน ไม่ใช่เพราะว่ามันยากซับซ้อน แต่บางคนใช้เพราะไม่ต้องการให้ทางการรู้ว่าตนเองมีความลับอะไร"

         "เผ่าหนี่เจินที่เคยตั้งตัวเป็นอริก็ใช้อักษรจำเพาะซึ่งคนในวังไม่สามารถอ่านได้เพราะถนัดแค่ภาษาจีน ในสมัยชิลลา เผ่าคาย่าก็ใช้อักษรลับสื่อสารเช่นกันโดยที่ทหารไม่มีทางรู้ ด้วยเหตุนี้เจ้าในฐานะนางในห้องเขียนหนังสือ ไม่ว่าภาษาใดหรืออักษรตระกูลใด จงเรียนรู้และจดจำเอาไว้ให้มั่น อย่าคิดดูถูกว่าเป็นภาษาชั้นต่ำเด็ดขาด เพราะในอนาคตเจ้าอาจจะต้องใช้ประโยชน์จากมัน"

         จากนั้นก็สอนให้รู้จักจดหมาย สาสน์ ม้วนสาสน์ ราชโองการ ตราแต่งตั้ง ฎีกาต่างๆ ให้หญิงสาวรู้วิธีเขียนและอ่านจับใจความ ซอฮยอนรู้สึกสนุกกับการเรียนจากใต้เท้ากึมแฮมากเพราะเป็นเหมือนได้พบกับอาจารย์ที่ไม่หวงวิชากับลูกศิษย์ เวลานางผิดตรงจุดไหนเขาก็จะทักท้วงทันที เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ หญิงสาวก็จะจดบันทึกใส่สมุดประจำตัวเสมอ

         "เอาล่ะ ตอนนี้มืดแล้ว ข้าว่าเจ้าควรกลับได้แล้ว -- จริงสิ เจ้าเรียนเรื่องการอ่านจารึกโบราณรึยัง" ใต้เท้าถามขึ้น

         "ยังเจ้าค่ะ"

         "เช่นนั้นพรุ่งนี้มาใหม่ ข้าจะสอนเรื่องจารึกและการเขียนเรื่องราวในอุดมคติ"

         "เจ้าค่ะใต้เท้า" ซอฮยอนลุกขึ้นคำนับและเดินออกไปจากห้องทรงงานช้าๆ

         สักพักประตูก็ถูกเลื่อนเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้องค์ชายยิมโฮเดินเข้ามา

         "เป็นอย่างไรบ้างท่าน"

         "องค์ชายถามถึงนางรึพ่ะย่ะค่ะ" 

         "ใช่ ในสายตาท่าน นางเป็นอย่างไร"

         "นางเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แต่ทว่า..." ใต้เท้ากึมแฮขมวดคิ้ว "พรสวรรค์ของนางคล้ายจะถูกบดบังอยู่ด้วยอะไรสักอย่าง"

         ยิมโฮแทกุนขมวดคิ้ว

         "พรสวรรค์ถูกบดบัง หมายถึงอะไรหรือท่าน"

         "หญิงสาวผู้นี้มีความกลัวอยู่ในจิตใจ จนไม่สามารถปล่อยความเฉลียวฉลาดออกมาได้อย่างเต็มที่"

         "คนอย่างนางเคยกลัวอะไรด้วยรึนี่"

         "ทุกคนย่อมมีความกลัวในจิตใจกันทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย"

         องค์ชายยิมโฮชะงักไปพลางทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ










         "อะไรนะ! เจ้าได้เรียนกับใครนะ" นางในพากันกลุ้มรุมซอฮยอนเมื่อได้ยินว่าหญิงสาวไปเรียนกับผู้ใดมา

         "ก็บอกไปสามรอบแล้วนะ เอ้า! นี่" นางยื่นสมุดบันทึกประจำตัวส่งให้เพื่อน "ที่ข้าจดมาวันนี้ จะเอาไปอ่านก็ได้นะ"

         "เจ้านี่โชคดีชะมัด" ซุนฮวาพูดอย่างอิจฉา

         "พอดีใต้เท้าแชไม่ว่างเพราะต้องไปดูแลทูตน่ะ"

         "จะว่าไปตอนนี้คนในวังก็เอาแต่พูดถึงเรื่องทูตที่มาจากต้าหมิงนะ ราวกับเป็นเรื่องใหญ่อย่างนั้นแหละ" อีซึลกล่าว

         "เรื่องใหญ่สิ" ยุนเยนาพูดขึ้น "ทูตที่มาจากต้าหมิงนี่เรื่องมากสุดแล้ว ตำหนักแทเพียงจึงมีแต่คนไม่อยากไปอย่างไรเล่า"

         "ทำไมรึ" ซุนฮวาสงสัย

         "เจ้านี่เขลานัก ตำหนักแทเพียงเป็นสถานที่ต้อนรับทูต ใครอยู่ที่นั่นหรือถูกส่งไปที่นั่นก็จะต้องเจอความวุ่นวายที่ท่านทูตแผลงฤทธิ์ให้ทั้งนั้น"

         "ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นเล่า" 

         "ต้าหมิงมองโชซอนเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ไหนกัน พวกเจ้าไม่รู้หรือ"

         นางในรุ่นใหม่มองหน้ายุนเยนาจนนางต้องถอนหายใจ

         "นี่สินะพวกเข้าวังมาไม่นาน ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย" นางกล่าว "ต้าหมิงไม่เคยมองเราเป็นประเทศที่เทียบเท่ากับเขานะ ฐานะของโชซอนไม่ต่างจากเมืองประเทศราชในสายตาเขา เวลาทูตจากต้าหมิงมาที่นี่จึงชอบกดขี่ข่มเหงเราไม่ต่างจากไพร่สามัญ"

         "จริงรึนี่"

         "ยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ในท้องพระโรงเวลาทูตเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องลงมาประทับเทียบเท่ากับทูต ส่วนที่ประทับเดิมกลายเป็นที่ตั้งหีบกำปั่นทองซึ่งภายในบรรจุตราอันเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ต้าหมิง"

         "แล้วฝ่าบาทก็ต้องยอมหรือ" อีซึลตกตะลึง

         "มันไม่ใช่เรื่องยอมหรือไม่ยอม" ยุนเยนาอธิบาย "ข้อแรกเราเป็นประเทศราช ข้อสองฝ่าบาทมีฐานะแค่อ๋องของจีน เวลาจะมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาท พระมเหสี หรือการขึ้นครองราชย์แบบกะทันหัน ก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากจีนก่อนเสมอ ซึ่งแน่นอนแหละ ทูตก็จะขอโน่นนี่เยอะแยะเพื่อแลกกับการเห็นชอบนั้น"

         "แบบนี้ก็ลำบากใจสินะ ว่าแต่คราวนี้ทูตต้องการอะไรจากเราหรือ" ซุนฮวาถาม

         "ไม่รู้หรอก เป็นเรื่องของตำหนักแทเพียงที่จะจัดการ"

         "น่าสงสารคนที่ต้องทำการต้อนรับนะ เพราะถ้าหากทำอะไรไม่ถูกใจก็ถูกตำหนิทั้งฝั่งทูตและฝั่งเราเอง"

         "แล้วปกติใครจะมีหน้าที่ดูแลหรือพี่เยนา"

         "องค์รัชทายาทลีซองแจกับพระชายาฮยอนจอนเซจาพิน" ยุนเยนาตอบ

         "เป็นพระบัญชาของฝ่าบาทหรือ"

         "ใช่"

         "แต่ปีนี้ไม่แน่นะ" ซงฮวันพูดขึ้น ทุกคนหันไปมอง

         "ไม่แน่อะไร เจ้าพูดอะไรน่ะ" ยุนเยนาร้องถาม

         "ก็เรื่องที่จะต้อนรับท่านทูตอย่างไรเล่า ปีนี้คนที่ต้องยุ่งยากจัดการต้อนรับอาจจะไม่ใช่องค์รัชทายาทกับพระชายาก็ได้นะ" ซงฮวันพูดต่อ

         "จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรก็เป็นสองพระองค์นี้มาตลอดมิใช่หรือ"

         "เช่นนั้นก็คอยดูแล้วกันว่าคราวนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง" ซงฮวันยิ้มเยาะก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องพักนางในท่ามกลางความสงสัยของทุกคน





    [ต่อจาก 50%]





         ซอฮยอนนั่งหลับตาสงบนิ่ง ลมหายใจสูดเข้าผ่อนออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อมีสมาธิแน่วแน่เพียงพอ หญิงสาวก็ค่อยๆ เพ่งไปยังจุดๆ หนึ่งที่อยู่ในดวงจิต

         "เจอรึไม่" ใต้เท้ากึมแฮถาม

         ซอฮยอนลืมตาขึ้น

         "ไม่เจอเจ้าค่ะ" นางก้มหน้าลง "ข้า... ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะ"

         "จะมาขออภัยอะไรกับข้า มันเป็นเรื่องของตัวเจ้า ถ้าเจ้าทำได้ก็เป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง เอ้า! ลองใหม่อีกที"

         หญิงสาวรวบรวมสมาธิและหลับตาลงอีกครั้ง...

         นี่เป็นวันที่สามแล้วที่ซอฮยอนมาเรียนกับใต้เท้ากึมแฮ และนับวันก็จะยิ่งเข้มข้นและหฤโหดมากขึ้น นางโดนดุด่าเสียยกใหญ่ตอนแปลคำจารึกโบราณผิดทั้งหน้ากระดาษจนต้องรีบเขียนแก้ใหม่ ซึ่งทำให้นางเรียนรู้อีกข้อว่า การแปลจารึก การอ่านประวัติศาสตร์นั้นไม่ใช่แค่ถอดมาแบบทื่อๆ แต่ต้องตีความและมองลึกเข้าไปถึงจิตใจของผู้บันทึกโดยปราศจากความคิดตัวเองที่จะก่อให้เกิดอคติต่างๆ นานาด้วย

         ช่วงเช้าว้นนี้ใต้เท้ากึมแฮได้ยกแผนผังวังหลวงแบบสังเขปมาให้ดู ไม่ใช่เพื่อบอกว่าตำหนักเจ้านายหรือส่วนงานใดอยู่ตรงไหน แต่เพื่อให้จำแนกว่าจดหมายและหนังสือต่างๆ ที่ห้องเขียนหนังสือซึ่งมีหน้าที่แจกจ่ายนั้นต้องไปส่งที่ไหนบ้าง ถ้าเป็นระดับตำหนักใหญ่ ตำหนักกลาง ตำหนักพระพันปีจะเป็นหน้าที่ของใต้เท้า แต่หากเป็นส่วนของเชื้อพระวงศ์ องค์ชาย องค์หญิง พระสนม เรือนรับรองของนางข้าหลวงระดับซัง ขุนนาง บัณฑิต นักปราชญ์ หอตำราหลวง กรมกองต่างๆ ก็จะเป็นหน้าที่ของนางในชั้นสูงลงมา

         แต่พอตกบ่าย ซอฮยอนคาดหวังว่าใต้เท้าจะสอนเรื่องการเขียนเรื่องราวตามอุดมคติที่รับปากไว้ แต่ผิดถนัด เพราะเขากลับสั่งให้นางนั่งสมาธิรวบรวมจิตให้นิ่งเพื่อหาสิ่งที่เรียกว่าความกลัวออกไป

         หญิงสาวงุนงงกับคำสั่งของใต้เท้าในตอนแรกเล็กน้อย เมื่อถามไปก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า "หากจะเขียนหนังสือด้วยใจที่อิสระ ก็ต้องทำลายกำแพงความกลัวในใจเสีย"

         ซอฮยอนชะงักไปเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ใต้เท้าผู้ได้รับการขนานนามว่านักปราชญ์ทั้งสามรู้ช่างรู้จิตใจนางราวกับตาเห็น แน่นอนว่าพอหญิงสาวหลับตาลงก็เห็นต้นเหตุแห่งความกลัวนั้นทันที ซึ่งพอใต้เท้าถามว่าเจอรึไม่ นางก็จะแกล้งตอบว่ายังไม่เจอร่ำไป

         ความกลัวในใจของซอฮยอนคือความแค้น ความแค้นที่เป็นมรดกตกทอดจากพี่สาว รวมกับแรงกดดันจากบิดา จึงกลายเป็นความกลัวและความสับสนที่ไม่สามารถขจัดมันออกไปได้ พอกพูนสะสมจนทำให้เกิดความคิดว่า ข้าจะเป็นนางในชั้นเลิศของห้องเขียนหนังสือไปทำไม จุดมุ่งหมายที่ข้าจะเข้าวังมาแต่แรกก็เพราะพี่สาวมิใช่หรือ...

         "คราวนี้เจอรึไม่" ใต้เท้ากึมแฮถามอีกครั้งพลางจ้องมองปฏิกิริยาของหญิงสาว

         "ยัง... ยังเจ้าค่ะ"

         "แล้วเจ้าจะเขียนหนังสือได้อย่างไร"

         "ใต้เท้า แค่ความกลัวเล็กๆ ในจิตใจคงไม่เกี่ยวกับการเขียนหนังสือหรอกเจ้าค่ะ"

         ใต้เท้ากึมแฮจ้องมองซอฮยอนแน่นิ่ง

         "เช่นนั้นหยิบพู่กันมา และเขียนเรื่องราวชีวิตเจ้าในอดีต แต่ตอนที่เขียน เจ้าต้องนึกถึงความกลัวในใจเจ้าอยู่ตลอดเวลานะ"

         "ใต้เท้า ถ้ามัวนึกถึงแต่ความกลัวแล้วข้าจะเขียนมันออกมาได้อย่างไรเจ้าคะ"

         "อ้าว ก็ไหนเจ้าบอกว่าความกลัวไม่เกี่ยวกับการเขียน"

         ซอฮยอนนิ่งไป

         เสียงวิ่งตึกตักมุ่งตรงมายังห้องที่ทั้งคู่นั่งอยู่อย่างรีบเร่ง ใต้เท้ากึมแฮที่กำลังจะพูดก็หยุดชะงักกะทันหันก่อนจะขมวดคิ้วไปที่ประตู

         ประตูโครงไม้กรุกระดาษถูกเลื่อนเปิดออกอย่างรวดเร็ว มหาดเล็กคนหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจสุดกำลัง

         "มหาดเล็กโช!" ซอฮยอนร้องทัก

         "โชคังอิน เจ้าเป็นมหาดเล็กคนสนิทก่อนยิมโฮแทกุนมิใช่หรือ" ใต้เท้ากึมแฮพูดขึ้น

         "ใช่... ใช่ขอรับ ข้าเป็นมหาดเล็กประจำพระองค์" เขาพูดพลางหอบหายใจ

         "เกิดอะไรขึ้นรึเจ้าคะ"

         "ข้ามาตามนางในประจำตำหนักองค์ชาย แต่ไม่พบ จึงวิ่งมาที่นี่ ก็ไม่เจอใครอีกเหมือนกัน"

         "จะตามพวกนางไปทำไมกัน" ใต้เท้าอาวุโสไต่ถาม

         "ข้าจะตามให้พวกนางไปช่วยองค์ชายต้อนรับท่านทูตหวางจื่อห้าวขอรับ"

         "อะไรนะ!" บุรุษสูงอายุผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจจนซอฮยอนสะดุ้งโหยง "หมายความว่าอย่างไร องค์ชายต้อนรับท่านทูต"

         "ข้าก็คิดเหมือนกับท่านขอรับ" โชคังอินพูดพลางสบตากันอย่างมีเลศนัยแอบแฝง

         "มีเรื่องอะไรรึเจ้าคะ" ซอฮยอนถามขึ้น

         ใต้เท้ากึมแฮหันมามอง

         "ตามปกติ" เขากล่าว "ทูตจากต้าหมิงต้องเป็นหน้าที่รับผิดชอบของรัชทายาทและเซจาพินเสมอมา จะเป็นองค์ชายได้อย่างไร"

         "ได้ยินมาว่าฮยอนจองเซจาพินได้ทูลขอฝ่าบาททรงมีพระบัญชาลงมาเพื่อให้องค์ชายยิมโฮเสด็จไปต้อนรับทูตที่ตำหนักแทเพียงแทน" มหาดเล็กหนุ่มพูด

         "แล้วองค์ชายก็ยอมเสด็จไปรึเจ้าคะ"

         "ต้องไปสิ ฝ่าบาทมีพระบัญชาลงมาแล้ว แต่ที่ข้าแปลกใจก็คือทำไมจู่ๆ เซจาพินจึงโยนภาระหน้าที่นี้มาให้ยิมโฮแทกุนทำแทน และเป็นคำสั่งที่กะทันหันมากด้วยนะ"

         "ท่านกำลังจะบอกว่า" ซอฮยอนตาโต "ฮยอนจองเซจาพินคิดจะกลั่นแกล้งองค์ชายหรือเพคะ"

         "แกล้งรึไม่ข้าไม่รู้ แต่ปกติที่ตำหนักแทเพียงจะมีนางในที่รู้งานคอยต้อนรับทูตอยู่เสมอ แต่ปีนี้ไม่มีสักคนเพราะฮยอนจองเซจาพินเรียกพวกนางเข้าวังหมด ข้าจึงต้องวิ่งมาหานางในที่ตำหนักองค์ชายเพื่อไปทดแทน แต่พอมาถึงก็ไม่พบใครอีกเช่นกัน เพราะฮยอนจองเซจาพินมีรับสั่งให้พวกนางไปเข้าเฝ้าในเซจากุง"

         "นี่มันจงใจชัดๆ" ใต้เท้ากึมแฮกล่าว "คนที่ปกติทำการต้อนรับก็ไม่ให้ใช้ คนที่พอช่วยได้ก็เรียกหายไปหมด ทำแบบนี้เหมือนจะให้องค์ชายยิมโฮเผชิญหน้ากับทูตจากต้าหมิงเพียงพระองค์เดียวอย่างนั้นแหละ แล้วยิ่งหวางจื่อห้าวแล้วด้วย คนนี้วุ่นวายและเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าอะไร"

         "ข้าว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง" โชคังอินพูด

         "แล้วพระมเหสีทรงทราบรึยัง"

         "ทราบแล้วขอรับใต้เท้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะเป็นพระบัญชาของฝ่าบาท"

         "แล้วเจ้าจะหานางในจากไหนไปช่วยองค์ชายต้อนรับทูต"

         "ข้าว่าจะขอนางในประจำตำหนักพระมเหสีไปช่วยอง--" มหาดเล็กโชชะงักไปก่อนจะหรี่ตามองซอฮยอน 

         "เอ่อ มีอะไรรึเจ้าคะ"

         "ซอฮยอน เจ้าเองก็เป็นนางใน" โชคังอินเอ่ยขึ้นช้าๆ

         หญิงสาวรู้ดีว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

         "ไม่นะเจ้าคะ ข้าไม่ไปเด็ดขา--"

         "โชคังอิน พาซอฮยอนไปเถิด นางเหมาะสมสุดแล้ว" ใต้เท้ากึมแฮพูดแทรก ซอฮยอนหันขวับไปมองผู้พูดทันที

         "ใต้เท้า! ท่านพูดอะไรเจ้าคะ"

         "เจ้าจะตกใจอะไร ข้ามองว่าเจ้าพร้อมรับกับสถานการณ์ฉุกละหุกเช่นนี้ได้ดีที่สุดแล้ว"

         "ใช่ เรื่องวุ่นวายที่ผ่านมาเจ้าก็ทำได้ดีมาตลอด ซอฮยอน ไปช่วยองค์ชายหน่อยเถิดนะ" โชคังอินพูดสนับสนุน

         "แต่ว่า..."

         "เดี๋ยวข้าจะพานางในจากตำหนักกลางไปช่วย ไม่ต้องกลัวไป ความจริงที่นั่นก็มีแนอินเข้าใหม่หลายคนรอช่วยเจ้าอยู่"

         "แต่ข้าก็เพิ่งเข้าวังได้ไม่นานนะเจ้าคะ" ซอฮยอนประท้วง

         "เจ้าเป็นนางในเต็มตัวแล้ว ทั้งมียศทั้งผ่านออซองเคียงวอน เจ้ามีประสบการณ์มากกว่าพวกนางนะ"

         "แต่กับเรื่องทูต ข้าไม่มีประสบการณ์เลยนะเจ้าคะ"

         "ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกกันทั้งนั้นแหละ เจ้าจะยอมให้องค์ชายตกที่นั่งลำบากหรือ"

         ซอฮยอนหันไปมองใต้เท้ากึมแฮ เขาพยักหน้าให้หญิงสาวช้าๆ อย่างให้กำลังใจ นางหลับตาลงอย่างสับสน

         ภาพที่องค์ชายยิมโฮขี่ม้าขึ้นเขามาช่วยนางตอนโดนคนร้ายจับตัวไว้ฉายวาบเข้ามาในดวงจิต...

         เห็นทีข้าคงต้องกระโดดเข้าใส่ความวุ่นวายอีกครั้งหนึ่งแล้วกระมัง ซอฮยอนคิดในใจ









    โปรดติดตามตอนต่อไป
         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×