ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #191 : ชนวนสุดท้าย [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 692
      30
      2 มิ.ย. 63

    ตอนที่ 191 ชนวนสุดท้าย





         ซอฮยอนหลับตาปี๋พลางนึกภาพองค์รัชทายาทพุ่งกายโถมเข้าใส่คิมจีมุน เพราะคำพูดของอาลักษณ์หนุ่มเมื่อครู่มันร้ายแรงเกินไปจริงๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือลียิมโฮยังคงยืนนิ่ง สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าโมโหโกรธาอะไรสักนิด

         "ที่เจ้าพูดมาก็ถูก ข้าเองเป็นพระสวามีของนางก็ควรจะทำหน้าที่นี้ แต่ที่ซอฮยอนมาขอร้องเจ้าเพราะอยากให้คิมเซจีไม่รู้สึกว่าอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่เพียงผู้เดียวในตระกูล เอาเป็นว่าไปหานางกันทั้งคู่นี่แหละ" องค์รัชทายาทตรัส

         คิมจีมุนรู้สึกแปลกใจกับท่าทีอันสงบนิ่งของเชื้อพระวงศ์หนุ่มแต่ก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอันใด เมื่อพระองค์เสด็จออกไปเขาก็เดินตามร่างสูงสองสามก้าวก่อนจะหันกลับมาเลิกคิ้วใส่หญิงสาว

         "แล้วเจ้าไม่ไปด้วยหรือ"

         "ข้ายังมีธุระที่นี่เจ้าค่ะ ท่านรีบไปกับองค์รัชทายาทเถิด แล้วก็ขอร้อง อย่าทะเลาะกันโดยไม่จำเป็นเลยเจ้าค่ะ" ซอฮยอนกล่าว

         "เจ้าจะรอพบใครในคุกหลวงนี้อีกหรือ" อาลักษณ์คิมสงสัย

         "ท่านไม่ต้องรู้หรอกเจ้าค่ะ"

         ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่สักพัก เขามองซอฮยอนอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยออกไป

         "เจ้าจะพบคิมซังกุงใช่ไหม"

         "อะไรนะ!" หญิงสาวตกตะลึง "ทำไมข้าจะต้องไปพบคิมซังกุงด้วย"

         "แล้วเจ้าจะพบใครกัน" 

         "มันเรื่องของข้าเจ้าค่ะ ท่านรีบตามองค์รัชทายาทไปเถิด" ซอฮยอนพูดตัดบท คิมจีมุนหรี่ตาอย่างสงสัยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาหันซ้ายแลขวาและกล่าวกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่ดูมีลับลมคมใน

         "อย่าพยายามช่วยพวกเขา เจ้าเองรู้ดีกว่าใครว่าพวกเขาทำผิดขนาดไหน"

         "แล้วทำไมท่านต้องคิดว่าข้าต้องช่วยกบฎพวกนั้นเจ้าคะ" ซอฮยอนขมวดคิ้ว "อีกอย่าง คนในตระกูลท่านกำลังถูกประหาร ท่านไม่รู้สึกใจหายบ้างหรือเจ้าคะ ข้านึกว่าท่านจะอ้อนวอนฝ่าบาทให้ไว้ชีวิตพวกเขาเสียอีก"

         "ไม่ ไม่รู้สึกใจหายเลยสักนิด" เขาตอบออกมาทันที

         ซอฮยอนชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยิน "อืม ท่านดูใจแข็งกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลยนะเจ้าคะ"

         "มันไม่ใช่เรื่องใจแข็ง" ชายหนุ่มส่ายหน้า "แต่สกุลคิมจะไม่ล่มสลายง่ายๆ และจะมีคนที่รอดชีวิตจากการประหารแน่นอน"

         "อะไรนะ..." หญิงสาวจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง "ทำไมท่านถึงพูดเช่นนั้นเจ้าคะ นี่แสดงว่ามีคนคิดจะหนีหรือ"

         "หนีรึ คนโง่เท่านั้นที่จะเลือกเส้นทางนี้ เพราะต้องหลบหนีไปชั่วชีวิต คนสกุลคิมไม่เลือกที่จะหนีแน่นอน แต่ที่ข้าบอกว่าจะมีคนรอดจากการประหารนั้นก็เพราะตระกูลนี้ซ่อนความลับบางอย่างที่ราชสำนักปฏิเสธไม่ได้เอาไว้ และนั่นจะเป็นตัวต่อรองให้ชนวนสุดท้ายของตระกูลนี้ยังมีชีวิตอยู่"

         ซอฮยอนคิดตามช้าๆ ความกังวลก่อตัวขึ้นมาทีละนิด เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่อาลักษณ์คิมพูดก็ถูก สกุลคิมวางรากฐานมั่นคงในราชสำนักและแผ่นดินโชซอนมานานเกือบครึ่งศตวรรษ จึงอาจจะทำให้ตระกูลนี้มีบทบาทสำคัญในด้านใดด้านหนึ่งกับอาณาจักรนี้ก็เป็นได้ และนั่นอาจเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่จะไม่ให้คนบางคนในตระกูลต้องถึงฆาตในการลงโทษคราวนี้

         "แล้วท่านคิดว่าใครจะไม่ต้องโทษเจ้าคะ" หญิงสาวถามชายหนุ่มตรงหน้า

         "เจ้าเองก็รู้ดีว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่รู้สึกใจหายอะไร เพราะมั่นใจว่าคนคนนี้จะไม่ตายอยู่แล้ว" 

         เมื่อคิมจีมุนเดินจากไป ซอฮยอนก็นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่คนเดียว ม้นมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว และถ้ามีคนรอด มันก็ต้องไม่พ้นคิมซังกุงไม่ก็ใต้เท้าคิม เช่นนั้นการล่มสลายของสกุลคิมจะมีประโยชน์อะไรหากสองคนนี้รอด

         "แม่นาง ตอนนี้เย็นเต็มทีแล้ว ประตูเรือนจำกำลังจะปิด เจ้าจะพบใครอีกรึไม่" ทหารยามในชุดขาวดำมือถือทวนเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นนางยืนนิ่งอยู่คนเดียว

         "เอ่อ..." ซอฮยอนกะพริบตาถี่ "ข้าขอพบนักโทษหญิงหน่อยเจ้าค่ะ นางโดนจับมาในข้อหากบฏเหมือนกัน"

         "นางชื่ออะไรหรือ"

         หญิงสาวกุมขมับ "นางเคยบอกชื่อข้าแล้วนะเจ้าคะ แต่ข้าลืมเจ้าค่ะ"

         "อะไรกัน" นายทหารทำหน้าสับสน "เช่นนั้นรู้ไหมว่านางทำตำแหน่งหน้าที่อะไรในวัง"

         "นางไม่ใช่คนในวังหรอกเจ้าค่ะ" ซอฮยอนส่ายหน้า "แต่เป็นมูดังนอกวัง"

         "มูดังหรือ... เจ้าหมายถึงคนทรงแก่ๆ ที่ถูกจับมาขังตั้งแต่วันแรกๆ เลยใช่รึไม่"

         "ใช่เจ้าค่ะ คนนั้นนั่นเอง ข้าอยากพบนาง"

         ทหารยามถอนหายใจและเอ่ยออกมา

         "คงไม่ได้แล้วแหละ เพราะนางถูกกรมวังเอาตัวไปขังในที่เฉพาะแล้ว นางจะถูกกรอกยาพิษและเอาศพออกไปทิ้งนอกประตูมรณะ"

         "อะไรนะเจ้าคะ!"










         ม้วนหนังสือฉบับสุดท้ายถูกรัดด้วยเชือกก่อนจะถูกนำไปวางไว้บนถาดไม้ นางในในชุดชอโกรีสีแดงเกือบสิบคนในห้องเดินมายกถาดไม้ออกไปคนละถาด

         "แยกฎีกากับหนังสือแต่งตั้งให้ชัดเจนนะ" เชวซังกุงสั่ง "แยกตำหนักกับที่ว่าการขุนนางให้ถูกด้วย"

         "เจ้าค่ะนายหญิง"

         "แล้วนั่นคัดลอกหนังสือกฎหมายเสร็จรึยัง คนที่หอคโยแจมาทวงข้าหลายวันแล้ว" นางถามขึ้น สายตามองไปยังกลุ่มนางในมุมห้องที่กำลังนั่งคัดลอกตำราอย่างเร่งด่วน

         "ยังเจ้าค่ะ แต่ใกล้แล้ว" คนหนึ่งร้องตอบมา

         "อย่าให้ผิดแม้แต่ตัวอักษรเดียวนะ" เชวซังกุงกำชับเสียงเข้ม "ข้าสอนไปหลายหนแล้วว่าการเขียนอะไรลงไปต้องมีการตรวจทานเสมอ เพราะการเขียนของเราทำออกมาเพื่อให้คนอื่นอ่าน คราวที่แล้วใต้เท้ามุนบ่นข้าใหญ่เรื่องหนังสือเวียนของหน่วยราชองครักษ์ เขียนชื่อหน่วยผิดตัวเดียวทำวุ่นวายยกใหญ่ เลิกเสียทีนิสัยสะเพร่าแบบนี้"

         ในระหว่างที่นายหญิงพูดอยู่นั้นเอง ก็ปรากฏนางในสองคนค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไปจากห้องอย่างช้าๆ เชวซังกุงหรี่ตาก่อนจะเดินตามออกไป

         ด้านนอก ซุนฮวาเหลียวซ้ายแลขวาอยู่สักพักก็ทำสีหน้าโล่งอก

         "โอ๊ย รอดตัวไปที ดีนะนายหญิงไม่ทันสังเกตเรา"

         "นั่นสิ" อีซึลพยักหน้า "ว่าแต่เจ้าจะไปที่นั่นจริงหรือ"

         "ไปสิ ข้าไม่พลาดหรอก เห็นนางในเย็บปักมาทำคุยโวว่าน่าตื่นเต้นอย่างนั้นอย่างนี้ ข้าก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาบ้าง" เพื่อนหญิงตอบ 

         "แล้วเจ้าไม่กลัวหรือ"

         "ไม่" ซุนฮวาตอบทันที "ข้าว่ามันออกจะ---"

         มันออกจะอะไรนั้นไม่มีใครรู้ เพราะซุนฮวากำลังอ้าปากค้างเนื่องจากจู่ๆ เชวซังกุงก็โผล่มาตรงหน้า

         "นาย... นายหญิง" อีซึลสะดุ้งโหยง

         "ประกาศของราชสำนักที่จะส่งไปนอกวังสามร้อยฉบับเสร็จหรือยัง" นางถามทันที

         "เสร็จแล้วเจ้าค่ะ" ซุนฮวารีบตอบ

         "เขียนครบทุกฉบับแน่แล้วหรือ ไม่ขาดไม่เกินนะ" เชวซังกุงจ้องมองอย่างจับผิด "น้ำหมึกก็ไม่ซึมจนเปื้อนเปรอะใช่ไหม"

         "เรียบร้อยดีเจ้าค่ะนายหญิง"

         "แล้วนี่เจ้าจะไปไหนกัน"

         "ไปพักผ่อนเจ้าค่ะ" อีซึลตอบ

         "เหลวไหล" เชวซังกุงตะคอก "ถ้าจะไปพักผ่อนเหตุใดต้องแอบออกมาลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะว่าจะไปไหน"

         สองสาวมองหน้ากัน และดูเหมือนจะไม่สามารถปิดบังนายหญิงไว้ได้อีกต่อไป

         "คือ... คือข้าจะไปที่ลานไต่สวนเจ้าค่ะ" ซุนฮวายอมเฉลย

         "อะไรนะ!" ซังกุงห้องเขียนหนังสือตวาดลั่น "นี่พวกเจ้าก็เป็นไปด้วยหรือ เมื่อวันก่อนพวกนางกำนัลก็โดดเรียนที่เรือนชางวีเพื่อไปดูการไต่สวนบ้าบอนี่ ข้าถามหน่อยว่ามันน่าสนใจตรงไหนกัน"

         "เขาว่ามันน่าตื่นเต้นกันนะเจ้าคะนายหญิง นางในเย็บปักก็เพิ่งมาอวดให้ข้าฟังว่าที่นั่นตอนนี้กำลังดุเดือดเลยทีเดียว ในชีวิตเราจะได้เห็นการไต่สวนคดีใหญ่แบบนี้กี่ครั้งกันเล่าเจ้าคะ"

         "นี่เจ้าพูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า ไปเห็นการลงโทษ การทรมาน การประหารชีวิตนี่ตื่นเต้นหรือ เลือดสาด บาดแผลฉกรรจ์ น้ำตาของนักโทษรวมถึงเสียงร้องโหยหวนนี่มันน่าไปดูตรงไหนหา" 

         ซุนฮวากับอีซึลทำหน้าสลดลง เชวซังกุงจึงพูดต่อไป

         "พวกนั้นคือกบฏแผ่นดินก็จริง แต่ไม่เหมาะไม่ควรเลยที่พวกเจ้าจะไปดูเพื่อเยาะเย้ยสมน้ำหน้า ตอนนี้เจ้าอาจจะมองว่าน่าสนุก แต่ถ้าไปเห็นอะไรที่มันรุนแรง สิ่งนั้นจะติดตาเจ้าไปตลอดชีวิต ฉะนั้นทางใครทางมัน ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปสอดส่อง ข้าคิดว่าเจ้าจะฉลาดกว่านี้นะซุนฮวา ถ้าไม่นับซอฮยอนเจ้าคือคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุด ทำไมถึงชวนเพื่อนไปทำอะไรเหลวไหลแบบนี้"

         "ข้าขอโทษด้วยเจ้าค่ะนายหญิง ข้าคิดสั้นไป" หญิงสาวก้มศีรษะ

         นายหญิงส่ายหน้าไปมา "โตๆ กันแล้วหัดรู้จักอะไรควรทำไม่ควรทำบ้าง ยิ่งอยู่ในวังด้วยแล้ว พอเห็นแบบนี้แล้วข้าไม่อยากพาพวกเจ้าสองคนไปเลย"

         "ไปไหนหรือเจ้าคะ"" อีซึลถาม

         "สนใจทำไมเล่า ไหนบอกอยากไปลานไต่สวน ก็ไปเสียสิ" เชวซังกุงทำท่าเมิน

         "โธ่นายหญิง ข้าก็แค่เพ้อเจ้อไป ตอนนี้ข้ากับอีซึลสำนึกแล้ว ท่านโปรดบอกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ" ซุนฮวาอ้อนวอน

         ซังกุงแห่งห้องเขียนหนังสือแกล้งทำเป็นไม่สนใจอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อถูกรบเร้าหนักเข้าก็ต้องปริปากออกไปจนได้

         "ใต้เท้ามุนได้รับคำสั่งจากพระมเหสีมา โดยให้ข้ากับนางในห้องเขียนหนังสืออีกสองคนไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่เรือนนอก ซึ่งพระนางจะเชิญฮูหยินชั้นเอกมาร่วมด้วย"

         "จริง... จริงหรือเจ้าคะ" ซุนฮวาตกตะลึง "พระมเหสีเชิญไปจริงๆ หรือ"

         "จริงสิ พระนางทรงเล็งเห็นว่าเหตุร้ายที่เพิ่งผ่านไปส่งผลกับขวัญกำลังใจของนางในกองงานวรรณกรรมมากที่สุดเพราะถูกจับเป็นตัวประกันหลายคน เลยให้ข้ามาคัดเลือกนางในไปสองคน ก็คงจะเป็นเจ้าทั้งคู่นั่นแหละ" เชวซังกุงบอก

         สองสาวมองหน้ากันก่อนจะร้องออกมาด้วยความดีใจ นายหญิงมองทั้งคู่ๆ ยิ้มพลางส่ายหน้า "แต่ถ้าไปแล้วทำกิริยามารยาทไม่ดี ข้าไล่กลับเลยนะ"

         "ข้าสัญญาเจ้าค่ะว่าจะไม่ทำกิริยารุ่มร่ามแน่นอน" ซุนฮวารีบบอก "แต่ว่าซอฮยอนเล่าเจ้าคะ นายหญิงชวนข้าสองคนแล้วนางจะไม่ได้ไปหรือ"

         "ไม่ต้องห่วงหรอก ซอฮยอนได้รับการเชิญเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว นางไปแน่นอน"

         "จริงหรือนี่ น่าอิจฉาแท้ ได้รับการเชิญแบบนี้" อีซึลตาลุกวาว

         "ก็รีบเก่งรีบทำความชอบให้เท่านางสิ จะได้มีบ้าง มัวขี้เกียจอย่างทุกวันนี้คงได้หรอก" เชวซังกุงพูดพลางทำท่าจะเขกศีรษะลูกศิษย์

         ประตูห้องทำงานเลื่อนเปิดออก ซงฮวันเดินออกมาพร้อมม้วนกระดาษในมือ ทั้งสามคนหันไปมอง

         นางจ้องตอบกลับมาชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร สักพักก็เดินอ้อมหายไปทางห้องเก็บตำรา

         "เห็นหน้านางแล้วหมั่นไส้นัก" ซุนฮวามองตามอย่างชิงชัง "ข้าอยากเรียกทหารกรมอาญาให้ลากนางไปเสียจริง ไม่เข้าใจว่าทำไมยังเชิดหน้าในวังอยู่ได้"

         "นั่นน่ะสิ ทุกคนรู้กันทั้งนั้นว่านางเป็นคนของคิมซังกุงซึ่งตอนนี้กลายเป็นนักโทษกบฏ แต่ซงฮวันกลับลอยตัวทั้งๆ ที่ทำเรื่องสกปรกมาไม่รู้เท่าไร" อีซึลพูดสนับสนุน

         "ก็นางไม่ใช่คนสกุลคิม ทางการจึงไม่จับตัวนาง" เชวซังกุงให้เหตุผล

         "แต่นางก็เป็นข้ารับใช้สกุลคิม อย่างไรก็มีความเกี่ยวข้องเจ้าค่ะ ถึงคราวนี้นางเหมือนไม่ได้มีส่วนร่วมอะไร แต่ข้าว่าอาจคอยยุยงอยู่เบื้องหลังตามสันดานคนช่างยุแน่นอน ฉะนั้นนายหญิงรีบแจ้งกรมอาญาเถิดเจ้าค่ะ ข้ามั่นใจว่านางต้องถูกลากตัวไปในพริบตาเดียว" ซุนฮวารบเร้า

         เชวซังกุงส่ายหน้าไปมา "ข้าไม่อยากทำเช่นนั้น"

         "ทำไมเล่าเจ้าคะ!" อีซึลร้อง

         "เพราะข้าไม่รู้ว่านางมีเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงรึเปล่า" นายหญิงตอบพลางเดินกลับไปหน้าห้องทำงาน นางเลื่อนประตูเปิดช้าๆ ก่อนจะหันมาเอ่ยว่า "อีกอย่างถึงนางจะเลวร้ายแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็เป็นลูกศิษย์ข้าคนหนึ่ง ไม่มีอาจารย์คนไหนจะเรียกความตายให้มาหาลูกศิษย์ได้ลงคอหรอก วันหน้าถ้าเจ้าสองคนได้เป็นซังกุงก็จะเข้าใจเอง"

         เชวซังกุงก้าวเข้าไปในห้องทำงานและปิดประตูตามหลัง ทิ้งให้นางในสองคนครุ่นคิดถึงคำพูดของนางอยู่เช่นนั้น









         "ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ จะให้เขาเข้าเฝ้าไม่ได้ นี่มันเป็นแผนที่จะทำให้พระองค์ไขว้เขวชัดๆ ได้โปรดถอนรับสั่งคืนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ" มหาดเล็กโชคังอินคุกเข่าอยู่ด้านหน้าห้องทรงงานส่วนพระองค์ เขาตะโกนคัดค้านในสิ่งที่ฝ่าบาทเพิ่งตัดสินใจทำลงไปอยู่นานแล้วแต่เหมือนกับว่าพระองค์จะไม่สนใจการทัดทานของมหาดเล็กหนุ่มเลยสักนิด

         ใต้เท้าต้นเครื่องที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องทรงงานเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้พลางก้มลงเอ่ยกับโชคังอินด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า

         "มหาดเล็กโช ข้าว่าท่านกลับไปก่อนเถิด ดูท่าฝ่าบาทจะไม่ฟังใครทั้งนั้น"

         "ข้ากลับไปไม่ได้หรอกขอรับใต้เท้าต้นเครื่อง สิ่งที่ฝ่าบาทกำลังคิดทำเป็นเรื่องร้ายแรง ทำไมถึงยอมให้ใต้เท้าคิมที่เป็นนักโทษกบฏมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ได้ พระองค์ต้องรู้สิว่านี่มันคือการเปิดโอกาสให้ศัตรูมาปั่นหัว" มหาดเล็กหนุ่มพูดอย่างไม่เข้าใจ

         "คิดว่าข้าก็ไม่รู้ในข้อนี้หรือ" ใต้เท้าต้นเครื่องทำสีหน้าลำบากใจ "ข้าทัดทานพระองค์ก่อนเจ้าเสียอีกแต่ไม่เป็นผล---จริงสิ แล้วองค์รัชทายาทรู้เรื่องนี้รึยัง ถ้าพระองค์มาที่นี่น่าจะช่วยพูดได้ดีกว่านะ"



    โปรดติดตามตอนต่อไป


    *แจ้งนักอ่านทุกท่าน ตอนนี้กลรักวังหลวงเล่ม 8.0 ได้วางขายบน meb e-book แล้วนะครับ โดยเริ่มตั้งแต่ตอนที่ 185 ถึง 193 (ในเว็บอัปถึงแค่ 191) ท่านใดสนใจซื้ออ่านก่อนหรือเก็บไว้เป็นเล่ม สามารถเข้าได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ (กดที่ Get it now เลยครับ)

    Thumbnail Seller Link
    กลรักวังหลวง เล่ม 8.0
    สุสานทางช้างเผือก
    www.mebmarket.com
         ชั่วเวลาแห่งความอกสั่นขวัญแขวน หญิงสาวเห็นใครบางคนในชุดฮวาลยอสีเขียวเข้มกระโดดเข้าใส่คิมซังกุงที่พยายามใช้ร่างของทหารบังตนเองอยู่ ทำให้ทั้งคู่กลิ...
    Get it now
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×