ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #163 : ยื่นคำขาด [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 665
      46
      26 มี.ค. 63

    ตอนที่ 163 ยื่นคำขาด




         คิมซังกุงยืนอยู่หน้าตำหนักของเซจาพินอย่างกระวนกระวายใจ สองมือที่อยู่ในชายผ้าด้านหน้ากุมกันอยู่ด้วยความวิตกกังวล นานๆ ทีนางจะเดินไปเดินมาวกวนเสียจนนางในหน้าตำหนักต้องบอกให้คิมซังกุงไปนั่งรอข้างในตำหนักจะดีกว่า แต่นางปฏิเสธ

         ใต้เท้าคิมแทซุนกลับไปแล้ว เขาต้องรีบประชุมขุนนางฝ่ายสกุลคิมเพื่อสะสางเรื่องยุ่งเหยิงนี้ ส่วนพระนางเซจีจะให้คิมซังกุงอยู่คุยแทน

         "นายหญิง ท่านคิดว่าพระชายาเซจีจะแปรพักตร์รึไม่เจ้าคะ" ซงฮวันที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถามขึ้นอย่างกลัวๆ

         "แปรพักตร์หรือ" ซังกุงรับบัญชาหันขวับมามอง "แปรพักตร์จากตระกูลตัวเองน่ะหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก"

         "อาลักษณ์คิมจีมุนยังแปรพักตร์ได้ พระนางเซจีก็ไม่แน่นะเจ้าคะ"

         "เงียบนะ! นี่เจ้าอยากให้นางไปอยู่กับฝ่ายโน้นรึอย่างไร" คิมซังกุงแหว

         "ไม่ใช่เจ้าค่ะ ที่ข้าพูดไปแบบนั้นก็เพราะว่าถ้าเกิดมันเป็นไปอย่างที่ข้ากลัว เราจะได้รับมือถูก" ซงฮวันเถียง

         "รับมือบ้าบออะไรกัน นางเป็นหลานสาวข้า จะไม่มีการไม่ไว้ใจกันเกิดขึ้นในตระกูลของเรา" นายหญิงกล่าวเสียงเฉียบขาด

         "ก่อนหน้านี้ก็มีหลายหนไม่ใช่หรือเจ้าคะที่ท่านไม่ไว้ใจพระนางเซจี"

         "จะพูดมากเกินไปแล้วนะ" ซังกุงรับบัญชาถลึงตาใส่นางในข้างกายจนหญิงสาวต้องหยุดพูดไปชั่วขณะ

         "พระชายาเสด็จแล้ว!" เสียงร้องของขันทีดังขึ้นจากทางเข้าตำหนักเซจาพิน สักพักก็ปรากฏร่างของพระนางเซจีก้าวเข้ามา ใบหน้านั้นดูอิดโรยเล็กน้อยแต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เมื่อเดินตัดลานหน้าตำหนักมาได้ก็มาหยุดยืนตรงหน้าคิมซังกุง

         "พระชายา" นางร้องเรียก "ทำไมออกจากท้องพระโรงไม่รีบกลับมาที่นี่เล่าเพคะ จะเสด็จไปตำหนักพระมเหสีทำไม"

         "พระมเหสีมีคำสั่งเรียกข้าไปพบน่ะคิมซังกุง ข้าก็ไปต้องนี่นา" เซจาพินตรัสก่อนจะถอดรองเท้าไว้บนบันไดหิน 

         "พระนางคุยอะไรกับพระองค์หรือ" คิมซังกุงถามต่อ

         "ไม่มีอะไรหรอกคิมซังกุง ก็แค่เรื่องทั่วไป" พระนางตรัส

         "เอ่อ แต่ว่า..." คิมซังกุงพยายามจะชวนคุย แต่เซจาพินเดินขึ้นบันไดไปถึงประตูไม้แล้ว นางรีบก้าวตามเข้าไป เมื่อนางในปิดประตูตำหนักตามหลังเรียบร้อย คิมซังกุงก็เริ่มยิงคำถามทันที

         "พระชายา เล่าทุกอย่างทีเกิดขึ้นให้หม่อมฉันฟังเร็วเข้าเพคะ" 

         "ใต้เท้าคิมไม่ได้ให้ท่านฟังหรือ" เซจาพินถามพลางนั่งลงบนที่ประทับ

         "เล่าแล้วเพคะ แต่หม่อมฉันอยากได้ยินจากพระองค์มากกว่า" ซังกุงรับบัญชากล่าว

         "ความจริงหรือ" พระนางขมวดคิ้ว "สิ่งที่ข้ากล่าวในท้องพระโรงนั่นก็คือความจริงนะ"

         "พระชายา!" คิมซังกุงหมดความอดทน "เลิกล้อเล่นเสียทีเพคะ และรีบเล่าความจริงมาเถิด หรือว่าเพราะมีซงฮวันอยู่ด้วยจึงไม่อยากเล่าเพคะ" นางกล่าวพลางหันไปเหลือบมองซงฮวันที่นั่งหมอบอยู่ข้างๆ 

         "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกคิมซังกุง ต่อให้ซงฮวันอยู่ที่นี่ ข้าก็จะยืนยันคำเดิม เพราะมันเป็นความจริง" พระชายาตรัส

         คิมซังกุงตกตะลึง นางจ้องมองหลานสาวของตนอย่างจับผิด   แน่นอนว่านางโกหก แต่เพราะอะไรกันนางจึงต้องโกหก

         "เพราะซอฮยอนใช่ไหมเพคะ" ซังกุงรับบัญชากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "นางพูดอะไรกับพระองค์หรือ"

         "นางช่วยข้าจากเหตุเพลิงไหม้ ถ้าไม่มีนางข้าคงตา---"

         "แล้วรู้รึไม่เพคะว่าคนที่วางเพลิงก็คือนางนั่นแหละ" คิมซังกุงเอ่ยขัดกะทันหัน

         "อะไรนะ!" พระชายางุนงง "ท่านมีหลักฐานรึเปล่า"

         "หลักฐานหรือเพคะ" ซังกุงร้องเสียงดัง "นางเป็นคนสั่งให้พระนางถูกกักตัวที่ตำหนักกลางสวน ไม่กี่วันก็เกิดเหตุร้ายอีกทั้งยังมาช่วยพระนางได้ทันก่อนทหารยามเสียอีก นี่มันคือการวางแผนของนางชัดๆ จะหาหลักฐานไปทำอะไร"

         "ถ้านางทำเช่นนั้น ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าตายไปเลยเล่า นางจะได้ผลประโยชน์มากกว่านี้เยอะ ท่านรู้รึไม่ว่าซอฮยอนพาข้าไปที่ไหน นางพาไปทำแผล พี่จีมุนเองก็ช่วยนางทำด้วย ดูสิคิมซังกุง นี่หรือคือศัตรูของเรา"

         "พระชายาช่างอ่อนต่อโลกนัก ที่พวกมันทำคือการแกล้งทำเพื่อสร้างบุญคุณและหลอกให้ไปอยู่ฝ่ายพวกมัน เจ้าดูไม่ออกรึอย่างไร" คิมซังกุงร้อง

         "ขอบอกท่านให้รู้เอาไว้นะ" เซจาพินตรัส "ว่าซอฮยอนไม่ได้ชักชวนข้าไปอยู่กับพวกของนางเลย และก็ไม่ได้หลอกล่อให้ข้าทรยศตระกูลตัวเองแม้สักนิด ข้าว่าท่านนั่นแหละที่มองโลกในแง่ร้ายเกินไป"

         "นั่นแหละคือพระนางกำลังโดนสะกดจิตอยู่" คิมซังกุงโต้ตอบ

         "สะกดจิตหรือ" พระนางเงยหน้ามอง "คำนี้น่าจะใช้กับท่านมากกว่า ท่านต่างหากที่สะกดจิตข้าให้เกลียดซอฮยอน ความจริงนั้นสิ่งที่ข้าไม่ชอบนางก็มีแค่เรื่ององค์รัชทายาทเท่านั้น แต่ท่านต่างหากที่ยัดความเกลียดชังมาให้ข้า ไม่ว่าจะเป็นการสอบ การมุ่งสู่อำนาจ ท่านจะกรอกหูข้ามาตลอดมาซอฮยอนคือศัตรู แต่ความจริงแล้วนางไม่ใช่เลย"

         "พระนางตรัสเหมือนคิมจีมุนไม่มีผิด" คิมซังกุงจ้องมองหลานตัวเองอย่างเย็นชา "ตอนนี้กลายเป็นว่าลูกหลานของสกุลคิมทุกคนโดนควบคุมเบ็ดเสร็จโดยซอฮยอน"

         "ถ้าท่านคิดเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านเถิด" พระนางเซจีตรัส

         "แต่ที่ว่าไฟไหม้ตำหนักเพราะเทียนและโคมที่พระองค์จุดทิ้งไว้มันไม่สมเหตุสมผลนะเพคะ" ซงฮวันพูดขึ้นบ้าง

         "ข้าจะไม่เล่าเรื่องเมื่อคืนซ้ำซากอีกแล้วนะ" พระนางกล่าวอย่างรำคาญ "ทั้งหมดที่ข้าพูดคือความจริง"

         "แล้วเมื่อคืนทำไมถึงเสด็จไปตำหนักพระมเหสี" คิมซังกุงถามต่อทันที

         "ข้าคิดว่าตัวเองกับพระมเหสีไม่มีเรื่องบาดหมางต่อกัน จึงคิดว่าจะเป็นการดีเสียกว่าถ้าผูกมิตรกันเอาไว้"

         คิมซังกุงอ้าปากค้าง ส่วนซงฮวันถึงกับเงยหน้ามองพระชายา

         "นี่... นี่พูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า" ซังกุงรับบัญชาเอ่ยทำลายความเงียบ

         "รู้ดีเพคะ และด้วยเหตุนี้ ตำแหน่งเซจาพินของข้าจึงได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการแล้ว"

         "ข้าไม่สนเรื่องการรับรองบ้าบอนั่น เพราะมันเป็นแค่เรื่องตบตา แต่เจ้า... ทำไมถึงได้ไปผูกมิตรกับพระมเหสี เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ" คิมซังกุงพูดกับหลานสาวตนเอง คราวนี้นางไม่ใช้คำราชาศัพท์อีกต่อไปเพราะดูเหมือนคลื่นความโกรธจะเริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ

         "การผูกมิตรนั่นถือเป็นเรื่องเสียสติหรือ"

         "พระมเหสีฮโยฮันคือศัตรู เป็นศัตรูตัวฉกาจของตระกูลเรา เจ้าจะผูกมิตรกับพระนางไม่ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ต้องตาย เจ้าก็ไม่ควรไปผูกมิตรกับนาง" คิมซังกุงกรีดเสียง "พระนางสร้างบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาหายกับสกุลคิมของเรา แย่งโอกาสในการขึ้นเป็นชุงจอนมามะของข้า ทำร้ายข้าทั้งกายและใจ เจ้าก็รู้เห็นเรื่องพวกนี้ดี"

         พระชายานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยว่า

         "นั่นมันเป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่ของข้า"

         ซงฮวันอ้าปากค้าง ส่วนคิมซังกุงตกตะลึง

         "นี่ข้าเป็นป้าเจ้านะ ทำไมถึง..."

         "เพราะเป็นป้าอย่างไรเล่าถึงอยากจะเตือนให้เลิกพยาบาทพระมเหสีเสียที อีกอย่างท่านก็เอาคืนพระนางแล้ว"

         "แค่เรื่องแต่งตั้งเซจาพินกับล้มป่วยนั้นมันไม่พอกับความเลวที่ฮโยฮันทำไว้ในอดีตหรอก"

         "ถ้าเป็นแบบนี้ข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับท่านแล้ว เพราะดูเหมือนท่านต่างหากที่ตามจองเวรพวกเขาอย่างไม่เลิกรา" พระชายากล่าวพลางส่ายหน้า

         "แล้วอย่างไร เจ้าจะไปร่วมกับมเหสีเพื่อมาจัดการข้าใช่ไหม" คิมซังกุงกรีดเสียง "เจ้าจะทรยศข้าใช่รึเปล่า!"

         "คิมซังกุง สงบสติอารมณ์ลงบ้าง"

         "ที่เจ้ามีอำนาจได้ทุกวันนี้ก็เพราะข้า อยู่สุขสบายในอำนาจ ไม่ต้องทำงานหลังแข็งเหมือนตอนเป็นนางในก็เพราะข้า ข้าคือคนส่งอำนาจไว้ในมือเจ้า อย่าคิดว่าเจ้าเป็นเจ้าของอำนาจนั้นจนทำอะไรตามอำเภอใจได้ เพราะข้าจะเอามันคืนเข้าสักวัน" ซังกุงรับบัญชาพูดออกมา

         พระนางเซจีชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะล้วงป้ายหยกแสดงฐานะเซจาพินของตนวางลงตรงหน้าผู้เป็นป้า

         "จะเอาไปตอนนี้ก็ได้เลยนะ แล้วก็ให้ซงฮวันมาเป็นเซจาพินแทนข้าก็ได้"

         "อย่าอวดดีให้มันมากนักนะเซจี!" คิมซังกุงกรีดเสียง

         "ผู้ใหญ่!" พระชายาตะโกนกลับด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กัน "ชอบลำเลิกบุญคุณลูกหลาน แต่พอลูกหลานเอาเข้าจริง ก็มาหาว่าเขาอวดดี ผู้ใหญ่อย่างท่านต้องการอะไรกันแน่"

         "ใจเย็นๆ ก่อนเถิดเพคะพระชายา" ซงฮวันพยายามทูล

         "อย่ามาบอกให้ข้าใจเย็น" พระนางเซจีตวัดเสียง

         "ใช่ ซงฮวัน ไม่ต้องเตือนนาง" คิมซังกุงตาลุกวาว "ให้นางปีกกล้าขาแข็งกำเริบเสิบสานเสียให้พอ แล้วจะได้รู้ว่าข้านั้นมีประโยชน์มากแค่ไหนในวันที่ข้าไม่สนนางแล้ว"

         "พูดจบแล้วใช่รึไม่ซังกุงรับบัญชา" พระชายาตรัส "จบแล้วก็เชิญท่านออกไปจากตำหนักได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน"

         "นี่เจ้ากล้าไล่ข้าหรือ" คิมซังกุงอ้าปากค้าง

         "ข้าเชิญท่านออกไป ไม่ได้ไล่ แต่ถ้าจะคิดว่าข้าไล่ ก็แล้วแต่ท่าน" พระนางพูดเสียงสะบัด

         "นี่เจ้า!" ซังกุงรับบัญชาโกรธจนตัวสั่น

         พระชายาเซจีไม่สนใจ นางหันไปปูที่บรรทมและจัดวางหมอนให้เข้าที่ก่อนจะเรียกนางในให้ต้มน้ำร้อนให้

         "นายหญิง... ออกไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ" ซงฮวันกระซิบก่อนจะค่อยๆ พยุงร่างคิมซังกุงให้ยืนขึ้นและพาเดินไปที่ประตูตำหนัก

         "และก็..." พระชายาพูดขึ้นอีกครั้ง "ห้ามท่านเข้าพบข้าเว้นแต่ข้าจะเรียกท่านมาเอง เข้าใจรึเปล่า"

         "เซจี! นี่เจ้ากล้า---" คิมซังกุงพยายามจะเดินกลับมาคุยกับหลานสาวตัวเองให้รู้เรื่องแต่ซงฮวันได้พาตัวนายหญิงออกไปจากตำหนักก่อนที่จะเกิดเหตุทะเลาะกันบานปลาย

         เมื่อออกมานอกตำหนักคิมซังกุงก็สะบัดแขนออกจากซงฮวันทันที

         "ปล่อยข้านะ! จะมาห้ามข้าทำไม ข้าจะจัดการกับนาง นังตัวดี กล้าดีอย่างไรมาไล่ข้า"

         "นายหญิง! นังตัวดีอะไรกันเจ้าคะ อย่างไรพระนางก็เป็นพระชายาองค์รัชทายาท ให้เกียรติพระนางหน่อยเถิด ตอนนี้ทั้งพระชายาและนายหญิงต่างใจร้อนทั้งคู่ ไว้อารมณ์เย็นค่อยมาคุยกันดีกว่าไหมเจ้าคะ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นแผนของซอฮยอนที่ต้องการให้เราทะเลาะกันก็ได้" 

         "นางไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอก" คิมซังกุงกล่าวออกมาอย่างชิงชัง

         "นายหญิงนี่เหลือเชื่อจริงๆ" ซงฮวันร้องออกมา "ซอฮยอนวางแผนจนทำให้พวกเราพังพินาศไม่เป็นกระบวนขนาดนี้ ท่านยังจะว่านางไม่ฉลาดอีกหรือ"

         ซังกุงรับบัญชานิ่งไป ความจริงก็คิดเช่นนั้น แต่ใจแค่ไม่ยอมรับเท่านั้นเอง นางหันไปมองตำหนักเซจาพินอีกครั้งและคิดว่าค่อยให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปสักพัก ตนจะกลับมาคุยกับหลานสาวให้รู้เรื่องเอง












         นางวังรับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาในจวนของใต้เท้าซินซังซอนอย่างรวดเร็วก่อนจะยื่นจดหมายฉบับสีขาวให้ทหารยามนำเข้าไปส่งด้านใน ทหารยามเดินถือจดหมายเข้าห้องทำงานก่อนจะก้มศีรษะคำนับใต้เท้าทั้งหลาย

         "มีธุระอะไรหรือ" ขุนนางหนุ่มในชุดสีฟ้าร้องถาม

         "มีนางวังคนหนึ่งส่งจดหมายมาให้ใต้เท้าซินขอรับ" ทหารยามโค้งก่อนจะยื่นจดหมายซองสีขาวให้คนที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุดรับไปเพื่อส่งไปหาคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

         ใต้เท้าซินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหยิบจดหมายจากซองมาคลี่ออกอ่านท่ามกลางความสงสัยของขุนนางคนอื่นๆ ในห้องประชุม

         "เรียนใต้เท้าซินซังซอน นี่ข้าซอฮยอนเองเจ้าค่ะ ตอนนี้ใต้เท้าคงจะโกรธ โมโห หงุดหงิด งุ่นง่าน หรืออะไรก็แล้วแต่ โปรดจงรู้ที่ข้านั้นก็เพื่อตัวท่านเอง เพราะหลักฐานที่ท่านวางเพลิงตำหนักกลางสวนชัดเจนมาก หรือว่าท่านคิดจะฆ่าตัวตายในเหตุการณ์นี้เจ้าคะ

         ข้าไม่เคยเห็นด้วยกับท่านและไม่เคยตกลงกับท่านเรื่องที่จะลอบปลงพระชนม์พระชายาเซจี การที่ข้าส่งพระนางไปตำหนักนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับภารกิจลอบสังหารอะไรนั่นเลย ข้าทำไปเพื่อจะทดสอบพระนางเฉยๆ ฉะนั้นการที่ข้าจะช่วยพระนางจากกองไฟก็ไม่ได้หมายความว่าข้าทรยศท่าน เพราะข้าไม่ได้ให้สัจจะอะไรท่านไว้ แต่ถ้าท่านจะตราหน้าข้าว่าเป็นคนทรยศ ข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าค่ะ

         ข้าขอเตือนสติท่านอีกครั้งนะเจ้าคะ ว่าคนที่ทำให้พระชายาฮวารยอนจากโลกนี้ไปคือคิมซังกุง ไม่ใช่คิมเซจี การทำให้คิมเซจีตายไปไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากเพิ่มไฟแค้นให้นาง การจองเวรก็จะมีต่อไป ข้าไม่อยากจะเห็นความเกลียดชังที่ส่งต่อกันไปรุ่นต่อรุ่นหรอกนะเจ้าคะ 

         ต่อไปนี้ข้าอยากแนะนำให้ท่านดูแลแต่เรื่องของตัวเอง ทำงานรับใช้ฝ่าบาทเท่านั้น เพราะท่านเป็นขุนนาง หน้าที่ของขุนนางคือเป็นข้ารองบาทพระราชาและทำงานให้ประชาชน ไม่ใช่จ้องแต่จะทำลายคนในวังด้วยกัน ข้าจึงอยากจะบอกท่านเอาไว้ว่าเรื่องคิมซังกุงข้าจะจัดการเองเจ้าคะ ท่านไม่ต้องคอยควบคุมหรือบงการข้าอีก ข้ารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ความจริงท่านพี่ฮวารยอนได้ฝากจดหมายไว้กับข้าสามฉบับ ตอนนี้เปิดไปแค่ฉบับเดียว คือข้าจะไม่บอกรายละเอียดใต้เท้าหรอกนะเจ้าคะว่ามันเขียนไว้ว่าอะไร เพราะว่ามันเป็นเรื่องของข้า ส่วนท่านต้องหยุด เพราะถ้าไม่หยุด ข้าจะตามขัดขวางท่านอีก และข้าจะไม่ปกป้องท่านแบบคราวนี้ ครั้งนี้ท่านรอดได้เพราะข้าให้พระนางเซจีอ้างว่าเหตุเพลิงเกิดจากอย่างอื่น แม้แต่คิมจีมุนเองก็ไม่รู้เรื่องท่าน

         ฝ่าบาทได้มอบหมายให้คนของท่านจัดการตรวจสอบหลักฐานในเหตุเพลิงไหม้ ถ้าฉลาดก็จงกลบเกลื่อนสิ่งที่ท่านทำไว้เสีย และนี่คือการยื่นคำขาดครั้งสุดท้ายจากข้า ต่อไปข้าจะเป็นฝ่ายส่งจดหมายไปหาท่านเอง ข้าไม่อนุญาตให้ท่านส่งจดหมายหรือเรียกข้าจนกระทั่งลักพาตัวข้าไปแบบครั้งก่อนอีกแล้วนะเจ้าคะ

    ซินซอฮยอน"

         ใต้เท้าซินพับจดหมายและเก็บมันลงในซองตามเดิม ขุนนางอาวุโสนิ่งไปสักพักเมื่ออ่านจดหมายจบ แต่แล้วก็ปรากฏยิ้มบางๆ ขึ้นมาที่ใบหน้า

         ...ลูกสาวคนเล็กของเขาโตขึ้นมากแล้วจริงๆ สินะ





    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×