ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #150 : กฎแห่งการล้างแค้น [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 609
      46
      18 ก.พ. 63

    ตอนที่ 150 กฎแห่งการล้างแค้น






         "หยุดคิดเรื่องไร้สาระได้แล้วพระชายา หวางจื่อห้าวไม่รับรองพระองค์แล้วอย่างไร ตำแหน่งพระชายาก็ยังอยู่กับเรานี่เพคะ ส่วนเรื่ององค์รัชทายาท พระชายาต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะเอาชนะพระทัยของเขาได้ สักวันพระองค์ต้องหันมามองแน่เชื่อหม่อมฉันสิ ต่อให้ใจแข็งอย่างไรก็ไม่มีทางรอดพ้น น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน นับประสาอะไรกับใจคน" คิมซังกุงกล่าวปลอบเซจาพิน

         "ข้าว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่พระชายาทรงกังวลหรอกเจ้าค่ะนายหญิง" ซงฮวันเอ่ยออกมาเบาๆ ซังกุงรับบัญชาหันไปมองนาง

         "แล้วเรื่องอะไรที่ทรงเป็นกังวล"

         "ก็ซอฮยอนอย่างไรเล่าเจ้าคะ นางได้อำนาจมาจากหวางจื่อห้าวให้คอยคุมความประพฤติของพระชายา ขนาดว่าสามารถมีอำนาจปลดพระนางได้เลย ข้าคิดว่าคราวนี้นางคงจะหาทางแก้แค้นแน่ๆ เพราะเราทำกับนางไว้เยอะตอนงานอภิเษก" ซงฮวันตอบ

         "นังนั่นมีรึจะกล้า เชื่อเถอะว่านางไม่กล้ามาสั่งพระชายาหรอก แค่ผู้หญิงที่โชคช่วยจนได้มาเป็นราชเลขา จะมีอิทธิพลอะไรกับสกุลคิม" คิมซังกุงพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม

         "นายหญิง เรากำลังพูดถึงซอฮยอนนะเจ้าคะ" ซงฮวันบอกเสียงอ่อน

         "แล้วอย่างไร"

         "ก็เพราะนางไม่ใช่หรอกหรือเจ้าคะ ที่สร้างความปั่นป่วนให้กับเรามาโดยตลอด"

         คิมซังกุงยิ้มเย็น

         "เจ้าต้องเรียนรู้อีกเยอะซงฮวัน"

         "หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ" ถึงทีที่นางจะเป็นฝ่ายสงสัยเองบ้างแล้ว

         "นั่นสิเจ้าคะคิมซังกุง ทำไมท่านถึงคิดว่าซอฮยอนจะไม่กล้าออกคำสั่งกับข้า นี่เป็นโอกาสเหมาะด้วยซ้ำที่นางจะเล่นงานข้า และเอาตัวขององค์รัชทายาทกลับคืนไป" พระชายาเซจีสงสัยเช่นกัน

         "ซงฮวันกับพระชายาอาจจะยังไม่รู้จักนิสัยของซอฮยอนดี แต่ข้านั้นดูนางออกทะลุปรุโปร่ง คนอย่างนางเชิดชูบูชาในความถูกต้องเสียยิ่งกว่าอะไรดี เถรตรงและแน่วแน่ในความคิดตนเองเสมอมา แม้จะมีหลายหนที่นางอาจแหกกฎเกณฑ์ไปบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ทำไปเพื่อดำรงความยุติธรรม"

         "ข้ายังไม่เข้าใจเจ้าค่ะ" ซงฮวันขมวดคิ้ว

         "ที่ข้าจะบอกคือ คนเถรตรงอย่างนาง ต่อให้มีความโกรธเกลียดในใจสักเพียงใด ก็จะไม่ใช้วิธีสกปรกเล่นงานฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาด ผู้หญิงเช่นนางมีศักดิ์ศรีพอ และนั่นคือจุดอ่อนของนาง" คิมซังกุงกล่าว

         "คิมซังกุงกำลังจะบอกว่าซอฮยอนเป็นคนดีเกินกว่าที่จะใช้วิธีเห็นแก่ตัวมาจัดการกับพวกเราหรือเจ้าคะ" พระชายาเซจีถาม

         "ถูกต้องเพคะ"

         "แต่... แต่ว่าที่พระชายาไม่ได้รับการรับรองตำแหน่งจากทูตต้าหมิงก็เพราะซอฮยอนไม่ใช่หรือเจ้าคะที่ไปเป่าหูหวางจื่อห้าว" ซงฮวันมิวายเคลือบแคลงใจ

         "ข้าว่าไม่ใช่นางหรอก" พระชายาตรัสขึ้น "ถึงข้าจะชังน้ำหน้านางสักเพียงใด แต่นางไม่ใช่คนแบบนั้น ข้าคิดว่าคงเป็นจุดประสงค์ของหวางจื่อห้าวเองมากกว่า"

         "เช่นนั้น พระชายาก็ไม่ควรห่วงกังวลอะไรกับผู้หญิงคนนี้อีก จงอดทนรอไปก่อน หม่อมฉันกับใต้เท้าคิมจะจัดการนางเอง ระหว่างนี้ซอฮยอนจะยังไม่กล้าสั่งอะไรพระองค์แน่นอน" คิมซังกุงทูล "แล้วก็อย่าตรัสเรื่องสละตำแหน่งอะไรนั่นอีกนะเพคะ ถ้าใต้เท้าคิมได้ยินเข้าจะโมโหท่านเอา"

         พระชายาเซจีพยักหน้า

         "ตอนนี้รีบขยับพระองค์มาแต่งเครื่องทรงได้แล้วเพคะ เลิกตายซากเสียที---ซงฮวัน ไปตามนางในแต่งเครื่องทรงเข้ามาที"

         เมื่อเซจาพินกำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ในตำหนักของตน คิมซังกุงก็เรียกซงฮวันออกไปคุยนอกตำหนักอย่างเงียบๆ สองต่อสอง

         "อะไรนะ! เมื่อเช้าซอฮยอนไม่ได้กลับวังมาด้วยหรือ" คิมซังกุงซักถาม

         "เจ้าค่ะ มีแค่ผู้ช่วยคิมจีมุนเท่านั้นที่เข้าวังมาพร้อมขบวนเสด็จ ตอนแรกข้าก็คิดว่านางเข้าวังมาก่อนแล้ว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เจ้าค่ะ" ซงฮวันรายงาน

         "หมายความว่าอย่างไร"

         "ข้าไปแอบถามนางกำนัลที่ตามเสด็จมา นางบอกว่าซอฮยอนออกไปจากตำหนักแทเพียงตอนกลางดึกเมื่อคืนเพคะ แต่ไม่ได้กลับมาวังหลวง ที่สำคัญ กว่านางจะกลับมาก็สายมากแล้วด้วย"

         "ผู้หญิงคนนี้มีพฤติกรรมแปลกๆ มากขึ้นทุกวัน" คิมซังกุงหรี่ตาก่อนจะกำชับหญิงสาวต่อไป "เจ้าต้องคอยตามติดนางทุกฝีก้าว เข้าใจรึเปล่า"

         ซงฮวันก้มศีรษะรับคำ

         "เจ้าค่ะนายหญิง"
















         "ปราชญ์ย่อมหลีกเลี่ยงสังคมที่เลวร้าย สถานที่เลวร้าย มารยาทที่เลวร้าย และวาจาที่เลวร้าย

         ในระหว่างเป็นเพื่อนกันต้องตักเตือนให้กำลังใจกันและกัน ในระหว่างพี่น้องต้องสามัคคีกัน

         ยังปรนนิบัติคนที่มีชีวิตไม่เป็น จะปรนนิบัติเซ่นไหว้เทพเจ้ากับผีได้อย่างไรเล่า

         การมีชีวิตอยู่นานเท่าใดมิใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ มีชีวิตอยู่อย่างไร

         ผู้มีปัญญาชื่นชมน้ำ เป็นผู้ขยัน ผู้มีความสุข ผู้มีเมตตาชื่นชมภูเขา เป็นผู้รักสงบ เป็นผู้มีอายุยืน"

         เสียงเจื้อยแจ้วท่องตำราปรัชญาขงจื๊อของนางกำนัลเด็กดังลั่นเรือนอบรม พวกนางมีอายุแค่ประมาณ 6-7 ขวบแต่สามารถท่องทุกคำบนหนังสือตรงหน้าได้อย่างฉะฉาน มีบ้างที่อาจพูดผิดแต่ก็จะมีรุ่นพี่นางในรอบๆ เรือนสอบคอยช่วยออกเสียงให้ถูก ส่วนพวกที่ยุกยิกบ่อยๆ ก็อาจโดนก้านไม้ของซังกุงอบรมฟาดน่องเอาได้

         ซอฮยอนนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าชั้นเรียนของนางกำนัลเด็ก แววตาจ้องออกไปด้านนอกเรือนอย่างไร้จุดหมาย ตามปกติซังกุงอบรมจะขอให้หญิงสาวมาช่วยดูแลการอ่านเขียนของนางกำนัลเด็กให้หน่อยเพราะเห็นว่านางมีความสามารถในด้านนี้ ซึ่งทุกครั้งที่ซอฮยอนมาช่วยสอน นางจะมีความเอ็นดูเด็กๆ เหล่านี้เป็นอย่างมาก ด้วยหน้าตาที่จิ้มลิ้มน่ารักอีกทั้งยังใส่ชุดชอโกรีตัวเล็กๆ สีชมพูทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดในวัง แต่คราวนี้นางดูเปลี่ยนไป ไม่สดใสเมื่อทุกคราวที่มาสอนเลย นางกำนัลเด็กหลายคนเห็นถึงความผิดแปลกนี้ก็ต่างพากันงุนงงจนกระทั่งถึงกับแอบซุบซิบกันเบาๆ

         เมื่อความสงสัยล้นปรี่เต็มที่ นางกำนัลเด็กที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของรุ่นได้ยืนขึ้นก่อนจะพูดขัดการท่องตำราว่า

         "ขออนุญาตเจ้าค่ะ"

         ซอฮยอนยังคงนั่งนิ่งเงียบ

         นางกำนัลรุ่นเยาว์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

         "เอ่อ พี่ซอฮยอน" นางกำนัลเด็กคนเดิมเรียกอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกะพริบตาไปมาอยู่ชั่วครู่

         "มีอะไรหรือจ๊ะ" นางถาม "ท่องตำราเสร็จแล้วหรือ"

         "ยังเจ้าค่ะ" แนอินน้อยตอบ "แต่พี่ซอฮยอนเป็นอะไรรึเปล่าเจ้าคะ"

         "ทำไมหรือ" ซอฮยอนย้อนถาม

         "ก็พี่ดูแปลกๆ ไป ไม่พูดไม่จา อีกทั้งยังนั่งนิ่งตลอดเลย ตะกี้จีซูกับยูฮยอนท่องผิดท่านก็ไม่ทักท้วง ทำเหมือนไม่ได้ฟังฉะนั้น"

         "ฟังสิ ฟังอยู่" ซอฮยอนรีบพูด "เอาล่ะ ท่องต่อเถอะจ้ะ"

         ความจริงหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอยอย่างที่เด็กๆ ว่านั่นแหละถูกแล้ว ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลตนเองที่คิดจะก่อเรื่องร้ายในวังยังคงรบกวนจิตใจซอฮยอนทั้งยามหลับและยามตื่น นางไม่รู้จะตัดสินใจกับเรื่องนี้อย่างไรดี แต่วิธีที่ดีที่สุดที่คิดได้ตอนนี้คือไม่ออกหนังสือคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงต้องแจ้งเรื่องนี้ให้องค์รัชทายาททรงรับรู้แต่ต้องไม่บอกว่าใครที่คิดจะก่อการณ์นี้ นางหวังว่าเมื่อพระองค์รู้ก็คงจะไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้พระนางเซจีตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน

         เหล่านางกำนัลเด็กเมื่อเห็นซอฮยอนจมลงไปในห้วงความคิดคำนึงอีกครั้งก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกนอกจากก้มหน้าก้มตาท่องหนังสือต่อไป

         "ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถรักคนด้วยความจริงใจ และจึงสามารถเกลียดคนด้วยความจริงใจ"

         เกลียดคนด้วยความจริงใจหรือ... ซอฮยอนคิดตามบทปรัชญาขงจื๊อที่เหล่าแนอินน้อยท่อง จริงสิ ที่เราตัดสินใจนั้นถูกต้องแล้ว ฝ่ายของสกุลคิมเป็นศัตรูที่นางเกลียดชังก็จริง แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่นางต้องใช้วิธีอันร้ายกาจในการกำจัดพวกเขา เพราะถ้าเราพิจารณาด้วยความเป็นจริงแล้ว เมื่อเรามีความจริงใจในการเกลียดคนคนหนึ่งแล้ว ก็จะไม่มีอคติไปสร้างเรื่องเลวร้ายให้กับเขาแน่นอน

         "เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนจ้ะ" ซอฮยอนประกาศ นางกำนัลเด็กหยุดท่องตำราก่อนจะเงยหน้ามองด้วยความสงสัย

         "ยังไม่ครบหนึ่วชั่วยามเลยนี่เจ้าคะพี่ซอฮยอน ทำไมถึงให้หยุดท่อง"

         "เวลาที่เหลือข้าจะฝึกความคิดและการตอบปัญหาของพวกเจ้า ใครตอบได้ดีที่สุดจะได้ของอร่อยจากห้องเครื่องเป็นรางวัล สนใจรึเปล่า" หญิงสาวเสนอ

         "สนใจเจ้าค่ะ" นางกำนัลเด็กหลายคนรีบโบกมือทันที

         "เอาล่ะๆ ข้าจะถามทีละข้อนะ ใครตอบได้ก็ให้ตอบเลย ไม่ยากจ้ะ เพราะมันไม่ใช่คำถามความรู้อะไรหรอก" ซอฮยอนกล่าว "คำถามแรก ถ้าพวกเจ้ามีกระต่ายน้อยน่ารักอยู่ตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่า พวกเจ้าขึ้นเขาไปหากระต่ายน้อยตัวนั้นเพื่อเล่นด้วยประจำ แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีเสือใจร้ายฆ่ากระต่ายตัวนั้นเพียงเพื่อสนองความหมั่นเขี้ยวของตน มิใช่เพื่อกินเป็นอาหาร คำถามคือ พวกเจ้าจะแค้นเสือตัวนั้นรึเปล่า"

         "แค้นสิเจ้าคะ" หลายคนตอบทันที

         "เป็นใครก็แค้นเจ้าค่ะ" บางคนตอบแทรกมา

         ซอฮยอนนิ่งฟัง

         "แต่ข้าไม่แน่ใจเจ้าค่ะ" นางกำนัลเด็กหน้าตาตื่นกลัวตอบออกมาเบาๆ หญิงสาวหันไปมอง

         "ทำไมถึงไม่แน่ใจล่ะจ๊ะ" ซอฮยอนถาม

         "เพราะความรู้สึกเสียใจมีมากกว่าเจ้าค่ะ ความแค้นมันจึงไม่ได้มีผลกับข้ามากนัก" นางตอบ ซอฮยอนชะงักไป ไม่คิดว่าแนอินตัวเล็กผู้นี้จะตอบคำถามได้ดีเกินอายุจนตนเองรู้สึกแปลกใจ

         "เจ้าชื่ออะไรหรือ"

         "ฮันจีฮวาเจ้าค่ะ"

         "จีฮวา เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกข้อหนึ่งได้รึไม่" ซอฮยอนกล่าวอย่างอ่อนโยน

         "ได้เจ้าค่ะ" เด็กหญิงพยักหน้า

         "ถ้าเจ้าเติบโตขึ้นและได้เรียนรู้วิชาพรานล่าสัตว์จนชำนาญ วันหนึ่งบนภูเขาเจ้าได้เจอเสือตัวนั้นอีกครั้ง และจำได้แน่นอนว่ามันคือพยัคฆ์ร้ายที่พรากชีวิตกระต่ายน้อยของเจ้าในอดีตไป เจ้าจะจัดการฆ่าเสือตัวนั้นรึเปล่า" ซอฮยอนถาม

         "ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะ" นางกำนัลเด็กจีฮวาขมวดคิ้ว

         "ไม่เข้าใจคำถามรึ ตรงไหนที่ไม่เข้าใจ" 
       
         "ข้าเข้าใจคำถามเจ้าค่ะ" เด็กหญิงตอบ "แต่ที่ข้าไม่เข้าใจคือทำไมข้าต้องฆ่ามันเจ้าคะ"

         "โง่จริง" เพื่อนแนอินด้วยกันร้องขึ้น "ก็เสือร้ายตัวนั้นเคยฆ่ากระต่ายเจ้า เจ้าจะไม่แก้แค้นมันรึ"

         "แก้แค้น?" จีฮวาทำสีหน้าสับสน "แล้วทำไมต้องแก้แค้น ถ้าข้าฆ่าเสือตัวนั้น กระต่ายน้อยของข้าจะฟื้นคืนจากความตายหรือ"

         ซอฮยอนตกตะลึง บางอย่างในใจของนางส่องประกายวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน

         "โอ๊ย! ข้าหมายถึงเสือตัวนั้นมันเคยฆ่ากระต่ายเจ้า เจ้าก็ต้องฆ่ามันตอบแทนที่มันเคยทำต่างหาก" เด็กคนอื่นๆ พูดใส่จีฮวา

         "จำเป็นหรือ" นางกำนัลเด็กไม่เห็นด้วย "ทำไมต้องฆ่าเพราะว่ามันฆ่าสิ่งที่เรารัก ใครเป็นคนมอบอำนาจให้เราตัดสินใจหรือ เรามีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตคนอื่นตั้งแต่เมื่อใดหรือ หากข้าฆ่าเสือตัวนั้นด้วยกฎแห่งการล้างแค้น แล้วถ้าเสือตัวนั้นเป็นแม่เสือ มีลูก และต่อมาลูกเสือตัวนั้นเติบโตขึ้น มันจะตามล่าข้าด้วยกฎข้อเดียวกันรึไม่ ถ้าใช่ ข้าต้องก้มหัวให้กับความตายกระนั้นหรือ"

         ทุกคนในเรือนอบรมนิ่งเงียบ สายตาทุกคู่จ้องมองแนอินจีฮวาด้วยความทึ่ง ซอฮยอนเองนั้นก็ไม่คิดว่าเด็กอายุแค่นี้จะมีความคิดความอ่านขนาดนี้ ที่สำคัญ คำพูดของเด็กน้อยก็เหมือนได้จุดประกายอะไรบางอย่างในความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาวได้อย่างแจ่มชัด

         ซอฮยอนตัดสินใจแล้ว...

         นางผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนจะกวักมือเรียกนางในที่ยืนอยู่รอบๆ เรือนอบรมให้เข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะสั่งว่า

         "เดี๋ยวเจ้าช่วยไปเอาขนมหวานจากห้องเครื่องมาแจกให้พวกนางกำนัลเด็กทุกคนเลยนะ พอดีข้ามีธุระด่วนที่ต้องไปทำ"

         "เจ้าค่ะ" นางในซึ่งมียศศักดิ์ต่ำกว่าก้มศีรษะรับคำ ส่วนซอฮยอนก็รีบกุลีกุจอเดินลงจากเรือนอบรมก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตำหนักตงกุงทันที

         ต้องไปแจ้งเหตุร้ายนี้กับองค์รัชทายาท ข้าต้องเตือนพระองค์ และให้พระองค์เตือนพระนางเซจีอีกที ที่สำคัญจะไม่มีหนังสือคำสั่งเพื่อส่งใครไปตำหนักกลางสวนทั้งนั้น จะไม่มีใครต้องตายอีก ซอฮยอนบอกกับตัวเองในขณะที่เร่งฝีเท้าไปข้างหน้า

         ทว่าในตอนนั้น หญิงสาวไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีซังกุงคนหนึ่งแอบเดินตามตนเองมาโดยตลอดทุกฝีก้าว...














         เช้าวันใหม่มาถึง เหล่าขุนนางได้พากันเข้าเฝ้าฝ่าบาท ณ ท้องพระโรงตามกิจวัตรประจำวัน วันนี้พระเจ้าโจจงประทับอยู่บนบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ที่พื้นใกล้กับฐานบัลลังก์ก็ปรากฏซอฮยอนกับคิมจีมุนนั่งอยู่ในฐานะราชเลขาประจำพระองค์และผู้ช่วยคนสนิท

         ฉับพลันก็มีเสียงเอะอะเล็กน้อยดังมาจากประตูตำหนัก และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ซอฮยอนตกใจไม่น้อยทีเดียว นั่นก็เพราะปรากฏร่างของใต้เท้าซินผู้เป็นบิดาในชุดขุนนางสีแดงเดินเข้ามาพร้อมกับแถวขุนนางฝ่ายตน เมื่อประจำตำแหน่งก็หันหน้าเข้าหากันกับขุนนางของฝั่งสกุลคิม ไม่รู้ซอฮยอนคิดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนแววตาของใต้เท้าคิมและใต้เท้าซินจะฟาดฟันกันอยู่ในที

         "วันนี้มีหัวข้อการประชุมอะไรบ้าง" ฝ่าบาทตรัสถาม

         "มีเรื่องเหตุพิพาทชายแดน เรื่องพืชพันธุ์เสียหายทางตอนเหนือ และเรื่องการพิจารณาตำแหน่งพระชายาเซจีพ่ะย่ะค่ะ" อาลักษณ์คิมทูล

         "เรื่องพิจารณาตำแหน่งพระชายาเซจีนี่หมายถึงที่ว่าจะให้พระนางเข้ารับการอบรมเพื่อทดสอบคุณสมบัติใช่รึไม่ ที่มีซอฮยอนเป็นผู้ดูแลตามสาส์นมอบอำนาจของท่านทูตต้าหมิง" พระเจ้าโจจงถามต่อ

         "ใช่พ่ะย่ะค่ะ"

         "แล้วเจ้าตัดสินใจรึยัง" พระราชาหันไปทางซอฮยอน

         "ตัดสินใจแล้วเพคะ" นางทูลตอบ

         ทั้งใต้เท้าซินและใต้เท้าคิมแอบขยับตัวเล็กน้อย เหมือนทั้งคู่จะใจจดใจจ่อกับสิ่งนี้พอสมควร

         "เช่นนั้นก็ประกาศมาได้" ฝ่าบาทอนุญาต

         ซอฮยอนก้มศีรษะก่อนจะยืนขึ้น

         "ตามอำนาจที่หม่อมฉันได้รับมาจากใต้เท้าหวางจื่อห้าว หม่อมฉันขอ...






    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×