ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #9 : สุสานน้ำตา [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.61K
      139
      27 เม.ย. 62

                            ตอนที่ 9 สุสานน้ำตา






         "อะไรนะ" หญิงสาวทวนคำเสียงสูง "ตัวตายตัวแทน? หมายถึงอะไรรึ"

         "ใต้เท้าบอกให้เจ้าไปคุย นอกจากนี้ข้าไม่รู้ เจ้ารีบไปเถิด" บ่าวชายเอ่ย ซอฮยอนหันไปหาฮเยวอน นางพยักหน้าให้

         หญิงสาวถอนหายใจครั้งหนึ่งและเดินตามบ่าวชายเข้าไปในเรือน นางถอดรองเท้าฟางและก้าวขึ้นบันไดหิน ซอฮยอนผ่านห้องหับรโหฐานมากมายจนกระทั่งมาถึงห้องที่ใหญ่ที่สุด

         "ใต้เท้า ซอฮยอนมาถึงแล้วขอรับ" บ่าวรายงาน

         "ให้นางเข้ามา" เสียงใต้เท้าซินดังออกมา บ่าวชายผายมือให้หญิงสาว ซอฮยอนจับบานประตูกรุกระดาษเลื่อนออกก่อนจะก้าวเข้าไป 

         ห้องนี้กว้างขวางมากจนนางตกตะลึง เนื้อที่ทั้งหมดแทบจะยัดห้องนอนของตนเองที่บ้านเข้าไปได้สบายๆ มุมห้องมีตู้ไม้สีแดงสวยสด เครื่องประดับและสิ่งของที่ดูคล้ายของพระราชทานจากพระราชาวางไว้โดดเด่น พื้นไม้อย่างดีปูทับด้วยเสื่อสีขาว นางจำได้ว่าเรือนนี้มักปูด้วยเสื่อสีเขียวทว่าเปลี่ยนไปเป็นสีขาวเนื่องด้วยไว้ทุกข์ให้แก่อดีตพระชายา 

         ใต้เท้าซินนั่งหลังตรงอยู่ข้างโต๊ะขาเตี้ย ในมือถือถ้วยชาที่ดื่มหมดแล้วทว่านิ้วยังคงหมุนถ้วยว่างเปล่าในมือไปมาอย่างเลื่อนลอย ด้านหลังใต้เท้าซินเป็นฉากที่ถูกวาดด้วยรูปทิวทัศน์บนภูเขานักซาน ซอฮยอนเผลอยืนมองรูปนั้นด้วยความชื่นชมในฝีมือ

         "นั่งลง" ใต้เท้าพูดขึ้นจนหญิงสาวตื่นจากภวังค์

         ซอฮยอนยกมือสองข้างขึ้นไว้บริเวณหน้าผากเพื่อทำความเคารพขุนนางชั้นสูง

         "ข้าบอกให้นั่งลง ไม่ได้สั่งให้เจ้าคำนับข้า" ใต้เท้าซินเอ่ยเสียงเย็น

         ซอฮยอนที่กำลังจะย่อเข่าถึงกับชะงักทันที นางหลับตาลงชั่วครู่และค่อยๆ นั่งลงกับพื้น 

         "พระชายาไปหาเจ้าเมื่อคืน" เสนาบดีเริ่มการสนทนา "นางไปหาเจ้าทำไม"

         "อดีตพระชายาไม่ได้บอกใต้เท้ารึเจ้าคะ" ซอฮยอนตอบ น้ำเสียงประชดประชันเน้นหนักไปที่คำว่าใต้เท้า

         "พระชายา มิใช่อดีตพระชายา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเรียกนางว่าอดีตพระชายา" ใต้เท้าซินเสียงเขียว

         "ตามกฎของฝ่ายใน ท่านพี่โดนปลดมิใช่หรือเจ้าคะ ยังจะเรียกพระชายาได้อย่างไร"

         "นางถูกปลดเพราะมีคนใส่ร้ายต่างหากเล่า"

         "นั่นสำคัญหรือเจ้าคะ" 

         ใต้เท้าซินเงยหน้ามองบุตรสาวผู้เกิดจากอนุภรรยาอย่างไม่เชื่อสายตา

         "เจ้าพูดอะไรออกมา ไม่สำคัญรึ ถูกใส่ร้ายจนโดนปลดเจ้าจะยังมีหน้ามาพูดว่าไม่สำคัญอีกหรือ" ขุนนางชั้นเอกตวาดลั่น

         "มันจะสำคัญอย่างไรเล่าเจ้าคะ ในเมื่อท่านพี่ก็ตายจากไปแล้ว"

         "หุบปากนะ!" ใต้เท้าซินตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ "นั่นพี่สาวเจ้า ทำไมถึงพูดจาไม่แยแสนางเช่นนี้"

         ซอฮยอนดึงจดหมายสามฉบับออกมาจากอกเสื้อและวางเรียงกันต่อหน้าใต้เท้าซิน เสนาบดีใหญ่มองตาม

         "เมื่อคืนท่านพี่มาหาข้า มอบจดหมายทั้งสามนี้พร้อมทั้งอ้อนวอนให้ข้าเข้าวังเป็นนางใน ทว่า--"

         "เจ้าปฏิเสธ" ใต้เท้าซินต่อให้จนจบ

         "ใต้เท้าก็รู้นี่เจ้าคะ"

         ทั้งคู่เงียบกันไปสักพักราวกับจะดูเชิงอีกฝ่าย ไม่นานใต้เท้าซินก็เป็นคนพูดออกมาก่อน

         "ความจริง ข้าสามารถเปิดโปงคิมซังกุงได้ แต่เมื่อพระชายาสิ้นพระชนม์ไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง นางบอกข้าก่อนจะจากไปว่าไม่อยากให้ข้าเปิดโปงแผนชั่วแต่จะจัดการแก้แค้นด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าพระชายารู้ว่าตัวเองจะไม่รอดจึงไปหาเจ้าเพื่อขอให้เป็นตัวตายตัวแทนเข้าวัง แต่แฝงไปในฐานะนางในเพื่อแก้แค้น ทว่าเมื่อเช้ามืดพระชายาบอกว่าเจ้าปฏิเสธ เช่นนั้นตัวข้าเองจึงอยากจะ..." ขุนนางใหญ่หยุดพูดไปชั่วขณะ สายตาเหลือบแลมาที่ซอฮยอนเล็กน้อยก่อนจะรีบเบือนหน้าไปทางอื่นราวกับกระดากปากที่จะพูดประโยคต่อมา

         "อยากจะให้เจ้าเข้าวังเป็นนางใน" เขาพูดออกมาได้ในที่สุดก่อนจะกระแอมไอทำทียกชาขึ้นดื่มทั้งๆ ที่ในถ้วยไม่มีน้ำชาสักหยด

         ซอฮยอนเกือบหลุดขำกับการพยายามวางท่าของบิดา

         "อย่างนั้นหรือเจ้าคะ" นางเอ่ยออกมาสั้นๆ

         "อย่างนั้นหรือเจ้าคะ? ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร ตอบรับหรือปฏิเสธเล่า" ใต้เท้าซินสงสัย

         "ข้าไม่ทำเจ้าค่ะ" นางตอบทันควัน ใต้เท้าซินเผลอทำถ้วยชาหลุดมือ

         "เจ้าไม่ยอมหรือ" เขาถามเสียงแหบแห้ง

         "เจ้าค่ะ ถ้าในฐานะที่ใต้เท้าอ้อนวอนข้า ข้าขอปฏิเสธ แต่ข้าจะเข้าวังเป็นนางในตามคำขอของท่านพี่เจ้าค่ะ" นางกล่าว

         ใต้เท้าซินใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะทำความเข้าใจประโยคนั้นได้

         "นี่... นี่เจ้า หมายความว่า..."

         "เจ้าค่ะ" ซอฮยอนก้มศีรษะ "ข้ายอมเข้าวังเป็นนางใน แต่ที่ข้ายอมทำ หาใช่เพราะท่านขอ แต่ข้าทำเพื่อพี่สาวข้า ต่อหน้าป้ายวิญญาณนางด้านนอกเจ้าค่ะ" 

         ใต้เท้าซินขนลุก เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งกาย คำพูดของบุตรสาวอีกคนนั้นดูราวกับจะเจือไปความแค้นที่บอกไม่ถูก

         "เจ้าพูดจริงหรือ เจ้าจะยอมเข้าวังจริงๆ หรือ" ขุนนางชั้นเอกถามด้วยความดีใจ ซอฮยอนพยักหน้า "เจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงบอกว่าการใส่ร้ายท่านพี่ฮวารยอนนั้นไม่สำคัญอีกแล้วเมื่อข้าเข้าไปในวังเพื่อแก้แค้นแทนนาง นี่คือเจตนาที่ข้าจะบอกใต้เท้าเจ้าค่ะ"

         ใต้เท้าซินอ้าแขนโผเข้าหาลูกสาวอย่างลืมตัว ซอฮยอนสะดุ้งตกใจจนกระโดดลุกขึ้นยืน

         "ตะ... ใต้เท้าจะทำอะไรรึเจ้าคะ" หญิงสาวถามเสียงหลง หน้าตาฉายแววตื่นตระหนก ทั้งชีวิตพ่อนางไม่เคยกอดนาง ที่ทำมาตลอดคือมีแต่ความชิงชังเท่านั้น แล้วเหตุใดถึง...

         "เอ่อ... ข้าแค่ดีใจ แต่เจ้าจะเข้าวังจริงใช่รึไม่" เขาถามเพื่อขอคำยืนยันและกลบเกลื่อนกิริยาอันน่าอึดอัดเมื่อครู่ ซอฮยอนคลายความตกใจและรีบทำสีหน้าให้เป็นปกติ

         "เจ้าค่ะ แต่มีข้อแม้ ใต้เท้าต้องหาบ้านและเลี้ยงดูมารดาข้าอย่างดี ถึงแม้จะเป็นอนุภรรยาแต่ก็อย่าให้ใครมาล่วงเกินดูถูกนางเป็นอันขาด" ซอฮยอนยื่นข้อเสนอ

         "ข้าตกลง" ใต้เท้าซินตอบทันที

         "ข้าจะไปคุยกับมารดาเจ้าอีกที หวังว่านางคงยอมให้เจ้าเข้าวัง" 

         ประตูไม้กรุกระดาษถูกเลื่อนเปิดออกอย่างแรง ฮเยวอนยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาโชนแสงแรงกล้าก่อนจะประกาศกร้าว

         "ข้าไม่ยอมให้ลูกสาวข้าไปไหนทั้งนั้น!"




        
                                 



         "ท่านแม่!" ซอฮยอนร้องขึ้น

         บ่าวคนหนึ่งรีบคุกเข่าทรุดลงกับพื้นพลางก้มหัวขออภัย

         "ข้าบอกนางแล้วนะขอรับว่าห้ามเข้ามา แต่นางก็ยัง--" ใต้เท้าซินยกมือขึ้นเป็นความหมายให้หยุดพูดและโบกมือไล่ออกไป บ่าวผู้กลัวความผิดเห็นดังนั้นก็รีบเดินหายออกไปทันที ทิ้งไว้แค่เพียงอนุภรรยาใต้เท้าซินที่ยังยืนนิ่งอยู่ 

         ชั่วขณะหนึ่งซังซอนกับฮเยวอนเผลอสบตากันก่อนจะรีบหันหน้าหนีไปคนละทิศคนละทาง ความเงียบเข้าครอบคลุมอย่างน่าอึดอัด

         "ท่านแม่มีอะไรรึเจ้าคะ" ซอฮยอนพูดเพื่อทำลายความเงียบ มารดาหันมามองบุตรสาว

         "แม่มิให้เจ้าเข้าวัง เจ้าเสียสติไปแล้วรึ แม่รู้ว่าเจ้าแค้น แค้นแทนพี่สาวแต่หัดไตร่ตรองเสียบ้าง วังหลวงคือสถานที่อะไรเจ้ามิรู้หรือ หลายคนเข้าวังไปจุดจบเป็นอย่างไรเจ้ามิรู้หรือ พี่สาวเจ้าที่ต้องมาตายอย่างอนาถ อย่างไร้เกียรติเช่นนี้ไม่ใช่เพราะวังหลวงหรือ"

         "ข้อนั้นข้ารู้ท่านแม่" ลูกสาวเอ่ยออกมาเบาๆ

         "แต่เจ้าก็ยังอยากจะเข้าไปรึ วังหลวงเป็นที่ที่น่ากลัว หยุดความคิดเหลวไหลเสียเถิด เจ้าทำอะไรไม่ได้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้" ฮเยวอนปรี่เข้าคว้าแขนบุตรสาวเขย่าไปมา " เจ้าอย่าไปเลยนะ แม่ขอร้อง แม่... แม่ไม่อยากเสียเจ้าไป"

         ซอฮยอนมองใบหน้าเปี่ยมทุกข์ของมารดาด้วยความสงสารจับใจ นางไม่ได้อยากตัดสินใจเลือกเดินทางสายนี้สักนิด หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็งเช่นกันเมื่ออดีตพระชายามาอ้อนวอนถึงบ้าน ทว่าหินแห่งความเย็นชาที่เกาะกุมจิตใจได้ถูกกะเทาะจนแหลกละเอียดยามเห็นพี่สาวจากไปจริงๆ และเหลือเพียงป้ายบูชาวิญญาณไว้ดูต่างหน้า

         "ข้าว่าท่านแม่เข้าใจผิดไปเสียแล้ว" ซอฮยอนเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ผู้เป็นมารดาขมวดคิ้วทันควัน

         "เข้าใจผิดอะไรหรือ" นางสงสัย

         "วังหลวงไม่ใช่สถานที่น่ากลัว คนต่างหากเล่าเจ้าคะที่น่ากลัว" ฮเยวอนได้ยินบุตรสาวตอบเช่นนั้นก็ชะงักไปในทันที ใต้เท้าซินที่ฟังอยู่ก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าพลางแอบพยักหน้าเงียบๆ คนเดียว

         "วังหลวงความจริงคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นแหล่งพำนักประทับของพระราชา พระมเหสีรวมถึงเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ ทว่าคนต่างหากที่ทำให้วังหลวงมัวหมอง แปดเปื้อนไปด้วยเลือดและน้ำตาของคนในวังด้วยกันเอง"

         "แล้วมันจะต่างกันอย่างไรเล่า ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรจะเข้าไปอยู่ดี" มารดาสวนมา

         "ข้าไม่กลัวคนเหล่านั้นดอกนะเจ้าคะท่านแม่"

         "มันหาใช่เรื่องกลัวหรือไม่กลัว ซอฮยอน เจ้ากำลังเดินเข้าไปสู่วังวนอันเสื่อมทรามและอันตราย ใจและกายจะตกต่ำไปด้วยหากถูกชักจูงด้วยอำนาจอิทธิพลของคนชั่วในวัง"

         "ไม่มีสิ่งใดต่ำ ถ้าทำด้วยใจสูงเจ้าค่ะ" ซอฮยอนตอบเรียบๆ

         "นี่หมายความว่า เจ้าจะเข้าวังให้ได้หรือ" ฮเยวอนร้องออกมา บุตรสาวพยักหน้าช้าๆ

         "ซอฮยอน!" 

         "พอแล้ว" ใต้เท้าซินขัดขึ้นหลังจากแอบฟังมานาน สองแม่ลูกหันไปมองอย่างเกรงๆ

         "ซอฮยอน เจ้าออกไปก่อนได้รึไม่ ข้าขอคุยกับมารดาเจ้าครู่หนึ่งเถิด" ขุนนางชั้นเอกกล่าว หญิงสาวหันไปมองหน้ามารดาตนเองแวบหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นก้มหัวให้บิดาและเดินออกมาจากห้อง นางปิดประตูลงช้าๆ

         คราวนี้พ่อบ้านที่เคยยืนเถียงกับซอฮยอนตรงประตูเรือนสกุลซินเป็นคนเดินนำหน้านางออกมาที่ลานกว้างด้วยตัวเอง

         "เจ้าเรียนหนังสือที่ไหนกัน" พ่อบ้านถามขึ้น ซอฮยอนหันมามอง

         "ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเรียนหนังสือ"

         "คำพูดคำจาเจ้าดูออกว่าผ่านการร่ำเรียนมาไม่น้อย งานเขียนที่บัณฑิตฮยองพันกล่าวถึงเจ้าก็เป็นคนแต่งนี่นา จะว่าไปตำราสำหรับเด็กเล่มเล็กๆ ที่ว่าด้วย 'สตรีใต้เชิงผา' นั่นเจ้าก็แต่งหรือ"

         "เอ่อ ท่านรู้จักงานข้า--"

         "รู้จักสิ ข้าอ่านให้ลูกสาวข้าฟังก่อนนอนบ่อยๆ นางชอบเรื่องนี้มากถึงกับขอให้ข้าอ่านให้ฟังทุกคืน ไม่นึกว่าคนแต่งคือเจ้า จนกระทั่งข้าไปคุยกับท่านฮยองพันถึงรู้ว่า 'ผจัญอาเพศโบราณ' กับ 'สตรีใต้เชิงผา' คนแต่งเป็นคนเดียวกัน"

         ซอฮยอนซ่อนยิ้ม ด้วยความที่นางไม่เคยออกสังคมใดมาก่อน ชั่วนาตาปีก็ช่วยแม่ดูแลฮูหยินแชกับสอนหนังสือเด็กๆ จากชนชั้นต่ำจนไม่มีเวลาไปไหนหรือรับรู้ว่างานนางที่เคยขายเพื่อหาเงินประทังชีวิตนั้นจะมีคนกล่าวมากถึงเพียงนี้

         ถ้าพี่สาวนางยังอยู่ก็คงได้อ่านงานเขียนของนาง ซอฮยอนนึกอย่างเสียใจ สายตาแลไปยังป้ายบูชาดวงวิญญาณของฮวารยอน แขกที่เข้ามาในพิธียังคงทยอยทำความเคารพอย่างไม่ขาดสาย

         "มารดาเจ้าตกลงจะให้เจ้าเข้าวัง" ใต้เท้าซินที่เดินมาข้างหลังพูดขึ้นโดยไม่ให้สุ่มให้เสียง ซอฮยอนหันไปมองอย่างตกใจ

         "ท่านพ่อ เอ่อ ใต้เท้าพูดอะไรกับแม่ข้าบ้างรึเจ้าคะ" หญิงสาวเผลอเรียกผิดก่อนจะรีบเปลี่ยนคำเรียก ใต้เท้าซินเลิกคิ้วขึ้น

         "นางยอมที่จะให้เจ้าเข้าวัง รู้แค่นี้ก็พอ แต่นางก็ยังไม่วายห่วงอีกทั้งยังกำชับให้เจ้าระวังตัวให้ดี"

         "แล้วท่านเล่าเจ้าคะ มิห่วงข้าบ้างหรือ" เสนาบดีได้ยินก็ทำทีปัดเสื้อผ้ากระแอมไอตามบุคลิกของตน ซอฮยอนไม่อยากเซ้าซี้จึงถามต่อไปว่า

         "แล้วมารดาข้าไปไหนรึเจ้าคะ"

         "ข้าให้คนพานางไปดูบ้านใหม่และโรงเตี๊ยม"

         "โรงเตี๊ยมรึเจ้าคะ"

         "ถูกต้อง ข้ายกโรงเตี๊ยมบนถนนซุนอีให้นางครอบครองเป็นเจ้าของกิจการ"

         ซอฮยอนอ้าปากค้าง 

         "ใต้เท้า ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ" ขุนนางชั้นเอกพยักหน้า หญิงสาวรีบก้มศีรษะคำนับผู้เป็นบิดาทันที

         "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ขอบคุณจริงๆ เจ้าค่ะ" นางกล่าวด้วยความดีใจ

         "มารดาเจ้ามิได้เห็นแก่โรงเตี๊ยมดอกนะ ถึงยอมให้เจ้าเข้าวัง" ใต้เท้าซินพูดเพื่อไม่ให้ซอฮยอนเข้าใจผิด

         "ข้อนั้นข้าทราบดีเจ้าค่ะ"

         "กลับมาที่เรื่องของเรา อีกไม่นานวังหลวงจะเปิดรับนางกำนัลเข้าวัง เจ้าจงลามารดาและจัดการเรื่องส่วนตัวเจ้าให้เสร็จสรรพเถิด"

         ซอฮยอนรับคำ ชั่วครู่นางหันไปมองงานพิธีโดยรอบและตัดสินใจถามผู้เป็นบิดา

         "ใต้เท้าเจ้าคะ พระชายาฮวารยอนถูกฝังอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ"

         "เจ้าจะไปหรือ" เขาถามขึ้น แววตาหม่นหมองลงเล็กน้อย "นางถูกฝังอยู่เคียงข้างบรรพบุรุษในสกุลซินที่สุสานของตระกูลเรา ถ้าเจ้าอยากไปก็เดินผ่านป่าสนก็จะเจอเอง"





         ซอฮยอนปลีกตัวออกมาจากงานพิธีที่วุ่นวายของบ้านสกุลซิน ลัดเลาะมายังป่าสนโปร่ง ไม่นานนางก็เดินมาถึงสุสานของตระกูลซิน

         กองดินที่พูนขึ้นนั้นเป็นตำแหน่งจุดฝังศพของแต่ละคน ระยะห่างของกองดินเท่ากันหมดเป็นระเบียบ ป้ายหินอ่อนสลักชื่อสกุลปักอยู่เรียงราย ถึงแม้ไม่ได้สร้างสุสานเป็นหินถาวรเฉกเช่นสุสานของเชื้อพระวงศ์ทว่าก็งดงามไม่แพ้กัน 

         ซอฮยอนพบกองดินที่เป็นจุดฝังศพพี่สาวตนเองได้ไม่ยากเพราะนางเพิ่งถูกนำมาฝังเมื่อเช้า ดินที่ถูกขุดมาทำเป็นกองดินจึงมีสีคล้ำและชื้นกว่าดินทั่วไป หญิงสาวคำนับหลุมศพสามหนก่อนจะค่อยๆ นั่งลงเคียงข้างกองดิน มือข้างหนึ่งเอื้อมไปลูบป้ายหินอ่อนที่สลักชื่อผู้วายชนม์ช้าๆ

         "ท่านพี่ เหงารึไม่ อยู่ข้างใต้นั่น ท่านหิวรึไม่" ซอฮยอนกล่าวเสียงสั่น "สุสานนี้สมัยเด็กๆ ท่านเคยพาข้ามาเที่ยวเล่นอีกทั้งยังหากระต่ายมาให้เลี้ยง จำได้ว่าข้าร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่ใต้เท้าซินมาเจอเข้า ท่านพี่ไม่อยากเห็นข้าถูกทุบตีจึงขอรับผิดแทน คราวนั้นท่านถูกไม้เรียวตีขาจนแทบแตก

         "แล้วท่านยังจำได้รึไม่ เราเคยหนีไปเที่ยวผาแห่งหนึ่ง ท่านพี่สงสัยว่าข้างในผานั้นจะมีใครสิงสถิตอยู่รึไม่หนอ ข้ายังจำคำพูดนั้นได้ดี เมื่อโตขึ้นจึงแต่งเรื่อง 'สตรีใต้เชิงผา' ขึ้นมา ข้าจะเล่าให้ท่านฟังนะเจ้าคะ"

         ซอฮยอนเริ่มเล่าเรื่องสตรีใต้เชิงผา ทว่ายิ่งเล่าไปมากเท่าใด น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้นเท่านั้น

         "นางวิ่งฝ่าความมืด ใช้ปากรองน้ำจากหินย้อย เสียงเพรียกจากชายนิรนามดังก้องสะท้อนไปทั้งถ้ำดุจปิศาจจากขุมนรก เมื่อนางสิ้นกระหายก็ค่อยๆ ลุกขึ้น--ฮึก"

         ซอฮยอนร้องไห้โฮ หญิงสาวเล่าไม่ได้อีกต่อไป จะมีประโยชน์อะไรเมื่อคนฟังไม่อยู่แล้ว พี่สาวนางไม่อาจรับรู้เรื่องใดๆ ได้อีกต่อไปแล้ว นางจากไปแล้ว นางตายแล้ว

         "ฮือ ท่านพี่... ท่านพี่ ข้าคิดถึงท่าน ข้าคิดถึงท่าน" ซอฮยอนก้มหน้าแนบกับกองดิน น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด "ข้าสัญญา ข้าจะเข้าวังและล้างมลทินของท่านให้ได้ ข้าสัญญา"

         ที่นี่ในอดีตซอฮยอนเคยร้องไห้ดีใจเพราะได้กระต่ายจากพี่สาวมาเลี้ยง ในปัจจุบันนางก็มาร้องไห้ที่นี่อีกครั้งด้วยความเศร้าโศกเพราะพี่สาวได้ตายจากไป 

         ที่แห่งนี้จึงควรค่าแก่การเรียกขานว่าสุสานน้ำตาโดยแท้




    โปรดติดตามตอนต่อไป
         
         

         
        
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×