ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #86 : นาอินฉิก [เริ่มภาค 2] [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.32K
      92
      7 ส.ค. 62

    ตอนที่ 86 นาอินฉิก [เริ่มภาค 2]






         ลานหินหน้าฝ่ายในเต็มไปด้วยแถวของนางในที่กำลังยืนเรียงก้มหน้ากันอย่างสำรวมเป็นระเบียบเรียบร้อย ตามปกติแล้วพวกนางจะใส่ชุดชอโกรี แต่วันนี้กลับใส่ชุดฮวารยอ ฮวารยอคือชุดที่คล้ายทังอีของเหล่าซังกุงแต่จะเป็นสีฟ้า จัดว่าเป็นชุดพิธีการของเหล่านางในในพิธีสำคัญๆ

         อีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือสถานะ แต่เดิมนางในเหล่านี้เป็นเพียงแค่นางกำนัลไม่มียศหรือที่เรียกว่าแนอิน แต่ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นนางในเต็มตัวเรียบร้อยแล้ว

         พระมเหสีเสด็จมาพร้อมยุนซังกุงและเซโจซังกุง นางในรุ่นใหม่ทุกคนสอดมือใต้ชายผ้าด้านหน้าก่อนจะก้มลงคำนับอย่างพร้อมเพรียง ชุงจอนมามะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นไปบนบันไดหินเพื่อจะได้มองทุกคนได้อย่างชัดเจน

         ม้วนหนังสือสำหรับแต่งตั้งนางกำนัลไร้ยศขึ้นเป็นนางในนั้นตั้งกองอยู่ในถาดไม้ เซโจซังกุงกางกระดาษรายชื่อของแต่ละคนตามลำดับเพื่อขึ้นไปรับม้วนหนังสือจากพระมเหสี

         ซอฮยอนประหม่าเล็กน้อยเมื่อขึ้นไปยืนต่อหน้าพระพักตร์พระมเหสี พระนางส่งรอยยิ้มมาให้เป็นพิเศษก่อนจะยื่นม้วนหนังสือให้ หญิงสาวโค้งคำนับพลางยื่นมือไปรับ

         เมื่อทุกคนได้รับม้วนหนังสือแต่งตั้งเรียบร้อยก็เป็นการให้โอวาทจากพระมเหสี ส่วนเซโจซังกุงนั้นไม่พูดอะไรเลยนอกจาก "เจอกันคืนนี้ที่ตำหนักฤดูหนาว"

         คำว่าเจอกันคืนนี้ของซังกุงปกครองสร้างความหวาดหวั่นให้นางในรุ่นใหม่พอสมควร มีเรื่องอันใดทำไมต้องไปเจอกันตอนกลางคืนหนอ

         "ชุดสวยมากเลย" นางในคนหนึ่งในเรือนชางวีของห้องเขียนหนังสือร้องขึ้นเมื่อก้มมองชอโกรีสีแดงของตัวเอง

         "แต่เขาให้มาแค่สองชุดเอง คงต้องซักตากทุกวัน แล้วถ้าฝนตกติดต่อกันจะทำอย่างไร" คนหนึ่งออกความคิดเห็น

         "ก็ใส่ซ้ำสิ"

         "สกปรก!"

         "ก็วานให้นางในห้องเย็บปักตัดให้สิ"

         "วาน? ฝันไปเถอะ ถ้าไม่มีเงินให้พวกนางก็อย่าหวังเลย"

         นางในซุนฮวาได้ยินบทสนทนาของเพื่อนๆ ก็ขำคิกคักอยู่คนเดียว

         "เจ้าขำอะไรหรือ" ซอฮยอนหันมาถาม

         "ก็พวกนางน่ะสิ ต้องจ่ายเงินเพื่อตัดชุดเพิ่ม แต่เจ้านี่สามารถเดินไปขอมาโดยไม่ต้องจ่ายเงินสักมุนเดียวก็ยังได้" ซุนฮวาตอบยิ้มๆ

         "หมายความว่าอย่างไร"

         "ก็นางในเย็บปักหลายคนก็เป็นคนในชุมนุมหลังตำหนักร้างมิใช่หรือ ข้าว่าพวกนางต้องเต็มใจทำให้เจ้าแน่ๆ"

         "พูดเป็นเล่น"

         ซุนฮวาหัวเราะพลางเปิดม้วนหนังสือที่พระมเหสีทรงประทานมาให้ออกดู 

         "แต่งตั้งให้เป็นนางในชั้นจง 9 พุม-- ในที่สุดเราก็มียศแล้วนะ ผู้ใดจะล่วงเกินไม่ได้ ถ้ามีโอกาสได้ตามขบวนเสด็จออกไปจากวัง คนข้างนอกวังก็ต้องก้มหัวให้เราสินะ"

         "ทำยังกับเป็นซังกุงแล้วอย่างนั้นแหละ" ซอฮยอนหัวเราะ "จง 9 พุมนี่ต่ำสุดเลยนะ"

         "ก็รู้อยู่ แต่เดี๋ยวมีแนอินเข้าใหม่มาแทนที่เรา เราก็สูงกว่านี่ คอยดูเถอะข้าจะใช้งานพวกนางให้อ่วมเชียว"

         "อย่าทำแบบนั้นนะ"

         "ข้าพูดเล่นหรอกน่า"

         "ซอฮยอน ซุนฮวา" นางในคนหนึ่งถลาลงมาพร้อมกระดาษและพู่กันในมือ

         "มีอะไรอีซึล" ซุนฮวาร้องถาม

         "จะซื้ออะไรจากรุ่นพี่นางในบ้าง" อีซึลถาม

         "ซื้อหรือ หมายถึงอะไร"

         "ก็ของทุกอย่างที่นางในเต็มตัวควรจะมีอย่างไรเล่า มีคนลงชื่อซื้อเยอะเลยนะ" นางว่าพลางโบกกระดาษในมือไปมา "มีทั้งแหวนหยก ปิ่นหยก ปิ่นผีเสื้อ แทงกีผูกผมสีต่างๆ แป้งหอมจากเมืองจีน เครื่องประดับต่างๆ น้ำมันใส่ผม รองเท้าถุงเท้าลายดอกไม้ ถุงผ้ามงคล"

         "นี่น่ะหรือจำเป็น" ซุนฮวาร้องเสียงสูง

         "จำเป็นนะ"

         "พวกปิ่น เครื่องประดับ ตลอดจนแทงกีสีแปลกๆ เชื่อข้าเถอะว่าเชวซังกุงต้องริบแน่ๆ เพราะมันผิดกฎ" 

         "ก็ซื้อมาไว้ก่อนก็ได้นี่"

         "ไม่ล่ะ" ซุนฮวาปฏิเสธ "เจ้าล่ะซอฮยอน"

         "ข้าขอซื้อถุงผ้าแล้วกัน" หญิงสาวตอบ อีซึลเขียนชื่อนางลงไปในกระดาษ

         "เจ้าจะเอาถุงผ้าไปทำอะไรหรือ" ซุนฮวาถามเพื่อนเมื่ออีซึลเดินออกไปโต๊ะข้างๆ แล้ว

         "เอามาใส่ป้ายหยกของข้าน่ะ ข้าไม่อยากคล้องคอแล้ว มันหลุดง่ายเหลือเกินพักหลังๆ มานี้ ที่สำคัญตอนมันหายครั้งล่าสุดกลับกลายไปอยู่ในมือของเซจีและซงฮวัน นั่นยิ่งทำให้ข้าเป็นกังวล" ซอฮยอนตอบ

         ซงฮวันมองป้ายหยกหักครึ่งที่ซอฮยอนเอาออกมาดู เมื่อเข้าวังแรกๆ นางเคยถามว่าป้ายหยกนี้เป็นของใคร เหตุใดถึงหักครึ่ง ซอฮยอนตอบแต่เพียงว่าไม่สามารถบอกได้ ซุนฮวาจึงไม่ซักไซ้ต่อตั้งแต่นั้น

         "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตอนนี้คิมซังกุงและเซจีแพ้ภัยตัวเองไปแล้ว โทษที่พวกนางได้รับนั้นก็สมควรแล้ว"

         ฉับพลัน ภาพป้ายหลุมศพของฮวารยอนก็ฉายวาบเข้ามาในดวงจิต...

         "ไม่..." ซอฮยอนพูดเสียงแผ่วเบา "มันยังไม่สาสมหรอก"

         "เจ้าว่าอะไรนะ"

         "สิ่งที่คิมซังกุงควรได้รับ ไม่ใช่แค่นี้หรอก"

         "เจ้าพูดอะไรน่ะ เซจีเองถึงกับถูกโยนเข้าไปในสถานที่แบบนั้น คิมซังกุงก็ถูกลดทอนอำนาจไปเยอะ ส่วนซงฮวันเองก็สงบปากสงบคำลงมากตั้งแต่เจ้าฉีกหน้าพวกนางในวันนั้น เมื่อเช้าในพิธีแต่งตั้งนางใน คิมเซจีกับคิมซังกุงก็ไม่มีโอกาสได้มาเข้าร่วมในพิธีด้วยซ้ำนะ จะมีอะไรสาสมกว่านี้อีกรึ"

         "มีสิ แต่ถ้าจะพูดให้ถูก พวกนางไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก พวกนางจะกลับมาอีก" ซอฮยอนตอบ

         "เจ้าทำเหมือนกับว่ารู้จักพวกนางดีอย่างนั้นแหละ" ซุนฮวาตั้งข้อสงสัย

         "ไม่รู้จักดีหรอกแต่พอรู้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นในอดีต"

         "ในอดีตหรือ หมายความว่า--" ซุนฮวาหยุดพูดไปกะทันหันเมื่อซังกีเดินขึ้นมาบนเรือนชางวี

         มินซังกีเป็นนางข้าหลวงระดับซังที่ดูแลห้องเขียนหนังสือ วันนี้นางได้รับมอบหมายจากเชวซังกุงให้มาดูแลนางในรุ่นใหม่ที่เพิ่งเลื่อนขั้น ทุกคนค่อนข้างเกร็งกับซังกีคนนี้เพราะดูดุกว่าเชวซังกุงมากนัก

         เมื่อเริ่มการเรียนกับมินซังกีทุกคนก็พากันลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าการขึ้นเป็นนางในนั้นมิได้สบายเสียแล้ว เพราะบทเรียนที่เพิ่งเจอมานั้นหนักหนาเกินกว่าจะรับได้ เมื่อเทียบกับคราวเป็นแนอิน เนื้อหานั้นแทบจะคนละระดับกันเลยทีเดียว

         อันดับแรกมินซังกีสอนให้รู้จักรากศัพท์ของทุกภาษาของโชซอน ไม่ว่าจะฮันกึลหรือที่ตกทอดมาจากยุคก่อนรวมถึงจีนด้วย เมื่อรู้จักแยะแยะจุดนี้ได้แล้วก็เป็นการหัดจำแนกภาษาธรรมดากับภาษาทางการ นางในใช้อย่างไร ใต้เท้าขุนนางใช้อย่างไร เชื้อพระวงศ์ใช้อย่างไร

         เมื่อเรียนจบนางก็สั่งให้นางในทุกคนหาเวลาไปศึกษางานเขียนในหอตำราหลวงและอบรมกับบัณฑิตที่อยู่ในกองงานวรรณกรรมเพื่อทำการศึกษาขั้นสูงต่อไป

         "จะบ้าตาย" ซุนฮวานวดขมับ "ทำไมมันยากขนาดนี้"

         "เป็นธรรมดาแหละ เลื่อนเป็นนางในก็ต้องเจอกับเนื้อหาวิชาที่เข้มข้นขึ้น ข้าเองยังงงเลย" ซอฮยอนตอบ

         "แสดงว่าห้องเขียนหนังสือของเราใช่ว่าจะไม่สำคัญนะ"

         "ใช่" ซอฮยอนกล่าว "เพราะหนังสือบางทีก็มีอำนาจมหาศาล ตอนองค์หญิงดายองมีปัญหา หนังสือก็ช่วยพระนางได้ และหนังสือนี่เองที่ช่วยให้ชุมนุมหลังตำหนักร้างได้รับการเยียวยา และก็ยังคงเป็นหนังสืออีกเช่นกันที่ช่วยให้พระนางทันกยองพ้นจากมลทิน ฉะนั้นปลายพู่กันของคนเรานี่แหละที่สามารถให้คุณให้โทษตลอดจนเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของแผ่นดินได้"










         เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำ นางในรุ่นใหม่ก็ไปยืนรอเซโจซังกุงบริเวณตำหนักฤดูหนาวตามที่นางนัดไว้ ซุนฮวาดีอกดีใจจนออกนอกหน้าที่คิมซังกุงและเซจีไม่สามารถมาร่วมพิธีนี้ได้อีกแล้ว

         "นี่ พวกเจ้ารู้ยังว่าจะมีพิธีอะไรคืนนี้" นางในจากห้องซักล้างยื่นหน้ามาถาม

         "ไม่รู้สิ เจ้ารู้หรือ" ซุนฮวาพูด

         "ข้าได้ยินมาว่าจะมีพิธีนาอินฉิกแหละ"

         "พิธีให้สัตย์ปฏิญาณน่ะหรือ" ซอฮยอนตาโต

         "ใช่"

         "เจ้ารู้จักพิธีนี้หรือ" ซุนฮวาหันมาถาม

         "รู้จัก มันคือพิธีของเหล่านางในที่สอบผ่านออซองเคียงวอน พวกนางต้องไปนั่งให้สัตย์ปฏิญาณต่อหน้าเซโจซังกุง"

         "ฟังดูน่ากลัวนะ เหมือนพวกคำสาบานอะไรอย่างนั้นหรือ"

         "ใช่ หลังจากจบพิธีนี้ก็เท่ากับว่าเราถูกผูกมัดด้วยพันธะสัญญา ทุกอย่างต้องเป็นความลับ ร่างกายและจิตใจจะไม่ใช่ของเราอีกต่อไปแต่จะถือว่าเป็นของฝ่าบาทตลอดกาล"

         "คงไม่ต้องมีการกรีดเลือดสาบานอะไรหรอกใช่ไหม" นางในอีกคนที่ยืนฟังอยู่ด้วยพูดขึ้นอย่างหวาดหวั่น

         "ไม่มีหรอก" ซอฮยอนตอบ

         "พูดถึงผู้หญิงของพระราชา" นางในซักล้างคนนั้นพูดต่อพลางมองมาที่ซอฮยอน "ได้ข่าวว่าวันที่เจ้ากลับเข้าวังมาฉีกหน้าเซจีในวันประกาศออซองเคียงวอน เจ้านั่งเกี้ยวมาด้วยนี่"

         ซอฮยอนใจหายวาบ

         "เจ้ารู้ได้อย่างไร"

         "โอ๊ย นี่วังหลวงนะ หน้าต่างมีหูประตูมีตาตลอดแหละ" นางพูด "แต่ข้าได้ยินมาด้วยนะว่าองค์ชายยิมโฮทรงม้ามาเคียงข้างเกี้ยวนั้นด้วย มันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า"

         "จริง" ซอฮยอนตอบเสียงดังท่ามกลางอาการตกตะลึงของผู้คนรอบข้าง

         "แล้วเจ้า... เจ้ากับองค์ชายยิมโฮไปทำอะไรที่ไหนมา ถึงได้กลับมาในสภาพนั้น"

         "สภาพไหน พูดให้มันดีๆ นะ"

         "ก็เจ้าเป็นแค่นางกำนัล จู่ๆ ได้นั่งเกี้ยวโดยมีแทกุนเสด็จเคียงข้าง มันไม่ประหลาดไปหน่อยหรือ"
         
         ซอฮยอนยิ้มก่อนจะเดินเข้าประชิดนางในจอมจุ้นจ้าน

         "ถ้าอยากรู้..." หญิงสาวเอ่ย "ก็ไปถามองค์ชายเองจะดีกว่านะ"

         "จะบ้าหรือ ให้ข้าไปถามพระองค์เนี่ยนะ!"

         "ก็เจ้าอยากรู้นักนี่ เรื่องแบบนี้ถามฝ่ายหญิงฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ ต้องถามฝ่ายชายด้วย" พูดจบนางก็เดินจากไปทิ้งให้นางในบริเวณนั้นพากันยืนกุมอกด้วยความตกใจในคำพูดสองแง่สองง่ามของซอฮยอน





    [ต่อจาก 50%]





         เมื่อแสงอาทิตย์สูญสิ้นไปจากขอบฟ้า ความมืดค่อยๆ ครอบคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ เซโจซังกุงเดินนำนางในรุ่นใหม่ทุกคนเข้าไปที่ตำหนักฤดูหนาวแต่กลับก้าวเข้าไปในประตูตำหนัก แต่ทว่าลงไปข้างใต้ตำหนัก

         หลายคนรู้ดีว่าใต้ตำหนักฤดูหนาวมีถุนกว้างขวางอยู่แต่ไม่มีใครเคยเข้าไปเพราะเป็นที่ต้องห้าม ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกพวกนางลงมาใต้ถุนแห่งนี้

         นางวังสองคนยืนอยู่ปากทางเข้าใต้ถุน คอยแจกเทียนสีขาวคนละเล่มให้นางในทุกคนที่เดินผ่าน ซอฮยอนกับซุนฮวารับมาอย่างสงสัยก่อนจะเดินลงบันไดไปใต้ตำหนัก

         ใต้ถุนกว้างแลดูสะอาดสะอ้านปรากฏแก่สายตา หินสีขาวปูบาดยาวดูสวยงามใต้แสงเทียน เหล่าซังกุงกุงกวักมือเรียกให้นางในเข้ามาต่อไฟในโคมไปจุดเทียนของตน

         "รีบเอาเทียนมาจุดไฟ ทุกคนต้องจุดนะ และห้ามดับเด็ดขาด แต่ถ้าใครดับก็ให้รีบมาจุดทันที" เซโจซังกุงสั่ง

         ทั่วทั้งถุนสว่างไสวไปด้วยแรงเทียนของนางในทุกคน เมื่อได้รับการจุดไฟครบแล้วเซโจซังกุงก็สั่งให้ทุกคนนั่งลงอย่างเป็นระเบียบ โดยหันหน้าเข้าหาเหล่านางข้าหลวงระดับซังทุกคน

         ซอฮยอนเห็นเชวซังกุงนั่งอยู่ในแถวนั้นด้วย และเมื่อมองไปทั่วๆ ก็เจอจางซังกุงที่เป็นซังกุงห้องปรุงรสอยู่อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวก้มศีรษะให้นาง

         ในแถวมีทุกคนครบยกเว้นคิมซังกุง

         ความเงียบสงัดแผ่ปกคลุมทุกคน ความวังเวงและมนตร์ขลังประหลาดของสถานที่ทำให้เหล่านางในไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวคุยกัน

         "นางในคืออะไร ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้ว แต่คำตอบในใจของพวกเจ้าเป็นแค่ลมปาก ทว่าวันนี้เจ้าจะต้องรู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่านางในอย่างแท้จริง"

         "ผู้หญิงที่เข้าวังมาเป็นนางใน เท่ากับว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของพระราชา และไม่มีวันหยุดเป็นได้จวบจนกระทั่งตาย นางในจึงจัดเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่ชายใดในแผ่นดินจะแตะต้องไม่ได้ มีเพียงฝ่าบาทพระองค์เดียวเท่านั้น แต่ถ้าตลอดชีวิตไม่มีวันได้รับใช้ฝ่าบาท ก็ต้องถือครองความบริสุทธิ์นั้นตลอดไปชั่วกาล พระสนมบางองค์ที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสีก็ต้องออกจากวังไปถือศีลในวัดหลังจากพระราชาสิ้นพระชนม์ นี่คือหลักใหญ่ใจความที่พวกเจ้าต้องรู้"

         ทุกคนนิ่งเงียบไป

         "สิ่งสำคัญรองลงมาคือมิตรภาพและน้ำใจระหว่างนางใน ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้ามา เผลอๆ ก็ก่อนพวกเจ้าจะเกิดเสียด้วยซ้ำ วังหลวงแห่งนี้มีหลายครั้งหลายหนที่เหล่านางในประสบปัญหา เกิดความแตกแยก ขาดการปรองดอง ยื้อแย่งอำนาจวาสนาชิงดีชิงเด่น แต่ไม่ว่าปัญหาเหล่านั้นจะรุนแรงถึงเพียงไหน ทุกคนก็ผ่านมันไปได้เพราะมิตรภาพและความมีน้ำใจของพวกเราที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขจัดเนื้อร้ายทิ้งเพื่อรักษาเนื้อดีให้อยู่รอด บัดนี้ ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะรับช่วงต่อแล้ว จงรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของเหล่านางในให้คงอยู่ต่อไปเถิด"

         นางในทุกคนก้มศีรษะก่อนจะกล่าวคำสาบาน

         "เรื่องภายในทุกอย่างของนางในต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายให้คนนอกรู้ ความจริงใจระหว่างนางในคือสิ่งสำคัญที่พึงระลึก ละในสิ่งที่ไม่เหมาะสมทั้งปวง ชายใดในแผ่นดินจะแตะต้องไม่ได้นอกจากฝ่าบาทเท่านั้น"

         ทันทีที่ซอฮยอนกล่าวคำว่า "ชายใดในแผ่นดินจะแตะต้องไม่ได้นอกจากฝ่าบาทเท่านั้น" ไฟที่ส่องสว่างอยู่บนเทียนของนางก็ดับวูบลงทั้งๆ ที่ไม่มีแรงลม หญิงสาวชะงักเล็กน้อยจนพูดคำสาบานไม่จบ

         ซุนฮวารีบยกเทียนของตนมาต่อไฟให้เพื่อน แต่น่าประหลาด เทียนของซอฮยอนทำอย่างไรก็ไม่ติดราวกับว่ามันเพิ่งไปจุ่มน้ำมาฉะนั้น 

         "ทำไมมันไม่ติดล่ะ" ซุนฮวากระซิบอย่างร้อนรน

         โชคดีที่เหล่าซังกุงไม่ทันเห็นว่ามีเทียนของคนหนึ่งดับลงจึงประกาศเลิกพิธีและสั่งให้ทุกคนกลับไปยังเรือนพักของตนได้

         ซุนฮวาเดินตีคู่มากับซอฮยอนระหว่างทางที่จะกลับกองงานวรรณกรรม นางเมียงมองใบหน้าเพื่อนอย่างเป็นห่วง

         "เจ้าเป็นอะไรน่ะ เห็นมองข้าตั้งแต่ออกมาจากใต้ตำหนักแล้ว" ซอฮยอนร้องถาม

         "เจ้าไม่เอะใจหรือ"

         "หมายถึงที่เทียนดับสินะ"

         ซุนฮวาพยักหน้า

         "ก็แค่ลมน่ะ"

         "เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ามันไม่ใช่ลม ใต้ถุนนั่นไม่มีลมสักนิด ถ้ามีจริงเทียนคนอื่นก็ต้องดับหรือสั่นวูบวาบบ้างสิ แต่นี่ไม่มีเลย" ซุนฮวากล่าว

         "เจ้าจะพูดอะไร"

         "เขาถือกันนะ ว่าถ้า--"

         "เทียนดับระหว่างกล่าวคำสาบานจะมีอันเป็นไปสินะ"

         "ไม่ใช่ ฟังข้าก่อนสิ"

         ซอฮยอนนิ่งฟัง

         "พิธีนาอินฉิกเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์นะ อย่างที่เจ้าพูด การให้สัตย์ปฏิญาณก็ไม่ต่างจากคำสาบานที่จะผูกพันเราไว้ และการที่จู่ๆ เทียนดับระหว่างที่กำลังกล่าวสาบาน มันหมายถึงว่าอนาคตของเราจะไม่สามารถเป็นไปตามคำสาบานนั้นได้"

         "ข้าไม่เข้าใจ"

         "ตอนที่เทียนดับเจ้าพูดถึงตรงไหนล่ะ" ซุนฮวาถาม

         "ข้า... ข้าจำไม่ได้" ซอฮยอนปด ใจจริงนางรู้ดีว่าพูดถึงตรงไหน

         "เอ้า สมมุติว่ามีคนคู่หนึ่งสาบานว่าจะรักกัน แต่ระหว่างที่พูดนั้นเทียนเกิดดับลง มันจะหมายความว่าในอนาคตคู่นี้จะไม่มีทางรักกันแน่นอน" 

         "ก็แค่ความเชื่อ" ซอฮยอนพูดเบาๆ

         "เชื่อไว้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ"

         เมื่อกลับมาถึงเรือนพัก ซุนฮวาก็ขอตัวไปอาบน้ำ ส่วนซอฮยอนรื้องานที่มินซังกีสั่งไว้ออกมาทำก่อน ทว่ายิ่งพยายามทำ สมาธิก็ยิ่งหันเหจนจดจ่อกับงานตรงหน้าไม่ได้ ภาพเทียนที่ดับวูบลงนั้นรังแต่จะเข้ามาฉายขึ้นในดวงจิตร่ำไป

         "หยุดเพ้อเจ้อเสียทีน่า" ซอฮยอนบอกกับตัวเอง เราเป็นนางในเต็มตัวแล้วนะ ต้องยินดีกับมันสิ ยินดีเพราะสามารถบรรลุสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาจากอดีตพระชายาฮวารยอนพี่สาวต่างมารดาของตนเรียบร้อยแล้ว

         เดี๋ยวนะ... นางในเต็มตัวหรือ

         "จดหมายสามฉบับนี้ เนื้อหาภายในคือสิ่งที่พี่ปรารถนาอยากให้เจ้าทำ จงเปิดอ่านทีละฉบับ ฉบับแรกคือจดหมายที่มีแต้มด้วยหมึกสีแดง จงเปิดอ่านฉบับนี้ก่อนเมื่อเจ้าได้ขึ้นเป็นนางในเต็มตัว จงจำไว้ให้มั่นว่าต้องเป็นนางในเต็มตัวก่อนเท่านั้นจึงจะเปิดจดหมายฉบับแรกออกอ่านได้ ส่วนอีกสองฉบับห้ามเปิดอ่านเด็ดขาด เพราะจดหมายฉบับแรกจะบอกเจ้าเองว่าควรเปิดฉบับที่สองเมื่อใด เวลาใด"

         นี่แสดงว่าถึงเวลาที่จะเปิดจดหมายฉบับแรกออกอ่านแล้วหรือ...








    โปรดติดตามตอนต่อไป

     


    เชิงอรรถ


    นาอินฉิกหรือพิธีให้สัตย์ปฏิญาณของนางในนั้นมีปรากฏจริงๆ ในประวัติศาสตร์ของโชซอนนะครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×