ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #46 : งานฉลองวันประสูติของยิมโฮแทกุน (2) [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.84K
      122
      27 พ.ค. 62

    ตอนที่ 46 งานฉลองวันประสูติของยิมโฮแทกุน (2)

      



         "มีอะไรกันหรือ" บุรุษคนหนึ่งในชุดขุนนางสีน้ำเงินก้าวขึ้นมาบนเรือนชางวีก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง ทันที่เขาปรากฏตัว นางกำนัลทุกคนก็มีอากัปกิริยาอาการเปลี่ยนไปในทันที จากที่กำลังตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็แปรเปลี่ยนเป็นระริกระรี้หัวร่อต่อกระซิกแทนเสียอย่างนั้น

         เชวซังกุงเห็นผู้ที่มาใหม่ก็ตกใจก่อนจะรีบก้มศีรษะคำนับ
      
         "ใต้เท้ามุน"

         "มีเรื่องอะไรหรือเชวซังกุง" ใต้เท้ามุนยองนัมเดินตรงเข้ามาก่อนจะชะงักไปชั่วครู่เมื่อเห็นซอฮยอนล้มกองอยู่บนพื้นใกล้กับน้ำหมึกที่หกเลอะเทอะ

         "เดี๋ยว... นั่นซอฮยอนหรือ" หัวหน้ากองงานวรรณกรรมร้องถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

         เชวซังกุงมองสองคนสลับไปมา

         "ใต้เท้ารู้จักนางด้วยหรือเจ้าคะ"

         "รู้จักสิ" ใต้เท้ามุนตอบก่อนจะพยุงตัวซอฮยอนให้ลุกขึ้นยืนช้าๆ หญิงสาวคำนับอย่างขอบคุณ

         "เจ้าลงไปทำอะไรที่พื้นกัน"

         "เอ่อ"

         "ข้าตบนางเองเจ้าค่ะ" เชวซังกุงตอบ ใต้เท้ามุนหันขวับมามอง

         "อะไรนะ! ตบหรือ! เจ้าตบนางทำไมกัน"

         เชวซังกุงชี้นิ้วไปที่น้ำหมึกที่เปรอะอยู่บนพื้นและก้มลงหยิบฝาแป้นหมึกซึ่งเป็นลวดลายมังกรทองชูขึ้นให้ใต้เท้าดู

         "นางทำแป้นหมึกของฝ่าบาทร่วงลงพื้นเจ้าค่ะ ทำให้น้ำหมึกทั้งหมดเสียหายสิ้น ข้าจึงตบสั่งสอนนาง สั่งให้ไปซักผ้าแทนนางวังรับใช้และห้ามไปงานฉลองขององค์ชายด้วยเจ้าค่ะ"

         ใต้เท้ารูปงามชะงักแน่นิ่งพลางกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะถามซอฮยอนว่า

         "เจ้าทำจริงหรือ"

         "ข้าไม่ได้ทำนะเจ้าคะ" 

         "นางตัวดี ต่อหน้าใต้เท้ายังจะกล้าพูดปดอีกหรือ" เชวซังกุงตวาด

         "นายหญิง ก็ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นี่เจ้าคะ"

         "ยังจะมาพูดอีก!"

         "เดี๋ยวก่อนเชวซังกุง ใจเย็นๆ ให้นางพูดบ้าง เอาแต่ตวาดแล้วเมื่อใดนางจะได้พูดเล่า" ใต้เท้ามุนยองนัมปราม

         "นางคนนี้เป็นคนบอกเจ้าค่ะ" เชวซังกุงหันไปทางซงฮวัน "นางเป็นเพื่อนสนิทของซอฮยอน"

         ใต้เท้าหันไปมองหน้าซงฮวัน

         "เพื่อนสนิทหรือ" หัวหน้ากองงานถามเสียงสูง "ข้าเคยไปดูการสอบข้อเขียนของพวกนาง รู้สึกว่าซงฮวันไม่น่าจะใช่เพื่อนสนิท'ที่ดี'ของซอฮยอนสักเท่าไรนะ" ใต้เท้าจงใจเน้นคำว่าที่ดีจนทำให้ซงฮวันก้มหน้าลงกับพื้น

         "มีผู้เห็นเหตุการณ์อีกบ้างรึไม่ นอกจากสองคนนี้" 

         "ไม่มีเจ้าค่ะ" เชวซังกุงตอบ

         "เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าฟังความข้างเดียวอย่างนั้นหรือ"

         "ใต้เท้า จากรูปการณ์และคำพูดที่ซงฮวันกล่าวนั้นพอเชื่อถือได้นะเจ้าคะ" เชวซังกุงรีบพูด

         "เจ้าไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เห็นกับตา เหตุใดถึงฟังความข้างเดียวเช่นนี้ คำกล่าวอ้างของคนคนเดียวเจ้าคิดว่าเป็นความจริงทุกประการหรือ ใจคนหยั่งยากเจ้าไม่มีทางรู้นางคิดอะไรหรือโป้ปดอันใด ตัดสินเช่นนี้คิดว่าถูกหรือ"

         เชวซังกุงกะพริบตา นางดูจะเสียหน้าเล็กน้อยเมื่อถูกหัวหน้ากองงานตำหนิ เสียงของซังกุงจึงอ่อนลงมากเมื่อเอ่ยออกมาอีกครั้ง

         "ข้า... ข้าขออภัยเจ้าค่ะใต้เท้า พอข้าเห็นแป้นน้ำหมึกของฝ่าบาทเสียหายก็โมโหน่ะเจ้าค่ะ ข้าจึงไม่มีสติไปชั่วขณะ"

         "เดี๋ยวจะให้คนไปที่ห้องทรงพระอักษรประจำพระองค์กับหอตำราหลวง ข้ามั่นใจว่าที่นั่นยังมีน้ำหมึกของฝ่าบาทเหลืออยู่อีกมาก ไม่เห็นต้องกลัวเดือดร้อนถึงเพียงนั้น อีกอย่าง การที่เจ้าตบหน้านางกำนัลเข้าใหม่เช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่พึงกระทำ กองงานของเราไม่เคยใช้กำลังตบตีประทุษร้ายผู้ทำผิด เรามีบทลงโทษของเราที่ไม่ต้องลงไม้ลงมือเช่นนี้ การตบตีมันคือวิถีทางของพวกคนป่าเถื่อน"

         เชวซังกุงหน้าเสีย นางก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด

         "เจ้าเป็นถึงซังกุง ฉลาดเฉลียวจนสามารถสร้างชื่อให้ห้องเขียนหนังสือมาหลายหน เหตุใดเรื่องแค่นี้จึงตัดสินใจไม่ได้ นางกำนัลเข้าใหม่มองท่านไม่ใช่แค่ในฐานะเจ้านาย แต่เป็นครูบาอาจารย์อีกด้วย เจ้าคิดว่าอาจารย์ที่ตบหน้าลูกศิษย์ ยังจะมีคนเลื่อมใสนับถืออยู่อีกหรือ"

         เชวซังกุงหลับตาลงช้าๆ เมื่อนางลืมตาขึ้นก็หันไปทางซอฮยอนและเอ่ยขึ้นว่า

         "ข้าใจร้อนไปหน่อย ต้องขอโทษเจ้าด้วยจริงๆ"

         "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะนายหญิง" ซอฮยอนตอบเบาๆ

         "ส่วนเรื่องคนทำผิด" ใต้เท้าพูดต่อ "ถ้าคนทำมันไม่ยอมรับ ก็ต้องลงโทษทั้งคู่ จะลงโทษคนเดียวมิได้"

         "ใต้เท้า!" ซงฮวันร้องขึ้น

         "ให้ซอฮยอนไปซักผ้าตามเดิม ส่วนซงฮวันไปล้างชาม"

         "ใต้เท้า ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะ" ซงฮวันรีบพูด

         "และเมื่อใครทำเสร็จ" ใต้เท้ามุนยองนัมพูดต่อไปโดยไม่สนใจอาการโวยวายของซงฮวัน "ก็สามารถไปงานเลี้ยงฉลองขององค์ชายยิมโฮได้"

         "ขอบคุณมากเจ้าค่ะใต้เท้า" ซอฮยอนก้มศีรษะให้หัวหน้ากองงานวรรณกรรม

         ใต้เท้ามุนยองนัมเดินหันหลังลงไปจากเรือนชางวีก่อนจะสั่งให้นางวังรับใช้ทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อย 

         ซอฮยอนเดินตามลงไปเช่นกันพลางแบกกองผ้าในกระบะไม้เพื่อนำไปยังห้องซักล้าง นางกำนัลคนอื่นๆ มองตามด้วยความเห็นใจ

         "ยืนเฉยทำไม ยังไม่รีบไปล้างชามอีก" เชวซังกุงหันมาพูดใส่ซงฮวัน "ทำไม่ทันจะอดไปงานฉลองนะ"

         ซงฮวันชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดลงไปจากเรือนชางวีอย่างอารมณ์เสีย






         เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึงลานหินกว้างอันเป็นที่ประกอบพิธีกรรมในวังหลวงก็เปลี่ยนไปเสียจนจำเค้าเดิมไม่ได้อีก ปะรำพิธีตั้งขึ้นอย่างแข็งแรงด้วยงานฝีมือช่างอย่างดี ฉากหลังเป็นภาพเขียนของภูเขากักซานและดวงอาทิตย์ หลังคาประดับผ้าสีแดงผืนใหญ่ครอบคลุมไปทั้งปะรำพิธี ธงทิวต่างๆ ผูกโยงจากปะรำไปยังกำแพงประตูทางเข้าลานหินดูสวยงาม

         เมื่อฤกษ์งามยามดีมาถึง ทหารมหาดเล็กและราชองครักษ์ประจำจุดเรียบร้อย โต๊ะยาวขัดเงาขนาดใหญ่ก็ถูกยกมาตั้งในปะรำพิธีก่อนจะปูทับด้วยผ้าหนาสีแดงเข้ม ไม่นานนางในและบรรดาซังกุงก็พากันเรียงแถวเข้ามาวางจานขนมนับสิบชนิดไว้บนโต๊ะ แต่ละจานจะมีขนมบรรจุไว้พูนสูงเสียจนกลัวว่าจะตกหล่น แต่ทว่าก็ไม่มีขนมชิ้นไหนหลุดลงมาเลย ถัดจากจานขนมก็เป็นกาน้ำชา คนโทสีขาว สำหรับใส่เครื่องดื่มหลากชนิด สุดท้ายคือแจกันดอกไม้ยักษ์ที่วางคั่นอยู่เป็นช่วงๆ หมดสิ้นจากนี้ก็เหลือเพียงอาหารคาวเท่านั้นที่ยังไม่ถูกยกมาวาง ที่เป็นเหตุนี้ก็เพราะเครื่องเสวยประเภทอาหารคาวจะไม่นำมาวางก่อนเชื้อพระวงศ์จะเสด็จมาเด็ดขาดเพราะไม่มีความสดใหม่และตากลมเสียจนไม่เป็นที่โปรดปราน

         นางในของห้องเครื่องที่ปกติจะใส่ชุดชอโกรีสีแดงนั้นคราวนี้เปลี่ยนเป็นชุดฮวาลยอซึ่งคล้ายกับชุดของซังกุงเพราะเมื่อเป็นงานพิธีการ นางในต้องใส่ชุดทางการและเก็บมือไว้ด้านหน้าชายผ้าอย่างสำรวม ต่างกันจุดเดียวตรงที่ชุดฮวาลยอจะเป็นสีฟ้า

          ตกบ่ายคล้อย ขุนนางและราชบัณฑิตต่างทยอยเข้ามากลางลานหินที่มีเสื่อปูไว้เป็นจุดๆ ก่อนจะนั่งประจำตำแหน่งของตนที่ลดหลั่นมาตามระดับ ผู้น้อยจะยืนหลีกทางและผายมือให้ผู้อาวุโสนั่งก่อนเสมอ ริมลานชั้นนอกสุดเป็นพื้นที่ของช่างวาดภาพจากศูนย์ศิลปะจากนอกวังเพื่อวาดรูปเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันสำคัญ อย่างวันนี้คือวันคล้ายวันประสูติขององค์ชายเป็นต้น เมื่อทุกคนนั่งกันอย่างเรียบร้อย นางรำของวังหลวงก็เดินเข้ามาพร้อมกลองใบใหญ่ซึ่งวางไว้กึ่งกลางลานก่อนจะเริ่มร่ายรำ
         
         ปีนี้เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองจึงใช้นางรำในวังแทนนางรำจากนอกวัง ทว่าการร่ายรำของนางในวังไม่ได้ดูแย่กว่าพวกนอกวังแม้เพียงนิด ชุดลวดลายหรูหรา ชายผ้าที่เลยข้อมือออกมายาวกรุยกรายนั้นช่างอ่อนช้อยงดงาม ทั้งหมดร่ายรำอย่างพร้อมเพรียงไม่มีผู้ใดผิดจังหวะกันแม้แต่คนเดียว เมื่อถึงช่วงหนึ่งก็จะเดินรอบกลองและโบกข้อมือไปตีกลองพร้อมกันทุกคนจนเกิดเสียงดังไปทั่วลาน

         งานฉลองเริ่มขึ้นแล้ว นางในต่างยกสำรับอาหารบนโต๊ะขาเตี้ยตัวเล็กวางให้เหล่าขุนนางแลข้าราชบริพารทุกคนอย่างพร้อมเพรียง ด้านบนปะรำพิธีก็ปรากฏเก้าอี้ไม้สลักลายสองตัววางไว้สำหรับพระมเหสีและองค์ชายยิมโฮเสด็จมาประทับ...




         "ตายจริง! งานฉลองเริ่มแล้วหรือ!" นางกำนัลห้องเขียนหนังสือหลายคนร้องขึ้นด้วยความตกใจพลางเงี่ยหูฟัง

         "ใช่! เสียงกลอง งานเริ่มแล้ว!" อีกคนร้องขึ้น

         ฉับพลันทุกคนก็ลุกขึ้นหยิบเครื่องประทินผิวตกแต่งใบหน้าทันทีพลางจัดแต่งชุดชอโกรีให้เรียบร้อย บางคนเปลี่ยนแทงกีด้านหลังให้เป็นสีเหลืองสดใสเหมาะกับงานฉลอง

         "ล้างหน้าออกเดี๋ยวนี้!" เชวซังกุงเดินเข้ามาตวาด "ประเจิดประเจ้อนัก ใครสั่งใครสอนให้แต่งหน้าเช่นนี้ พวกเจ้าเป็นนางในห้องเขียนหนังสือนะไม่ใช่นางโลม แทงกีสีประหลาดนั่นก็เปลี่ยนเสียด้วย ถ้าใครยังกล้าแต่งตัวผิดแปลกข้าจะไม่ให้ไปงาน"

         สิ้นคำเชวซังกุง ทุกนางก็ถึงกับคอตกล้างหน้าล้างตาออกทันที แทงกีก็ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงตามเดิม

         "ถ้าใครเข้าไปในงานแล้วทำเรื่องงามหน้า กลับมาข้าจะเล่นงานให้หนัก เข้าใจรึเปล่า" 

         "เจ้าค่ะนายหญิง" บรรดานางกำนัลรับคำเสียงใสก่อนจะเดินเรียงแถวออกไปจากห้อง

         "นายหญิง องค์ชายยิมโฮรูปงามสมคำร่ำลือรึไม่เจ้าคะ" นางกำนัลคนหนึ่งถาม

         "เจ้าถามไปทำไม"

         "ก็เห็นนางในชั้นต้นและนางในชั้นสูงบอกต่อๆ กันมาน่ะเจ้าค่ะว่ายิมโฮแทกุนทรงรูปงามนัก เป็นทั้งนักกีฬาและนักรบ คมเข้มสมชายชาตรี แต่พระทัยนั้นเย็นชาดุจทะเลสาบฤดูหนาว"

         "นี่! เจ้าพูดอะไรน่ะ ระวังปากบ้างนะ" เชวซังกุงเอ็ด

         "ข้าล่ะอยากละลายน้ำแข็งนั้นเหลือเกินเจ้าค่ะ"

         "ยังไม่รีบหุบปากอีก" ซังกุงวิ่งไล่ตีนางกำนัลคนนั้นจนบังเกิดเสียงวี้ดว้ายไปทั่ว

         ซอฮยอนที่กำลังทุบผ้าอยู่ข้างบ่อน้ำชะเง้อคอมองความวุ่นวายทั้งหลายก็พบว่านางกำนัลแต่ละคนต่างรีบรุดไปงานฉลองกันด้วยความตื่นเต้น หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเสียดายก่อนจะหันมาตักน้ำราดใส่กองเสื้อผ้าต่อ

         "จะถอนหายใจทำไม เหลืออีกไม่กี่ตัวก็เสร็จแล้วนี่ เจ้าก็จะไปงานเลี้ยงได้นะ" ซุนฮวาที่มาช่วยซอฮยอนพูดขึ้นพลางยกไม้ทุบผ้าดังตุบๆ

         "ข้าอยากเห็นภายในงานน่ะ ปกติเคยอ่านและเห็นภาพแต่ในหนังสือไม่เคยเห็นของจริง ถ้าไปช้าหลังคนอื่นๆ คงไม่มีทางเห็นด้านในเป็นแน่" ซอฮยอนกล่าวพลางยิ้มให้สหายรัก "ขอบใจเจ้ามากนะซุนฮวาที่มาช่วยข้าซัก ไม่อย่างนั้นอีกนานกว่าจะเสร็จ"

         "ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทำคนเดียวหรอก นางซงฮวันนั่นร้ายนัก ข้าอยากเอาไม้ทุบผ้านี่ฟาดหน้านางเหลือเกิน ขยันสร้างเรื่องให้เจ้าจริงๆ สงสัยที่มาเข้าห้องเขียนหนังสือเพราะจงใจจะมาป่วนเจ้าแน่ๆ"

         "ตอนนี้เหลืออีกสองตัวเอง" ซอฮยอนชะโงกหน้ามองกระบะไม้ "เจ้าไปงานก่อนเถิด เดี๋ยวข้าตามไป"

         "ไม่ ทำให้เสร็จ ไปด้วยกัน ได้ยินว่าซงฮวันล้างชามเสร็จแล้วเหมือนกัน" 

         "อย่าดื้อสิซุนฮวา แค่นี้ข้าซักได้ไม่นานหรอก เจ้าไปในงานก่อนจะได้ช่วยจองที่ให้ข้าด้วยอย่างไร ข้าคิดว่าคนต้องแน่นแน่ๆ"
      
         "แต่ว่า--"
     
         "ถือว่าข้าขอร้อง"

         ซุนฮวายอมแพ้ นางลุกขึ้นล้างมือให้เรียบร้อยก่อนจะกล่าวว่า

         "แล้วรีบตามมาล่ะ อย่าช้านะ" หญิงสาวพูดจบก็เดินออกไปจากบริเวณบ่อน้ำซักล้างพลางจัดแต่งชุดชอโกรีไปด้วย

         ซอฮยอนมองตามยิ้มๆ ก่อนจะก้มลงหยิบผ้ามาทุบต่อ และเมื่อนางหยิบเสื้อชิ้นสุดท้ายออกมาราดน้ำใส่ก็ได้ยินเสียงคนเดินมาใกล้ๆ ตัว หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมอง

         "ซงฮวัน!" 

         "ใช่ ข้าเอง เอ๊ะ เจ้าจะซักเสร็จแล้วนี่นา เหลืออีกตัวเดียวเอง ข้าก็ล้างชามเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน" ซงฮวันกล่าวพลางชี้ให้ดูกระบะไม้ในมือ

         "เจ้ามาทำไม ต้องการอะไร"

         "ข้าแค่จะมาบอกเจ้าว่าข้าจะไปงานเลี้ยงแล้วนะ"

         "มาบอกข้าเพื่ออะไร"

         ซงฮวันเหยียดยิ้มก่อนจะยกกระบะเทน้ำโคลนสกปรกสาดใส่เสื้อผ้าสะอาดกองที่ซอฮยอนซักแยกไว้เรียบร้อยแล้ว น้ำผสมดินโคลนซึมซาบเข้าไปในเนื้อผ้าเสียจนเป็นรอยเด่นชัด ซอฮยอนตกตะลึง

         "ซงฮวัน! เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!"

         "อย่าหวังว่าเจ้าจะได้ไปงานเลี้ยง ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าได้ไปเด็ดขาด จงทุบผ้าไปจนงานเลิกโน่นเลยนะ เอ หรือจะทุบให้ถึงมืดค่ำเลยก็ได้ ตอนนี้ข้าขอไปก่อน ขอให้โชคดีนะ ซอฮยอนเพื่อนรัก" ซงฮวันหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินจากไป
         



    [ต่อจาก 50%]




         นางในจากห้องต่างๆ ของวังหลวงพากันวิ่งมารุมที่ประตูไม้บานใหญ่อันเป็นทางเข้าสู่ลานที่จัดงานเลี้ยงฉลองกันอย่างหนาแน่น แต่เนื่องด้วยมีนายทหารสองนายซึ่งยืนกางขวางกั้นพร้อมใช้ทวนยาวกันประตูไว้เพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนรับผิดชอบในงานพิธีได้เข้าไปในงาน นางในแต่ละคนจึงทำได้เพียงเบียดเสียดเพื่อแย่งชิงแถวด้านหน้าสำหรับชะเง้อคอมองเข้าไปด้านใน

         แต่ไม่ได้มีแค่บรรดานางในเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็น เหล่าซังกุงทั้งหลายก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ด้วยอายุและฐานะที่สูงกว่าจึงจำต้องเก็บงำความรู้สึกและรู้จักวางตัวให้สำรวมกว่าพวกนางในทั้งหลาย ทว่าความเป็นจริงแล้วพวกนางไม่ได้อยากเห็นหรืออยากมางานเลี้ยง การจัดงานเฉลิมฉลองในวังหลวงมีบ่อยครั้งจนเอียนแล้ว แต่ที่พวกนางตั้งตารอดูอย่างใจจดใจจ่อในงานฉลองครั้งนี้คือตัวจริงของยิมโฮแทกุน

         องค์ชายยิมโฮแต่เดิมไม่ได้อยู่ในวังหลวง พระองค์ประทับอยู่นอกวังตั้งแต่ครั้นยังทรงพระเยาว์ และเมื่อเจริญพระชนมายุมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวัยหนุ่ม พระองค์จึงเสด็จมาประทับภายในวัง แต่ไม่นานก็ได้อภิเษกสมรสกับฮวารยอนพูบูอินจากสกุลซินทำให้ต้องออกไปนอกวังอีกครั้งเพราะเป็นกฎของวังหลวงที่ว่าด้วยเรื่องขององค์ชายนั้นต้องเสด็จออกไปอยู่จวนนอกวังเมื่อแต่งงานแล้ว

         แต่ยังมิทันที่จะได้ออกไปจากวังก็พลันเกิดเรื่องร้ายแรงกับพระชายาฮวารยอนเสียก่อน นางทำความผิดร้ายแรงและปลิดชีพตนเองด้วยยาพิษในตำหนักของตน ยิมโฮแทกุนจึงไม่ต้องออกไปนอกวังตามกฎอีก ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่พระองค์ออกงานและพบปะผู้คนอย่างเป็นทางการ ด้วยเพราะเวลาที่ผ่านมายิมโฮแทกุนเอาแต่เข้าป่าล่าสัตว์และไปขลุกฝึกซ้อมกับบรรดาทหารหรือไม่ก็ประทับในห้องทรงอักษรของตนที่พระเจ้าโจจงรับสั่งให้สร้างไว้

         ยิ่งตกเย็นแขกเหรื่อในงานก็ยิ่งมากขึ้น ใต้เท้าชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางที่เคยมีหน้ามีตาในอดีตซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้วพากันตบเท้าเข้ามาในงาน เจ้าเมืองและผู้ตรวจการจากเมืองต่างๆ ในอาณาจักรโชซอนก็พากันมาอวยพรองค์ชายอีกด้วย เมื่อแสงตะวันใกล้หมดไปจากท้องฟ้า นางวังรับใช้ก็วิ่งตามไฟยังบริเวณต่างๆ พร้อมจุดโคมยักษ์เพื่อให้แสงสว่างส่องไปทั่วลานพิธี

         "องค์ชายเสด็จแล้ว!" มหาดเล็กคนหนึ่งประกาศด้วยเสียงอันดังก่อนจะปรากฏขบวนเสด็จที่เคลื่อนเข้ามาในงานช้าๆ ขบวนขององค์ชายไม่หรูหรามากนัก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนแลมองหรือให้ความสนใจ ดวงตาทุกคู่ตอนนี้จับจ้องไปที่บุรุษเพียงผู้เดียวเท่านั้น

         นางในทุกคนต่างพากันอ้าปากค้างเมื่อเห็นรูปโฉมขององค์ชายยิมโฮชัดเจนเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าผิวขาวสะอาดสะอ้าน หน้าตาคล้ายอิสตรีแฝงความน่ารักเหมือนเด็ก หรือแม้แต่ความอ้อนแอ้นอรชรจะเป็นพิมพ์นิยมของเหล่าหญิงสาว แต่ทุกข้อที่กล่าวมานั้นตรงข้ามกับองค์ชายยิมโฮทั้งสิ้น ไหนจะพระฉวีสีคล้ำอย่างชายชาตินักรบ ใบหน้าคมเข้มที่ไม่มีความกระเดียดไปทางเพศตรงข้ามแม้แต่นิด คิ้วเข้มดกดำรับกับดวงตาดุทว่ามีเสน่ห์เหลือล้น ท่วงท่าที่เสด็จดำเนินก็เหมาะกับสมญานามองค์ชายผู้สง่างามเป็นที่สุด 

         ว่ากันตามที่เห็นก็คือทั้งพระวรกายของยิมโฮแทกุนแผ่ความเป็นชายออกมาอย่างเด่นชัดจนทำให้สตรีหลายคนสั่นสะท้านและลืมไปว่าตัวเองคือนางในผู้หญิงของพระราชา และด้วยสีพระพักตร์เย็นชานั้นเองที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนหลงใหลใฝ่ฝันอยากร่วมเรียงเคียงหมอน และหนึ่งในนั้นก็คือคิมเซจี

         เซจีอยู่ในหมู่ของนางรำที่รำถวายกลางลาน ด้วยคิมซังกุงวางแผนเอาไว้นางจึงสามารถเข้ามาในงานได้ต่างกับนางในคนอื่นๆ ตอนนี้หญิงสาวกำลังตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นองค์ชายอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปหลายปีทำให้องค์ชายดูหล่อเหลามากกว่าเดิมหลายเท่านัก

         แผนขั้นต่อไปของคิมซังกุงที่บอกไว้คือ เมื่องานเลิกราองค์ชายอาจทรงมีพระอาการมึนเมาด้วยฤทธิ์ของน้ำจัณฑ์ซึ่งเป็นเหล้าสูตรพิเศษที่รสดีเลิศแต่ฤทธิ์แรงซึ่งคิมซังกุงนำมาถวายองค์ชายโดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานั้นเซจีต้องรีบเข้าหาองค์ชายทันทีอย่าให้เสียโอกาสเป็นอันขาด

         ยิมโฮแทกุนในฉลองพระองค์สีดำสนิทนั่งประทับลงบนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ เหล่าซังกุงห้องเครื่องรีบยกอาหารคาวเข้ามาถวายทันทีอย่างไม่รอช้า แต่พระองค์มิได้สนพระทัยในเครื่องเสวย กลับหันไปพูดคุยต้อนรับเหล่าขุนนางที่มางานเลี้ยงของตนเสียมากกว่า

         "เสด็จแม่ข้ายังไม่เสด็จหรือ" องค์ชายตรัสถามมหาดเล็กโชคังอินหลังจากพูดคุยกับผู้ตรวจการเมืองเปียงยางเสร็จ

         "พระมเหสีอาจเสด็จช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ" มหาดเล็กทูลตอบ ยิมโฮแทกุนพยักหน้าก่อนจะเพ่งตามองไปที่ประตูลานซึ่งแออัดไปด้วยนางใน

         "พวกนางทำอะไรกัน พิกลนัก" องค์ชายขมวดคิ้ว

         มหาดเล็กโชหัวเราะในลำคอ

         "เจ้าขำอันใด" องค์ชายหันมาถาม

         "พวกนางอยากเห็นตัวจริงของพระองค์อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ ถึงได้มีกิริยาท่าทางเช่นนั้น"

         "เห็นข้าเพื่อการอันใด"

         "คงเพราะ--"

         "ทรงพระเจริญพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย" เสียงแปร่งหูที่ดังขึ้นเบี่ยงเบนความสนใจของทั้งคู่ ยิมโฮแทกุนหันพระพักตร์มามองหน้าโต๊ะปะรำพิธี

         บุรุษสามคนในชุดแปลกตาก้มลงถวายความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียง ด้วยสำเนียงการพูดเมื่อครู่และเครื่องแต่งกายทำให้องค์ชายรู้ทันทีว่าสามคนนี้มิใช่คนโชซอนแน่นอน

         "หม่อมฉันชื่อโยชิดะ ส่วนคนกลางชื่อฮอนโด คนริมสุดชื่อมาซาฮิโระ จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นส่งพวกเรามาถวายพระพรแก่องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ" บุรุษที่ยืนด้านซ้ายสุดและดูจะอาวุโสที่สุดกล่าวขึ้น 

         "จักรพรรดิญี่ปุ่น? จักรพรรดิส่งพวกท่านมาหรือ" องค์ชายถามอย่างแปลกพระทัย ทั้งสามพยักหน้า

         ยิมโฮแทกุนหันไปเหลือบมองมหาดเล็กโชอย่างมีเลศนัยก่อนจะตรัสถาม

         "น่าแปลก ข้าไม่ได้ยินเรื่องคณะทูตจากญี่ปุ่นหรือแม้แต่พระราชสาส์นใดๆ มาถึงเลย ฝ่าบาทก็เหมือนจะไม่ทรงทราบเรื่องด้วยซ้ำ ปกติพวกท่านน้อยนักที่จะมาเจริญสัมพันธไมตรีกับทางเราเมื่อเทียบกับต้าฉิง เหตุไฉนจู่ๆ ถึงเข้ามาในงานข้าได้เล่า ทำตัวราวกับสายลับญี่ปุ่นที่แฝงตัวเข้ามาในโชซอนกระนั้น จะว่าไปก็มีช่วงหนึ่งที่สายลับพวกนี้ระบาดไปทั่วฮันยาง แต่สุดท้ายก็ถูกจับประหารเสียสิ้น" องค์ชายยิมโฮตรัสเน้นคำว่าประหารพลางจ้องตาโยชิดะอย่างจับผิด

         โยชิดะยิ้มมุมปาก คิดในใจว่ายิมโฮแทกุนผู้นี้ฉลาดนัก แม้พระชันษายังน้อยทว่าเจนจัดในการพิจารณาคนได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งมีวาทะศิลป์ในการพูดเพื่อให้อีกฝ่ายคร้ามเกรง เห็นทีอนาคตจะเป็นเสี้ยนหนามสำคัญ

         "คณะทูตของหม่อมฉันอยู่ที่ท่าเรือมาพูล อีกไม่นานคงพากันมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่เนื่องด้วยพวกข้าทั้งสามได้ยินว่าวันนี้คือวันประสูติขององค์แทกุนจึงอยากเข้ามาเพื่อถวายความจงรักภักดีล่วงหน้าก่อนจะเข้าวังมาพร้อมคณะทูตอย่างเป็นทางการพ่ะย่ะค่ะ" โยชิดะทูลตอบ

         วาจาช่างลดเลี้ยวนัก ยิมโฮแทกุนนึกในใจ

         "ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี ตอนนี้ก็ขอให้สำราญกับงานเลี้ยงเถิด"

         ชาวญี่ปุ่นสามคนคำนับให้องค์ชายก่อนจะเดินจากไป

         "องค์ชาย!" มหาดเล็กโชร้องขึ้นด้วยความวิตกกังวล

         "เขาโกหก" ยิมโฮแทกุนตรัสเบาๆ "ไม่มีคณะทูตใดๆ จากญี่ปุ่นมาที่โชซอนทั้งนั้น เจ้ารีบจัดการส่งคนไปทูลฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด และก็คอยจับตาดูทั้งสามคนนี้ให้ดีด้วยโดยเฉพาะโยชิดะ คนคนนี้พูดจาคล่องแคล่วและรู้เรื่องภายในของเราเกินฐานะราชทูตซึ่งมาครั้งแรก"

         "องค์ชายหมายความว่า เขาคือสายลับญี่ปุ่นหรือ"

         "ใช่"

         "แต่ในงานฉลองที่มีทหารมากมาย ทำไมพวกเขาถึงกล้า--"

         "เขาเลยเผยฐานะตนเองกับข้าอย่างไรเล่า เพียงเท่านี้ก็มีเกราะในฐานะแขกบ้านแขกเมืองคุ้มภัยแล้ว ข้าว่าต้องมีแผนอะไรบางอย่างเป็นแน่ถึงเจาะเข้ามาถึงในวังหลวงเช่นนี้ เจ้ารีบไปทำตามที่ข้าสั่งเถิด อย่าทำตัวมีพิรุธล่ะ"

         "พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย" มหาดเล็กคนสนิทรับพระบัญชาก่อนจะรีบเดินออกไปจากปะรำพิธี

         กลางคืนมาเยือนโดยสมบูรณ์ แต่พระมเหสีก็ยังไม่ทรงเสด็จ ส่วนบรรดานางในก็ยังคงพากันยื้อแย่งพื้นที่เพื่อจะมององค์ชายให้ถนัดจนซังกุงหลายคนต้องเดินมาตวาดถึงจะหยุดกันได้ ด้านซุนฮวานั้นชะเง้อคอมองหาซอฮยอนอย่างแปลกใจ เหตุใดป่านนี้นางยังไม่มาหนอ ตอนแรกคิดว่าเพื่อนอาจถูกซงฮวันเล่นงานจนมาไม่ได้แต่ซงฮวันก็อยู่ในงานเลี้ยงด้วยแสดงว่าอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่น





         ในความมืดและเงียบสงัดของพระราชฐานส่วนหน้าบริเวณตำหนักยิมโฮแทกุน จู่ๆ ก็บังเกิดเสียงคนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานตามด้วยเสียงใบดาบซามูไรฟันฉับเข้าที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของเหยื่อเคราะห์ร้ายจนไม่สามารถร้องออกมาได้อีก จากนั้นทุกอย่างก็กลับมาสงบเงียบตามเดิม

         เงาของชายปริศนาคนหนึ่งพุ่งพรวดอย่างรวดเร็วเข้าไปในตำหนักขององค์ชาย ไม่นานนักผู้บุกรุกก็เดินกลับออกมาอีกครั้ง บุรุษนิรนามหลบวูบไปมาท่ามกลางเงาของตัวตำหนัก เมื่อทหารยามเดินผ่านก็จะเร้นกายซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบดุจภูตผี

         "เรียบร้อยรึไม่" โยชิดะถามฮอนโดด้วยภาษาญี่ปุ่นเมื่อเขาเดินมาถึงตัว 

         "เป็นไปตามแผนขอรับ"






    โปรดติดตามตอนต่อไป

         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×