ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : โทษตาย [100%]
ตอนที่ 2 โทษตาย
"พระชายาเพคะ" คิมซังกุงถลาลงไปหานายเหนือหัวของตนก่อนจะฉวยมือบอบบางของพระนางมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ
"ทรงทำพระทัยดี ๆ ไว้ก่อนนะเพคะ ไม่มีเรื่องอันใด หาต้องวิตกไม่เพคะ องค์ชาย... องค์ชายเพียงแต่เสด็จมาหาพระองค์ตามปกติเท่านั้นเพคะ ไม่มีอะไรเพคะ"
"นายหญิงรีบไปรับเสด็จองค์ชายก่อนเถิดเจ้าค่ะ" นางในคนหนึ่งพูดกับคิมซังกุงอย่างร้อนรน
คิมซังกุงรีบลุกขึ้นทำความเคารพพระชายาฮวารยอนและสอดมือเข้าไปในชายผ้าด้านหน้าของชุดพลางสูดลมหายใจเข้าออกยาวลึกอยู่ชั่วขณะก่อนจะเดินออกมานอกตำหนัก
ขบวนที่กำลังเดินมาถึงมีความโอ่อ่ามากกว่าขบวนของหมอหลวงมาก ทั้งทหารยามคุ้มกันท้ายขบวน กลางขบวนมีซังกุงและนางในเดินก้มหน้าก้มตาอย่างสำรวม หน้าขบวนมีมหาดเล็กสองนายถือโคมไฟนำทาง แม้ในความมืดก็ยังสังเกตเห็นได้ว่าบุรุษที่เดินนำมามีสง่าราศีและท่วงท่าที่เด่นชัดต่างจากปุถุชนคนทั่วไป
เขาคือลียิมโฮแทกุน องค์ชายที่ประสูติจากพระเจ้าโจจงและพระมเหสีฮโยฮัน และเป็นน้องชายต่างมารดาของรัชทายาทลีซองแจ องค์ชายยิมโฮทรงสวมฉลองพระองค์คลุมสีดำสนิทกลืนกับความมืดยามราตรี
"องค์ชายเพคะ" คิมซังกุงก้มศีรษะแสดงความเคารพให้ยิมโฮแทกุน เมื่อพระองค์ก้าวเข้ามาในบริเวณตำหนัก แสงจากดวงเทียนก็ส่องให้เห็นถึงเชื้อพระวงศ์วัยประมาณยี่สิบชันษา พระฉวีสีออกเข้มอันเป็นผลจากการฝึกทหารและออกล่าสัตว์กลางแดดจัด พระพักตร์คมคายแฝงความเย็นชานั้นขัดกับพระเนตรที่คล้ายจะทอดเสน่ห์ให้สตรีทุกผู้ คิ้วเข้มดกดำขับให้เครื่องหน้าดูงดงาม พระนาสิกโด่งเป็นสันอยู่เหนือริมพระโอษฐ์สีแดงสด
ยิมโฮทอดพระเนตรมองตำหนักชายาของตนที่จุดเทียนโคมสว่างไสวอย่างสงสัยก่อนจะหันไปตรัสถามซังกุงคนสนิทของฮวารยอน
"เกิดอะไรขึ้นหรือ คิมซังกุง"
"เอ่อ คือ"
"ดึกดื่นป่านนี้เหตุใดถึงจุดเทียนสว่างไปทั่ว ทหารยามที่ตรวจฟืนไฟในวังมิได้มาเตือนหรืออย่างไร" องค์ชายตรัส
"ได้โปรดเถิดเพคะองค์ชาย อย่าได้ทรงตำหนิพระชายาเลยเพคะ เป็นความไม่เอาไหนของหม่อมฉันเอง" คิมซังกุงรีบทูล
องค์ชายเดินผ่านหน้าคิมซังกุงและเปิดประตูตำหนักเข้าไปด้านใน ทันทีที่บรรดานางในและหมอหลวงเห็นองค์ชายเสด็จก็รีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพ พระชายาฮวารยอนตกพระทัยเล็กน้อยก่อนจะพยายามรีบลุกขึ้นยืนเช่นกัน องค์ชายรีบยกพระหัตถ์ขึ้น
"ไม่ต้องลุก พูบูอิน" ยิมโฮตรัสอย่างไม่แยแสก่อนจะไล่สายตาไปยังหมอหลวงและหมอหญิง พระชายาได้ยินพระกระแสเสียงที่ห่างเหินเย็นชาก็ถึงกับสะอึก
"ท่านหมอใหญ่ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ อีกทั้งยังพาหมอหญิงมามากมายเช่นนี้ ชายาข้าป่วยหนักรึ"
"หามิได้พ่ะย่ะค่ะ พระชายาทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงดีพ่ะย่ะค่ะ หากแต่ที่มาตรวจเพราะเป็นรอบของการตรวจใหญ่ทั่วไปพ่ะย่ะค่ะ" หมอใหญ่กราบทูล
"ดึกดื่นเช่นนี้น่ะหรือ แล้วเหตุใดต้องแอบทำ"
"เอ่อ นั่นเพราะ นั่นเป็นเพราะ" หมอใหญ่เกิดอาการอึกอักพูดไม่ออก
"ยังไม่รีบพูดความจริงออกมาอีก!" มหาดเล็กประจำพระองค์ของยิมโฮแทกุนตวาดลั่นจนหลายคนสะดุ้งเฮือก
"องค์ชายเพคะ" พระชายาฮวารยอนเอ่ยขึ้น
"พวกเขามาตามคำสั่งหม่อมฉันเพคะ ได้โปรดอย่าทรงกริ้วพวกเขาเลยนะเพคะ"
"เจ้าป่วยหรือ พูบูอิน" องค์ชายตรัสถามเสียงคลางแคลง ไม่ได้มีความเป็นห่วงเจือปนอยู่ในน้ำเสียงสักนิด
"หม่อมฉันปวดท้องเพคะ ดื่มโอสถก็ไม่ทุเลาจึงต้องเรียกหมอหลวงมาดูอาการเพคะ" พระชายาตอบ
"เจ้าน่ะหรือปวดท้อง" ยิมโฮเลิกคิ้วขึ้น
"เพคะ"
องค์ชายทอดพระเนตรมาที่พระชายาของตนราวกับจะจับพิรุธ ทว่าฮวารยอนก็นิ่งสงบพอควร
"คราวหน้าหากคนของข้ามีอาการป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างใด จงรีบมาบอกข้าอย่าให้ข้ารู้ทีหลังเช่นคราวนี้ หาไม่มันจะกลายเป็นเจตนาปิดบังเบื้องสูง เข้าใจรึไม่" ยิมโฮแทกุนรับสั่งเสียงดัง ทว่าประโยคสุดท้ายทรงหันมาพูดกับพระชายาฮวารยอนอย่างแฝงเลศนัย
ไม่นานองค์ชายยิมโฮและขบวนเสด็จก็จากไป บรรดาหมอหลวงก็ทูลลากลับไปด้วยเช่นเดียวกัน คิมซังกุงไล่นางในทั้งหมดไปยืนประจำตำแหน่งหน้าตำหนักพร้อมกำชับว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ให้ใครรู้โดยเด็ดขาด นางในรับคำและไล่ดับดวงเทียนจนหมดเหลือแต่บนเชิงเทียนทองเหลืองรูปผีเสื้อข้างที่บรรทมของพระชายาฮวารยอน
"พระองค์ไม่ทรงเชื่อข้าสักนิด พระสุรเสียงก็หาความนุ่มนวลไม่ได้ ทำไมกันคิมซังกุง ข้าทำสิ่งใดผิดไปอย่างนั้นหรือ เหตุใดพระองค์ถึงจงเกลียดจงชังข้าเช่นนี้" พระชายาร้องออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ มือซ้ายเผลอกำชายผ้าสีขาวที่สวมใส่โดยไม่รู้ตัว
"พระชายาอย่าทรงคิดเช่นนั้นเพคะ เหตุใดไม่ทรงคิดเล่าเพคะว่าการที่องค์ชายเสด็จมาคือพระองค์ทรงห่วงว่าพระชายาอาจจะประชวรก็เป็นได้นะเพคะ" คิมซังกุงทูลในแง่ดี พระชายาฮวารยอนส่ายหน้าทันที
"ผู้ใดก็ย่อมดูออกว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อจับผิดข้า หาได้มีความห่วงหาอาทรใดใดไม่"
"โธ่ พระชายา"
"ตระกูลของข้าแม้เป็นขุนนางชั้นสูงมาหลายชั่วอายุคนและมีอิทธิพลในราชสำนักมานานก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่สตรีในตระกูลได้รับคัดเลือกเป็นพระชายาขององค์แทกุน ตำแหน่งที่สตรีทั่วทั้งแผ่นดินโชซอนต่างหมายปอง ข้าเป็นคนแรกในตระกูลซึ่งมาถึงจุดที่สูงสุดนี้คือการเป็นเชื้อพระวงศ์ และในอนาคตก็คือตำแหน่งของพระมเหสี" ดวงตาของพระชายาเมื่อตรัสมาถึงตรงนี้นั้นวาวโรจน์อย่างคนมุ่งมาดปรารถนา
"ข้าบากบั่น ผ่านอุปสรรคนานัปการกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ แต่เหตุไฉนสวรรค์จึงกลั่นแกล้งข้า องค์ชายไม่โปรดปรานข้าพอเข้าใจ ซึ่งสักวันข้าต้องเอาชนะพระทัยพระองค์ให้จงได้ ทว่าฟ้าหามีเมตตา กลับดลบันดาลให้ข้าไม่สามารถมีบุตรธิดาได้ นี่มันอะไรกัน"
พระชายาเริ่มกรรแสงออกมาอย่างเศร้าโศกเสียใจ สองมือกำที่บรรทมแน่นอย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลหลั่งออกมาช้า ๆ คิมซังกุงมองนายเหนือหัวของตนอย่างสงสารจับใจ
"พระชายาเพคะ เวลานี้อย่าเพิ่งทรงคิดมากเลยเพคะ โรคที่ไม่สามารถมีบุตรได้อาจตรวจผิดหรืออาจมีทางรักษาก็ได้ หม่อมฉันจะช่วยพระองค์อย่างสุดความสามารถ เวลานี้ทรงพักผ่อนก่อนเถิด ดึกมากแล้วหาไม่จะประชวรจริง ๆ เอาได้นะเพคะ"
คิมซังกุงเข้าประคับประคองให้พระชายาทรงเอนหลังลงกับที่บรรทมก่อนจะหยิบบทกวีออกมาอ่านให้ฟังเพื่อให้เกิดความผ่อนคลายพระทัยก่อนบรรทม สักพักพระชายาก็ทรงเข้าสู่ห้วงนิทราแม้ใบหน้ายังคงเปื้อนหยาดน้ำตา คิมซังกุงหยุดอ่านบทกวีและดับเทียนดวงสุดท้ายในตำหนักและถอยออกไปนอกห้องบรรทมอย่างช้า ๆ
อรุณรุ่งมาถึงไม่นาน พระชายาฮวารยอนก็รีบลุกจากที่บรรทมจัดการธุระส่วนตัวก่อนจะสวมใส่ชุดทังอีสีแดงสดพร้อมกระโปรงและเรียกนางในให้เข้ามาช่วยจัดพระเกศาทรงออยอ-มอรี(1)เหนือศีรษะ เหล่านางในบรรจงสวมใส่คาเชและออ-ยอมจกดูรี(2)ให้กับพระชายาอย่างระมัดระวังและปักตอลจัม(3) ไว้สามจุดของคาเชคือ ซ้าย ขวา ส่วนบนสุดเป็นตอลจัมรูปผีเสื้อ ซังกุงนางหนึ่งถวายความเคารพและเสียบพี-นยอ(4) รูปประการังไว้ตรงมวยผมด้านหลัง สุดท้ายก็คือโนรีแก(5) นำมาติดไว้ทังอีตรงหน้าอกขวา
"ช่วยไปเตรียมตัวด้วย ข้าจะไปตำหนักองค์ชาย" พระชายารับสั่งหลังจากนางในใส่พอซอน(6) ให้พระนางเสร็จเรียบร้อย
"เช้าตรู่อย่างนี้น่ะหรือเพคะ" นางในคนหนึ่งถามอย่างแปลกใจ
"ถูกต้อง ข้าจะเริ่มทำหน้าที่ของพระชายาที่ดีตั้งแต่วันนี้ไป"
"แต่พระองค์ยังไม่ได้เสวยเช้าเลยนะเพคะ" นางในอีกคนหนึ่งทูลทัดทาน
"คิมซังกุงคงไปจัดการเครื่องเสวยของข้าที่ห้องเครื่องอยู่ ข้ากลับมาค่อยกินก็ได้"
หลังจากขบวนเสด็จเสร็จเรียบร้อย พระชายาในชุดทังอีงามสง่าพร้อมเครื่องประดับเลอค่าก็เดินออกมาจากตำหนัก มือสองข้างสอดไว้ในผ้าด้านหน้าอย่างสำรวม พระนางสวมใส่กดชิน(7) เป็นสิ่งสุดท้ายและเดินนำไปยังตำหนักยิมโฮแทกุนทันที
"องค์ชายไม่ได้ประทับอยู่ในตำหนักเพคะพระชายา" เชวซังกุง ซังกุงคนสนิทของยิมโฮแทกุนทูลรายงานเมื่อเห็นว่าพระชายาฮวารยอนจะเข้ามาพบองค์ชาย
"เช่นนั้นพระองค์ประทับอยู่ที่ใด" พระชายาตรัสถาม
"ห้องทรงพระอักษรเพคะ"
"อะไรนะ เช้าเช่นนี้น่ะหรือ" พระชายาขมวดคิ้วอย่างแปลกพระทัย
"เพคะ" เชวซังกุงเอ่ยรับคำ
"เช่นนั้นก็ไปห้องทรงพระอักษร" พระชายารับสั่งกับเหล่านางในที่ติดตามมาพร้อมกับเสด็จจากไป เมื่อขบวนเสด็จหายลับออกไปจากตำหนักองค์ชาย เชวซังกุงก็หันไปพูดกับนางใน
"เฮ้อ น่าสงสาร องค์ชายหาโปรดปรานนางไม่ แต่ก็ยังตามเอาชนะพระทัยพระองค์ให้ได้"
"นั่นสิเจ้าคะ องค์ชายมีพระอุปนิสัยส่วนพระองค์อย่างไรคนในวังหลวงย่อมรู้กันทั้งนั้น ทำไมพระชายาองค์นี้ถึงไม่รู้กันนะ" นางในเอ่ยตอบ ทำให้นางในอีกคนแทรกขึ้นว่า
"ใช่แล้ว องค์ชายไม่โปรดที่จะให้ใครมาคอยตามติดตามดู เห็นทีพระชายาองค์นี้คงโดนปลดในเร็ววันแน่ เพิ่งได้รับการแต่งตั้งแท้ ๆ แต่อย่างว่านะองค์ชายนอกจากจะไม่ชอบให้หญิงใดมายุ่มย่ามและก็ไม่เคยเหลียวมองหญิงใดเลย รวมถึงลูกขุนนางที่แม้จะสวยราวเทพยดาเพียงไหนก็ตาม พระชายาองค์นี้จริง ๆ ก็เป็นการยัดเยียด องค์ชายหาได้มีใจเสน่หาไม่"
"หุบปากเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่มันที่ไหน ให้เจ้ามาพูดจาเหลวไหลได้หรือ วังหลวงเป็นสถานที่อะไรพวกเจ้ารู้รึไม่ พูดจาเช่นนี้ระวังจะถูกลงโทษหนัก" เชวซังกุงหันไปตำหนิลูกน้องจนพวกนางรีบก้มหน้าลงกับพื้น
"เป็นนางในมาตั้งแต่เด็ก ควรรู้ว่าอยู่ในวังหลวงสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด พวกเจ้าไม่รู้หรือ"
ห้องทรงพระอักษรแต่เดิมเป็นห้องตำราเล็ก ๆ ที่พระเจ้าโจจงสร้างไว้ให้องค์ชายศึกษาหาความรู้เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ ต่อมาเมื่อองค์ชายทรงพระเจริญขึ้นก็เริ่มสนพระทัยในราชกิจต่าง ๆ ของพระเจ้าโจจง จึงทรงเปลี่ยนห้องนี้ให้กลายเป็นห้องทรงพระอักษรประจำพระองค์จนข้าราชบริพารต่างพูดกันลับหลังว่ายิมโฮแทกุนทรงมีพระทัยใฝ่รู้เหมาะแก่การสืบทอดราชบัลลังก์กว่าองค์รัชทายาทลีซองแจเสียอีก
ฮวารยอนพูบูอินเสด็จมาถึงหน้าห้องทรงพระอักษรขององค์ชายก่อนจะกวาดตามองไปบริเวณโดยรอบอย่างแปลกใจ
"เหตุใดถึงเงียบนัก"
"อาจเพราะยังเป็นเวลาเช้ามากอยู่เพคะ" นางในก้มศีรษะทูล
พระชายาเสด็จไปหน้าประตู แต่ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใดเสียงขององค์ชายยิมโฮก็ดังออกมาจากนอกห้องอย่างชัดเจน
"เป็นเรื่องจริงหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ มีหลักฐานและพยานครบถ้วน หลายปากก็บอกตรงกัน ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับพระวินิจฉัยของพระองค์ว่าจะส่งเรื่องนี้ให้กรมอาญารึไม่" เสียงของมหาดเล็กโช มหาดเล็กประจำพระองค์แทกุนทูลตอบ พระชายาขมวดคิ้วอย่างสงสัยในบทสนทนา
"กรมอาญาหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย แต่ตามกฎของฝ่ายในต้องแจ้งให้พระมเหสีรู้เพื่อตัดสินโทษ แนเมียงบูมีข้อห้ามว่าเรื่องต่าง ๆ ล้วนเป็นความลับห้ามแพร่งพรายให้คนนอกรู้ แต่ถ้าหากองค์ชายจะแจ้งพระมเหสี โทษก็คือตายสถานเดียวพ่ะย่ะค่ะ"
พระชายายกมือขึ้นปิดปากอย่างตกพระทัย โทษตายอย่างนั้นหรือ โทษตายอะไรกัน มีใครทำผิดกฎของฝ่ายในหรือ
"แล้วถ้าจะลงโทษกันเองเงียบ ๆ ได้รึไม่ ข้าไม่อยากให้เสด็จแม่ต้องทรงกริ้วด้วยเรื่องเช่นนี้"
"ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ ทรงรับสั่งมาได้ว่าจะลงโทษขั้นใด" มหาดเล็กโชเอ่ย
เสียงภายในห้องทรงพระอักษรเงียบหายไปสักพัก พระชายาฮวารยอนที่ยืนอยู่ประตูก็พยายามเงี่ยหูฟังต่ออย่างใจจดใจจ่อ
ท่ามกลางความเงียบ ยิมโฮแทกุนก็ตรัสว่า
"ลงโทษตามกฎที่มีบัญญัติไว้สูงสุด"
ฮวารยอนพูบูอินไม่รู้สึกองค์เลยว่าตัวเองวิ่งกลับมาถึงตำหนักของตนได้อย่างไร ทันทีที่บทสนทนาสุดท้ายขององค์ชายรับสั่งกับมหาดเล็กโชที่ให้ลงโทษขั้นสูงสุด นางก็วิ่งออกมาทันทีเพราะไม่อยากทนฟังอะไรอีกต่อไป แม้ทั้งสองคนนั้นไม่เอ่ยชื่อผู้กระทำหรือความผิดออกมา แต่ใจลึก ๆ ของฮวารยอนรู้ดีว่าเป็นใคร
พระชายาขังตัวเองอยู่ในตำหนักและรับสั่งให้คิมซังกุงรีบมาหาตนทันที ระหว่างที่รอฮวารยอนก็เดินไปมาภายในห้องส่วนพระองค์อย่างกระสับกระส่าย ความหวาดหวั่นท่วมท้นในพระทัยจนอยากจะหนีไปจากวังหลวงให้รู้แล้วรู้รอด รับสั่งที่ว่าลงโทษตามกฎที่บัญญัติไว้สูงสุดถ้าเป็นฝ่ายในก็คือโทษตายมิใช่หรือ
องค์ชายจะฆ่าข้าเช่นนั้นหรือ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของพระชายา น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ ความปวดร้าวเพราะถูกปรักปรำโดยทั้งที่ยังไม่ได้รับการยุติธรรมนั้นแล่นไปทั่วพระวรกาย ถึงแม้มิได้รักกันและสมรสกันเพราะการจับคู่อำนาจในวังหลวง แต่เหตุใดองค์ชายถึงชิงชังและคิดปลิดชีพตนเองเช่นนี้ พระองค์ไม่ทรงเห็นความรักความซื่อสัตย์ภักดีที่มีให้หรือไร ทว่ากลับทรยศจนความรู้สึกขาดสะบั้นลง
มือข้างหนึ่งเผลอไปลูบชุดทังอีด้านหน้าที่เป็นตัวอักษรมงคลอย่างใจลอย ในอนาคตที่วาดหวังบริเวณนี้จะต้องปักเป็นลายหงส์และสูงสุดคือลายมังกร ทว่าเส้นทางสู่อำนาจนั้นได้ดับวูบลงเสียแล้ว
"พระชายา หม่อมฉันคิมซังกุงขอเข้าเฝ้าเพคะ" ซังกุงคนสนิททูลอยู่หน้าตำหนัก
"รีบเข้ามาเร็วเข้า" พระชายารับสั่ง
คิมซังกุงยกถาดเครื่องเสวยเข้ามาภายในตำหนักก่อนจะวางไว้เบื้องหน้าพระพักตร์
"เช้านี้หม่อมฉันให้ซังกุงสูงสุดของห้องเครื่องทำโจ๊กสมุนไพรมาถวายโดยเฉพาะเพคะ รีบเสวยในขณะที่ยังอุ่นอยู่เถิดเพคะ"
ความจริงพระชายาอยากพูดคุยเรื่องที่กำลังกังวลใจใหญ่หลวงในตอนนี้ ทว่าเห็นแก่ความเป็นห่วงของซังกุงคนสนิทจึงประทับลงเสวยก่อน
"ทำจากสมุนไพรหลายชนิดและลูกสนเพคะ มีประโยชน์มาก ช่วยบำรุงเลือดลมและทำให้พระวรกายโล่งโปร่งสบายเพคะ-- พระชายา เกิดอะไรขึ้นเพคะ เหตุใดสีพระพักตร์ถึงไม่สู้ดี"
พระชายาฮวารยอนวางช้อนลงในชามโจ๊กที่เสวยไปแล้วเกือบครึ่งชามก่อนจะตรัสว่า
"เมื่อเช้าข้าไปหาองค์ชาย ได้ยินเรื่องน่าตกใจมาเรื่องหนึ่ง"
"เรื่องอะไรหรือเพคะ" คิมซังกุงถาม
หลังจากพระชายาทรงเล่าจบ คิมซังกุงก็นิ่งงันไป ดวงตาส่อแววครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า
"พระองค์คิดว่าโทษตายที่แทกุนทรงรับสั่งลงมา หมายถึงพระองค์เองเช่นนั้นรึเพคะ"
พระชายาพยักพระพักตร์ คิมซังกุงเบิกตากว้าง
"ข้าควรทำอย่างไรคิมซังกุง" พระนางตรัสออกมาอย่างร้อนรน คิมซังกุงก้มหน้าลงสักพักก่อนจะเอ่ยออกมา
"เช่นนั้นพระชายาก็รับโทษตายเสียเถิดเพคะ"
พระชายาตกตะลึง
"เจ้าว่าอะไรนะ"
"หม่อมฉันบอกว่า เช่นนั้นก็โปรดรับความตายเสียเถิดเพคะ"
"คิมซังกุง ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนี้"
ซังกุงคนสนิทเงยหน้าขึ้นมองพระชายาตรง ๆ
"เพราะพระชายาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้สักนิด"
พระชายามองซังกุงของตนอย่างไม่เชื่อสายตา
"ทำไมเจ้าถึงได้พูดกับข้าเช่นนี้"
"หม่อมฉันคือคนที่วางแผนทุกอย่างเพคะ"
"วางแผนอะไรกัน เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร"
"ที่หม่อมฉันเข้ามาเป็นซังกุงคนสนิทเพราะหม่อมฉันเสนอตัวเอง เพื่อจะมาบ่อนทำลายพระองค์ ที่พระองค์เสด็จไปนอกวังก็ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันหรือเพคะที่เชิญชวนไปตรวจกับหมอควังคยอม จนพระองค์ทรงทำผิดที่ให้หมอข้างนอกอีกทั้งยังเป็นชายมาแตะต้องพระวรกาย"
พระชายาอ้าปากค้างแน่นิ่งอย่างคาดไม่ถึง
"หลังจากนั้นหม่อมฉันก็ปล่อยข่าวไปถึงองค์ชายให้พระองค์เสด็จมาเมื่อคืน สร้างความสงสัยในพระทัย จริง ๆ แล้วการให้หมอผู้ชายมาแตะต้องไม่สามารถทำให้พระองค์รับโทษตายได้หรอกเพคะ แต่หม่อมฉันได้รายงานผ่านมหาดเล็กโชไปสองเรื่อง"
"จะ... เจ้าใส่ร้ายอะไรข้า"
"เรื่องแรกคือการที่พระองค์ไม่สามารถมีลูกได้ เรื่องที่สองคือเรื่องคบชู้สู่ชายที่พระองค์ทรงมีกับหมอควังคยอมอย่างลับ ๆ"
ราวกับมีฟ้าผ่ากลางพระทัยของพระชายา ฮวารยอนพูบูอินผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธจัด
"เจ้าพูดอะไร ข้ากับหมอควังคยอมเพิ่งเจอกันครั้งแรกแล้วก็หาได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้นไม่ ทำไม... ทำไมเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้"
"ถ้าไม่ใส่ร้ายด้วยข้อหานี้ พระองค์ก็ไม่ได้รับโทษตายสิเพคะ หม่อมฉันอยากให้พระองค์ตายยิ่งกว่าอะไรเพคะ แล้วอย่าได้ไปตามหาหมอควังคยอมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เพราะหม่อมฉันส่งคนไปสังหารเขาเรียบร้อยแล้วเพคะ"
พระชายาตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ น้ำตาที่แต่แรกไหลออกมาเพราะความเศร้าโศกบัดนี้มันกลายเป็นน้ำตาแห่งความแค้น มือสองข้างกำชายกระโปรงชุดทังอีแน่นอย่างชิงชังหมดใจ
"นังตัวดี นังสารเลว เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เพราะอะไร ทำไมถึงทรยศข้าเช่นนี้"
"ทรยศ ?" คิมซังกุงเลิกคิ้ว "จะมากล่าวหาว่าหม่อมฉันทรยศได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อหม่อมฉันไม่ได้เป็นคนของพระนางแต่แรกอยู่แล้ว เลิกฟูมฟายเสียทีเพคะ เวลานี้จงรับความตายที่องค์ชายรับสั่งเถิด"
"ไม่ ! ข้าจะไม่มีวันรับความตาย ข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์ชายให้ทรงรับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของข้า"
พระชายาเดินไปถึงประตูพลันก็ได้ยินคิมซังกุงกล่าวขึ้น
"พระองค์จะไม่ยอมรับได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อพระองค์ทรงรับความตายไปแล้ว รับสั่งจากองค์ชายโดยตรงด้วย"
"เจ้าหมายความว่าอะไร"
คิมซังกุงยกชามโจ๊กให้พระชายาทอดพระเนตร
"โจ๊กชามนี้ข้าใส่ยาพิษไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ ไม่นานพระองค์ก็จะทรงรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจติดขัด ร่างกายเป็นอัมพาตขยับไม่ได้..."
คิมซังกุงลุกขึ้นยืนและพูดต่อจนจบ
"พระองค์ก็จะตายในที่สุด"
พระชายาฮวารยอนทรุดลงกับพื้นพระตำหนัก อาการปวดร้าวในอกแล่นพรวดขึ้นมาจนไม่สามารถทนทานได้ สายตาพร่าเลือนพร้อมกับอวัยวะต่าง ๆ ค่อย ๆ ชาลง สติสุดท้ายมีแต่ความแค้นในคิมซังกุงและยิมโฮแทกุน
ข้าจะไม่ยอมตาย ข้าจะแก้แค้นคนเหล่านี้ให้จงได้
โปรดติดตามตอนต่อไป
เชิงอรรถ
(1) ทรงออยอ-มอรี หมายถึง ทรงผมปกติของสตรีฝ่ายใน ตั้งแต่พระมเหสีลงมาจนถึงพระสนม องค์หญิง พระชายารวมถึงนางในระดับสูง ลักษณะคือจะใช้ผมคาเชพันรอบศีรษะ
(2) ออ-ยอมจกดูรี หมายถึง เครื่องประดับศีรษะสำหรับสตรีระดับเชื้อพระวงศ์ในวังหลวง ทำด้วยผ้าแพรลักษณะคล้ายหมอนเล็กๆ รองอยู่ด้านบนของวิกผม (คาเช) เพื่อบ่งบอกสถานะ มักมีสีต่างกัน นางในชั้นข้าหลวงที่ต่ำกว่าซังกุงสูงสุดลงไปและสตรีที่มิได้อยู่ในวังจะไม่สวมใส่ออ-ยอมจกดูรี (บางตำราเรียกแคดู)
(3) ตอลจัม หมายถึง ปิ่นประดับผมแบบกลมที่ใช้กับวิกผม (คาเช) ส่วนหัวของปิ่น มีลักษณะเป็นหัวใหญ่ ๆ ประดับลวดลายสวยงามด้วยเพชรนิลจินดา ผู้ที่จะใส่ได้คือผู้หญิงในราชวงศ์เท่านั้น
(ตำแหน่งการติดตอลจัม)
(4) พี-นยอ หมายถึง ปิ่นปักผมทรงยาวของสตรี ไว้ปักมวยผมด้านหลัง ความยาว รูปทรงและวัสดุที่ใช้จะขึ้นอยู่กับสถานะและบรรดาศักดิ์ของแต่ละคน
(การเสียบพี-นยอหรือปิ่นยาวไว้ด้านหลังศีรษะ)
(5) โนรีแก หมายถึง เครื่องประดับที่ห้อยติดอยู่กับชอโกรี มีลักษณะเป็นพู่ มีป้ายฐานะและสัญลักษณ์บ่งบอกว่าผู้สวมใส่เป็นผู้ใด ลำดับชั้นยศใด (ซึ่งในตอนนี้คือโนรีแกบ่งบอกตำแหน่งพูบูอินหรือพระชายาขององค์ชาย) โนรีแกบางครั้งก็เอาไว้ห้อยเครื่องประดับ อัญมณีสีต่างๆ หินและหยก
(ตำแหน่งการห้อยโนรีแก)
(6) พอซอน หมายถึง ถุงเท้า
(7) กดชิน หมายถึง รองเท้าสำหรับสตรี มีลายดอกไม้สวยงามอยู่โดยรอบ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น