ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
Medical Lovers ก๊วนหมอพาจิ้น รักสุดฟินคนพันธุ์แพทย์

ลำดับตอนที่ #1 : ภาค 0 Medicine Beginner แก้ไขสมบูรณ์ 100%

  • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 58


Medical Lovers 

ก๊วนหมอพาจิ้น รักสุดฟินคนพันธุ์แพทย์

 

 

 

คำเตือน!!!: ผลข้างเคียงที่ควรเฝ้าระวังในระหว่างที่กำลังอ่านนิยายเรื่องนี้... 

คุณจะมีอาการเรอ(ทัก) อย่างหนัก ปวดหัว(ใจ) หน่วงๆ เป็นครั้งคราวหรืออาจออกอาการบ่อยครั้งจนถึงขั้นถี่ยิบ เป็นลมพิษ(วาส) กัดกินไปทั้งตัวและลามรั่วไปจนทั่วหัวใจ 

จนวาระสุดท้าย… 

ทุกท่านจะถึงแก่ “ความรัก” ในที่สุด~~~

 

 

 

— To love is to suffer —

คุณคงเคยได้ยินประโยคนี้ผ่านหูกันบ่อยๆ “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์”... จริงรึเปล่า?

ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วทำไมทุกๆ คนถึงได้ยังคงเสาะหา `ความรัก` กันอยู่อีก... หรือว่ามันจะมีความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในความทรมานเหล่านั้นกันนะ?

หลายๆ คนตัดปัญหาโดยการที่เฝ้าหลอกตัวเองซ้ำๆ อยู่ร่ำไปว่า `ฉันจะไม่รักใครอีกแล้ว`… เหอะ! ให้ตาย! พูดอย่างกับว่าพวกหล่อนจะทำกันได้อย่างนั้นแหละ

เฮ้อ! จะว่าไปมันคงจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายน่าดูเลยเนอะ ถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ดังใจหวัง เหมือนกับเปลี่ยน `ท` เป็น `ส` แล้วตัด `ก` และ` ์` บน `ข` ออกไปซะ… จากคำว่า `ทุกข์` ก็กลายมาเป็น `สุข` ได้อย่างง่ายดาย

แต่ก็เอาเถอะ ถึงชีวิตมันจะอยู่ยากไปสักหน่อย อะไรๆ รอบตัวก็ดูยากไปซะหมด แต่เราก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า “อะไรที่มันยากๆ” เหล่านั้นนั่นล่ะ เป็นตัวดลบันดาลสีสัน เพิ่มความมันส์ให้กับชีวิตของเรา... ก็คงจะเป็นเหมือนอย่างที่ใครๆ เค้าว่ากันล่ะนะ... 'ความทรมานที่สุดแสนจะสวยงาม' 

มันทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสนานกับความลำบากมากมายหลากหลายแบบที่ประเดประดังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เหมือนๆ กันกับที่เราได้เล่นเกมที่ต้องผ่านอุปสรรคด่านต่างๆ ไปให้จงได้นั่นแหละ

ก็นะ… มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้วล่ะว่าใน “เกมชีวิต” ใครคนไหนที่ยังหายใจได้ ก็ต้องดิ้นรนให้อยู่รอดกันต่อไป

งั้นเรามาเริ่มต้นกันที่ “เกมด่านแรก” กันเลยเป็นไง…

มาลองหาคำตอบกันดูหน่อยมั้ย… 

“ความรักแบบไหนที่จะทำให้หัวใจของคุณ `มีความสุข` ได้อย่างแท้จริง?"

เตรียมตัวและหัวใจของคุณให้พร้อม

แล้วลองมาร่วมผจญภัยในดินแดนแห่งรักอลวนไปกับพวกเรา~~~

 

 

 

 

 

 

ภาค 0

Medicine Beginner

 

 

 

 

13 มกราคม พ.ศ.2558
'วันประกาศผลสอบ!!!'


สาวที่ 1

 

     สองตาของฉันจ้องเขม็งไปยังหน้าจอคอมอย่างมุ่งมั่นสุดๆ ทว่าในใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือขวาที่กำลังเอื้อมขึ้นมาเพื่อกดเอ็นเตอร์ชื้นเหงื่อชุ่ม แถมยังสั่นงกๆ เสมือนผีเข้าก็ไม่ปาน

จึ้ก~

     และแล้วฉันก็ทำสำเร็จ! นิ้วชี้ข้างขวาของฉันจิ้มจมลงไปยังปุ่มเอ็นเตอร์ได้ในที่สุด แต่มันก็ถือว่ายังไม่สุดดีตรงที่ตาสองข้างของฉันมันดันหลับปี๋ปิดเข้าหากันแน่นแบบนี้นี่แหละ ฮืออออออ!!!

     “เอาน่ายัยยาหยีเป็นไงเป็นกันล่ะงานนี้!” 

     ไอ้ถ้าจะให้มานั่งสวดมนต์อธิษฐานภาวนาอะไรในตอนนี้มันก็คงจะไม่ใช่เวลาแล้ว ฉันจึงเลือกที่จะให้กำลังใจตัวเองเต็มที่ ตั้งสติทำสมาธิพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเชิดหน้าขึ้นมาให้อยู่ระดับเดียวกับหน้าจอคอม แต่ที่ยากยิ่งกว่าก็เห็นจะเป็นตรงที่ต้องเปิดตามาดูไอ้สิ่งที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอคอมนี่ล่ะ...

 

 

'หน้าเว็บน้ีไม่พร้อมใช้งาน'

 

 

     เอิ่ม… เว็บล่ม ขอบคุณค่ะ!!! -_-^^^

     ให้ตายสิ! ไอ้ฉันก็อุตส่าห์ตั้งท่าลุ้นตัวโก่งได้แบบโอเวอร์แอ็คติ้งสุดๆ เพื่อนังหน้าเว็บเพจว่างๆ สีขาวแสบตานี่เนี่ยนะ ฉันก็แค่เข้าเว็บเลทกว่าเวลาที่เค้าประกาศว่าผลสอบจะออกบนเว็บมหาลัยไปแค่ห้านาทีเอง ไหงเว็บถึงได้ล่มไวจังวะ ตายล่ะ! นี่มันแสดงออกให้เห็นถึงจำนวนคู่แข่งมหาศาลที่หวังตะเกียกตะกายหมายจะแย่งที่นั่งในคณะยอดฮิตอันดับหนึ่งของประเทศไทยได้อย่างดีเลยทีเดียวเชียว แล้วฉันควรจะเครียดดีมั้ยเนี่ย เหอะๆๆ ฝันไปเถอะว่าคนอย่างยัยยาหยีคนนี้จะเครียดเป็นกับคนอื่นเค้าได้

     ไหนๆ เว็บก็ล่มดูผลสอบไม่ได้แล้ว ลองหาอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจอ่านดูดีกว่า เผื่อจะได้กระตือรือร้นอยากเรียนไอ้เจ้าคณะยอดฮิตที่ว่านี้มากขึ้น

     นิ้วเรียวบรรจงจิ้มลงบนคีย์บอร์ดเป็นคำสั้นๆ ว่า 'หมอ' และทันทีที่กด enter พี่กูเกิลแกก็จัดหาหน้าเว็บมากมายมหาศาลละลานตาเสิร์ฟให้มาชนิดที่เรียกได้ว่าเลือกไม่ถูกจริงๆ

     ฉันลากเม้าส์ลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดกับกระทู้หนึ่งที่ตั้งชื่อหัวเรื่องได้เรียบง่ายแต่ทว่าแลดูน่าสนใจไม่น้อย โดยไม่รอให้เวลาผ่านไปอย่างเสียเปล่า ฉันกดเข้าไปดูในหน้าเว็บนั้นทันที ก่อนจะลากสายตาอ่านข้อความไม่สั้นไม่ยาวของกระทู้ที่มีพี่หมอคนหนึ่งมาโพสไว้ให้นักท่องเว็บได้อ่านและนั่งขบคิดกันเล่นๆ ซึ่งฉันคิดว่าเนื้อหาสาระมันเป็นอะไรที่ถูกต้องเลยทีเดียวล่ะ 

 

(`ว่ากันด้วยเรื่อง… เหตุผลของคนอยากเป็นหมอ!`

คำว่า `หมอ` สำหรับแต่ละคนอาจมีความหมายแตกต่างกันออกไป

`หมอ` สำหรับพ่อแม่ อาจหมายถึง อนุสรณ์สถานประกาศกู่ก้องไปทั่วจักรวาลด้วยความภาคภูมิใจในความเก่งของลูกตัวเองที่กำลังจะกลายเป็นประทีปดวงน้อยๆ ซึ่งจะคอยเป็นที่พึ่งพิงให้กับพวกท่านทั้งสองได้ในอนาคต

`หมอ` สำหรับครูบาอาจารย์ อาจหมายถึง ผลงานชิ้นโบว์แดงที่พวกท่านเฝ้าหล่อเฝ้าปั้น และแล้วมันก็กลายมาเป็นงานชิ้นเอกที่พวกท่านสุดแสนจะภาคภูมิใจ

`หมอ` สำหรับเด็ก ม. ปลาย กลายมาเป็นความฝัน NO.1 ตลอดกาล 

และ `หมอ` สำหรับใครอีกหลายๆ คน อาจหมายถึง เครื่องมือสร้างความมั่นคงให้กับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ แหล่งผลิตเงินชั้นยอด เข็มเชิดชูเกียรติยศ หรือแม้กระทั่งนำคำว่า `หมอ` มาเป็นมาตรฐานวัดคุณค่าของคนในสังคม (ไม่ติดหมอ เท่ากับ เรียนไม่เก่ง เป็นต้น) 

ทำไมคนถึงอยากเป็นหมอกันนัก???...

"อยากช่วยเหลือคน" คำตอบสุดฮิตตลอดกาลของว่าที่คุณหมอทั้งหลายผู้ที่จะได้มาเป็นเทวดานางฟ้าผู้สูงส่งในกรอบสังคมวงแคบๆ วงนี้

อยากช่วยคน... จริงหรือ?

เคยลองหยุดอยู่กับตัวเองนิ่งๆ แล้วเฝ้าย้อนคิดย้อนถาม หรือเคยลองนั่งคุยกับตัวเองดูแล้วรึยังว่า 'หมอ' สำหรับตัวเรานั้นแท้ที่จริงแล้วมันคือ 'ความฝัน' หรือเป็นเพียงแค่...

'ค่านิยมที่สังคมยัดเยียดให้' กันแน่?!!!)

 

ความเงียบแผ่กระจายไปรอบๆ ตัวฉัน การลองหยุดนึกคิดกับตัวเองตามคำแนะนำในกระทู้นำพาฉันไปสู่จุดที่จมดิ่งอยู่กับเหตุผลโง่ๆ ของตัวเองที่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาจากความจริงใจโดยแท้ หรือจริงๆ แล้วฉันก่อร่างสร้างมันขึ้นมาด้วยความเสแสร้งที่แสนสุดจะแนบเนียนซะจนตัวฉันเองก็ไม่รู้ตัว...

 

     'เอาล่ะ เราเดินทางกันมาจนเกือบจะสุดสายแล้วล่ะนะ และแล้วเราก็มาถึงคำถามสุดท้ายแสนคลาสสิคของเรากันซะที...'

     'คำถามสุดคลาสสิคนั่นน่ะ... ทำไมหนูถึงอยากเป็นหมอใช่มั้ยคะอาจารย์'

     นัยน์ตาสีดำลึกล้ำของอาจารย์แพทย์ที่เหลือบขึ้นมามองฉันในวันสัมภาษณ์ ความรู้สึกนิ่งเย็นสุดแสนจะน่าอึดอัด... ฉันยังจำมันได้ดี... 

     สีหน้านิ่งๆ ของอาจารย์แพทย์ที่สัมภาษณ์ฉันในวันนั้นไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกยินดียินร้ายอะไรในความจองหองของฉันที่กล้าโพล่งขึ้นมาขัดบทสนทนาของท่านอย่างถือดี มิหนำซ้ำ มุมปากที่ยกขึ้นมาหน่อยๆ ของอาจารย์หลังจากนั้น... นั่นมันรอยยิ้มชื่นชมชัดๆ สาบานได้

     'อ่าฮะ นั่นแหละจ้ะ... คำถามสุดท้ายของวันนี้'

     อาจารย์หมอวัยยังสาวยกมุมปากเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาให้รับรู้และสัมผัสได้อย่างชัดเจนมันทำให้ฉันสบายใจขึ้นเป็นกอง และแน่นอน มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผยองขึ้นกว่าเก่าว่าสิ่งที่ฉันทำไปเมื่อตะกี้เป็นการแสดงออกถึงความสามารถในการรู้ทันความคิดของคนอื่น ซึ่งฉันคิดว่านั่นคงจะเป็นสมบัติของหมอที่ดีที่อาจารย์คนนี้อยากจะเห็นในนักศึกษาแพทย์ และท่านก็ได้เห็นมันในตัวฉัน ท่านถึงได้ยิ้มหวานให้แบบนี้ยังไงล่ะ

     แต่รู้มั้ย... ฉันตอบท่านไปว่ายังไง หึๆ แน่นอนว่าคงไม่ใช่ 'หนูอยากช่วยเหลือคนอื่น อยากทำให้ผู้ที่เป็นทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บกลับมาหายและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง' หรืออะไรน้ำเน่าเทือกๆ นั้นอย่างแน่นอน

     'หนูสอบผ่านรอบข้อเขียนมาได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าหนูคงจะมีคุณสมบัติทางด้านความรู้ที่พอจะคู่ควรกับการเป็นหมออยู่บ้าง นั่นก็ข้อนึงแล้วล่ะค่ะ ส่วนถ้าถามหนูว่าหนูเริ่มต้นความคิดอยากเป็นหมอตั้งแต่ตอนไหน บอกได้เลยว่าเป็นเพราะหนูดู 'แดจังกึม' ซีรี่ส์เกาหลีที่ดังมากๆ ช่วงที่หนูยังอยู่ประถม หนูอยากรู้ว่าทำไมผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบเธอถึงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ หนูอยากจะทำแบบที่แดจังกึมทำ อยากรู้เหตุผลของเธอว่าทำไมเธอถึงต้องยอมทุ่มเทให้ผู้ป่วยที่เป็นแค่คนที่ไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำขนาดนั้น หนูแค่อยากจะลองรู้สึกในแบบที่แดจังกึมรู้สึกดูสักครั้ง...'

     '...'

     สายตาของอาจารย์หมอที่หรี่มองฉันนิ่งๆ อย่างคนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างแบบถี่ถ้วนละเอียดยิบขณะที่กำลังฟังคำตอบยาวเหยียดของฉัน กอปรกับสีหน้าที่ผ่อนคลายอบอุ่น ไม่ต้องให้เดาก็รู้ว่าอาจารย์หมอคนนี้คงจะนึกเอ็นดูฉันอยู่ไม่น้อย ทั้งหมดนั้นมันเป็นสัญญาณที่ดีเลยทีเดียวสำหรับประสิทธิผลของคำตอบที่ฉันหวังจะให้มันมัดใจอาจารย์หมอคนนี้ อย่างน้อยก็กระเตื้องความประทับใจแรกพบของเราสักนิดนึงก็ยังดีล่ะนะ

     และคราวนี้ก็ถึงคราวที่ฉันจะจบมันสักที...

     'หนูก็แค่อยากจะรู้ค่ะว่า... ถ้าหนูได้เป็นหมอจริงๆ แล้วชีวิตหนูมันจะเป็นยังไงต่อไปกัน จะต่างไปจากสิ่งที่หนูคิดไว้ว่ามันควรจะเป็นรึเปล่า... ก็เท่านั้นเองค่ะ...'

 

     ครืนๆๆๆ

     เปรี้ยง!

     เสียงหยาดฝนเม็ดใหญ่ที่ตกกระหน่ำลงมาบนหลังคาสังกะสีขึ้นสนิมเก่าๆ กรังๆ ของตัวบ้านฉาบปูนโทรมๆ เรียกสติของฉันให้หลุดออกมาจากภวังค์แห่งอดีต ตามมาด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกของคุณย่าที่ดังมาจากในครัวว่า...

     "ยาหยี ปิดคอมก่อนลูก ฝนตกหนักแบบนี้เดี๋ยวฟ้าจะผ่าเอานะ ยิ่งบ้านเช่าของเราไม่มีสายดินอยู่ด้วย" สำเนียงภาษาใต้สุดน่ารักของคุณย่ามิได้นำพาความสบอารมณ์มาให้ฉันแต่อย่างใด แหงล่ะ! ก็ฉันเพิ่งได้เปิดคอมเล่นแก้เซ็งไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ต้องมาเลิกเล่นคอมในยามฝนตกหนักเพราะบ้านไม่มีสายดินอย่างเช่นทุกทีแบบนี้ ความเซ็งมันก็เลยยิ่งทับถมไปกันใหญ่

     แปะๆๆๆ

     หลังจากปิดคอมแล้วยืนทำหน้ามู่ระบายอารมณ์เซ็งอยู่หน้าคอมมาได้สักพัก ฉันก็รู้สึกได้ถึงหยดน้ำเย็นเฉียบที่หยดย้อยลงมาจนชุ่มหัว จึงเงยหน้าเหลือบตาขึ้นไปมองเหนือศีรษะของตัวเองอย่างปวดจิตสุดๆ ไม่ต้องให้เดาก็คงจะรู้... หลังคารั่วอีกแล้วล่ะสิท่า ให้ตายเถอะ!

     "คุณย่าคะ หลังคาตรงนี้รั่วอีกแล้ว" ภาษาใต้สำเนียงแปร่งๆ หลุดออกมาจากปากของฉันในขณะที่ฉันกำลังเดินดุ่มๆ เข้าไปหาหญิงชราอ้วนท้วมสุดแสนจะน่ารักและใจดีที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ในสภาพชุดนอนเก่าๆ ที่คุณย่าท่านทำการตัดเย็บด้วยตัวเองจากผ้าถุงเหลือใช้ สายตาฉันอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองสิ่งที่อยู่ในจานข้าว มันเป็นข้าวสวยราดด้วยน้ำแกงส้มฉ่ำๆ (ทางภาคกลางอาจจะเรียกแกงส้มของคนใต้ว่าแกงเหลือง) ซึ่งในจานแทบไม่มีเนื้อปลาเลยสักชิ้นเดียว มีเพียงเศษชิ้นส่วนของปลาที่ติดมากับน้ำแกง และมะละกอหั่นบางสองสามชิ้นเท่านั้น ฉันพยามอย่างถึงที่สุดที่จะตักเนื้อปลาที่เหลืออยู่ชิ้นสุดท้ายให้ท่าน แต่ต่อมาก็พบว่ามันมาตั้งแหมะอยู่บนข้าวที่ท่านตักให้ฉันเสียแล้ว แถมยังมีขู่อีกว่าถ้าไม่ยอมกินปลาชิ้นนี้ท่านจะไม่ยอมคุยด้วยหนึ่งอาทิตย์ ฉันเลือกที่จะไม่ถามท่านอีกว่าทำไมท่านถึงไม่กินเนื้อปลาบ้าง เพราะคำตอบที่ได้รับมันก็คงจะเหมือนเดิม... 'เนื้อปลาน่ะ ย่าเหลือไว้ให้ยาหยีกินไงลูก' คำพูดผ่านน้ำเสียงอ่อนหวาน และหน้าตายิ้มแย้มใจดีของท่าน นึกถึงทีไรน้ำตาก็พานจะไหลทุกที... 

     ฉันก็แค่อยากจะให้คุณย่าได้กินได้ทานอาหารดีๆ อย่างคนอื่นเค้าบ้างก็เท่านั้นเอง 

     "อ้าว! วันก่อนปู่เค้าก็เอาดินน้ำมันมาอุดรูรั่วแล้วนี่ ทำไมมันยังรั่วอยู่อีก สงสัยเป็นเพราะพวกแมวมาวิ่งไล่จับกันบนหลังคาบ้านเราตอนกลางคืนแน่ๆ ร้ายจริงๆ แมวพวกนี้ งั้นเดี๋ยวย่าไปตามปู่มาดูให้ก็แล้วกัน"

     "อ๊ะ! ไม่ต้องเลยค่ะย่า นั่งกินข้าวไปเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูไปเอากะละมังมารองน้ำไว้ก่อนก็แล้วกัน คุณปู่น่ะ รายนั้นถ้ายังปลูกผักหลังบ้านไม่เสร็จก็ไม่ยอมลุกไปไหนหรอกค่ะ"

     "จ้ะๆ" คุณย่ายิ้มน้อยๆ แล้วหันกลับไปกินข้าว ที่มีแต่ข้าวจริงๆ กับเศษผักเศษเนื้อปลาต่ออย่างเอร็ดอร่อย

     ฉันวางกะละมังไว้ใต้จุดที่หลังคารั่วซึม ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว อดไม่ได้ที่จะนึกคิดจินตนาการ เฝ้าอธิษฐานขอพรอย่างคนโง่เง่าให้ตนเอง, คุณปู่และคุณย่าหลุดพ้นจากบ้านเช่าโกโรโกโสหลังนี้สักที นึกเสียใจที่ทุกเย็นหลังกลับมาจากโรงเรียนจะต้องมานั่งทนเห็นคุณย่าและคุณปู่กินข้าวราดน้ำแกงกับผงเนื้อปลาชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะที่ปลาชิ้นโตวางแหมะอยู่บนจานของตัวเอง ซึ่งเหตุผลของท่านทั้งสองคือตัวฉันนั้นจำเป็นต้องใช้โปรตีนจากปลาชิ้นนี้ในการที่จะนำไปเลี้ยงสมองเพื่อใช้ในการเรียนต่อไป ในขณะที่ท่านทั้งสองไม่จำเป็นจะต้องใช้โปรตีนอะไรมากมายแล้ว ซึ่งฉันว่ามันงี่เง่ามากๆ จนหลังๆ ฉันหมดความอดทนจนแก้ปัญหาโดยการไม่กินข้าวเย็นจนกว่าคุณย่าและคุณปู่จะยอมกินอะไรที่มันเป็น 'เนื้อ' กับเค้าบ้าง

     ฉันฝันอยากเห็นตัวเองและครอบครัวมีชีวิตที่ดี สุขสบายกว่าที่เป็นอยู่นี้ โอเค ถึงคุณปู่กับคุณย่าจะบอกว่าพวกท่านมีความสุขดีแล้วกับความสมถะที่มีอยู่ แต่สำหรับฉัน ฉันกลับต้องการให้ท่านทั้งสองได้รับสิ่งที่ดีกว่า อะไรที่มันต้องดีกว่าแบบที่เป็นอยู่นี้เป็นแสนเป็นล้านเท่า!

นี่ล่ะมั้ง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่แท้จริงที่ทำให้ฉันอยากเป็นหมอ...

 

     ติ๊ดๆๆๆ~

     ฉันนึกขอบใจเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นปลุกฉันจากความคิดในแง่ลบสุดๆ ที่มีต่อวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ของตัวเอง ฉันล้วงโทรศัพท์ออกมาดูก็เห็นเป็นเจ๊เนปจูน ขาใหญ่ประจำห้องนั่นเองที่โทรมา จึงรีบกุลีกุจอกดรับ เพราะไม่อยากจะทนฟังเจ๊แกบ่นยาวยืดเหตุเพราะฉันรับสายเจ๊แกช้าเกินไป

     "ว่า…" ไม่ต้องสงสัย 'ว่า' สั้นๆ คำเดียวนี่แหละคือคำขึ้นต้นเริ่มบทสนทนาทางโทรศัพท์ของฉันล่ะ

     (กรี๊ดดดดดดดดดด! แกรู้แล้วใช่มั้ย แกรู้แล้วช่ายม้ายยยยยย กรี๊ดดดดดด!)

ฉันดึงโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน เสียงกรีดร้องของเจ๊แกช่างน่าสยดสยองพองขนชวนให้แก้วหูหลุดออกมาเต้นจังหวะชะชะช่ายิ่งนัก

     "รู้อะไรอิเจ้ ใจเย็นๆ"

     (อย่าบอกนะว่าแกยังไม่รู้)

     "ขนาดตอนนี้แกกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ฉันก็ยังไม่ตรัสรู้เลยเหอะอิเจ้" ฉันตอบเสียงเนือยๆ ในขณะที่ยัยเจ้ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดในลำคออย่างคนที่หมั่นไส้ฉันจนทนไม่ไหวแล้ว 

     (พูดพล่อยๆ แบบนี้ควรจะบอกดีมั้ยเนี่ย)

     "ควรสิ เพราะไม่งั้นแกก็จะเสียค่าโทรศัพท์ไปอย่างเปล่าประโยชน์ การที่แกโทรมาหาฉัน จุดประสงค์ของแกก็คือบอกเรื่องสำคัญชวนกรี๊ดกร๊าดอะไรสักอย่างของแกใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าแกไม่บอกฉัน นอกจากแกจะไม่บรรลุจุดประสงค์ของการโทรมาหาฉันในวันนี้แล้ว แกยังต้องหูชาฟังฉันบ่นใส่ไปฟรีๆ โดยที่ค่าโทรศัพท์ของแกก็ค่อยๆ หมดลงไปอย่างช้าๆ และฉันก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรเลยสักนิดเดียว"

     (เอ่ิม… ไอ้เราก็แค่พูดหยอกเล่นนิดหน่อยๆ พี่แกมาซะเราเงิบเลยค่ะ แกมันนังปีศาจชัดๆ เลยอีหมอแม่มด)

     "ฉันก็หยอกแกตามแบบของฉันเหมือนกันแหละยัยเจ้บ้า อยู่กันมาก็นมนานแล้ว ยังไม่รู้จักชินสไตล์กันอีก... แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้แกพูดว่าไงนะ"

     (อะไรของแกอีกอีหมอโฉด)

     "นั่นไง ที่แกกำลังพูดอยู่น่ะ"

     (หรือฉันจะไม่คู่ควรกับอ้จฉริยะอย่างแกจริงๆ วะ แกพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ T^T)

     "ก็ไอ้คำที่แกใช้เรียกฉันไงเล่ายัยเนปจูน"

     (อ้อ! นึกว่าอะไรซะอีก ก็ดีออกไม่ใช่หรอ ยัยหมอแม่มด เหมาะกับแกออก)

     "…"

     (อ๊ะ! นะ… นี่แกยังไม่รู้จริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย ไม่ได้หลอกกันแน่นะยะ o_O)

     "…" 'เอาจริงๆ ฉันพอเดาออกตั้งนานแล้วล่ะ'... ฉันได้แต่พูดกับตัวเองในใจ ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกไปกับปลายสายเลย

     (อ๊าย! ยัยบ้าเอ๊ย! จริงๆ เลยนะแกเนี่ย กรี๊ด! ยินดีด้วยนะแก แกติดหมอแล้วโว้ยยยยย!)

     "อะไรนะ!!!"

     ฉันบีบเสียงให้เล็กแหลมแสดงถึงความตกใจชนิดที่โคตรจะเวอร์ตัวแม่ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วฉันก็ไม่คิดจะแปลกใจ ตกใจ หรือแม้กระทั้่งดีใจอะไรมากมายนัก แต่ที่ต้องแสร้งทำเสียงแหลมปรี๊ดไปแบบนั้น อีกทั้งแกล้งทำเอ๋อ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งๆ ที่เพียงแค่ฟังแวบแรกฉันก็เดาออกแล้วว่ายัยเจ้โทรมาบอกข่าวอะไร ก็เพราะฉันกลัวว่าเดี๋ยวยัยเจ้มันจะกลับไปนั่งคิดน้อยใจว่า 'นี่มันติดหมอ หรือตูติดเองกันแน่วะเนี่ย ทำไมยัยยาหยีมันถึงไม่ดีใจอะไรเลย ในขณะที่ตัวเราเองกลับดีใจแทนมันซะออกนอกหน้าขนาดนั้น' เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อความสบายใจของเพื่อนที่น่ารักอย่างยัยเนปจูน ฉันจึงต้องแสร้งทำเป็นตกใจและดีใจซะจนออกนอกหน้าอย่างที่เห็น...

     (นางสาวชาคริยา ไชยสวัสดิ์บริรักษ์สกุล... ถ้านี่คือชื่อแกจริงๆ ล่ะก็ ใช่! แกติดหมอแล้วโว้ยยยยยย!!!)

     ฉันเผยรอยยิ้มเอ็นดูใส่โทรศัพท์ให้กับสาวน้อยปลายสาย ยัยเจ้เนปจูนผู้แสนจะไร้เดียงสา... ก่อนจะนึกกระหยิ่มปริ่มใจด้วยความยินดีกับตัวเอง ไม่ใช่เพราะดีใจที่ตนจะได้เรียนหมอจริงๆ สักที แต่เพราะภาพฝันจินตนาการสุดสวยงามในอนาคตของการเป็นนักศึกษาแพทย์มันทำให้ฉันตื่นเต้นสุดๆ 

     ชีวิตของฉันต่อจากนี้จะเป็นยังไง ก็คงจะต้องคอยลุ้นกันต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ...

     ก็เพราะจริงๆ แล้วการ 'ติดหมอ' น่ะ… มันยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นของเกมชีวิตที่ชวนปวดเศียรเวียนหัวที่สุดในสามโลกเลย!!!

 

 

สาวที่ 2

 

     เอาล่ะ... นี่มันควรจะเป็นวินาทีที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันสิ แต่ทำไมใจเจ้ากรรมมันถึงกลับหวังให้ผลมันออกมาในทางตรงกันข้ามนะ

     'ไม่ติด ขอให้ฉันไม่ติดด้วยเถอะ!!!' 

     ฮือออออ ยัยสามัญสำนึกทรยศ ทำไมแกถึงทำกับฉันแบบนี้ฮ้าา  TOT

     "แสนดีลูกรัก ผลออกมาเป็นยังไงบ้างเอ่ย..."

     เฮือกกก!!!

     ฉันเผลอสะดุ้งตกใจสุดตัวจนเกือบตกเก้าอี้ หม่ามี้นะหม่ามี้ ทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียงกันบ้างเลย หัวใจหนูจะวายเอาได้นะคะ 

     "ฮ่าๆๆๆ อะไรกันจ๊ะแสนดี ตกใจหม่ามี้ซะเหมือนเห็นผีไปได้ ตกลงว่าไงเอ่ย ไม่ต้องดูหม่ามี้ว่าหม่ามี้ก็คงเดาถูกอยู่แล้วล่ะ แสนดีของหม่ามี้ทำได้อยู่แล้วใช่มั้ยจ๊ะ"

     "แสนดียังไม่ได้เปิดดูเลยค่ะ" ฉันบอกเสียงหงอยๆ ไปตามความเป็นจริง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรียกขวัญกำลังใจเพื่อเข้าไปเผชิญหน้ากับสมรภูมิรบที่แท้จริง

     กริ๊ก~

     ฝ่ามือฉันเอื้อมเข้าไปปิดหน้าจอไอโฟนในทันทีที่กดเข้าไปในเว็บประกาศผลสอบของมหาวิทยาลัย ช่องว่างระหว่างนิ้วเผยให้เห็นหน้าเพจสีขาวๆ แสดงการรอโหลดหน้าเว็บจริง ก่อนที่สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยจะโผล่แพลมๆ มาทักทายผ่านร่องนิ้ว เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามันพร้อมที่จะให้ฉันดูผลสอบของตัวเองแล้ว

     "เอามานี่ เดี๋ยวหม่ามี้ดูเอง"

     หม่ามี้กระชากไอโฟนไปจากมือฉันอย่างรำคาญเล็กน้อยที่ฉันเอาแต่ชักช้ายืดยาด ก่อนจะเลื่อนไล่ดูรายชื่อของผู้่ที่มีสิทธืเข้าเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย

     'ขอล่ะค่ะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขออย่าให้หนูติดหมอเลย...'

     "เอ้า! นี่จ้ะ..."

     หม่ามี้ยื่นไอโฟนคืนฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียงเย็นๆ นั่นทำให้ฉันใจชื้นขึ้นหน่อย แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรายชื่อที่หม่ามี้จงใจซูมเข้าไปเพื่อให้เห็นได้ชัด สวรรค์ของฉันก็เป็นอันพังทลายลงอย่างย่อยยับทันตา

     นางสาวอัยย์ญาดา นาราลักษ์!!!

     "ยินดีด้วยนะจ๊ะ สุดที่รักของหม่ามี๊"

     หม่ามี๊ยิ้มกว้างอย่างเปี่ยมสุข ท่านก้มลงมาจุ๊บแก้มฉันเบาๆ ก่อนจะเดินฮัมเพลงจากไป ทิ้งไว้แต่เพียงฉันที่ยืนอย่างเหม่อลอยอยู่ในภวังค์แห่งความผิดหวังที่พยายามซ่อนมันไว้ให้ลึกสุดใจ พนันได้เลยว่าฉันคงปล่อยโฮออกมาแล้วล่ะถ้าไม่มีใครบางคนโทรมาขัดจังหวะซะก่อน

     ติ๊ดๆๆ~

     "ฮัลโหล..."

     สติฉันล่องลอยเกินกว่าจะหยิบไอโฟนขึ้นมาดูว่าใครโทรมา โชคดีที่ฉันยังพอรู้สึกตัวอยู่บ้าง เลยพยายามปรับโทนเสียงให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะกรอกคำพูดใส่โทรศัพท์ไป

     (เป็นไงบ้างครับคุณพิกเลต) เสียงทุ่มนุ่มจากปลายสาย และแน่นอนคำที่ปลายสายใช้เรียกแทนฉันว่า 'พิกเลต'... มันทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าใครโทรมา

     "ก็ดี... หมีพูห์อยากได้ยินแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ" ไม่ต้องสงสัยกันแล้วล่ะค่ะ 'หมีพูห์' หรือชื่อจริงๆ ก็คือ 'เจ้าเอก' คนนี้... แฟนหนุ่มแสนดีของฉันเองล่ะ
     แล้วก็อีกอย่าง 'พิกเลต' กับ 'หมีพูห์' น่ะ เป็นเสมือนคำเฉพาะของคู่รักที่ใช้เรียกแทนกันและกันของเราสองคนเองน่ะค่ะ     
     (เฮ้! ไม่เอาน่าพิกเลตน้อย ประชดแบบนี้ดูไม่น่ารักเลยนะครับ)

     "แล้วหมีพูห์จะให้แสนดีทำยังไงล่ะ ตอนนี้แสนดีไม่มีอารมณ์จะมาสดใสร่าเริงใส่แล้ว"

     (โอ๋ๆๆๆ อย่างอนดิพิกเลตน้อย อะแหน่ อารมณ์บ่จอยแบบนี้ เค้าคงไม่ต้องถามเตงแล้วใช่ป้ะว่าผลเป็นไง)

     "คิก…~" ฉันอดยิ้มไปกับน้ำเสียงบีบเล็กที่พยายามทำให้แอ๊บแบ๊วของปลายสายไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคุณแฟนหนุ่มของฉันจะแรดแบบนี้เป็นปกติหรอกนะ เค้าน่ะจะทำตัวน่ารักๆ แบ๊วๆ ใส่เฉพาะตอนที่ง้อฉันเท่านั้นแหละ ซึ่งมันก็น่ารักมากๆ เลยล่ะ

     (แอบหัวเราะแบบนี้อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยครับผม)

     "ไม่รู้สิ..." 

     เอาจริงๆ นะ นี่ฉันไม่ได้กระแดะหรือว่าอะไรเลย คือฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะอยู่ในอารมณ์ไหนดี จะเศร้าดีมั้ยนะ หรือจะ let it go ปล่อยมันไป แล้วเริ่มชีวิตใหม่อย่างมีความสุข คุณคงจะงงกันว่าฉันเป็นบ้าอะไรถึงได้เศร้านักที่สอบติดหมอ คือ… คุณสัญญานะว่ารู้แล้วจะเหยียบมันให้มิดจมดิน นี่้มันความลับสุดยอดเลยล่ะ...

     จริงๆ แล้ว ฉันโคตรอยากจะเป็นครูเลย!!!

     คงจะด้วยเพราะครอบครัวฉันเป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนชื่อดังของจังหวัดอย่างโรงเรียนนาราลักษ์วิทยา ทำให้ชีวิตฉันคลุกคลีอยู่กับอะไรที่เกี่ยวข้องกับครูและนักเรียนตลอดเวลา สิ่งเหล่านั้นซึมซับลึกเข้าไปในจิตใจของฉัน ก่อร่างสร้างเป็นความฝันที่สุดแสนจะสวยงามของสาวน้อยวัยกระเตาะ แต่แล้วสิ่งเหล่านี้กลับต้องกลายเป็นความลับสุดยอดไปเมื่อป๊ากับหม่ามี้ยื่นคำขาดว่าฉันต้องเรียนหมอเท่านั้น คงเพราะเห็นว่ามันเป็นอะไรที่มั่นคงที่สุด และท่านทั้งสองเชื่อว่าหมอคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันควรจะเป็น ไม่ใช่เพียงแค่มันจะดีกับฉันเท่านั้น มันยังเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องชายตัวน้อยวัยสองขวบอีกด้วยที่มีพี่สาวเป็นหมอ (คงจะรู้ใช่มั้ยว่าน้องชายของฉันก็คงไม่รอดเงื้อมือนักปั้นหมอตัวฉกาจแห่งวงการอย่างป๊ากับหม่ามี้ของฉันแน่ๆ) ใช่! สำหรับพวกท่านหมอเป็นอะไรที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็กต์ ใช่! อนาคตฉันโดนปักหมุดถาวรว่าต้องเป็นหมอเท่านั้น ไม่สามารถจะเป็นอะไรอย่างอื่นได้อีก (ฝันไปก็ไร้ความหมายใช่มั้ยล่ะ) และแน่นอนที่สุดว่าท่านต่อต้านการเป็นครูอย่างรุนแรงด้วยเหตุผลบางอย่างที่ฉันไม่มีวันเข้าใจ ฉันเคยคิดสงสัยกับตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ว่าทำไมป๊ากับหม่ามี้ถึงได้เกลียดวิชาชีพครูนัก ทั้งๆ ที่ท่านทั้งสองก็คลุกคลีกับครูมาทั้งชีวิต แถมยังเป็นเจ้าของโรงเรียนอีกต่างหาก หรือว่าการที่ท่านทั้งสองเคยผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายบางอย่างของการเป็นครูมาก่อน ทำให้ท่านกีดกันฉันจากวิชาชีพนี้... เอาเถอะ ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้มันก็เป็นแค่การคาดเดาคิดเองเออเองของฉันทั้งนั้น

     ฉะนั้นคุณคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมฉันถึงภาวนาให้ตัวเองสอบไม่ติด เพราะถ้าไม่ติดหมอ แน่นอนว่าโอกาสที่ฉันจะได้สานฝันของตัวเองจริงๆ ก็ยิ่งมีมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังพอมีโอกาสแถๆ ไปสอบครูได้บ้างล่ะ แต่นี่ฉันฆ่าตัวตายชัดๆ ที่เผลอไผลตั้งใจทำข้อสอบจนสอบติดขึ้นมาจริงๆ แบบนี้น่ะ

     (เฮ้! หัวเราะแล้วห้ามกลับไปโหมดเศร้าอีกนะครับ คุณแฟนคนนี้ไม่อนุญาตนะ ถ้าเกิดฝ่าฝืน รับรองได้เลยว่าคนสวยจะต้องโดนคุณแฟนคนนี้ทำโทษอย่างสาสมแน่ๆ หุๆๆ)

     เสียงทะเล้นจากปลายสายดึงฉันให้หลุดออกมาจากภวังค์ความคิด ฉันส่ายหัวยิ้มๆ กับโทรศัพท์ อารมณ์ดีเริ่มกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อยจากการได้พูดคุยกับคุณพี่หมี โชคดีของฉันแล้วล่ะที่มีแฟนแสนดีและน่ารักมากๆ แบบนี้

     "ฮ่ะๆๆ พูดอย่างกับว่าตัวเองกล้าทำอย่างนั้นแหละ แค่แสนดีงอนใส่หน่อย หมีน้อยก็หงอยแล้ว"

     (นั่น! รู้ทันเค้าอีกนะเตงก็)

     "ฮ่าๆๆ" ฉันเองหยุดหัวเราะกับความแรดของคุณแฟนคนนี้ไม่ได้ทุกทีเลยสิน่า

     (เอๆๆ พิกเลตที่สดใสใจดีคนเดิมจะกลับมาแล้วรึยังน้าาาาาา...)

     "หยุดแรดได้แล้วคนบ้า แสนดีไม่เสียใจแล้วก็ได้ เสียใจไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้มันดีขึ้นอยู่ดี"

     (เอาน่าพิกเลตน้อย อย่าคิดมากเลยเนอะ เอาความเศร้าออกไป เททิ้งๆๆๆ ซะ คิดในแง่ดีเข้าไว้ อย่างน้อยพิกเลตกับเค้าก็จะได้เจอกันทุกวันเลยไง ไม่ดีเหรอครับ…)

     "เจอกันทุกวัน... หรือว่า..."

     (ใช่ครับผม คุณแฟนสุดหล่อคนนี้ตั้งใจทำข้อสอบสุดๆ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับพิกเลตของเค้าเลยนะเนี่ยบอกเลย)

     "กรี๊ดดดด! จริงๆ ใช่มั้ย ตายๆๆๆ แสนดีก็ลืมดูผลให้หมีพูห์ไปเลย โอ๊ย! นีดีใจที่สุดในรอบปีเลยนะเนี่ย"

     (ฮ่าๆๆๆ เค้าควรจะโกรธเตงดีมั้ยเนี่ยที่ลืมเค้าอ้ะ)

     "ไม่ได้ลืมน้า แค่ยังไม่ได้ดูให้ละเอียดเฉยๆ"

     (อย่ามาทำเสียงน่ารักแบบนั้นนะครับ ใจเค้าจะละลาย เดี๋ยวใจเค้าเต้นแรงจนหัวใจวายขึ้นมา เรื่องใหญ่เลยนะครับนั่น) เจ้าเอกเล่นมาโหมดแรดจัดเต็มแบบนี้ ฉันไม่เขินก็คงไม่ใช่คนแล้วล่ะ >/////<

     "ขอบคุณมากนะที่คอยเป็นห่วงกันเสมอน่ะ"

     ฉันตัดบทไปซะดื้อๆ เพราะเขินสุดๆ จนไม่ไหวจะเขินได้มากกว่านี้อีกแล้ว เอาจริงๆ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าเอกโทรมาเพื่อปลอบประโลมให้ฉันหายเศร้าใจ ก็เพราะเค้าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความลับของฉันยังไงล่ะ เพราะงี้เค้าคงจะรู้สึกไม่สบายใจไม่น้อยที่เห็นชื่อฉันไปติดอยู่บนเว็บประการผลสอบหมอของมหาวิทยาลัย

     (ไม่ให้ห่วงพิกเลตน้อยของเค้าแล้วจะให้เค้าไปห่วงใครที่ไหนล่ะครับ หืม…)

     "ทำไมต้องทำเสียงกระเส่าแบบนั้นด้วยเล่า ขนลุก"

     (แฮ่!!!) ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ เจ้าเอกเป่าลมใส่โทรศัพท์ยกใหญ่ ซึ่งฉันก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากหัวเราะชอบใจคิกคัก ไม่มีใครบนโลกนี้จะทำให้ฉันหัวเราะไปได้มากกว่าเค้าแล้วล่ะ

     "ฮ่าๆๆๆ"

     นั่นสินะ... มันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่ฉันสอบติดหมอ... 

     อย่างน้อยๆ ฉันก็ยังมีเจ้าเอกคอยอยู่เคียงข้างฉันตลอด เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอกยัยแสนดี เธอต้องเป็นหมอที่ดีได้แน่ๆ... 

     ชีวิตหมอสุดหรรษารอเธออยู่ข้างหน้าแล้ว!!!~

 

 

สาวที่ 3

 

     'แน่ใจนะมินรญา ว่าเธอจะดร็อปแล้วลงเรียนใหม่'

     'แน่ใจที่สุดเลยค่ะอาจารย์ หนูสัญญาค่ะว่าหนูจะไม่ปล่อยให้ตัวเองพลาดเหมือนคราวที่แล้วอีกเป็นอันขาด!!!'

     นั่นเป็นคำตอบสุดท้ายที่ฉันมั่นหน้าเริ่ดเชิดหน้าสวยตอบอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะไปอย่างเป๊ะสุดๆ และแน่นอนมันทำให้ชื่อของ...

     นางสาวมินรญา ภัทรวดี

     กลับคืนสู่ใบรายชื่อเฟรชชี่แพทย์ปีหนึ่งอีกครั้งแทนที่มันจะได้เลื่อนขั้นไปอยู่ในชั้นของปีสอง

เอาล่ะ ฉันคงจะต้องเท้าความสักหน่อยใช่มั้ยเพื่อไม่ให้ทุกคนสงสัยกันเกินไปว่าทำไมฉันถึงต้องซ้ำชั้น...

     ถ้าคุณกำลังคิดในใจว่ายัยนี่คงจะโง่ดักดานแน่ๆ เลยถึงต้องมาซ้ำชั้นแบบนี้ ให้ตายเถอะ!!! คิดผิดคิดใหม่ได้นะคะคุณขา คนอย่างยัยมีนาคนนี้น่ะไม่เคยมี้ไม่เคยมีคำว่าโง่สถิตอยู่ในสมองอันสุดแสนจะปราดเปรื่องเลยสักนิดเดียว (อ้วกกกก) มันก็แค่เป็นอุบัติเหตุนิดหน่อยน่าที่ฉันเผลอไปด่ากับอาจารย์สอนวิชาชีววิทยาเหตุที่เจ้แกออกข้อสอบไม่ตรงตามที่สอน คือแบบจะว่ายังไงดีล่ะ... สอนน้อยนิดเท่าอสุจิกบ แต่แกเล่นออกครบครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ ไอ้ฉันก็คนตรงๆ เลยอาสาไปบอกแกโต้งๆ เลยว่าอาจารย์ออกข้อสอบแบบนี้ไม่ไหวจะเคลียร์นะคะ คือเพลียมากจริงๆ ค่ะอาจารย์ แต่อาจารย์แกก็แบบไม่พอใจไง เลยสวนกลับมาว่าฉันโง่เองรึเปล่า ขุ่นแม่เลยปรี๊ดเลยสิคะงานนี้ แร๊บด่ารัวเร็วกว่ารถไฟชินคันเซ็นแปดร้อยยี่สิบห้าจุดสองสามสี่เท่า (เอิ่ม…) และด้วยสเต็ปด่าขั้นเทพนั้นแลถึงทำให้ผลสอบวิชาชีววิทยาของอีเจ้ปากมั่นคนนี้ได้ศูนย์เต็มร้อย!

     ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือเรื่องราวแบบสรุปพอสังเขปให้คุณพอจะเข้าใจในเหตุผลที่ฉันต้องซ้ำชั้นลงเรียนปีหนึ่งใหม่ ย้ำอีกครั้ง! ที่ดร็อปไป ไม่ได้โง่นะคะแค่ปากหมา... เข้าใจ๊!!!

     เอาล่ะ! ถ้าคิดในแง่บวกหน่อยมันก็ดีเหมือนกันที่ฉันลงเรียนใหม่หมด แม่จะถือโอกาสนี้แก้เกรดให้ได้ท๊อปทุกวิชาซะเลย โฮะๆๆ และคงจะเป็นโชคดีมากๆ ของฉันล่ะนะ ที่อาจารย์ชีววิทยาปีหนึ่งเปลี่ยนคนสอน เพราะไม่งั้นชีวิตฉันคงวนเวียนอยู่กับปีหนึ่งเป็นวงจรอุบาทว์ตลอดชั่วกาลนานแน่ๆ

     แต่เรื่องร้ายก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ... เพราะมันทำให้ฉันกับแฟนต้องแยกจากกันน่ะสิ ก็คณะแพทย์ที่ฉันเรียนอยู่ ปีหนึ่งมันแยกออกมาเรียนต่างหากห่างจากปีอื่นๆ เป็นโยชน์เลยไง การที่ฉันกับแฟนจะมาเจอกันสักทีมันก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นเอามากๆ ไปซะงั้น ก็เรียนหมอนี่เนอะ ขนาดเวลากินข้าวยังเจียดมาให้ยากเลย นับประสาอะไรกับการแว้บมากุ๊กกิ๊กจู๋จี๋ ยิ่งระยะทางระหว่างเรามันไกลซะขนาดนั้น ใจเจ้ก็พลันเศร้าขึ้นมาในทันที กระซิกๆ ฮือออออออ~
     "อย่ามัวแต่นั่งทำหน้ามุ่ยอยู่สิ แบบนี้ไม่ใช่เธอเลยนะ" พูดถึงได้ไม่เท่าไหร่ ก็โผล่มาทันตาเห็น ตายยากจริงๆ เลยผู้ชายคนนี้
     "ลมหนาวลองไม่ได้เลื่อนชั้นเรียนแบบเค้าดูมั้ยล่ะ แล้วจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง"
     'ลมหนาว'... ผู้ชายคนนี้นี่ล่ะแฟนสุดหล่อของฉันเองค่ะ
     "ทำได้ก็อยากทำอยู่ แต่จะทำไงได้ก็เค้าเลื่อนชั้นให้เราไปแล้ว" เอิบ... คุณแฟนคะ สาบานเถอะว่านั่นคือคำพูดของคนรักที่คบกันมานานเกือบจะสามปีแล้ว
     "นี่ลมหนาวประชดมีนาใช่มั้ยฮะ" และแน่นอน ที่ต่อมวีนต่อมเหวี่ยงของฉันจะเริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นมาเป็นปกติวิสัยเวลาถูกใครกวนโอ๊ย หรือประชดประชันใส่
     "เปล๊า เราเปล่าประชดซะหน่อย เราพูดจริงๆ นะมีนา การที่จะต้องแยกกับมีนา แม้ว่าระยะทางมันก็ไม่ได้ไกลมากอะไร แต่มันก็ทำให้อดใจหายไม่ได้จริงๆ"
     ฉันเงยหน้าขึ้นมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่กำลังนั่งโอบฉันอยู่หลวมๆ บนสนามหญ้าหลังบ้านของฉันเอง สายตาของเขาแหงนมองฟ้าอย่างเหม่อลอย ซีกหน้าด้านข้างที่กระทบกับแสงสีชมพูแสดของแดดยามเย็นนั้นช่างงดงามไร้ที่ติ ความเหงาและความเศร้าที่ส่งผ่านออกมาจากนัยน์ตาที่น้ำตาลอ่อนใสมันทำให้ฉันเชื่ออย่างสนิทใจว่าทุกๆ อย่างที่เค้าพูดไปมันออกมาจากใจจริง
     "เอาล่ะๆๆ นี่มีนาพาลมหนาวเศร้าตามไปด้วยเลยใช่มั้ยเนี่ย พอๆๆ ลมหนาวโหมดเศร้าเหงาซึมแบบนี้มีนาก็ไม่ไหวจะปลื้มเหมือนกันนะคะ"
     ฉันพูดติดตลกตัดบทดรามาที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทันใดนั้นอยู่ๆ ลมหนาวก็โถมตัวเข้ามาขึ้นคร่อมฉันไว้โดยไม่ทันให้ฉันได้ตั้งตัว ก่อนจะก้มหน้าโคตรหล่อนั้นลงมาจนจมูกของเราชิดติดกัน ลมอุ่นๆ กลิ่นเป๊ปเปอร์มินท์ของเขาที่รินรดใบหน้าฉัน ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่มันก็ทำให้ใจฉันเต้นแรงได้ไม่เปลี่ยนแปลง
     "ไม่ชอบโหมดเศร้า... แล้วจะเอาโหมดไหนดีล่ะเราน่ะ หืม..."
     ลมหนาวกระซิบเสียงกระเส่า นี่เค้าต้องจงใจแกล้งทำหื่นใส่ฉันแน่ๆ บอกเลยค่ะว่ามันโคตรจะได้ผล สติสตางค์กระเจิดกระเจิง สมงสมองคิดอะไรไม่ออกแล้วค่าาา TOT
     "โหมดแบบนี้ก็ไม่เอา..."
     ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก่อนจะเค้นเสียงออกมาจนได้ แต่ให้ตายเถอะ! ทำไมเสียงฉันถึงได้สั่นแบบนี้วะ
     "ทำไมล่ะ ลมหนาวว่ามันก็ดีออกนะ..."
     นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของฉันทำเอาฉันอ่อนระทวย เสมือนมีแรงดึงดูดระหว่างเราที่คอยจะทำให้หน้าของเราเลื่อนเข้ามาใกล้ชิดกันเรื่อยๆ ระยะห่างกำลังหดสั้นกระชั้นเข้ามาจนน่าใจหาย แต่ก่อนระยะห่างระหว่างเราจะเหลือเพียงศูนย์ ก่อนที่อะไรๆ มันจะแนบชิดกันและกันไปมากกว่านี้...
     "อะแฮ่มๆๆๆ"
     เฮือก!!!
     เราสองคนผละออกจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงกระแอมดังกล่าว ทั้งฉันและลมหนาวต่างหน้าแดงแจ๊ดแจ๋เพราะความอายที่เกือบเล่นฉากรักกุ๊กกิ๊กสดๆ ต่อหน้าสาธารณชน ตอนแรกที่เราตกใจกันสุดขีดคงเป็นเพราะนึกว่าเสียงกระเเอมไอนั่นมาจากพ่อแม่ของฉัน แต่ที่ไหนได้... จริงๆ แล้วมันมาจากยัยสองเพื่อนสาวตัวดีที่มาขัดจังหวะสวีทหวานได้อย่างน่าตบที่สุดเลยให้ตายสิ >O<
     "อะ...เอ่อ เราว่าเรากลับก่อนดีกว่า ปล่อยให้พวกผู้หญิงได้คุยกันตามประสาสาวๆ บ้าง แหะๆ"
     ฉันยิ้มกับท่าทีเก้ๆ กังๆ ของลมหนาว ทั้งน้ำเสียงติดอ่างตะกุกตะกัก กับมือข้างขวาของเขาที่เอาขึ้นมาเกาหัวตัวเองแกรกๆ อย่างไม่รู้ตัว ท่าทางแสดงความเขินอายสุดๆ ของลมหนาว ดูยังไงก็น่ารักโคตรๆ เอาจริงๆ มันน่ารักจนลืมตายเลยล่ะ
     "โอเค นี่ก็เย็นมากแล้ว พ่อแม่ลมหนาวคงรอกินข้าวจนหิวกันแย่แล้วล่ะ" 
     ลมหนาวยิ้มน้อยๆ พร้อมโบกมือหย็อยๆ บอกลาเราสามคน ทว่าเค้ายังคงยืนอยู่ที่เดิมนิ่งๆ ไม่ไหวติง ก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองน้อยๆ อย่างกำลังชั่งใจอะไรบางอย่างอยู่ และแล้วเขาก็ตัดสินใจเดินเร็วรี่ ตรงปรี่เข้ามาหาฉัน ก่อนจะ...
     จุ๊บ~
     "แล้วเจอกันนะครับ..."
     "O////O"
     ไม่ทันที่ฉันจะได้ตั้งตัว... ลมหนาวก็ฉกริมฝีปากลงมาจุ๊บแก้มฉันเบาๆ ก่อนจะกระซิบกระซาบเสียงหวานที่ข้างหูของฉัน แล้วออกตัวเดินจากไปเสียดื้อๆ ทิ้งฉันไว้ให้เขินแดดิ้นสิ้นใจตายอยู่เพียงลำพัง
     "แหมๆๆ ไม่ค่อยเลยนะยะหล่อน"
     สองเพื่อนสาวสุดเลิฟประสานเสียงแซวหยอกเย้าฉันเบาๆ ก่อนจะหันหน้าเข้าหากันแล้วหัวเราะคิกคักกันสองคน ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ฉันเขินเข้าไปใหญ่
     "ว่าแต่แกสองคนเหอะ ถ่อมาถึงนี่กะจะมาเยาะเย้ยฉันใช่มั้ยยะ"
     ฉันเบี่ยงประเด็นอย่างเร็วรี่ ก่อนจะเดินเร่าๆ กลับเข้าบ้านตัวเองเพื่อหนีการเผชิญหน้ากับสองเพื่อนสาว แต่แน่นอนว่าตลอดทางฉันก็ยังคงได้ยินยัยเพื่อนทรพีกระซิบกระซาบหัวเราคิกคักกันสนุกปากอยู่ดี
     "เยาะเย้ยอะไรของแกมีนา คิดงี้กับเพื่อนกับฝูงได้ลงคอ นิสัยไม่ดี แบร่ๆๆ"
     สองสาวคู่หูดูโอ้ยังคงประสานเสียงกันได้อย่าลงตัว ความเป๊ะและความพร้อมเพรียงกันของแม่นางทั้งสองทำให้ฉันนึกสงสัยอยู่ทุกทีว่ายัยสองคนนี้คงอ่านใจและคุยกันทางกระแสจิตได้ ถึงสามารถพูดอะไรออกมาได้พร้อมเพรียงกันด้วยคำพูดที่ถอดแบบออกมาเหมือนกันเป๊ะๆ
     "การที่ฉันต้องซ้ำชั้น มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้มารร้ายอย่างแกสองคนสามารถนำมันมาเยาะเย้ยฉันได้ตลอดชาติ" 
     ฉันพูดติดตลก ก็แค่หยอกยัยบ้าสองตัวนี่ไปงั้นแหละ ก่อนจะโถมตัวลงนอนแผ่หลาที่โซฟากลางบ้าน ตามมาด้วยสองสาวที่นั่งแหมะลงบนพื้นพรมอย่างไม่ถือตัว พลางยื่นหน้าเข้ามาจ้องตาฉันกระปริบๆ

     "แหมๆๆ แค่นั้นเองแกก็ ไม่เป็นไรหรอกน่ายัยมีนา เรียนปีหนึ่งใหม่ก็ดีออก ชีวิตเฟรชชี่สนุกจะตาย สมองแกจะได้ไม่ต้องมาทนรับเรื่องยากๆ ของปีสองเร็วเกินไปไง" เอิ่ม… รู้สึกเหมือนกำลังโดนทับถมยังไงๆ ก็ไม่รู้แฮะ

     "ขอบใจมากนะยัยฮูหยิน" ฉันเลือกที่จะตอบขอบคุณไป แม้ว่าในใจจะรู้สึกตงิดๆ นิดหน่อยกับคำพูดเมื่อตะกี้ แต่ก็ช่างยัยฮูหยินมันเถอะ ยัยบ้านี่มันพูดอะไรไม่ค่อยจะคิดกับเค้าอยู่แล้วล่ะ ใส่ใจไปก็เพลียใจเปล่าๆ

     "ฉันล่ะก็อิจฉาแกเหมือนกันนะมีนา ได้ยินรุ่นพี่บอกมาว่าชีวิตที่ดีที่สุดของหมอคือปีหนึ่ง เพราะงั้นจงใช้ชีวิตเฟรชชี่ให้คุ้มค่า เพราะปีอื่นเวลาใช้ชีวิตแทบจะไม่มีเหลือ วันๆ ก็เอาแต่เรียน อ่าน สอบ สลับกันไปมา ฮืออออ คิดไปคิดมาฉันยังใช้มันไม่คุ้มเลยอ้ะแก"

     "เดี๋ยวฉันใช้มันเผื่อแกเองนะพิมฐา" ฉันตบบ่าเพื่อนสนิทอีกคนอย่างปลอบประโลม เอาจริงๆ ฉันแอบเยาะเย้ยพวกมันต่างหาก ก็จริงอย่างที่พิมฐาว่า จงใช้ชีวิตปีหนึ่งให้สุดเหวี่ยง 

     งั้นปีหนึ่งรอบที่สองของฉัน...

     จะขอใช้มันให้มันส์สุดเหวี่ยงกันสักหน่อยเป็นไง!!!




ขอออกตัวก่อนว่าไรท์เตอร์กำลังศึกษาอยู่คณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทย (ที่ไม่บอกไบ้ให้มากกว่านี้เพราะกลัวคนจะตามหาตัว 555) ไรท์ยังเป็นแค่เฟรชชี่ปีหนึ่งอยู่ เพราะงั้นเลยยังไม่ค่อยรู้อะไรมากมายนักกับคณะแพทย์ แต่จะพยายามหาความรู้ที่จะรังสรรค์ให้นิยายเรื่องนี้ดูสมจริงที่สุด จะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของเฟรชชี่หมอแบบมันส์ๆ สนั่นอารมณ์ที่ไรท์เตอร์ได้เผชิญมาผ่านนิยายเรื่องนี้
เชื่อครับว่าทุกๆ คนจะได้ 'อะไร' ที่มากกว่าความสนุกสนานเพลิดเพลินบันเทิงใจแน่นอน
ผู้อ่านที่รักทุกคนก็ช่วยให้กำลังใจไรท์เตอร์มือใหม่คนนี้ด้วยนะคร้าบบบบบ

ปล. เม้นต์ติชมได้ตามสบาย ไรท์เตอร์จะได้นำข้อดีข้อเสียเหล่านั้นไปแก้ไขปรับปรุงเน่อ
ปล.2 ด่าได้แต่อย่าแรงมากนัก เดี๋ยวเค้าก็ร้องไห้ใส่เอานะตะเอง 555

ปล.3 ก็อย่างที่ได้บอกไปว่าไรต์เตอร์เป็นเฟรชชี่แพทย์ปีหนึ่งหมาดๆ อาจจะลงนิยายช้าบ้างอะไรบ้างเพราะเรียนค่อนไปทางหนักมากถึงหนักโคตรๆ แต่ยังไงก็จะพยายามลงนิยายให้เป็นปกติ ไม่หายตัวเข้ากลีบเมฆไปแน่นอนครับ สัญญาเลย อิอิ

 
ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

7ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

7ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture