ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Hybrids สงครามรวมพลเหล่าคนข้ามสายพันธุ์

    ลำดับตอนที่ #1 : WarFa(i)r(e) Beginning เปิดเทศกาล...สงครามกระฉ่อนโลก 70%

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 57



    แด่
    การเฝ้าฝันถึง สันติสุข ที่ 'ไม่เคยมีอยู่จริง'




    หมายเหตุ:
    'นิยาย' เรื่องนี้เป็นเพียง 'เรื่องราวที่แต่งขึ้นมา' เพื่อมุ่งหวังสร้างสรรค์ความสนุกสนานและความบันเทิงสูงสุดแก่นักอ่านที่เคารพรักเท่านั้น มิได้มีเจตนามุ่งหวังจงใจกระทบกระทั่ง หรือให้ร้ายผู้ใดทั้งสิ้น ผู้อ่านทุกๆ ท่านจึงควรโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า 'นิยาย' เรื่องนี้ จะให้ 'อะไร' แก่ปราชญ์หนังสือที่รักทุกท่านมากเกินกว่าความรื่นเริงบันเทิงใจ
    มาร่วมสร้างจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ด้วยกัน...
    - รูปทู่มูทู -








    ภาค 1
    WarFa(i)r(e) Beginning
    เปิดเทศกาล... สงครามกระฉ่อนโลก!









     
             ทุกๆ สิ่งที่คุณเคยได้พบเจอและประสบในชีวิตจะกลายเป็นแค่อะไรสักอย่างที่เรียกได้ว่า อดีต และ ผิดถนัด!
             ถ้ามีโอกาสสักครั้ง เราก็อยากให้คุณลองหันมามอง ณ จุดที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เอาจริงๆ ก็คือ 'ตอนนี้' ในช่วงเวลาที่โลกของเราเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความบัดซบ พนันได้เลยว่ามันคงทำให้คุณต้องยกมือขึ้นมาป้องปากที่กำลังเปิดหวอด้วยสีหน้าอึ้งทึ่งจนตาเหลือกลานแทบถลนกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจน ผิดหูผิดตา
             ยุคโลกาภิวัฒน์ ได้ดลบันดาลการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งยวดให้แก่โลกใบนี้ชนิดที่เรียกได้ว่า 'จากหน้ามือเป็นหลังส้นเท้า' ใช่! ถ้าได้มาพบมาเจอสถานการณ์จริง คุณจะรู้ว่าเราเปรียบเทียบได้อย่างไม่มีที่ติเลยล่ะ
             ตอนนี้เดาว่าคุณหลายคนอาจจะนั่งนึกทายกันอย่างสนุกสนานอยู่ในใจ ว่าเรื่องที่เรากำลังจะคุยกันคงเป็นอะไรที่ไม่หนีไปจากหัวข้อว่าด้วยเรื่อง 'ภัยพิบัติ' หรืออะไรเทือกนั้นอย่างแน่นอน
            แต่ถ้าความหมายของคุณคืออะไรที่ 'แปลตรงตามตัวอักษร' ฉันคงต้องขอบอกว่าคุณคิดผิดถนัดเลยล่ะ! เพราะ ภัยพิบัติ ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ไม่ใช่อะไรที่ธรรมชาติใช้ในการลงทัณฑ์มนุษย์ แต่มันคือผลพวงจาก 'อำนาจบาตรใหญ่' ที่ ผ่านการใช้งานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและสุดแสนจะสิ้นคิด
             ภัยพิบัติจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง!
             
    ประเด็นต่อไปคงเป็นอะไรที่หนีไม่พ้น ต้นตอก่อเหตุ เราเรียกคนพวกนั้นว่า The Titan (จริงๆ แล้วคนพวกนั้นใช้อำนาจที่มีอยู่เหลือล้นบังคับให้พวกเราเรียกแทนภราดรของพวกเค้าตามชื่อที่พวกเขาเห็นสมควรว่าเหมาะสมที่จะขานเรียกนามแห่งผู้ทรงอิทธิพลสูงสุด)
             The Titan คือกลุ่มภราดรทรงอำนาจสูงสุดในขณะนี้ เป็นเสมือนพรรคการเมืองแห่งโลกสากลที่บัดนี้ได้สถาปนาตนเองเป็น 'รัฐบาลกลางของโลก' ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
             อำนาจและอิทธิพลเหลือล้นที่ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของพวกเค้าได้กัดกินการปกครองอิสระหรือที่เราเรียกว่าประชาธิปไตยของทุกๆ ประเทศทั่วโลกอย่างแสนตะกละและหื่นกระหาย เอกราชและอิสระที่เคยมีอยู่ท่วมท้น ในบัดดลก็ร่อยหรอลงไปอย่างน่าเศร้าสลดใจ ตลกร้ายตรงที่ดันมีข่าวลือระดับนานาชาติที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ผู้คนทั่วทุกสารทิศต่างก็พูดกันหนาหูว่า The Titan ได้ใช้อำนาจอย่างบ้าบอคอแตกและสิ้นคิดสุดๆ จนถึงขนาดลบคำว่า เอกราช และ อิสระ ออกไปจากทุกๆ ภาษาบนโลกใบนี้
             The Titan ในอดีตเคยเป็นเพียงองค์กรใต้ดินไร้ชื่อซึ่งอุบัติขึ้นมาด้วยแรงกดดันแห่งความคับแค้นใจ สมาชิกรุ่นแรกทุกคนล้วนเคยเจอประสบการณ์อันโหดร้ายจากการเป็นเหยื่อแห่งการรุกรานของชาติมหาอำนาจเก่าก่อนในอดีต สิ่งเหล่านั้นผลักดันความกล้าแกร่ง ความก้าวร้าว อิทธิพลและอำนาจของพวกเค้าให้เพิ่มเป็นพันเท่าคูณทวี
             บัดนี้ทั่วทุกหย่อมหญ้ากลายเป็นกรรมสิทธิขึ้นตรงต่อ  The Titan แต่เพียงผู้เดียว นับตั้งแต่ที่พวกเค้าใช้กองกำลังทหารหาญที่กล้าแกร่งของตนจำนวนมหาศาลในการรบกับชาติมหาอำนาจในศึกโจรกรรมยึดอาวุธนิวเคลียร์
             แม้ว่า The Titan จะสูญเสียไพร่พลไปในจำนวนมากมายมหาศาล แต่การชนะศึกและยึดอาวุธนิวเคลียร์มาจากทุกๆ ชาติมหาอำนาจเก่าแก่ได้สำเร็จก็เป็นชัยชนะที่ถือได้ว่าคุ้มค่าและคุ้มเกียรติแก่การเสียสละที่ยิ่งใหญ่
             ความแค้นที่สั่งสมถูกแสดงออกมาในรูปแบบของความโหดร้ายไร้ศีลธรรม ความโฉดชั่วช้าเหล่านั้นมีตั้งแต่การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ยึดมาได้บนแผ่นดินของชาติที่ 'เคย' เป็นมหาอำนาจใหญ่ จนทุกสิ่งทุกอย่างพังพินาศเป็นผุยผง ไปจนถึงการจับกุมผู้นำทางการเมืองที่มีชื่อเสียงสมัยนั้นมา ฆ่าออกอากาศสด ให้คนทั้งโลกได้ชมในรูปแบบของเรียลลิตี้เกมส์โชว์สนุกสนาน คล้ายกับการโหวตนักร้องขวัญใจ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น รายการทีวีดังกล่าวกลับตั้งกติกาการโหวตให้คุณเลือกโหวตคนที่สมควรแก่ความตายมากที่สุด และแน่นอนรวมถึงการเลือกสรรวิธีฆ่าที่สุดแสนจะโหดเหี้ยมทารุณด้วย (จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันเคยโหวตเล่นๆ ไปให้ใช้วิธี 'สวนทวาร' กับนายทหารใหญ่คนหนึ่งด้วยล่ะ)
             ทั้งหมดนั้นส่งผลให้ ณ ตอนนี้ The Titan กลายเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ ครองโลก อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียว
             ความสงบสุขในยุคประชาธิปไตยกลายมาเป็นเพียงประวัติศาสตร์ที่ถูกจากรึกไว้ว่า 'โลกยุคเก่า' โลกภายใต้อำนาจสั่งการเบ็ดเสร็จแห่งรัฐบาลกลางอย่าง The Titan ถูกพวกนั้นเรียกชื่อใหม่ซะสวยหรูว่าเป็น 'ยุคแห่ง The Great Might' หรือที่ประชากรทั้งโลกผู้ตกอยู่ใต้อำนาจอย่างเราๆ เรียกติดตลกในทำนองประชดประชันกันว่า 'ยุคแห่งอนาธิปไตย'
             มาถึงจุดนี้หลายคนคงเกิดคำถามนานาผุดขึ้นมาในความคิดกันจ้าละหวั่น
             ความสงบสุขจะถูกนิยามใหม่ไปในรูปแบบใด ในยามที่โลกทั้งใบตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวก The Titan แบบนี้?
             โธ่! ก่อนจะไปตอบคำถามนั้น เราขอถามก่อนเหอะว่า ความสงบสุขที่ว่ามันยังมีหลงเหลืออยู่อีกไหม?
             ใช่! คำตอบง่ายๆ คือ ไม่!!! ยังไงล่ะ
             'หายนะ' กลายเป็นคำตอบของทุกๆ คำถามและเป็นคำนิยามครอบคลุมทุกๆ สิ่ง
             หลังจากโลกตกอยู่ภายใต้การปกครองเบ็ดเสร็จของรัฐบาลกลางเป็นเวลานมนาม ความไม่เห็นด้วยจากประชากรทุกผู้ทุกคนที่ถูกกดขี่ และการคัดค้านที่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลนำมาซึ่งสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่า
             มหาหายนะได้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
             แน่นอนว่า นอกเหนือจากพวก The Titan ที่สนุกสนานกับการใช้อำนาจบาตรใหญ่ในทางที่ผิดและสิ้นคิดสุดๆ นั่นแล้ว นอกนั้นทุกผู้ทุกคนบนโลกก็ตกอยู่ในสภาวะที่ทนทุกข์ทรมาน และคับแค้นใจจากการถูกอำนาจกดขี่ไม่ต่างไปจากผู้นำรุ่นแรกแห่ง The Titan ในสมัยแรกเริ่มก่อตั้งภราดร
             ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นจะไม่ร้ายแรงเท่ากับสมัยที่รัฐบาลกลางขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือโลกทั้งใบ แต่แรงผลักดันที่จะมีอิสระเสรีและมีอำนาจเป็นของตัวเองก็มีมากพอที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกได้ว่า 'การก่อกบฎ' ขึ้นได้
             การกล้าลุกขึ้นมาต่อกรของคนกลุ่มใหญ่บันดาลให้เกิดความโกลาหลอีกครั้งบนโลกที่แทบจะพังทลายลงไปทุกทีใบนี้ การรบราฆ่าฟันกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ้ำร้ายยังอาจจะกลายเป็นความเคยชิน หรือไม่ก็อาจกลายมาเป็นค่านิยมของผู้คนในยุคสมัยนั้น เสมือนว่า The Titan ได้สร้างบาดแผลที่แสนเจ็บปวดที่สุดในจิตใจของทุกๆ คน สอนบทเรียนราคาแพงให้กับพวกเค้า และแพร่เชื้อโรคติดต่อร้ายแรงที่สุด ที่นิยามเป็นชื่อเรียกได้ว่า 'โรคบ้าอำนาจ' ให้เกิดขึ้นกับทุกๆ คนบนโลกทรุดโทรมใบนี้
             เชื้อร้ายเหล่านั้นมีผลกัดกินจิตใจจนผู้คนล้วนมีสภาพเหมือนไร้วิญญาณ ความโหดร้ายทารุณกลายเป็นสิ่งที่สมควรทำกับใครก็ได้ที่คิดจะขัดขืนหรือมีท่าทีเหิมเกริมคิดเป็นใหญ่กว่าตน
             ศีลธรรมจรรยา มนุษธรรม และจิตวิญญาณ ได้หดหายสลายไปจากโลกใบนี้โดยสิ้นเชิง
             การแตกแยกแบ่งฝ่ายที่แท้จริงพลันอุบัติขึ้นในบัดดล
           
     การก่อกบฏ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนี้ก่อให้เกิดสองภราดรใหม่ที่มีวี่แววว่าจะสามารถแผ่ขยายอำนาจเกรียงไกรได้ไม่ต่างกัน ประชาชนทั้งโลกที่ร่วมกันคัดค้านล้มล้างอำนาจ และลุกขึ้นมาก่อกบฎต่างแยกตัวออกมาปกครองตนเองอย่างอิสระเป็นสาธารณรัฐเล็กๆ อีกสองฝ่ายสองฝั่ง
             แต่ทว่าแทนที่ทั้งสองจะร่วมมือกันเพื่อกำจัด The Titan ให้สิ้นซาก ด้วยอุดมการณ์ที่ต่างกันสุดขั้ว และความบ้าอำนาจจองหองที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน ทำให้ภราดรเกิดใหม่ทั้งสองเลือกเดินในเส้นทางที่ยิ่งบดขยี้ 'สันติสุข' ให้มลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างแท้จริง นั่นก็คือ การทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันเอง
             หรือว่าโลกคงถึงคราวจบสิ้นกันก็คราวนี้แล้ว!
     ด้วยน้ำมือแห่ง 'สามตัวการผู้ยิ่งใหญ่' อย่าง...
             The Titan รัฐบาลกลาง ฐานอำนาจเก่า ที่ไม่ว่าด้วยวิธีใด พวกเค้าจะไม่มีวันยอมแพ้
             Nazi พรรคเก่าแก่แห่งโลกยุคเก่า ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาหวังเป็นใหญ่ในโลกใหม่นี้อีกครั้ง
             และ Messiah ผู้คงไว้ซึ่งศรัทธาแห่งประชาธิปไตยอันก้าวแกร่ง หวังชุบสังคมโลกยุคเก่า ให้สว่างสไวขึ้นมาอีกครั้ง
             หรือถึงคราวที่โลกจะต้องจารึกไว้... มหาศึกสงครามสามกองทัพอันยิ่งใหญ่ ที่จะทำลายล้างโลกนี้ให้เป็นจุณ!

     
    - -
    แล้วต่อจากนี้ล่ะ... จะเป็นอย่างไรต่อไป?  กลายมาเป็นคำถามที่สมควรจะได้รับคำตอบมากที่สุดแล้วในตอนนี้...
    - -


     
             The Titan

          ตึกๆๆๆ
             เสียงย่ำเท้าหนักๆ ดังระคนไปกับเสียงหอบเหนื่อยของชายหนุ่มร่างสูงผอมกะหร่องที่วิ่งลัดเลาะไปตามโถงทางเดินยาวสีขาวสว่างเจิดจ้า ผนังและเพดานสะท้อนเสียงก้องดังไปตลอดทางจนทุกสิ่งทุกอย่างมาหยุดเงียบอยู่ตรงหน้าประตูบานหนึ่งซึ่งมีสีขาวไม่ต่างไปจากทุกสิ่งอย่างในอาคารแห่งนี้ แต่แปลกก็ตรงที่กลไกเปิดปิดประตูห้องนี้ต่างออกไป มันยังคงเป็นระบบหมุนลูกบิด แทนที่จะเป็นระบบอัตโนมัติสแกนดวงตาอย่างห้องอื่นๆ
             ทันทีที่ชายหนุ่มผู้รีบเร่งหมุนลูกบิดประตูเข้าไปข้างใน พลันความเจ็บแปล๊บเหมือนเข็มทิ่มแทงก็แล่นปลาบจากลำคอ หลังจากนั้นจึงก่อเกิดความแสบร้อนทรมานกระจายขึ้นและลงจนทั่วตัว
             "โทษที ฉันแค่ไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าไปกับการเดินจากที่นี่ไปห้องทดลองของนายน่ะ"
             เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าใส ผู้ที่กำลังถูกสาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่งนั่งคร่อมอยู่บนเก้าอี้หนังสีดำภายหลังโต๊ะทำงานตัวยาวที่อยู่ตรงมุมในสุดของห้องกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าในขณะนี้แม่สาวกร้านโลกคนนั้นกำลังเลื้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ จนมาหยุดชะงักกึกง่วนอยู่กับภารกิจลับบางอย่างอยู่ที่ใต้โต๊ะตัวยาวระหว่างขาเปลือยเปล่าของชายหนุ่มตาฟ้าคนนั้น  หนุ่มน้อยหน้าประตูก็มิได้มีทีท่าจะสนใจใยดีอะไรกับหนังสดตรงหน้า ในทางกลับกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่บัดนี้ถูกล้อมกรอบไปด้วยเนื้อตาขาวชุ่มสีเลือดเบิกกว้างมองวัตถุที่มีลักษณะคล้ายปืนกระบอกยาวสีขาวสะอาดที่ยังคงถูกชูขึ้นมาบนอากาศในมือขวาของชายหนุ่มผู้เปลือยเปล่าที่นั่งสบายใจอยู่ปลายสุดของห้องโถงอีกด้านหนึ่ง
             "น่ะ... นี่ ท่าน...."
             ชายผอมกะหร่องผู้โชคร้ายหันไปมองเข็มเล็กๆ ที่ยังคงปักอยู่บนคอของเขาด้วยอาการสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หยาดน้ำตาระคนสีเลือดรินไหลออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
             "ฉันมั่นใจอยู่แล้วล่ะว่าระดับนายน่ะไม่มีคำว่าพลาด แต่อย่าให้ฉันเสียเวลาไปกับไอ้พวกหนูทดลองกระจอกๆ พวกนั้นเลย"
             เสียงยานคางแสดงออกถึงความรำคาญถูกเปล่งออกมา ก่อนที่เจ้าตัวจะผลักหญิงสาวที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่หว่างขาของตนออกไป แล้วลากสาวเจ้าเดินดุ่มๆ โทงๆ ออกมาจากโต๊ะทำงานตรงมายังหนุ่มน้อยวัยยังรุ่นที่ล้มพับอยู่หน้าประตูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะผลักหญิงสาวแรงๆ จนล้มคะมำก้นจ้ำเบ้าข้างๆ หนุ่มน้อยที่นั่งสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ที่พื้นตรงหน้าประตู
             "ทะ...ท่านทำ กะ....กับผม บะ...แบบนี้ ได้ยังงะ...ไง"
             เจ้าของร่างเปลือยเปล่าที่เหี่ยวย่นไปตามสภาพอายุได้แต่หัวเราะชอบใจไปตลอดทางที่เดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน เขารีบกดปุ่มสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่วแต่ทว่ายังคงดูเด่นเห็นได้ชัดเจนอยู่ตรงมุมบนขวาสุดบนโต๊ะสีขาวตัวยาวนั้นทันทีที่เหลือบไปเห็นว่าหญิงสาวร่างเปลือยกำลังวิ่งกลับมาหาตนเอง
             ครืนๆๆๆ
             ในฉับพลันอากาศตรงหน้าที่คั่นระหว่างเขากับหญิงสาวคนนั้นก็สั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรงจนเห็นการเคลื่อนไหวของอนุภาคเป็นลูกคลื่น หญิงสาวตัวเปล่าเปลือยที่วิ่งมาด้วยความเร็วชนกับการเคลื่อนไหวอัศจรรย์นั้นอย่างจัง ก่อนที่ร่างทั้งร่างของหญิงสาวจะกระเด็นกระดอนกลางอากาศไปกระแทกอย่างจังกับผนังห้องอีกด้านหนึ่ง
             "อื้ม! สนามบาเรียยังใช้การได้ดีอยู่นี่นา ขนาดว่าไม่ได้ใช้งานไปเป็นปีปีแล้วนะเนี่ย"
             ชายตาฟ้าวัยกลางคนเอ่ยออกมาอย่างไม่สนใจหญิงสาวที่กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะมองเลยผ่านม่านบาเรียตรงไปยังเด็กหนุ่มที่ตะเกียกตะกายพยายามที่จะยืนขึ้นมา
             "เห็นใจฉันหน่อยสิคุณปีเตอร์ แอนเดอร์สัน อายุฉันก็ปูนนี้แล้ว จะให้เดินไปไหนไกลๆ ไม่ไหวหรอก ไหนๆ ก็ไหนๆ เถอะ ยังไงผลการทดลองที่เธอกำลังจะบอกก็กำลังจะปรากฏแก่สายตาฉันตรงหน้านี่แล้ว"
             "อึก..."
             เด็กหนุ่มพูดอะไรออกมาไม่ได้แล้วเมื่อในลำคอของเขารู้ถึงถึงอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง น้ำตาที่ยังคงไหลออกมาเปลี่ยนเป็นสีแดงแห่งหยาดเลือด ทั้งใบหน้าเริ่มขึ้นรอยด่างจางๆ คล้ายรอยไหม้กระจายอยู่ทั่วบริเวณ
             "จะบอกอะไรให้อีกอย่าง เผื่อจะทำให้เธอภูมิใจมากยิ่งขึ้น..." เจ้าของรอยยิ้มเย็นหยุดมองเข็มฉีดยาเล็กๆ ที่ปักอยู่บนลำคอของหนุ่มน้อยด้วยแววตาของปีศาจร้ายก่อนจะเริ่มพูดต่อ "สิ่งที่ฉันฉีดให้เธอไป เป็นผลงั้นชิ้นโบว์แดงของเธอเลยนะ"
             สีหน้าเด็กหนุ่มแม้ว่าจะแสดงถึงความเจ็บปวดทรมานยิ่ง แต่ก็มิอาจปิดความหวาดกลัวอันล้นเหลือที่ถูกส่งออกมาผ่านดวงตาที่เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีดำทั้งดวง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายยิ่งสำหรับผู้ที่หลงไหลความสุขจากการดื่มด่ำความหวาดกลัวของผู้อื่นซึ่งตนเป็นผู้หยิบยื่นให้อย่างชายตาฟ้าคนนี้ "ทำหน้าแบบนั้น แสดงว่านายยังไม่เคยทดลองผลของมันสินะ... ซอมบี้ท็อกซินสูตรเข้มข้นพิเศษ นี่น่ะ อย่าหาว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ โทษทีแล้วกันที่ฉันสั่งให้คนหยิบมันออกมาจากห้องทดลองของนายโดยไม่ได้บอกก่อน" ว่าพลางชูปืนอีกกระบอกที่เพิ่งหยิบออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะ ปากกระบอกบรรจุเข็มฉีดยาจิ๋วที่ภายในบรรจุของเหลวสีแดงใสเป็นประกาย ทว่าฤทธิ์ของพิษยามันกลับร้ายแรงได้อย่างน่าหวาดผวาที่สุด ดูผลของมันจากหนุ่มน้อยตรงหน้าเขาตอนนี้ได้เลย
             "อาาาา!" เสียงกรีดร้องโหยหวนทว่าแหบสนิทดังออกมาผ่านริมฝีปากแห้งกรังที่เปลี่ยนไปเป็นสีเทา เจ้าของเสียงกระอักเลือกสีดำข้นสภาพเหนียวเหนอะคล้ายน้ำมันดิบออกมาอย่างน่าสยดสยอง ใบหน้าในตอนนี้ไม่หลงเหลือเค้าความหล่อเหลาเดิมอีกต่อไปแล้ว สภาพผิวเปลี่ยนไปเป็นสีเทาเข้มทั้งใบหน้าและลำตัว รอยไหม้ปื้นใหญ่ที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งร่างปรากฏเป็นตุ่มใหญ่ปลายแหลมงอกยาวออกมาดูคล้ายหนาม ทั้งฟันและเล็บงอกยาวออกมาส่งเสี้ยวแหลมคมโชว์เด่นหราเป็นอะไรที่น่าหวั่นเกรงยิ่ง กล้ามเนื้อทั่วร่างกายขยายใหญ่คับเสื้อผ้า และต่อมาเสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูเหมือนจะจุทั้งตัวไม่พออีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่ามันจึงฉีกขาดฟุ้งกระจายอย่างกับถูกระเบิดออกมาเป็นเศษเล็กเศษน้อย เผยให้เห็นลำตัวสีเทาเปล่าเปลือยอัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงทุกสัดส่วน ทั่วทั้งตัวแซมไปด้วยตุ่มหนามแหลมที่ยิ่งยืดยาวออกมาเรื่อยๆ จนมองดูคล้ายมนุษย์ตะบองเพชรยักษ์
             "สมบูรณ์แบบ!" คนตาฟ้ายิ้มกว้างกับผลงานชิ้นเอกที่ได้เห็นเป็นคนแรก "เสียดายที่นายไม่ได้เห็นผลงานของตัวเองนะปีเตอร์ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีไปซะทีเดียว ก็เพราะตัวนายเองไม่ใช่รึไงที่กลายมาเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเองไปซะแล้วน่ะ ฮ่าๆๆๆ" ชายหนุ่มเดินเข้าใกล้ม่านบาเรียเพื่อมองดูความสำเร็จใกล้ๆ ไปพร้อมๆ กับรำพึงรำพันคนเดียวเหมือนคนเสียสติ เสียงหัวเราะอย่างคนโรคจิตนั้นดังระคนไปกับเสียงคำรามน่าสยดสยองจากปีศาจร้ายตรงหน้า
             "เอาเลย จัดการมันเลย" เขาตะโกนก้องร้องเชียร์ เมื่อเจ้าปีศาจร้ายสังเกตเห็นอีกหนึ่งสิ่งที่นั่งร้องให้กอดเข่าสั่นระริกอยู่สุดผนังอีกฟากหนึ่ง หญิงสาวผู้โชคร้ายกรีดร้องพร้อมมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาปัดป่ายกลางอากาศอย่างเสียสติเมื่อเจ้าสิ่งมีชีวิตน่าสยดสยองค่อยๆ ย่างกรายเข้าใกล้อย่างเนิบช้า
             "กรี๊ดดดด!!!"
             เพียงชั่วพริบตาเดียวร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็ลอยขึ้นจากฟ้า เสียงกรีดร้องก้องดังสนั่นอย่างน่าสยดสยองมาพร้อมกับละอองสีแดงฉานที่พุ่งกระจายเป็นละอองน้ำพุเลือดกลางอากาศกระทบกับผนังสีขาวไหลเอ่อนองเป็นสายธารดุจดั่งน้ำตก ตามมาด้วยชิ้นเนื้อและอวัยวะภายในที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหล่นเกลื่อนกระจายอยู่รายรอบห้องอีกฟากหนึ่งของม่านบาเรีย
             ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วชั่วพริบตาด้วยแค่เพราะสองฝ่ามือแห่งปีศาจร้ายตรงหน้าเขาเท่านั้นเอง
             "วิเศษที่สุด... ยอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมจริงๆ..." นัยน์ตาสีฟ้าใสฉายแววพึงพอใจอย่างถึงที่สุดยามจ้องมองเจ้าตัวประหลาดตรงหน้ากำลังตะครุบกินชิ้นส่วนอวัยวะที่หล่นเกลื่อนกลาดตามพื้นอย่างตะกละตะแกลง
             "นายนี่ล่ะ ขุนพลแอนเดอร์สัน... แม่ทัพแห่งกองพันที่แกร่งกล้าที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา... TiTan's Zombies!!!"





            Nazi

             "อ๊ากกกกกก!"
            เสียงร้องโหยหวนก้องดังดั่งเสียงกัมปนาทกลางฟากฟ้า เจ้าของเสียงลอยเติ่งอยู่กลางอากาศในสภาพที่ร่างกายบิดเบี้ยวอย่างน่าสยดสยอง ทั่วทั้งตัวถูกย้อมด้วยสีแดงฉานของเลือดที่ทะลักออกมาจากแทบทุกส่วนทั่วร่างกายดูกลมกลืนกับท้องฟ้าสีทองแดงยามอาทิตย์อัศดง เบื้องล่างคือกลุ่มของบุคคลชุดขาวล้วน ด้วยทั้งเสื้อกาวน์ตัวยาวและแว่นสายตาหนาเตอะที่พวกเขาสวมใส่ ดูยังไงๆ ก็สามารถเดาออกได้อย่างง่ายดายว่าถ้าไม่ใช่นักวิยาศาสตร์อัจฉริยะก็คงเป็นพวกนักวิจัยไอคิวเกิน 150 อย่างไม่ต้องสงสัย
            ทุกสายตาจ้องมองไปยังตัวต้นเหตุแห่งความทรมานบนฟากฟ้าที่ยังคงร้องโหยอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส เธอเป็นแค่เพียงเด็กสาววัยสิบสามขวบเจ้าของเรือนผมยาวตรงสีดำสนิทรับกับใบหน้าสีขาวซีดไร้สีเลือด นัยน์ตาทอแสงเปล่งสีแดงเลือดเฉกเช่นเดียวกับท้องฟ้ายามนี้ยิ่งขับความน่าขนลุกให้กับสาวน้อยสุดเย็นชาคนนี้ เธอยืนนิ่งๆ สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำอยู่บนพื้นทรายที่โดนความร้อนสูงจากระเบิดนิวเคลียร์เมื่อเก่าก่อนแผดเผาจนบางส่วนกลายเป็นเนื้อแก้ว สายตาเย็นชาไร้อารมณ์เหลือกมองไปยังร่างที่ลอยอยู่เบื้องบน เพียงเสี้ยววินาทีที่เธอกระพริบตา ร่างกายสีเลือดบนท้องฟ้าก็ระเบิดตัวเองส่งละอองสีแดงกระจุยกระจายเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนเสียงโหยหวนชวนขนลุกนั้นจะจบสิ้นไป
             และแล้วการแสดง 'พลุเลือดและดอกไม้ไฟเนื้อคน' ก็จบสิ้นลงอย่างสวยงาม...
             "พะ...พลังของเธอนับวันจะยิ่งกล้าแกร่งขึ้นทุกที ผะ...ผมคิดว่าถ้ายิ่งปล่อยให้มันเพิ่มขึ้นแบบนี้ต่อไป เราจะควบคุมแคทเทอรีนไม่ได้ และ..."
             ยังไม่ทันจะพูดจบ ร่างสั่นงกของชายแก่ผมขาวหงอกทั้งศีรษะก็ถลาล้มลงไปเบื้องหน้าจากแรงผลักของชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดทหารเยอรมันแห่งกองทัพนาซีที่ไม่น่าจะมีหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้แล้ว ใบหน้าที่แท้จริงของเขาถูกบดบังด้วยหน้ากากวี ฟอร์ เวนเดตต้า (v for vendetta mask) ที่ช่วยส่งนัยน์ตาสีเขียวมรกตให้ดูยิ่งโหดเหี้ยมชวนขนหัวลุกกว่าเก่าหลายเท่าคูณทวี แววความเหี้ยมโหดยังคงจดจ้องอยู่บนร่างสั่นระริกที่นอนแผ่ไม่เป็นท่าอยู่กลางทะเลทรายแก้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนใจดียามเลื่อนสายตาไปมองเด็กสาวที่ยืนเด่นหราอยู่กลางฝูงชนชุดกาวน์
             "หนูแคทเทอรีนจ๊ะ รู้ใช่มั้ยว่าลุงอยากให้หนูทำอะไร..."
             หนูน้อยเผยรอยยิ้มเย็นรับกับคำพูดดังกล่าว ก่อนจะหันขวับไปมองชายแก่ที่ล้มแผ่ลุกไม่ขึ้นอยู่บนพื้น
             "อ๊ากกกกก!"
             และแล้ว 'ศิลปะแห่งเลือดเนื้อ' ก็ถูกละเลงอย่างตระการตาอีกครั้ง
             "เห็นมั้ยล่ะ หนูน้อยแคทเทอรีนออกจะน่ารักขนาดนี้ ใครหน้าไหนจะกล้าหาว่าหนูไม่เชื่อฟังอีกล่ะ ใช่มั้ยจ๊ะ"
             ชายเสื้อกาวน์ผู้รอดชีวิตต่างลอบกลืนน้ำลายกันถ้วนหน้า ต่างคนต่างสงสายตาเห็นใจซึ่ง
             

     
    - 70% -
             
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×