คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
ณ โรงพยาบาลประจำจังหวัด
“ วอสามเรียกวอสี่ ลิ้นจี่ลำไยมะละกอ ”
“ ลิ้นจี่ลำไยมะละกอ เรียกวอสามมะขามกล้วยส้ม ”
“ เอ่อ...ขอโทษนะคะคุณตำรวจ ไม่ทราบจะขายผลไม้อีกนานไหมคะ ? ดิฉันกำลังรีบ = =” ”
“ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกนะครับ เนื่องจากผลไม้กำลังขาดตลาด ถ้าไม่รีบกอบโกยผลประโยชน์จะทำให้เน่าเสียได้”
(= =)” << สีหน้าหญิงสาว
“ เอาน่าครับ ...อย่าเครียดๆ ตำรวจไทยยุคใหม่ ใส่ใจประชาชน อยากให้อารมณ์ดี ^^ เนื่องจากเหตุการณ์อุบัติเหตุเมื่อสามวันก่อน ที่มีรถสองคันชนประสานงาบริเวณสวนยางพารา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอให้คุณมาเป็นพยานเพื่อสอบปากคำเกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนี้ ”
“ ได้ค่ะ...ดิฉันให้ความร่วมมือเต็มที่”
“งั้นผมของสอบปากคำเลยนะครับ อันดับแรกคุณพบเหตุการณ์นี้ได้อย่างไรครับ”
“ดิฉันกำลังขับรถอยู่ เลยพบเห็นโดยบังเอิญค่ะ”
“คุณพบเห็นในขณะที่กำลังเกิดอุบัติเหตุหรือหลังจากนั้นแล้วครับ”
“หลังจากนั้นค่ะ”
“คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับผู้บาดเจ็บครับ”
“ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆค่ะ แค่มนุษย์ร่วมโลกค่ะ”
“ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ หากมีข้อมูลเพิ่มเติมทางเราจะติดต่อไปอีกครั้ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องเล็กน้อย”
หลังจากการสอบปากคำบริเวณหน้าห้องประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล ระหว่างหญิงสาวกับตำรวจ ก็มีพยาบาลสาวเดินตรงมาทางนี้
“ยัยปริก! คนไข้ห้อง 383 ฟื้นแล้วย่ะ!”
หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่ายัยปริกหน้าเบ้อย่างไม่สบอารมณ์
“โหย...ชื่อนี้มันนานเป็นชาติเศษแล้วยังจะเรียกอีก ชั้นออกจะสวยเหมือนางฟ้านางสวรรค์”
“ จ้าๆ แม่นางฟ้า ชั้นว่าเธอไปดูคนที่เธอเก็บมาจะดีกว่านะ ดูเค้าจะความจำเสื่อมด้วยแหละ” พยาบาลสาวป้องปากบอกเพื่อนของเธอ
“เหอะๆ ไม่จริงม้างงงงง.... ”
แล้วทั้งสองคนก็เดินไปยังห้อง 383 ด้วยกัน เมื่อเดินมาถึงหญิงสาวที่ถูกเรียกว่ายัยปริกก็มองเข้าไปยังในห้องที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่ สายระโยงระยางของสายน้ำเกลือ ผ้าวางขาหัก สายอาหาร รวมถึงสายท่อปัสสาวะ ที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอาการสาหัส เธอจึงเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบๆ เอี๊ยดดดด.....
“ใครน่ะ!!”
เงียบ.......
“ใคร!!! ชั้นถามว่าใคร!!!”
“นางฟ้า...”
“ห๊า!! ชั้นตายไปแล้วหรอเนี่ย ไม่จริงใช่ไหม ใช่ไหม ใครก็ได้ช่วยบอกที!!! ” ชายหนุ่มดิ้นขลุกขลักอยู่บนเตียง แล้วส่งเสียงร้องเหมือนคนจะเป็นจะตาย
“โอ๊ย! ทำไมมันปวดแบบนี้ แสดงว่ายังไม่ตาย ยังไม่ตาย ยังไม่ตาย เยสสส...”
เธอยืนดูชายหนุ่มอย่างงงวย แล้วคิดคนเดียวอย่างงงๆว่า “ท่าจะบ้าแฮะ..”
“ใครกัน!?! นางฟ้า...” ชายหนุ่มได้แต่หันซ้ายแลขวาเพื่อหวังว่าจะได้พบบุคคลลึกลับที่อ้างว่าเป็น นางฟ้า แต่แล้วก็ไม่พบสิ่งอื่นใดนอกจาก... เลือดที่ไหลซิบๆบริเวณศีรษะของตน
“เฮือก! พะ พะ ยา ยา บาลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ชะ ช่ะ ชะ” ยังไม่ทันขาดคำก็หมดสติล้มลงไป
“แบบนี้คงไม่ตายง่ายๆหรอกมั้ง อย่างมากก็แค่นอนตายไปอีกหลายวันถึงจะเข็ด” หญิงสาวซึ่งแอบออกมาก่อนหน้านี้ยืนมองชายหนุ่มอยู่หน้าห้องอย่างเหนื่อยหน่าย และเดินจากมาอย่างเงียบๆ
“โป๊ก!”
“เป็นอะไรไหมครับ...คุณ..เอ่ออ”
“แพงเพรียวค่ะ ^_^ หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ยัยปริก ยิ้มให้กับชายหนุ่มชุดกราวสีขาวผู้เข็นรถเข็นผ่านมาอย่างเต็มที่”
“อ่อ..ครับคุณแพงเพรียว ผมว่าไปทำแผลก่อนดีไหมครับ เลือดไหลซิบๆเลย”
“ คะ? เลือดไหลเหรอ?” แพงเพรียวใช้มือแตะที่หน้าผากเบาๆจึงรู้ว่าตนมีบาดแผล
“ ก็ดีค่ะ ^^”
“งั้นเดี๋ยวผมนำทางไปนะครับ ^^ ” หมอหนุ่มยิ้มกว้างและเดินนำหน้าไปทางห้องรักษาพยาบาล
หญิงสาวคิดในใจขณะเดินตามหมอหนุ่มไป
“ เสร็จชั้นล่ะ หึหึ…”
ณ ห้องพยาบาล…
“คุณหมอพึ่งมาเป็นหมอที่นี่หรอคะ? ไม่ยักกะเคยเห็นหน้าเลย “ แพงเพรียวถามเพื่อทำลายบรรยากาศ
“ก็พึ่งมาใช้ทุนได้ 2 เดือนเองครับ ” หมอหนุ่มยิ้มหวานตอบ ในขณะที่มือยังง่วนอยู่กับการล้างแผลที่หน้าผากคนไข้
“อ่อออออ …………. โอ๊ย!”
“เฮ้ย!เป็นไรรึเปล่าครับ มือผมหนักไปหรอ?” หมอหนุ่มท่าทางเป็นห่วง ในขณะที่หญิงสาวนั่งกุมขมับ
“แฮ่ๆ อ่ะอ่ะ ล้อเล่นค่า…..”
“ว่าแต่คุณหมอชื่ออะไรคะ ?”
“กฤษณ์ครับ ” หมอหนุ่มตอบพร้อมอมยิ้ม จนปรากฏลักยิ้มเล็กๆที่ทำให้คนที่เห็นแอบคิดในใจว่าช่างน่ารักเสียนี่กระไร
ในขณะที่คนไข้ที่แอบคิดเล็กคิดน้อยจนหน้าบานเป็นกระด้งจนคุณหมอแอบแซวไม่ได้
“นี่ชื่อผมเพราะเกินไป หรือว่าหน้าผมหล่อกันแน่ครับ คุณถึงยิ้มกว้างซะขนาดนี้”
“เห…คุณหมอนี่หลงตัวเองใช่เล่นนะคะ ก็ทั้งสองอย่างแหละค๊า!! ชั้นไม่ได้เจอหมอหล่อๆแบบนี้บ่อยๆซะหน่อย ถึงเจอก็เป็นเก้งกวางซะงั้น เฮ้อออออ….” หญิงสาวถอนหายใจเหมือนเสียดายซะเต็มประดา
“แต่อย่าบอกนะว่าคุณหมอก็เป็น….”
“เป็นสิครับ ใครบอกไม่เป็น”
“พูดจริง?!”
“จริงสิครับ”
“OMG! ชั้นนึกแล้วเชียว …งั้นชั้นขอพูดตรงๆนะคุณหมอ หมอเคะรึเมะคะ?” หญิงสาวเขยิบเข้าไปใกล้หมอหนุ่มเพื่อต้องการทราบคำตอบ ดวงตาตี่ๆของเธอหรี่ลงเป็นเส้นตรง ช่างดูตลกยิ่งนัก หมอหนุ่มนึกขำอยู่ในใจ
“อ่า…เสร็จพอดีเลย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าอย่าลืมมาล้างแผลนะครับ แล้วเดี๋ยวผมสั่งยาให้ จะได้หายไวๆ” จากนั้นหมอหนุ่มก็เขียนขยุกขยิกด้วยตัวหนังสือหวัดเป็นภาษาอังกฤษที่อ่านยากลงบนกระดาษ หญิงสาวจึงชะโงกหน้าไปดูด้วยความสนใจอย่างยิ่ง
“ลายมือหมออ่านยากยังงี้ทุกคนเลยรึเปล่าคะ? แล้วแบบนี้พยาบาลรึเภสัชอ่านไม่ออกจ่ายยาผิด แย่เลย…”
หมอหนุ่มสตั๊นไป 3 วิ 0_0 ไม่นึกว่าจะมีใครพูดตรงๆกับเค้าแบบนี้
“ไม่หรอกครับ ด้วยความที่ต้องเร่งรีบและติดการเขียนภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนมากกว่า พยาบาลและเภสัชกรซึ่งมีความรู้ความสามารถจึงสามารถอ่านออกไงล่ะครับ”
นี่หมอด่าว่าชั้นโง่เปล่าหว่า หาว่าชั้นอ่านไม่ออก หญิงสาวคิดในใจ
“จริงๆชั้นก็เคยอยากเป็นหมอนะคะ ตอนม.4ชั้นชอบเคมีที่สุดเลย เคยได้ 99เต็ม100 คะแนนด้วย แต่พอจบม.ปลาย ชั้นกลับเกลียดทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ รวมทั้งคณิตศาสตร์ด้วย เลยเบนเข็มไปเอาดีด้านภาษา ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้สนใจมันเล้ยยย”
แต่ก่อนที่หญิงสาวจะพล่ามยาวไปมากกว่านี้ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
“ กิง ก่อง แก้ว แมว ก่อง ก้น หมา ไล่ ก้น กัด ก้น แมว น้อย ” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ Smartphone รุ่นใหม่ล่าสุดยี่ห้อดังขึ้นมารับ
“ค่ะ… โอเคค่ะ…ได้เลย…ไม่มีปัญหา…เดี๋ยวชั้นไป ” สิ้นเสียงต้นสายเธอก็วางหูแล้วหันกลับมาคุยกับหมอหนุ่มต่อ แต่ปรากฏว่าไม่เห็นแม้แต่วี่แวว
“ไปก็ไม่บอก! ถ้ารำคาญก็บอกกันตรงๆก็ได้ ชิชะ!” แล้วเธอก็ผลักประตูออกจากห้องไป
ณ ท่ารถโดยสาร
หญิงสาวนามว่าแพงเพรียวนั่งรอรถโดยสารเพื่อกลับบ้านเธอ เหตุผลสั้นๆง่ายๆที่เธอไม่ขับรถกลับเองทั้งๆที่บ้านมีรถยนต์นั่นก็คือขับรถไม่เป็น ด้วยความกลัวฝังใจเมื่อสมัยมัธยมที่ซ้อนท้ายเพื่อนสาวแล้วถูกรถชนทำให้เธอเดินไม่ได้หนึ่งเดือนเต็ม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเธอไม่กล้าแม้แต่จะนั่งมอไซค์หรือรับไม่ได้กับการต้องนั่งรถที่ขับด้วยความเร็วสูง การโดยสารรถโดยสารสาธารณะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่ามันจะช้าก็ตาม
“ลุงศักดิ์…เมื่อไหร่รถสายใต้จะมาอ่ะ ” แพงเพรียวถามชายแก่คราวลุงซึ่งเป็นนายท่าเก็บเงินซึ่งคุ้นเคยกันดี
“แปปนึงน่า…ไม่เกินครึ่งชั่วโมง”
“แปปนึงทั้งปีทั้งชาติแหละลุง พูดแบบนี้ตลอดเว เนี่ยมันก็ใกล้จะบ่ายสี่แล้วนะ เดี๋ยวรถก็ไม่ไปอีก” แพงเพรียวทำหน้าตาเซ็งๆเพราะเธอรอมาเกือบชั่วโมงครึ่งแล้ว เนื่องจากหลายปีมานี้ ราคาน้ำมันที่ขึ้นไม่หยุดเสมือนราคาทองคำที่ส่งผลกระทบให้ตารางการเดินรถต้องลดน้อยลง ช่วงเวลาจึงห่างกันมากขึ้น
“ปี๊บๆ ปี๊บๆ”
“นั่นไง! พูดยังไม่ทันขาดคำ เบอร์38 มาแล้ว ” ลุงศักดิ์ผู้เป็นนายท่าชี้รถปรับอากาศสายที่ผู้โดยสารจอมบ่นต้องโดยสารให้ดู
“พูดถึงก็มา ให้มันได้อย่างนี้สิ! ฮึ่ม… ”
เมื่อรถจอดสนิทก็มีบริกรชายหรือที่เรียกว่าแอ๊ดรถลงมาเรียกผู้โดยสาร
“เอ๊า! สายใต้เด้อ สายใต้ บ้านแพง นครพนม เร้วววววววว….”
“ไปแล้วนะลุง เดี๋ยวเจอกัน”
“เออๆ ข้าเห็นเอ็งจนเบื่อขี้หน้าแล้วหนิ ไปไป๊!”
“ไรอ๊าลุง! หนูอุตส่าห์ใช้บริการลุงมาตลอดหลายปี แขกVIPเลยนะเนี่ย”
“แต่ข้าก็ลดให้แกทุกที…อย่ามาทำเป็นลำเลิกบุญคุณ”
“โธ่! นิดๆหน่อยๆถือว่าเจ๊ากันไป คนกันเองนะลุงนะ ชั้นไปก่อนละ” แพงเพรียวโบกมือบ๊ายบายลุงนายท่าก่อนจะขึ้นรถปรับอากาศคันสีส้ม-ขาวเบอร์38 ซึ่งเธอก็จะเลือกนั่งฝั่งซ้ายมือติดกระจกเสมอเพราะรู้ดีว่าเวลาบ่ายเมื่อรถมุ่งหน้าสู่บ้านเธอ แสงแดดจะส่องด้านขวาของที่นั่ง ทำให้ร้อน เมื่อเธอนั่งฝั่งซ้ายมือก็จะไม่ร้อน แถมหลับสบายด้วย
เด็กสาวแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ด เสื้อยืดคอกว้างสีขาวเท่าเอว บวกกับกางเกงขาสั้นจุ๊ดจู๋ ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะบนใบหน้า เมื่อมองลงมาที่ต้นคอจะพบกับความแตกต่างระหว่างสีผิวบนใบหน้าที่ถูกบรรจงทาด้วยแป้งฝุ่นแต่ที่ต้นคอกลับเป็นสีน้ำตาลซึ่งบ่งบอกถึงสีผิวดั้งเดิมที่ยังไม่มีการปรุงแต่งใดๆ แพงเพรียวยื่นบัตรโดยสารที่มีลักษณะคล้ายกับบัตรจอดรถให้กับเด็กสาวคนนี้ และเมื่อเธอเดินผ่านไปก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น
“เยสโนโอเคแต้งกิ้ว….โอ๊ย! ชั้นก็เว้าได้แค่นี่แหละเด้อ”
“I want to go Bungkla”
“ห๊า! อีหยังน๊า เว้าใหม่ชัดๆดุ๊ ข่อยบ่ฮู้เรื่อง ฝรั่งหนิกะดาย”
“How much? If I want to go Bungkla”
“โอ๊ย!จั๊กเว้าหยังดอก” เด็กหญิงเก็บตัวโดยสารทำหน้าโกรธๆพร้อมเกาศีรษะไปพลาง ไม่รู้จะสนทนากับชาวต่างชาติอย่างไรดี ส่วนชาวต่างชาติก็พยายามใช้ภาษากายอย่างเต็มที่เพื่อให้คู่สนทนาชาวอีสานคนนี้เข้าใจ ดังนั้นแพงเพรียวคนนี้จึงขออาสา
“Can I help you?”
“Yes!” ชายชาวต่างชาติทำสีหน้าดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพบผู้ที่พูดภาษาอังกฤษกับเขาได้
“I would like to go to Bungkla . So, I want to know how much that I pay for ticket.”
“OK. I understand you and I ask her . Wait a minutes please!”
“น้องๆ เค้าจะไปบุ่งคล้า ค่าตั๋วโดยสารเท่าไหร่ ?”
“สี่สิบบาทจ้า… ก็บ่บอก งงอยู่ได้ตั้งโด้น”
แล้วแพงเพรียวจึงหันมาบอกชายชาวต่างชาติ
“forty baht.”
“Thank you so much! I’m lucky when I see you” จากนั้นชายชาวต่างชาติจึงยื่นเงินให้สาวน้อยผู้มีหน้าที่เก็บตั๋วโดยสาร
“เมื่อถึงที่แล้วก็อย่าลืมบอกเค้าด้วยล่ะ เข้าใจบ่”
“เข้าใจแล้วล่ะพี่ …หนูมันก็ร่ำเรียนมาน้อย ภาษาอังกฤษนี่ก็รู้งูๆปลาๆ เยสโนโอเคแต้งกิ้ว จะว่าไปพี่นี่ก็เก่งเนอะ คุยกับเค้ารู้เรื่องด้วย”
แพงเพรียวแทบตัวลอยเพราะคำชมเล็กๆน่อยๆ แต่เธอก็เก็บมันไว้ไม่มิดเช่นเคย
“พี่ก็ไม่ได้เก่งมาจากไหนหรอก ก็พอเรียนๆมาบ้าง ยิ่งเราจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี2558นี้แล้ว ไม่รู้ภาษาอังกฤษไม่ได้น๊า ชาติอื่นเมืองอื่นนี่เค้าเก่งไปถึงไหน รู้เรื่องกว่าเราตั้งเยอะแล้ว คนไทยยังมามัวอายไม่กล้าพูดอยู่ ประเทศอื่นเค้าก็มาแย่งงานเราหมดสิ”
“พี่ๆ ว่าแต่ไอ้ประชาคมอาเซียนนี่มันคืออะไรอ่ะ หนูเห็นแต่ในทีวีพูดกันป่าวๆ ”
“อย่าให้พี่เล่าเหอะ เดี๋ยวมันยาว เอาเป็นว่าลองเข้าไปหาข้อมูลในกูเกิ้ลดู สละเวลาและสตางค์จากค่าเสื้อผ้าและเครื่องสำอางสัก10บาทไปเล่นเน็ตหาข้อมูล พี่บอกไปก็ไม่สู้รู้เองหรอก จริงมั๊ย! อ่ะ! ถึงบ้านพี่ล่ะ ไปก่อนนะ”
เมื่อรถจอด แพงเพรียวก็เดินลงจากรถแล้วมุ่งไปยังบ้านป้าสีที่เธอฝากรถมอไซค์ไว้เ
ความคิดเห็น